https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/issue/feed วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี 2025-08-03T06:39:52+07:00 ผศ.ดร.วีรวิชญ์ เลิศไทยตระกูล iscjournal@chonburi.spu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิชาการที่มุ่งเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัยครอบคลุมเนื้อหาด้านบริหารธุรกิจ ด้านการบริหารปฏิบัติการ ด้านการบริหารการศึกษา ด้านการท่องเที่ยว ด้านการบัญชี ด้านนิเทศศาสตร์และการสื่อสาร และด้านการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มุ่งเน้นการประยุกต์ศาสตร์ในแขนงต่าง ๆ</strong></p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/278880 การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงานในศตวรรษที่ 21 2025-04-28T19:17:21+07:00 กุญช์พิสิฎฐ์ คงนุรัตน์ kunpisit@esdc.go.th สุภพ ไชยทอง supopchai@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงานในศตวรรษที่ 21 และ 2) เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 โดยมีวิธีดำเนินการดังนี้ 1) ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงานในศตวรรษที่ 21 และ 2) สังเคราะห์แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เพื่อหาขั้นตอนสำคัญ ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ 1) ผลการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ผ่านการเรียนรู้แบบโครงงานในศตวรรษที่ 21 พบว่า การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบผ่านการลงมือปฏิบัติ การตั้งคำถาม การแก้ปัญหา และการสะท้อนคิด อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างทักษะการทำงานร่วมกัน การคิดสร้างสรรค์ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 และ 2) ผลการนำเสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 พบว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ 1) การกำหนดประเด็นปัญหา 2) การวางแผนและออกแบบโครงงาน 3) การดำเนินการตามแผน 4) การนำเสนอผลงาน และ 5) การประเมินผลและสะท้อนคิด นอกจากนี้ ยังนำเสนอบทบาทของผู้สอนในการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน และแนวทางการประเมินผลที่สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/277736 THE ROLE OF ELECTRONIC TEACHING IN SUPPORTING ENGLISH LANGUAGE LEARNERS WITH SPECIFIC LEARNING DISABILITIES 2025-02-08T14:02:54+07:00 Aira Mae Lancian airalancian@gmail.com <p>This article reviews the critical role of e-teaching in supporting English language learners with Specific Learning Disabilities (SLDs) through the lens of inclusive teaching strategies and assistive tools. It focuses on how virtual platforms can assist students with SLDs in learning and developing specific skills by addressing their unique challenges in studying. A review of existing studies emphasizes the importance of assistive technology such as speech-generating and text-based devices, screen-reader software, and digital graphic organizers. Studies have found that assistive technologies significantly improve literacy skills in students with learning disabilities. Consequently, this article explores the integration of e-teaching into education, opening new pathways for supporting English language learners with specific learning disabilities</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/275497 การกำหนดบทนิยามว่าด้วยการทรมาน การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายและ ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหาย ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและ การกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 2025-04-22T07:13:53+07:00 อนันต์ เพียรวัฒนะกุลชัย anan3250700105061@gmail.com <p> บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาการกำหนดบทนิยามว่าด้วยการทรมาน การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหายตามกฎหมายว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย จากการศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 มิได้กำหนดคำนิยมความหมายของคำว่า การทรมาน การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหาย ถือว่าเป็นการกระทำอาชญากรรมร้ายแรงที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นกรณีพิเศษและกำหนดคำนิยามความหมายให้ชัดเจนจะกำหนดลักษณะการกระทำความผิดไว้กว้าง ๆ หรือขยายความเพื่อเอาผิดแก่จำเลยมิได้ ดังนั้นจึงต้องมีการกำหนดความหมายของคำนิยามดังกล่าวไว้ในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เพื่อลดปัญหาการตีความและตีกรอบการกระทำให้เป็นการกระทำนอกเหนือจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่จะต้องอาศัยกลไกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา บทความนี้มีข้อเสนอแนะว่า ควรให้มีการกำหนดคำนิยามความหมายของคำว่า การทรมาน การกระทำที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการกระทำให้บุคคลสูญหายไว้ในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565</p> 2025-08-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/277541 การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้ารูปแบบไมล์สุดท้ายในธุรกิจออนไลน์ กรณีศึกษา บริษัท XYZ จำกัด 2025-02-14T11:45:27+07:00 นที สุนิพัฒน์ nathee.sunipath@gmail.com รวมพล จันทศาสตร์ iamroumpol@hotmail.com รวมพร ทองรัศมี โอเนส roumporn@southeast.ac.th สุรัตน์ จันทองปาน Surat.j@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการขนส่งสินค้าในธุรกิจออนไลน์ของบริษัท XYZ จำกัด 2) เพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้ารูปแบบไมล์สุดท้ายในธุรกิจออนไลน์ บริษัท XYZ จำกัด การศึกษานี้มุ่งเน้นการแก้ปัญหาการจัดเส้นส่งสินค้าและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งไมล์สุดท้าย ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและการวางแผนที่เหมาะสม ข้อมูลการศึกษาได้จากพนักงานขับรถ จำนวน 20 คน และพนักงานขนส่งในแผนกอีก 20 คน เพื่อวิเคราะห์ และพัฒนากระบวนการขนส่ง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาที่สำคัญเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงานหลายด้าน ได้แก่ การจัดเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน ขาดการตรวจสอบความพร้อมของพนักงานและยานพาหนะ และปัญหาจากกระบวนการจัดการเวลาการส่งสินค้า ซึ่งส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุ ความล่าช้า และสินค้าชำรุด การวิเคราะห์ปัญหาด้วยแผนภูมิก้างปลา (Cause and Effect Diagram) ช่วยระบุสาเหตุหลัก เช่น การขาดการอบรมพนักงาน การวางแผนเส้นทางที่ไม่มีประสิทธิภาพ การบำรุงรักษายานพาหนะที่ไม่เหมาะสม และกระบวนการตรวจสอบที่ไม่เพียงพอ แนวทางการแก้ไข ได้แก่ การจัดอบรมพนักงานขับรถ การเพิ่มกระบวนการตรวจสอบความพร้อมของรถและพนักงานก่อนปฏิบัติงาน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี RouteXL ช่วยลดระยะทางการขนส่งได้ ร้อยละ 15 และลดต้นทุนการขนส่งลงได้ ร้อยละ 12.79 หรือประมาณ 753,544 บาท ต่อเดือน อีกทั้งยังเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งจาก ร้อยละ 80 เป็น ร้อยละ 100 และลดอุบัติเหตุจากเฉลี่ย 2 ครั้ง ต่อเดือน เหลือ 0 ครั้ง แนวทางดังกล่าวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการ และลดต้นทุน</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/279095 ปัจจัยที่มีผลต่ออรรถประโยชน์ในการมีบุตรของเจนเนอเรชั่นวายในกรุงเทพมหานคร 2025-05-02T13:55:07+07:00 ปรเมศร์ อัศวเรืองพิภพ poramate.as@kmitl.ac.th กุลสตรี คุณโตนด 63100380@kmitl.ac.th จุฑารัตน์ หรุจันทร์ 63100392@kmitl.ac.th พรมจรินทร์ ศรจรัสสุวรรณ 63100509@kmitl.ac.th พิจิตรา บุญเกีย 63100522@kmitl.ac.th พินิฐนัน พรหมจันทร์ 63100528@kmitl.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่ออรรถประโยชน์ในการมีบุตรของเจนเนอเรชั่นวายในกรุงเทพมหานคร และมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) อรรถประโยชน์ในการมีบุตรของกลุ่มเจนเนอเรชั่นวายในกรุงเทพมหานคร 2) ปัจจัยที่มีผลต่ออรรถประโยชน์ในการมีบุตรของกลุ่มเจนเนอเรชั่นวายในกรุงเทพมหานคร โดยมีตัวอย่างในงานวิจัย จำนวน 400 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) ขั้นตอนที่ 1 สุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เพื่อเลือกพื้นที่ แล้วจึงใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota Sampling) เก็บตัวอย่างด้วยแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีอรรถประโยชน์ในการมีบุตรโดยรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน 3 ด้าน ที่มีอรรถประโยชน์สูงสุด ได้แก่ ความชื่นชมยินดีเป็นคุณค่าทางจิตใจ ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น และทำให้ชีวิตครอบครัวสมบูรณ์แบบ สำหรับปัจจัยที่มีผลต่ออรรถประโยชน์ในการมีบุตร ได้แก่ สถานภาพการสมรส การมีบุตรในปัจจุบัน ความต้องการมีบุตรในอนาคต ปัจจัยด้านสังคม และนโยบายของรัฐที่สนับสนุน โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 95</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/279791 ความตระหนักรู้ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก 2025-04-26T07:45:34+07:00 วรพล รักเจียม 41970203@chonburi.spu.ac.th จิราภรณ์ ชมยิ้ม chiraphorn.ch@chonburi.spu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความตระหนักรู้ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับความตระหนักรู้ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ของนักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันอุดมศึกษาแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีรูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 147 คน จากประชากรทั้งหมด 218 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (<em>t</em>-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษามีระดับความตระหนักรู้ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์อยู่ในระดับมาก ( =3.71, <em>SD</em>=0.94) โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า นักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งนี้ที่มีเพศ อายุ ชั้นปีที่กำลังศึกษาที่แตกต่างกันมีระดับความตระหนักรู้ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ไม่แตกต่างกัน ในส่วนประสบการณ์การเรียนวิชา Cyber Security ที่ต่างกัน และประสบการณ์การฝึกอบรมหรือสัมมนาด้าน Cyber Security ที่ต่างกัน มีระดับความตระหนักรู้ด้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/278382 การประยุกต์ใช้แนวคิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน ESG ของผู้ประกอบธุรกิจ ในจังหวัดเชียงใหม่ 2025-04-26T06:46:12+07:00 ธนพล ฟูศรีเจริญ artstock888@gmail.com นิโรจน์ สินณรงค์ nirote@mju.ac.th ธรรญชนก เพชรานนท์ thanchanok@mju.ac.th เก นันทะเสน ke_n@mju.ac.th <p><strong style="font-size: 0.875rem;">บทคัดย่อ</strong></p> <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการนำแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนของผู้ประกอบธุรกิจในจังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสื่อประชาสัมพันธ์ อาหาร และการขนส่ง งานวิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงคุณภาพและวิเคราะห์จัดกลุ่มข้อมูลจากการถอดเสียงสัมภาษณ์</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความตระหนักถึงแนวคิด ESG และดำเนินการบางส่วนก่อน ที่ ESG จะกลายเป็นแนวปฏิบัติที่แพร่หลาย โดยมีการปรับตัวในสามมิติหลัก ได้แก่</p> <p> มิติสิ่งแวดล้อม (Environmental) : มีการใช้พลังงานสะอาด ลดการใช้ทรัพยากร ปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการคัดแยกขยะ และการรีไซเคิล</p> <p> มิติสังคม (Social) : ให้ความสำคัญกับสิทธิพนักงาน ความเท่าเทียมทางเพศ ความปลอดภัยในการทำงาน สนับสนุนชุมชนผ่านโครงการเพื่อสังคม และช่วยเหลือด้านสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชน</p> <p> มิติธรรมาภิบาล (Governance) : มุ่งเน้นความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ การกำกับดูแลกิจการอย่างมีจริยธรรม และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม</p> <p> อย่างไรก็ตามพบว่า ผู้ประกอบการยังขาดแนวทางที่เป็นระบบในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG งานวิจัยนี้จึงเสนอแนะให้มีการจัดทำกรอบการดำเนินงานตามมาตรฐาน ESG ที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืนในระยะยาว</p> <p> </p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/280216 การจัดกลุ่มอาชีพและทักษะที่จำเป็นในสายงานโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน 2025-05-10T06:19:46+07:00 ศจี พัฒนาเฟื่องฟู sajee.pa@spu.ac.th ธรินี มณีศรี sajee.pa@spu.ac.th วันวิสา ด่วนตระกูลศิลป์ sajee.pa@spu.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบกลุ่มอาชีพในสายงานด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานของประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงการจัดกลุ่มอาชีพและการกำหนดทักษะที่จำเป็นในแต่ละกลุ่มอาชีพ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ จำนวน 7 ท่าน และการจัดสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group) กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและสถานประกอบการ รวมทั้งสิ้น 30 ท่าน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พร้อมตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลด้วยวิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า (Triangulation)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สามารถแบ่งกลุ่มได้เป็น 2 ภาคส่วนหลัก (Sectors) ได้แก่ ภาคโลจิสติกส์อุตสาหกรรม และภาคผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ซึ่งสามารถจัดกลุ่มสายงานอาชีพด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานได้ จำนวน 10 กลุ่ม ครอบคลุมตำแหน่งงานในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ รวมทั้งหมด 88 ตำแหน่ง และจำแนกทักษะที่จำเป็นในสายงานได้ 371 ทักษะ ทั้งนี้แต่ละกลุ่มอาชีพต้องการทักษะเฉพาะทางที่แตกต่างกันตามลักษณะงาน เช่น สายงานด้านเทคโนโลยีโลจิสติกส์และโซ่อุปทานดิจิทัล สายงานด้านการวิเคราะห์และวางแผน สายงานด้านการจัดการโซ่ความเย็น และสายงานด้านการจัดเก็บและขนส่งสินค้าอันตราย เป็นต้น</p> <p> ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดกลุ่มอาชีพ การกำหนดกรอบสมรรถนะอาชีพ และทักษะที่เหมาะสมกับบริบทของอาชีพโลจิสติกส์ในประเทศไทย รวมถึงการวางแผนการผลิตบุคลากรและการจัดฝึกอบรมเชิงวิชาชีพ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทยในอนาคต</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/278581 อิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดธุรกิจน้ำดื่มรักษ์โลกที่มีต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรม ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร 2025-04-25T16:03:27+07:00 ปรียาวดี ผลเอนก pareeyawadee@hotmail.co.th ศิริประภา แจ้งกรณ์ pareeyawadee@gmail.com สุคนธินี เคนฉลวย pareeyawadee@gmail.com พรธิภา สุทธิโสม pareeyawadee@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นที่มีต่อกลยุทธ์การตลาดธุรกิจน้ำดื่มรักษ์โลกของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร 2) ระดับความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการซื้อสินค้าประเภทน้ำดื่มรักษ์โลกของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) อิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดธุรกิจน้ำดื่มรักษ์โลกที่มีต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ซื้อน้ำดื่มประเภทรักษ์โลก เลือกตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็นด้วยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ด้วยวิธี Forward Selection ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นที่มีต่อกลยุทธ์การตลาดธุรกิจน้ำดื่มรักษ์โลกอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก 2) ระดับความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการซื้อน้ำดื่มรักษ์โลกของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.25 อยู่ในระดับมีความตั้งใจสูง และ 3) กลยุทธ์การตลาดธุรกิจน้ำดื่มรักษ์โลก ประกอบด้วย ด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ ด้านความน่าเชื่อถือ ด้านการตอบสนองความต้องการ และด้านความคุ้มค่ามีอิทธิพลต่อความตั้งใจเชิงพฤติกรรมในการซื้อน้ำดื่มรักษ์โลกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/280583 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ แก้วโอเชียนกลาสในประเทศไทย 2025-05-21T06:34:26+07:00 บุศรินทร์ สุรกาญจน์กุล taobusarin@gmail.com ทัศนีย์ สิราริยกุล 6614190009@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด ที่มีต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์แก้วโอเชียนกลาสของผู้บริโภคในประเทศไทย โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 414 คน ซึ่งเป็นผู้บริโภคที่เคยมีประสบการณ์ในการซื้อหรือใช้งานผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ <em>t</em>-test, ANOVA ค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์และราคามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยแบบจำลองสามารถอธิบายความแปรปรวนของการตัดสินใจซื้อได้ร้อยละ 49.4 สะท้อนถึงความสำคัญของกลยุทธ์การตลาดในการกระตุ้นพฤติกรรมผู้บริโภค</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/278847 แนวทางการลดระยะเวลาในกระบวนการนำเข้าสินค้า บริษัท ABC จำกัด 2025-04-25T16:14:41+07:00 กัณธภัทร เหมะบุตร waraporn.tun@ku.th ณัฐชนน เครือสนิท waraporn.tun@ku.th ธนวรรณ มะลิสะ waraporn.tun@ku.th ปัณณพร น้อยกลาง waraporn.tun@ku.th ภัทรภร แกล้วกล้า waraporn.tun@ku.th วาศินี องอาจ waraporn.tun@ku.th Waraporn Tungjitjarurn waraporn.tun@ku.th <p> จากการศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการในการนำเข้าสินค้าและ 2) เสนอแนวทางการลดระยะเวลาในกระบวนการนำเข้าสินค้าของ บริษัท ABC จำกัด ทางคณะผู้จัดทำได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสังเกตและสัมภาษณ์กับพนักงานแต่ละแผนกในบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตัวแทนจัดการขนส่งสินค้า (Freight Forwarder) ทำให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้นนำเครื่องมือแผนผังงาน (Flowchart) และผังงานตามเวลา (Time Function Mapping) มาแสดงภาพรวมการไหลของการดำเนินงานและระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละขั้นตอน รวมถึงการนำแนวคิดลีน (Lean Thinking) มาใช้วิเคราะห์หาสาเหตุของกระบวนการ อีกทั้งยังได้นำหลักการการกำจัด (Eliminate) การรวม (Combine) การจัดใหม่ (Rearrange) และการทำให้ง่าย (Simplify) หรือ ECRS มาประยุกต์ใช้ในการเสนอแนวทางการปรับปรุงกระบวนการนำเข้าสินค้า</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในการนำเข้าสินค้าเกิดจากการมีขั้นตอนการทำงานที่มากและใช้ระยะเวลานานในการดำเนินการ โดยเฉลี่ย 1,284 นาที เมื่อนำหลักการการกำจัด (Eliminate) การรวม (Combine) การจัดใหม่ (Rearrange) และการทำให้ง่าย (Simplify) หรือ ECRS มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทาง การวิเคราะห์ ทำให้สามารถลดขั้นตอนการดำเนินงานจาก 48 ขั้นตอน เหลือ 44 ขั้นตอน และสามารถลดระยะเวลาในการทำงานเฉลี่ยเหลือ 1,108 นาที คิดเป็นการลดลง 176 นาที หรือ 13.71 เปอร์เซ็นต์ ผลจากการศึกษานี้สามารถเป็นแนวทางให้กับทางบริษัทสามารถนำไปปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อลดระยะเวลาที่เกิดขึ้นภายในกระบวนการ และสามารถทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/278863 INNOVATIVE COMPETENCY, NETWORK PROFICIENCY AND TACTICAL AGILITY AFFECTING BUSINESS PROCESSED FRUIT BUSINESS PERFORMANCE IN THAILAND 2025-03-25T06:48:44+07:00 Tharanut Toh-Adam piyada.dasri@stamford.edu Piyada Dasri piyada.dasri@stamford.edu Wissawa Aunyawong wissawa.au@ssru.ac.th <p>&nbsp;This research examines the critical factors influencing business performance in Thailand's processed fruit industry, focusing on innovative competency, networking proficiency, and tactical agility. This research employed quantitative and qualitative research methodologies. The quantitative research focused on the population of 1,000 entrepreneurs approximately and managers in the processed fruit business sector in Thailand. The sample consisted of 500 entrepreneurs and managers from this sector. The researchers used questionnaires as the data collection tool, while for the qualitative research, in-depth interviews were conducted. The data analysis involved Structural Equation Modeling (SEM).&nbsp;The research result found that innovative competency has a significant positive impact on business performance. Organizations that emphasize innovation, whether through new products or services, tend to perform better. Networking capability also plays a key role in driving business performance, though its impact is somewhat less pronounced compared to innovation. Effective networking allows organizations to access valuable resources, reduce operational costs, and form strategic partnerships. Tactical agility is the most influential factor in enhancing business performance. Tactical agility enables businesses to stay ahead of competitors, capitalize on emerging opportunities, and navigate challenges effectively. Together, these capabilities—innovative competency, networking capability, and Tactical agility—form a comprehensive framework that contributes to high levels of business performance.</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/276392 การศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการให้บริการที่มีต่อความภักดีของผู้ใช้บริการ ขนส่งเบเกอรี่และเพสทรีของบริษัทขนส่งภาคเอกชนในประเทศไทย 2025-05-02T11:42:59+07:00 พรรณภัทร แซ่โท้ว Anurak.to@dtc.ac.th สยานนท์ สหุนันต์ Anurak.to@dtc.ac.th อนุรักษ์ ทองขาว anurak.to@dtc.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพการให้บริการที่มีต่อความภักดีของผู้ใช้บริการขนส่งเบเกอรี่และเพสทรีของบริษัทขนส่งภาคเอกชนในประเทศไทย การวิจัยนี้ใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน และสัมภาษณ์ผู้ใช้บริการ 10 คน ผู้ประกอบการ 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความเที่ยง โดยได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาช คือ 0.98 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการให้บริการขนส่งภาคเอกชนในประเทศไทยในการส่งเบเกอรี่เละเพสทรีและความภักดีของผู้ใช้บริการมีความสัมพันธ์กันเชิงบวก และ 2) คุณภาพการให้บริการขนส่งภาคเอกชนในประเทศไทยในการส่งเบเกอรี่และเพสทรี ในด้านการตอบสนองต่อผู้ใช้บริการที่รวดเร็วมีอิทธิพลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการมากที่สุดและรองลงมา คือ คุณภาพการให้บริการด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการ และการประกันคุณภาพหรือการให้ความเชื่อมั่นต่อผู้ใช้บริการ ตามลำดับ</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี