https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/issue/feed วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี 2024-11-05T07:40:52+07:00 ผศ.ดร.วีรวิชญ์ เลิศไทยตระกูล iscjournal@chonburi.spu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารวิชาการที่มุ่งเผยแพร่บทความวิชาการและบทความวิจัยครอบคลุมเนื้อหาด้านบริหารธุรกิจ ด้านการบริหารปฏิบัติการ ด้านการบริหารการศึกษา ด้านการท่องเที่ยว ด้านการบัญชี ด้านนิเทศศาสตร์และการสื่อสาร และด้านการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มุ่งเน้นการประยุกต์ศาสตร์ในแขนงต่าง ๆ</strong></p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/275144 การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกโดยใช้รูปแบบโครงงานเป็นฐาน ในรายวิชา ICT496 หัวข้อพิเศษด้านเทคโนโลยี 2 การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับธุรกิจด้วย Power BI 2024-09-13T11:48:31+07:00 นงเยาว์ สอนจะโปะ nongyao.so@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา ICT496 หัวข้อพิเศษด้านเทคโนโลยี 2 การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับธุรกิจด้วย Power BI ที่มีการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้รูปแบบโครงงานเป็นฐานและศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกโดยใช้รูปแบบโครงงานเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา ICT496 หัวข้อพิเศษด้านเทคโนโลยี 2 การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับธุรกิจด้วย Power BI ปีการศึกษา 2566 จำนวน 53 คน ด้วยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้เชิกรุกโดยใช้รูปแบบโครงงานเป็นฐาน และ 2) แบบทดสอบและโครงงานในรายวิชา ICT496 หัวข้อพิเศษด้านเทคโนโลยี 2 การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับธุรกิจด้วย Power BI และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักศึกษาส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในระดับ A มีนักศึกษา 27 คน คิดเป็น ร้อยละ 50.94 ระดับ B+ มีนักศึกษา 15 คน คิดเป็น ร้อยละ 28.30 และระดับ B มีนักศึกษา 7 คน คิดเป็น ร้อยละ 13.21 คน ส่วนความพึงพอใจของนักศึกษาส่วนใหญ่ต่อการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุกโดยใช้รูปแบบโครงงานเป็นฐาน ในภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก ( =4.73, <em>SD</em>=0.50) </p> 2024-11-05T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/273826 โมเดลเชิงโครงสร้างการร่วมสร้างคุณค่าของผู้บริโภคไทยในการซื้อสินค้าในธุรกิจการค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต 2024-09-03T07:25:47+07:00 วินัย ปัญจขจรศักดิ์ vinai.p@iesa.ac.th <p>งานวิจัยเรื่อง โมเดลเชิงโครงสร้างการร่วมสร้างคุณค่าของผู้บริโภคไทยในการซื้อสินค้าในธุรกิจการค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ต เป็นการวิจัยเชิงปริมาณที่มีวัตถุประสงค์การวิจัย 2 ข้อ คือ 1) เพื่อสร้างโมเดลเชิงโครงสร้างการร่วมสร้างคุณค่าของผู้บริโภคไทยในการซื้อสินค้าทางในธุรกิจการค้าปลีกทางอิเล็กทรอนิกส์ และ 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโมเดลเชิงโครงสร้างการร่วมสร้างคุณค่าของผู้บริโภคไทย ในการซื้อสินค้าทางในธุรกิจการค้าปลีกทางอิเล็กทรอนิกส์ ประชากรของงานวิจัยนี้ คือ คนไทยที่ซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าปลีกทางอินเทอร์เน็ตและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริโภคคนไทยที่มีอายุระหว่าง 20-59 ปี ที่เคยซื้อสินค้าทางอินเทอร์เน็ตและมาเดินซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ งานวิจัยนี้ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling) ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า มีตัวแปรที่ส่งผลต่อกัน 3 ตัว คือ การร่วมผลิตคุณค่าส่งผลต่อประสบการณ์การร่วมสร้างคุณค่าตามสมมติฐานข้อ 1 และส่งผลต่อความเต็มใจร่วมสร้างคุณค่าตามสมมติฐานข้อ 2 นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรไม่ส่งผลทางอ้อมต่อกันแต่อย่างใด</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/275169 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า ต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในจังหวัดนครปฐม 2024-09-18T06:50:56+07:00 สุนิสา ก้านชูช่อ nutchayanancy@gmail.com วิศวะ อุนยะวงษ์ wissawa.au@ssru.ac วราภรณ์ สารอินมูล varaporn.sa@ssru.ac.th ธนะสาร พานิชยากรณ์ tanasarn.pa@ssru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา และเปรียบเทียบความพึงพอใจของลูกค้าต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนครปฐม จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 2) ศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนครปฐม งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ที่สนใจซื้อหรือสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของผู้ที่สนใจซื้อหรือสร้างบ้านในพื้นที่จังหวัดนครปฐม ที่มีต่อความพึงพอใจต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนครปฐม อยู่ในระดับมาก ซึ่งปัจจัยลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนครปฐม แตกต่างกัน 2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ด้านการสร้างและนำเสนอลักษณะทางกายภาพ ด้านกระบวนการ ด้านบุคคล ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านการจัดจำหน่าย ส่งผลในด้านบวก ต่อความพึงพอใจของลูกค้าต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดนครปฐม</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/275262 การปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่งน้ำดื่มสำหรับปัญหาการจัดเส้นทางยานพาหนะ กรณีศึกษา โรงงานน้ำดื่มดีซี 2024-09-21T15:33:53+07:00 กนกกาญจน์ จิรศิริเลิศ ganokgarn.j@sskru.ac.th ณัฏฐ์พัชร์ วณิชย์กุล ganokgarn.j@sskru.ac.th <p>บทความนี้นำเสนอการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเส้นทางเดินรถขนส่งน้ำดื่มสำหรับปัญหาการจัดเส้นทางยานพาหนะ กรณีศึกษา โรงงานน้ำดื่มดีซี โดยประยุกต์ใช้วิธีการแบบประหยัด (Saving Algorithm: SA) และวิธีการค้นหาเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงที่สุด (Nearest Neighbor Algorithm: NNA) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเส้นทางเดินรถขนส่งน้ำดื่มให้มีระยะทางรวมที่น้อยที่สุด จากผลการศึกษาพบว่า วิธีการค้นหาเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงที่สุด (Nearest Neighbor Algorithm: NNA) สามารถลดระยะทางรวมจากเดิม 130.50 กิโลเมตรลดลงเหลือ 121.80 กิโลเมตร ซึ่งสามารถลดระยะทางรวมได้ถึง 8.70 กิโลเมตร และวิธีการแบบประหยัด (Saving Algorithm: SA) สามารถลดระยะทางรวมจากเดิม 130.50 กิโลเมตร ลดลงเหลือ 121.10 กิโลเมตร ซึ่งสามารถลดระยะทางรวมได้ถึง 9.40 กิโลเมตร ดังนั้นวิธีการแบบประหยัด (Saving Algorithm: SA) มีประสิทธิภาพการขนส่งน้ำดื่มสำหรับปัญหาการจัดเส้นทางยานพาหนะ กรณีศึกษา โรงงานน้ำดื่มดีซี โดยสามารถหาระยะทางรวมที่น้อยที่สุดได้เหมาะสมที่สุด</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/274956 ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อผลการเรียนรู้ ของนักศึกษารายวิชา BUS331 การเป็นผู้ประกอบการ 2024-09-05T15:08:48+07:00 ธันยนันท์ สมบูรณ์รัตนโชค 41970267@chonburi.spu.ac.th วิสันต์ ลมไธสง 41970267@chonburi.spu.ac.th ชัยณรงค์ ชัยจินดา 41970267@chonburi.spu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อผลการเรียนรู้ของนักศึกษารายวิชา BUS331 การเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งวิชานี้มีความสำคัญต่อผู้ที่ต้องการจะก้าวไปเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในอนาคตได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้ของปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการเรียนรู้และผลของการเรียนรู้ของนักศึกษาโดยรวมของรายวิชา BUS331 การเป็นผู้ประกอบการ และ 2) ศึกษาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อผลการเรียนรู้ของนักศึกษารายวิชา BUS331 การเป็นผู้ประกอบการ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้ คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนในรายวิชา BUS331 การเป็นผู้ประกอบการ ปีการศึกษา 2/2566 จำนวน 284 คน โดยมีจำนวนนักศึกษาที่ทำแบบสอบถามถูกต้องและครบถ้วน จำนวน 272 คน หรือคิดเป็น ร้อยละ 95.77 ซึ่งผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากการเก็บแบบสอบถามโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเพื่อการวิจัยที่ระดับความมีนัยสำคัญ 0.05 โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงอนุมานโดยใช้สมการถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของการเรียนในรายวิชา BUS331 การเป็นผู้ประกอบการ มีการรับรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ภาพรวมของผลการเรียนรู้ของนักศึกษา รายวิชา BUS331 การเป็นผู้ประกอบการ มีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อผลการเรียนรู้ของนักศึกษารายวิชา BUS331 การเป็นผู้ประกอบการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ประกอบด้วยปัจจัยด้านคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ปัจจัยด้านการวัดและประเมินผล ปัจจัยด้านคุณลักษณะอาจารย์ และปัจจัยด้านสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/274960 แนวทางการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ภายใต้ทุนทางวัฒนธรรม ชุมชนตำบลบ้านปึก อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 2024-09-05T15:41:15+07:00 มนรัตน์ ใจเอื้อ monrat_jai@utcc.ac.th ยงยุทธ แก้วอุดม monrat_jai@utcc.ac.th พันธมน คำนูอเนก monrat_jai@utcc.ac.th กรัณย์ วรวิทย์วรรณ monrat_jai@utcc.ac.th ลิขิต แสนบุญครอง monrat_jai@utcc.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนตำบลบ้านปึก อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี 2) ประเมินศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ชุมชนตำบลบ้านปึก อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี และ 3) เสนอแนวทางการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ภายใต้ทุนทางวัฒนธรรมชุมชนตำบลบ้านปึก อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย 1) การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้นำชุมชนคณะกรรมการวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลบ้านปึก และคนในท้องถิ่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว จำนวน 15 คน นักท่องเที่ยว จำนวน 25 คน 2) การประชุมกลุ่มย่อยนักวิชาการและนักพัฒนาการท่องเที่ยว จำนวน 10 คน และ 3) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ ผลการศึกษา 1) ทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนตำบลบ้านปึกพบว่า มีทั้งโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญภายในวัดใหม่เกตุงาม โรงทอผ้าใต้ถุนบ้าน อาหารและขนม รวมถึงการประกอบอาชีพ เช่น การทอผ้า การทำนา การทำตาลโตนด การทำสวนมะพร้าว และการปลูกพืชเท้ายายม่อม 2) ศักยภาพการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ชุมชนตำบลบ้านปึก พบว่า มีการนำเอาทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมการท่องเที่ยว และต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์จำหน่ายให้แก่นักท่องเที่ยว การเดินทางเข้าถึงชุมชนสะดวกสบาย มีหลากหลายเส้นทางให้เลือกภายในชุมชนมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เช่น ห้องน้ำ ที่นั่งพักผ่อน ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และร้านอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ชุมชนยังมีโฮมสเตย์ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลบ้านปึก กิจกรรมการท่องเที่ยวของชุมชนมีความหลากหลาย เช่น การชมอุโบสถเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี การฟังประวัติและชมการสาธิตการทอผ้า การชมวิถีอาชีพการแกะหอยนางรมสด การชมวิธีการผลิตแป้งเท้ายายม่อม การทำฝีมือจากผ้าทอ การเรียนรู้การทำขนมด้วยวัตถุดิบในท้องถิ่น และการเรียนรู้วิธีการพับดอกบัว เป็นต้น สำหรับแนวทางการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ภายใต้ทุนทางวัฒนธรรมชุมชนตำบลบ้านปึก ประกอบด้วย การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวของชุมชน การสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ภายในชุมชน และการส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยวของชุมชน </p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/272366 ผลการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาอังกฤษ หน่วยอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2024-05-18T11:26:47+07:00 ชนะศักดิ์ สิงห์เรือง m6453107@rtu.ac.th เจริญวิชญ์ สมพงษ์ธรรม m6453107@rtu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ หน่วยอาหารและเครื่องดื่ม โดยการใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E ของนักเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E วิชาภาษาอังกฤษ หน่วยอาหารและเครื่องดื่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านโพธิ์กลาง) สังกัดเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อผลการจัดการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ (<em>t</em>-test for Dependent Samples)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาอังกฤษ หน่วยอาหารและเครื่องดื่ม โดยใช้การจัดการเรียนรู้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.53/ 81.09 เป็นไปตามที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน วิชาภาษาอังกฤษ หน่วยอาหารและเครื่องดื่ม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ความพึงพอใจมีต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก ( =4.28, <em>SD</em>=0.60)</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/275068 การปรับปรุงกระบวนการจัดส่งพัสดุไมล์สุดท้าย ศูนย์กระจายสินค้าย่อย จังหวัดนครสวรรค์ กรณีศึกษา บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย จำกัด 2024-09-17T07:39:55+07:00 เบญญาพร ฟูธรรม benyaphornsbu@gmail.com กวินเวทย์ พิพิธนาธันยธร prachak@sbu.southeast.ac.th รวมพร ทองรัศมี โอเนส roumporn@southeast.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษากระบวนการจัดส่งสินค้าไมล์สุดท้ายศูนย์กระจายสินค้าย่อยจังหวัดนครสวรรค์ และปรับปรุงกระบวนการจัดส่งสินค้าไมล์สุดท้ายศูนย์กระจายสินค้าย่อยจังหวัดนครสวรรค์ กรณีศึกษา บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย จำกัด ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้จัดการศูนย์กระจายสินค้าย่อย 1 คน หัวหน้างาน 3 คน และพนักงานให้บริการจัดส่งสินค้า 5 คน โดยเก็บข้อมูลแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติแบบร้อยละ วิเคราะห์เปรียบเทียบ ผลก่อนการปรับปรุงและหลังการปรับปรุง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กระบวนการจัดส่งสินค้าไมล์สุดท้ายศูนย์กระจายสินค้าย่อยจังหวัดนครสวรรค์ หลังจากการประยุกต์ใช้เทคนิคแบบลีน (ECRS) สามารถลดกิจกรรมในกระบวนการปฏิบัติงานรวมถึงลดเวลาลงจาก 15.98 ชั่วโมง เหลือ 8.42 ชั่วโมง โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานเร็วขึ้น ด้วยการลดรอบเวลาทั้งหมดของกระบวนการทำงานได้คิดเป็น 31.35% โดยรอบเวลาการทำงานก่อนและหลังการปรับปรุงกระบวนการทำงานลดลง ทำให้กระบวนการทำงานมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ใช้บริการได้รับข้อมูลแจ้งเตือนการรับสินค้าที่รวดเร็วขึ้น และควรมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การบริการที่ดี รวมถึงขยายขอบเขตไปใช้กับกระบวนการอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งพัสดุสินค้าให้บริการของศูนย์กระจายสินค้าย่อยจังหวัดนครสวรรค์ กรณีศึกษา บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย จำกัด มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น </p> <p> </p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/272646 การคัดเลือกซัพพลายเออร์ของโรงงานผลิตอาหารสัตว์ โดยการประยุกต์ใช้ กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้น 2024-06-26T07:28:30+07:00 ลลิลธร มะระกานนท์ lalinthorn.m@lawasri.tru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ พัฒนาเกณฑ์ที่ใช้สำหรับการคัดเลือกซัพพลายเออร์ที่เหมาะสม และเพื่อวิเคราะห์ลำดับความสำคัญของเกณฑ์ที่ใช้สำหรับการคัดเลือกซัพพลายเออร์ของโรงงานผลิตอาหารสัตว์ด้วยการประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้น การกำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการคัดเลือกซัพพลายเออร์ ประกอบด้วย 8 เกณฑ์หลัก ได้แก่ คุณภาพ ราคา ระยะเวลา และความสามารถในการส่ง เงื่อนไขการชำระเงินและนโยบายการรับประกัน การบริการหลังการขาย ความน่าเชื่อถือ ความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม และระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ผลการวิเคราะห์ค่าน้ำหนักเฉลี่ยของเกณฑ์มีความสำคัญต่อการคัดเลือกซัพพลายเออร์ พบว่า เกณฑ์ด้านคุณภาพ มีค่าน้ำหนักความสำคัญสูงสุด เท่ากับ 0.183 รองลงมา คือ เกณฑ์ด้านราคา มีค่าน้ำหนัก 0.169 เกณฑ์ด้านระยะเวลาและความสามารถในการจัดส่ง มีค่าน้ำหนัก 0.143 เกณฑ์ด้านความน่าเชื่อถือ มีค่าน้ำหนัก 0.126 เกณฑ์ด้านเงื่อนไขการชำระเงินและนโยบายรับประกัน มีค่าน้ำหนัก 0.118 เกณฑ์ด้านการบริการหลังการขาย มีค่าน้ำหนัก 0.099 เกณฑ์ด้านความสามารถทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีค่าน้ำหนัก 0.089 และลำดับสุดท้าย คือ เกณฑ์ด้านระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม มีค่าน้ำหนัก 0.072 ตามลำดับ การประยุกต์ใช้กระบวนการวิเคราะห์เชิงลำดับชั้นจึงเป็นการช่วยตัดสินใจคัดเลือกซัพพลายเออร์ให้กับโรงงานผู้ผลิตอาหารสัตว์ได้อย่างเหมาะสม</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/275139 การลดต้นทุนวัตถุดิบคงคลัง กรณีศึกษาโรงงานผลิตสเปรย์ปรับอากาศ AAA 2024-10-01T09:00:30+07:00 อนันต์ มูลละออง anan.m4310@gmail.com กวินเวทย์ พิพิธนาธันยธร kawinwet@sbu.southeast.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาการบริหารสินค้าคงคลังและปัญหาสินค้าค้างสต็อกโรงงานผลิตสินค้าสเปรย์ปรับอากาศ AAA 2) ศึกษาการจัดแบ่งประเภทสินค้าตามมูลค่าโรงงานผลิตสินค้าสเปรย์ปรับอากาศ AAA และ 3) เสนอแนวทางลดปริมาณการจัดเก็บและลดต้นทุนวัตถุดิบคงคลังโรงงานผลิตสินค้าสเปรย์ปรับอากาศ AAA ตามนโยบายการบริหารวัตถุดิบคงคลัง ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหาร 1 คน ผู้จัดการคลังสินค้า 1 คน หัวหน้างาน 4 คน และพนักงานคลังสินค้า 3 คน ด้วยการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดย Content Analysis (การวิเคราะห์เนื้อหา) และวิเคราะห์เปรียบเทียบผลก่อนการปรับปรุง และหลังการปรับปรุง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาการบริหารสินค้าคงคลังและปัญหาสินค้าค้างสต็อกส่วนใหญ่จำนวนวัตถุดิบคงคลังไม่สัมพันธ์กับความต้องการใช้สำหรับการผลิต การคาดการณ์ความต้องการสินค้าไม่แม่นยำ ขาดการตรวจสอบติดตามสถานะสินค้าและการจัดการสินค้าคงคลังที่ไม่เหมาะสม ซึ่งจากการจัดแบ่งประเภทสินค้าตามมูลค่าโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ ABC Analysis จากวัตถุดิบที่ใช้ผลิตสินค้าสเปรย์ปรับอากาศ ทั้งหมด 75 รายการ ได้วัตถุดิบกลุ่ม A จำนวน 17 รายการ วัตถุดิบกลุ่ม B จำนวน 18 รายการ สำหรับวัตถุดิบกลุ่ม C จำนวน 40 รายการ การลดต้นทุนและปริมาณวัตถุดิบคงคลังของโรงงานผลิตสเปรย์ปรับอากาศ โดยการปรับคำสั่งซื้อเพื่อเติมเต็มถึงระดับที่เหมาะสมช่วยสามารถลดมูลค่าวัตถุดิบคงเหลือต่อเดือนได้ 2,827,497.60 บาท คิดเป็น ร้อยละ 59.99 หลังจากกำหนดจุดสั่งซื้อใหม่ (Reorder Point) สามารถลดปริมาณวัตถุดิบคงเหลือต่อเดือน 2,661.51 กิโลกรัม คิดเป็น ร้อยละ 59.64 ซึ่งองค์กรต้องตระหนักและให้ความสำคัญในการดำเนินการโดยนำข้อมูลยอดขายในอดีตแนวโน้มของตลาดในการคาดการณ์ความต้องการสินค้า เน้นการสั่งซื้อวัตถุดิบเฉพาะเมื่อจำเป็น เจรจาข้อตกลงกับซัพพลายเออร์เพื่อประกันราคาที่เหมาะสม ติดตามอายุการเก็บของวัตถุดิบเพื่อให้ใช้วัตถุดิบตามลำดับอายุการเก็บรักษา ปรับขนาดล็อตการผลิตให้เหมาะสมกับความต้องการ ซึ่งจะช่วยลดการเก็บสต็อกวัตถุดิบ ลดต้นทุนการสั่งซื้อและจัดเก็บ และเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตและซัพพลายเชน</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/273262 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน 2024-06-21T11:27:24+07:00 กสมา พันธุ์ชื่น kasama.pun@ku.th ภิรดา ชัยรัตน์ fonmiki8610@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และเพื่อเปรียบเทียบระดับของแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานส่วนกลาง 228 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <em>t</em>-test และ ANOVA ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมพัฒนาฝีมือแรงงานพบว่า ปัจจัยจูงใจมีแรงจูงใจอยู่ในระดับมากทั้งหมด โดยพบว่า ความสำเร็จในการปฏิบัติงานมีแรงจูงใจเป็นลำดับแรก รองลงมา ความรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน ลักษณะงานที่ปฏิบัติ การได้รับยอมรับนับถือ และความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานเป็นลำดับสุดท้าย ส่วนแรงจูงใจค้ำจุนอยู่ในระดับมาก และปานกลาง (กสมา พันธุ์ชื่น และภิรดา ชัยรัตน์, 2567) 2) การเปรียบเทียบระดับของแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน ตำแหน่ง และอายุงาน มีแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ไม่แตกต่างกัน</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ISCJ/article/view/273955 HOW DO MULTISENSORY TEACHING STRATEGIES ENHANCE LITERACY SKILLS AMONG STUDENTS WITH LEARNING DISABILITIES IN INCLUSIVE CLASSROOMS? 2024-08-27T13:25:12+07:00 Montree Polyium polyium@gmail.com Pitak Jongnantawat pitak.jongnantawat@students.cdu.edu.au <p>This article reviews the efficacy of multisensory teaching strategies in enhancing literacy skills among students with learning disabilities within inclusive classrooms. Multisensory strategies incorporate visual, auditory, and kinesthetic-tactile elements to address students' diverse needs, including native (L1) and non-native English speakers (L2). Research studies conducted by Taghvayi, Vaziri and Kashani (2012, pp. 1264-1269) and Sarudin, Hashim and Yunus (2019, pp. 3186-3194) have demonstrated the substantial benefits of integrating sensory pathways to improve reading accuracy, comprehension, and engagement in learning. Further research highlights the significant role of technology, such as iPads, in personalizing and enhancing the learning experience to better cater to individual student needs. The article also emphasizes the importance of training teachers in multisensory strategies to ensure effective implementation and to support an inclusive educational environment. Ultimately, it is suggested that multisensory teaching strategies not only make learning more accessible but also significantly improve literacy outcomes for students with learning disabilities, thereby fostering a more inclusive and effective educational setting.</p> 2024-12-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหศาสตร์ศรีปทุม ชลบุรี