https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/issue/feed วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) 2025-03-28T12:04:13+07:00 รศ.ดร.จิณณวัตร ปะโคทัง jinawatara@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>Journal of Association of Professional Development of Educational Administration of Thailand (JAPDEAT) <br />วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)<br />ISSN <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-8813</span> (Online)</strong><br /><br />สมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 119 หมู่ที่ 9 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มีการแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด หรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคม และนายทะเบียนสมาคม จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับจดทะเบียน แต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด ตามมาตรา 85 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว <br />สมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย โดยนายกสมาคม รองศาสตราจารย์ ดร.จิณณวัตร ปะโคทัง และคณะกรรมการบริหารสมาคมได้มีดำริในการพัฒนาวารสารวิชาการวิชาการเพื่อเป็นพื้นที่ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย บทความวิชาการของนักวิจัย นักวิชาการ และผู้สนใจทั่วไป ในนามสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย และพัฒนาให้เป็นไปตามมาตรฐานของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI)</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278102 กลยุทธ์การบริหารหลักสูตรที่ส่งเสริมทักษะอาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียน โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย 2025-03-15T14:57:28+07:00 อรอนงค์ จบแล้ว odef.onanong@gmail.com พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th ประเวศ เวชชะ prawet.wet@crru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและกลยุทธ์การบริหารหลักสูตรที่ส่งเสริมทักษะอาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2 ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสอบถามและสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปสาระสำคัญ ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการบริหารหลักสูตรอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย ( ) สูงสุด คือ ด้านการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา 2) กลยุทธ์การบริหารหลักสูตรที่ส่งเสริมทักษะอาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียนโรงเรียนสามัคคีวิทยาคม 2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย กำหนดกลยุทธ์ไว้ 6 กลยุทธ์ ได้แก่ (1) พัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่เน้นการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา (2) พัฒนาคุณภาพผู้เรียนตามความถนัดและศักยภาพเฉพาะบุคคล ให้มีทักษะอาชีพที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 (3) พัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาสู่โรงเรียนมาตรฐานสากล (4) พัฒนาการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก (5) พัฒนาและเสริมสร้างความเชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และ (6) ปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมในผู้เรียน ซึ่งนำไปสู่การกำหนดโครงการ 16 โครงการ และกิจกรรม 30 กิจกรรม</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278029 กลยุทธ์การบริหารจัดการ เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในสถานศึกษา กรณีศึกษาโรงเรียน บ้านขาแหย่งพัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 2025-02-20T18:18:55+07:00 กัญญารัตน์ ตาโม่ง proaonza@gmail.com พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th ไพรภ รัตนชูวงศ์ captpairop@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพพึงประสงค์ของการบริหารจัดการ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการ และ 3) นำเสนอกลยุทธ์การบริหารจัดการ เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในสถานศึกษา กรณีศึกษาโรงเรียนบ้านขาแหย่งพัฒนา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 โดยมีประชากร จำนวน 30 คน และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คน เครื่องมือที่ศึกษา ได้แก่ แบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.99 แบบสัมภาษณ์ และแบบบันทึกการประชุม สถิติที่ใช้ประกอบด้วย การวิเคราะห์ค่าร้อยละ การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ นำเสนอในรูปแบบตารางและความเรียง ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบันและสภาพพึงประสงค์ของการบริหารจัดการ โดยภาพรวม ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก และระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพพึงประสงค์อยู่ในระดับระดับมากที่สุด</li> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการ พบว่า ทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ส่งผลต่อการบริหารจัดการ เพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในสถานศึกษาทั้งหมด</li> </ol> <p>3. กลยุทธ์ในการบริหารจัดการ โดยใช้เทคนิคการประชุมเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วมและสร้างสรรค์ AIC (Appreciation Influence Control ) แยกเป็นรายด้านตามขั้นตอนการบริหารจัดการ ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน ขั้นตอนที่ 2 การจัดการองค์กร ขั้นตอนที่ 3 การบังคับบัญชาสั่งการ ขั้นตอนที่ 4 การประสานงาน และขั้นตอนที่ 5 การควบคุม ที่ครอบคลุมด้านความปลอดภัยในสถานศึกษา จำนวน 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านที่ 1 วิสัยทัศน์ ด้านที่ 2 พันธกิจ ด้านที่ 3 เป้าประสงค์ ด้านที่ 4 กลยุทธ์ และด้านที่ 5 โครงการ/กิจกรรม</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278138 กลยุทธ์การบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคมสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงราย 2025-03-09T22:21:07+07:00 รติญา สอนวิเศษ taea.f25@gmail.com พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th สมเกียรติ ตุ่นแก้ว Somkiet.tun@crru.ac.th <div><span lang="TH">การวิจัยนี้ศึกษากลยุทธ์การบริหารจัดการสถานศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมของโรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม มีวัตถุประสงค์ </span>1)<span lang="TH">ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนรวม </span>2)</div> <div><span lang="TH">วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนรวม </span>3)<span lang="TH">พัฒนากลยุทธ์เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ผลการวิจัยพบว่า</span></div> <div><span lang="TH"> 1</span><span lang="TH">) การจัดการศึกษาแบบเรียนรวมพัฒนาในระดับมาก โดยด้านเครื่องมือมีค่าเฉลี่ยสูงสุด สะท้อนถึงความสำคัญของการจัดหาและใช้เครื่องมือที่เหมาะสม สภาพที่พึงประสงค์ทุกด้านอยู่ในระดับสูงสุด โดยเฉพาะด้านการจัดการเรียนการสอน 2</span><span lang="TH">) ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ได้แก่ ทรัพยากรบุคคลในระดับสูงสุด รองลงมาคือทรัพยากรทางการเงินและเทคโนโลยี </span>3<span lang="TH">)กลยุทธ์ที่พัฒนา ได้แก่ (</span>1)<span lang="TH">พัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ (</span>2)<span lang="TH">เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร (</span>3)<span lang="TH">ยกระดับศักยภาพครูและบุคลากร (</span>4)</div> <div><span lang="TH">พัฒนาและใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอน (</span>5)<span lang="TH">พัฒนาระบบการประเมินสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบเรียนรวม นำไปสู่การกำหนดโครงการ</span>12<span lang="TH">โครงการ และกิจกรรม </span>28 <span lang="TH">กิจกรรม เพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาแบบเรียนรวมอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ</span></div> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278085 สมรรถนะผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย 2025-02-22T15:31:06+07:00 ชัชชนม์ พลลาภ ponlap2014@gmail.com อำนวย มีราคา Meerakar1973@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา 2. ศึกษาการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน 3. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะผู้บริหารกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน และ 4. ศึกษาอำนาจพยากรณ์สมรรถนะผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย ปีการศึกษา 2567 จำนวน 284 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นในส่วนสมรรถนะผู้บริหาร .980 และการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ .974 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์ถดถอยพหูคูณแบบมีขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. สมรรถนะผู้บริหาร โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่การพัฒนาตนเอง รองลงมา คือ การทำงานเป็นทีม การมีวิสัยทัศน์ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ การสื่อสารและการจูงใจ 2. การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ รองลงมา คือ การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม การคิดอย่างเป็นระบบ และการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ได้แก่ การมีรูปแบบทางความคิด 3. สมรรถนะผู้บริหารกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนโดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ในระดับสูง 4. สมรรถนะผู้บริหาร 4 ด้าน มีอำนาจพยากรณ์การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คือ การพัฒนาตนเอง การคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ การทำงานเป็นทีม และการมีวิสัยทัศน์</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278168 นวัตกรรมการบริหารงานวิชาการเพื่อการพัฒนาทักษะอาชีพ ของนักเรียนมัธยมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร 2025-03-06T05:57:21+07:00 จักรกฤษณ์ ศรีคำหู้ jakkrit3296@gmail.com สุมิตร สุวรรณ sumit.s@ku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจความถนัดทางวิชาชีพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร&nbsp;2) ศึกษาการบริหารงานวิชาการในการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียน 3) ศึกษานวัตกรรมการบริหารงานวิชาการในการพัฒนาทักษะอาชีพของนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน 368 คน ครู 205 คน และผู้ให้ข้อมูล 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) ความถนัดทางวิชาชีพของนักเรียนในรายอาชีพมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ได้แก่ อาชีพเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอาหาร อาชีพวิทยาศาสตร์และการแพทย์ อาชีพศิลปะ ดนตรีและการแสดง (2) การบริหารงานวิชาการรายด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านวางแผนงานด้านวิชาการ ด้านการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา และด้านพัฒนาหลักสูตร (3) นวัตกรรมการบริหารงานวิชาการ มีการวางแผนด้านวิชาการ สำรวจความสนใจและเปิดวิชาเลือกที่หลากหลายให้นักเรียนนำไปต่อยอดได้ มีการปฏิบัติงานทั้งในและนอกสถานศึกษา ปรับเปลี่ยนการสอนให้ครูเป็นที่ปรึกษา วัดและประเมินผลตามจริง สามารถเทียบโอนประสบการณ์เพื่อลดเวลากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทำความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาภาครัฐและเอกชน ปรับปรุงระบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการ</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278211 กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาสู่โรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนอนุบาลแม่สาย (สายศิลปศาสตร์) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 2025-02-24T21:42:16+07:00 พัชราภรณ์ ยานะธรรม patcharaporn.yan@gmail.com พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th ประเวศ เวชชะ prawet.wet@crru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาสู่โรงเรียนมาตรฐานสากลของโรงเรียนอนุบาลแม่สาย(สายศิลปศาสตร์) 2)เพื่อศึกษาเหตุปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการบริหารสถานศึกษาสู่โรงเรียนมาตรฐานสากล 3)เพื่อศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของการบริหารสถานศึกษาสู่โรงเรียนมาตรฐานสากล 4)เพื่อศึกษากลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาสู่โรงเรียนมาตรฐานสากล จากการวิจัยพบว่าสภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาสู่โรงเรียนมาตรฐานสากล พบว่าในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการบริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย ปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศมี 3 ด้าน 1)ผู้เรียนมีศักยภาพเป็นพลโลก 2)จัดการเรียนการสอนเทียบเคียงมาตรฐานสากล 3)บริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพ &nbsp;โดยมีการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์และโครงการ/กิจกรรม โดยกำหนดกลยุทธ์ ไว้ 6 กลยุทธ์&nbsp; คือ 1)พัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในด้านการส่งเสริมการสร้างสรรค์ผลงานของนักเรียน 2)พัฒนาและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน 3)พัฒนาและปรับปรุงระบบการทำงานที่สนับสนุนการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยี 4)พัฒนาสื่อการสอนที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ของนักเรียน 5)พัฒนาครูและบุคลากรด้านการบริหารและการพัฒนาการเรียนการสอน 6)พัฒนาระบบการบริหารจัดการศึกษาสู่โรงเรียนมาตรฐานสากล</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278212 กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารโรงเรียนบ้านสันติสุข สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 3 ให้รองรับยุคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence Era) 2025-02-24T21:38:27+07:00 Pimpaka พรรดา pimpakapunda@gmail.com พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th ประเวศ เวชชะ prawet.wet@crru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารโรงเรียนบ้านสันติสุข สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารโรงเรียนบ้านสันติสุข 3) เพื่อศึกษาสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารโรงเรียนบ้านสันติสุข 4) เพื่อหากลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารโรงเรียนบ้านสันติสุข ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ จากการวิจัยพบว่าการบริหารของผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารสภาพปัจจุบันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารมีทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก โดยมีการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์และการกำหนดโครงการ/กิจกรรม ทั้งนี้ได้กำหนดกลยุทธ์ไว้ 4 กลยุทธ์ คือ 1) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกระดับในการกำหนดเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงาน 2) พัฒนาระบบการสื่อสารที่ชัดเจน โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ 3) จัดกิจกรรมสร้างความสามัคคีและการมีส่วนร่วมในองค์กร 4) กำหนดมาตรฐานและเผยแพร่ขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน นำไปสู่การกำหนดโครงการ 9 โครงการและกิจกรรม 17 กิจกรรม เพื่อตอบสนองกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารโรงเรียนบ้านสันติสุข สังกัดสสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 3</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278478 บทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย 2025-03-05T13:17:31+07:00 กิตติภัณฑ์ ฮามพิทักษ์ kittipanhampituk@gmail.com อำนวย มีราคา Meerakar1973@gmail.com <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย และ 2) เปรียบเทียบบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยจำแนกตาม ตำแหน่ง ขนาดสถานศึกษา และประสบการณ์การปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 279 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง สุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scales) นําแบบสอบถามที่สร้างขึ้นหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ตั้งแต่ 0.67 - 1.00 ระดับค่าความเชื่อมั่น 0.969 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที (t-test) วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างรายคู่ ของเซฟเฟ่ (Scheffe’) ผลการวิจัยพบว่า 1. บทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบบทบาทผู้บริหารสถานศึกษาในการส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาหนองคาย จำแนกตามตำแหน่ง และประสบการณ์การปฏิบัติงาน พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน ส่วนขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278226 แนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาพานอุดร สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 2025-03-03T09:04:09+07:00 ปรียาวดี จีระประภา plampreeyavadee@gmail.com พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th สุวดี อุปปินใจ Suwadee123@gmail.com <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารงานวิชาการ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยในการบริหารงานวิชาการ 3) เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารงานวิชาการในศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาพานอุดร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ในการวิจัยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบบันทึกสนทนากลุ่ม โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูล แล้วนำมาวิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาสำคัญ และสรุปเนื้อหาเชิงบรรยายเป็นความเรียง&nbsp;</span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">จากการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันในการบริหารวิชาการ ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารวิชาการ ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ปัจจัยในการบริหารวิชาการ ประกอบด้วย ปัจจัยภายใน 1) ด้านโครงสร้างและนโยบายของสถานศึกษา 2) ผลผลิตและบริการ 3) บุคลากร 4) ประสิทธิภาพทางการเงิน 5) วัสดุทรัพยากร และ 6) การบริหารจัดการ ปัจจัยภายนอก 1) ด้านสังคมและวัฒนธรรม 2) ด้านเทคโนโลยี 3) ด้านเศรษฐกิจ และ 4) ด้านการเมืองและกฎหมาย แนวทางการพัฒนาการบริหารวิชาการในศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาพานอุดร ได้แก่ 1) ด้านการบริหารจัดการหลักสูตรระดับสถานศึกษา 2) ด้านการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ 3) ด้านการวัดผล ประเมินผลและการดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน 4) ด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรม เทคโนโลยี และแหล่งเรียนรู้ และ 5) ด้านการประกันคุณภาพ</span></span></p> <p>&nbsp;</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278207 แนวทางพัฒนาทักษะการบริหารสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนในกลุ่มป่าซางสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต1 2025-02-24T21:34:35+07:00 บุษรา บุญสม busrabuysm670@gmail.com ไพโรจน์ ด้วงนคร pairoj.dua@crru.ac.th พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) การศึกษาอิสระครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของทักษะการบริหารสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ(Best&nbsp; Practice )ด้านทักษะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา 3)ศึกษาแนวทางในการพัฒนาทักษะการบริหารสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ของโรงเรียนในกลุ่มป่าซาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 1ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนในกลุ่มป่าซาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 1 จำนวน 51 คน ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1)สภาพปัจจุบันของแนวทางพัฒนาทักษะการบริหารสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา 1 ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึ่งประสงค์ของแนวทางพัฒนาทักษะการบริหารสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2)แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านทักษะการบริหารสำหรับผู้บริหารสถานศึกษ มีทั้งหมด 4 ทักษะ ดังนี้ 1)ทักษะด้านเทคนิควิธี2)ทักษะด้านมนุษย์3)ทักษะด้านความคิดรวบยอด4)ทักษะด้านการศึกษาและการสอน 3)แนวทางในการพัฒนาทักษะการบริหารสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ของโรงเรียนในกลุ่มป่าซาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 1 ตามการจัดลำดับความต้องการจำเป็นอันดับแรกได้แก่ &nbsp;ทักษะด้านความคิดรวบยอด ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีวิธีการคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่ๆ ได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว นำความรู้ประสบการณ์ที่มีมาประยุกต์ใช้ประกอบกับข้อมูลการตัดสินใจ ได้อย่างมีคุณภาพ</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278103 การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กอำเภอรัตนวาปี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 2025-02-22T16:25:36+07:00 สุภาพร พรมนาม supaphon.prom@gmail.com อำนวย มีราคา Meerakar1973@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กอำเภอรัตนวาปี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน 2) เปรียบเทียบการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กอำเภอรัตนวาปี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 จำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็กอำเภอรัตนวาปี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 178 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาตั้งแต่ 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม เท่ากับ 0.984 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (T-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และทดสอบหาความแตกต่างรายคู่โดยใช้วิธี Least – Signifant Different (LSD) ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็กอำเภอรัตนวาปี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการบริหารจัดการทั่วไป ด้านการบริหารงานงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และการบริหารงานวิชาการ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.32) เมื่อพิจารณารายด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการบริหารงานบุคคล 2) ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็กอำเภอรัตนวาปี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคาย เขต 2 ที่มีตำแหน่งและระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278075 กลยุทธ์การบริหารหลักสูตรสถานศึกษาในยุคปัญญาประดิษฐ์โรงเรียนบ้านห้วยน้ำเย็น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 2025-03-05T18:30:19+07:00 สุปรียา คำโมนะ 668914033@crru.ac.th พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th ประเวศ เวชชะ prawet.wet@crru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอกลยุทธ์การบริหารหลักสูตรสถานศึกษาในยุคปัญญาประดิษฐ์โรงเรียนบ้านห้วยน้ำเย็น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2 ผู้วิจัยได้ออกแบบการวิจัยโดยใช้ 1) การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) ออกแบบการวิจัยโดยใช้การวิจัยแบบผสมผสานประเภทลำดับต่อเนื่องเชิงอธิบาย (Explanatory sequential) 2) เทคนิคการสนทนาแบบกลุ่ม (Focus Group Discussion) นำเสนอในรูปแบบความเรียง ผลการวิจัยพบว่า การบริหารหลักสูตรในยุคปัญญาประดิษฐ์มีข้อจำกัดด้านทรัพยากร เทคโนโลยี และศักยภาพบุคลากร ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตร ได้แก่ นโยบายทางการศึกษา การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี และการพัฒนาศักยภาพครู นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย กลยุทธ์ และแผนงานโครงการเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง แนวโน้มการบริหารหลักสูตรในอนาคตเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับการเรียนรู้และการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ จากการศึกษาเสนอ 5 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 พัฒนาแผนการดำเนินงานที่เป็นระบบ กลยุทธ์ที่ 2 สร้างระบบติดตามและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ กลยุทธ์ที่ 3 สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีและสื่อดิจิทัล กลยุทธ์ที่ 4 บูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในกระบวนการเรียนรู้ กลยุทธ์ที่ 5 พัฒนาศักยภาพครูผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการ กลยุทธ์ทั้ง 5 ประการมีความเชื่อมโยงกันเพื่อพัฒนาการบริหารหลักสูตรสถานศึกษาในยุคปัญญาประดิษฐ์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278580 การพัฒนาระบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา ของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 2025-03-10T16:43:13+07:00 กาญจ์มณี สิทธิอาษา faifaimanee@gmail.com สุวดี อุปปินใจ suwadee123@gmail.com หาญศึก เล็บครุฑ education.cr22@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อพัฒนาระบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 มีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบของระบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3&nbsp; เป็นการศึกษาโดยใช้วิธีการสังเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ขั้นตอนที่ 2 สร้างและประเมินระบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3&nbsp; ใช้ผลจากขั้นตอนที่ 1 มาสร้างระบบ นำเสนอต่อผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน การวิเคราะห์เชิงสถิติโดยคำนวณหาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่าระบบการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการประกันคุณภาพ การศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3&nbsp; มีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ปัจจัยนำเข้า กระบวนการ ผลลัพธ์ และข้อมูลย้อนกลับ ผลการประเมินมาตรฐานความถูกต้องอยู่ในระดับมาก และมาตรความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278050 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ร่วมกับแนวคิด จิตตปัญญาศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง เรื่อง สิทธิมนุษยชน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2025-02-20T19:31:33+07:00 เอกพล สาสังข์ aekkaphon@skw.ac.th รัตนะ ปัญญาภา rattana.p@ubru.ac.th ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์ bhumbhong.j@ubru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1)เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ร่วมกับแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง เรื่อง สิทธิมนุษยชน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2)เพื่อเปรียบเทียบสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งก่อนและหลังเรียน การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ร่วมกับแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง เรื่อง สิทธิมนุษยชน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน การจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ร่วมกับแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง เรื่อง สิทธิมนุษยชน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (4)เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังจากผ่านการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเป็นฐาน ร่วมกับแนวคิดจิตตปัญญาศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง เรื่อง สิทธิมนุษยชน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/12 โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 40 คน ได้จากวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 &nbsp;แผน&nbsp; แบบประเมินสมรรถนะการเป็นพลเมืองที่เข้มแข็ง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278225 การศึกษาอิสระ กลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษาของโรงเรียนศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาท่าตอนศูนย์ที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่เขต 3 2025-03-05T18:26:14+07:00 จาระวี วงค์ใหญ่ jaraweetag@gmail.com พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th ไพรภ รัตนชูวงศ์ captpairop@gmail.com <p>การศึกษาอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษา 2) ศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล 3) เสนอกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคลในโรงเรียนศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาท่าตอน ศูนย์ที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต 3 การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการบริหารทรัพยากรบุคคลอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศครอบคลุม 5 ด้าน ได้แก่ 1) การวางแผนอัตรากำลัง 2) การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง 3) การเสริมสร้างประสิทธิภาพ 4) การรักษาวินัย 5) การออกจากราชการ การพัฒนากลยุทธ์ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ 1) การบริหารทรัพยากรบุคคลแบบองค์รวม 2) กระบวนการสรรหาและพัฒนาบุคลากรที่โปร่งใส 3) แผนการอบรมที่ตอบสนองเป้าหมายองค์กร 4) การส่งเสริมความเข้าใจในกฎระเบียบและวินัย 5) การพัฒนากระบวนการออกจากราชการอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้ ได้กำหนดโครงการ 10 โครงการ และ 20 กิจกรรม เพื่อพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลในสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278217 การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์การประกันคุณภาพการศึกษา ในการบริหารของโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครเชียงราย 2025-03-01T08:43:55+07:00 อัณศยา จิตใจ aunsaya5162@gmail.com สุวดี อุปปินใจ em_suwadee_o@crru.ac.th ธิดารัตน์ สุขประภาภรณ์ thidarat_1978@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์การประกันคุณภาพการศึกษาในการบริหารของโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครเชียงรายดำเนินการ 3 ขั้นตอนดังนี้ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบในการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์การประกันคุณภาพการศึกษาในการบริหารของโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาสภาพที่เป็นจริง สภาพที่ควรจะเป็นและความต้องการจำเป็นของการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์การประกันคุณภาพการศึกษาในการบริหารของโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครเชียงราย&nbsp; 3) เพื่อสร้างและประเมินรูปแบบการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์การประกันคุณภาพการศึกษาในการบริหารของโรงเรียนสังกัดเทศบาลนคร&nbsp; ประชากร ได้แก่ โรงเรียนสังกัดเทศบาลนครเชียงราย ผู้วิจัยได้เลือกแบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูหัวหน้าฝ่ายการประกันคุณภาพการศึกษา และ ผู้บริหารระดับนโยบายสังกัดเทศบาลนครเชียงราย จำนวน 22 คน ผู้ทรงคุณวุฒิในการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 7 คน ผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินรูปแบบ จำนวน 5 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบประเมินรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลจากค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการส่งเสริมความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์การประกันคุณภาพการศึกษาในการบริหารของโรงเรียนสังกัดเทศบาลนครเชียงราย ประกอบด้วย 1) หลักการของการส่งเสริมความรับผิดชอบ 2) วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมความรับผิดชอบ 3) วิธีการส่งเสริมความรับผิดชอบ 4) การประเมินการส่งเสริมความรับผิดชอบ 5) ปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จในการส่งเสริมความรับผิดชอบ&nbsp; รูปแบบมีความถูกต้องและความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278220 แนวทางการบริหารงานวิชาการเพื่อสร้างความเป็นเลิศให้กับผู้เรียน ของโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย 2025-03-01T08:50:09+07:00 รุ่งฤทัย จิน๊ะ rungrutai1996@gmail.com พูนชัย ยาวิราช phoonchaiya@crru.ac.th หาญศึก Lebkhute Edication.cr22@gmail.com <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการบริหารวิชาการ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยในการบริหารวิชาการ และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารวิชาการเพื่อสร้างความเป็นเลิศให้กับผู้เรียนของโรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย โดยใช้เครื่องมือที่ศึกษา ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า 1.<span style="font-size: 0.875rem;">สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารงานวิชาการเพื่อสร้างความเป็นเลิศให้กับผู้เรียน ผลการศึกษาพบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากและมากที่สุด 2.</span><span style="font-size: 0.875rem;">ปัจจัยในการบริหารวิชาการเพื่อสร้างความเป็นเลิศให้กับผู้เรียน ได้แก่ ปัจจัยภายใน 1) ด้านโครงสร้างและนโยบายของสถานศึกษา 2) ผลผลิตและบริการ 3) บุคลากร 4) ประสิทธิภาพทางการเงิน 5) วัสดุทรัพยากร และ 6) การบริหารจัดการ ปัจจัยภายนอก 1) ด้านสังคมและวัฒนธรรม 2) ด้านเทคโนโลยี 3) ด้านเศรษฐกิจ และ 4) ด้านการเมืองและกฎหมาย 3.</span><span style="font-size: 0.875rem;">แนวทางการพัฒนาการบริหารวิชาการเพื่อสร้างความเป็นเลิศให้กับผู้เรียน พบว่า การพัฒนาหลักสูตรออกแบบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ความต้องการของตลาดแรงงาน และทักษะเฉพาะทางของแต่ละกลุ่มโปรแกรม การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่งเสริมการเรียนรู้แบบโครงงาน การฝึกงานในสถานประกอบการ การเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน การวัดผลประเมินผลและการเทียบโอนผลการเรียน ควรใช้มาตรฐานสากลในการวัดผลด้านวิชาการ และประเมินผลจากผลงานจริง รวมถึงอัตราการจ้างงานสำหรับโปรแกรมวิชาชีพ การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา สนับสนุนการวิจัยของครูและนักเรียน เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมและสถาบันการศึกษา การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ สื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะด้าน ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การนิเทศการศึกษา พัฒนาเทคนิคการสอนแบบ Inquiry-Based Learning และ Simulation-Based Training รวมถึงสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา ควรใช้เกณฑ์มาตรฐานสากล</span></p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/277757 ปัจจัยที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สงขลา เขต 2 2025-02-19T21:43:31+07:00 ภามพัฒน์ อำมาตี phampat.amm040@hu.ac.th นวรัตน์ ไวชมภู navarat.wa@hu.ac.th นิรันดร์ จุลทรัพย์ niran_ch@hu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สงขลา เขต 2 2) เพื่อศึกษาระดับองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สงขลา เขต 2 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สงขลา เขต 2 กลุ่มตัวอย่างคือ ครู จำนวน 302 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ โดยวิธี Enter ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการเสริมอำนาจและความรับผิดชอบในงาน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ด้านกลยุทธ์องค์กร โครงสร้างองค์กร วัฒนธรรมการเรียนรู้องค์กร บรรยากาศองค์กร และ เทคโนโลยีองค์กร 2) การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้านเช่นกัน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือการเรียนรู้เป็นทีม รองลงมา คือการเป็นบุคคลที่รอบรู้ และการคิดอย่างเป็นระบบ และข้อที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือการมีต้นแบบทางความคิด 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 2 พบว่า ค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน (Beta) พบว่า ตัวพยากรณ์ที่มีค่าสูงสุดคือ การเสริมอำนาจและความรับผิดชอบในงาน ปัจจัยรองลงมาคือ เทคโนโลยีขององค์กร โครงสร้างองค์กร และวัฒนธรรมการเรียนรู้ขององค์กร ตามลำดับ</p> 2025-03-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)