https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/issue/feed
วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
2024-09-24T12:11:40+07:00
รศ.ดร.จิณณวัตร ปะโคทัง
jinawatara@hotmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)<br />Journal of Association of Professional Development of Educational Administration of Thailand (JAPDEAT) </strong><br /><strong>ISSN <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-8813 </span>(Online)</strong></p> <p>สมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 119 หมู่ที่ 9 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มีการแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด หรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคม และนายทะเบียนสมาคม จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับจดทะเบียน แต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด ตามมาตรา 85 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ดังต่อไปนี้<br />1.นาย จิณณวัตร ปะโคทัง นายกสมาคม<br />2.นาย นพรัตน์ ชัยเรื่อง อุปนายก<br />3.นาย ไชยา ภาวะบุตร อุปนายก<br />4.นาย วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ อุปนายก<br />5.นาย เอกรินทร์ สังข์ทอง กรรมการ<br />6.นายรชฏ สุวรรณกูฏ กรรมการ<br />7.นายสุเมธ งามกนก กรรมการ<br />8.นายสาธร ทรัพย์รวงทอง กรรมการ<br />9.นายพรเทพ รู้แผน กรรมการ<br />10.นางรุ่งชัชดาพร เวหะชาติ กรรมการและปฏิคม<br />11.นายพูนชัย ยาวิราช กรรมการและเหริญญิก<br />12.นายจักรปรุฬห์ วิชาอัครวิทย์ กรรมการและผู้ช่วยเหรัญญิก<br />13.นางจารุวรรณ พลอยดวงรัตน์ กรรมการและเลขาธิการ<br />14.นางชยากานต์ เรืองสุวรรณ นายทะเบียนและผู้ช่วยเลขาธิการ</p> <p><br /><strong>คณะกรรมการบริหารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย 2564<br /></strong>1.รองศาสตราจารย์ ดร.จิณณวัตร ปะโคทั้ง มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี นายกสมาคม<br />2.ศาสตราจารย์ ดร.ธีระ รุญเจริญ นักวิชาการอิสระ ที่ปรึกษา<br />3.ศาสตราจารย์ ดร.สมาน อัศวภูมิ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ที่ปรึกษา<br />4.อาจารย์ ดร.พรรณี สุวัตถี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ที่ปรึกษา<br />5.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พูนชัย ยาวิราช มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย อุปนายก<br />6.รองศาสตราจารย์ ดร.วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อุปนายก<br />7.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพรัตน์ ชัยเรื่อง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อุปนายก<br />8.รองศาสตราจารย์ ดร.ไชยา ภาวะบุตร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร อุปนายก<br />9.รองศาสตราจารย์ ดร.เอกรินทร์ สังข์ทอง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กรรมการ<br />10.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รชฏ สุวรรณกูฏ มหาวิทยาลัยนครพนม กรรมการ<br />11.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรเทพ รู้แผน มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กรรมการ<br />12.รองศาสตราจารย์ ดร.สุเมธ งามกนก มหาวิทยาลัยบูรพา กรรมการ<br />13.รองศาสตราจารย์ ดร.รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ มหาวิทยาลัยทักษิณ กรรมการและปฏิคม<br />14.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชยากานต์ เรืองสุวรรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม กรรมการและเหรัญญิก<br />15.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จักรปรุฬห์ วิชาอัครวิทย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กรรมการและผู้ช่วยเหรัญญิก<br />16.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จารุวรรณ พลอยดวงรัตน์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กรรมการและเลขานุการ<br />17.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาธร ทรัพย์รวงทอง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ นายทะเบียนและเลขานุการ </p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270004
การนิเทศเชิงออกแบบ : นวัตกรรมการนิเทศเพื่อแก้ปัญหากระบวนการจัดการเรียนการสอนอย่างสร้างสรรค์
2024-01-14T09:12:03+07:00
พลพิพัฒน์ วัฒนเศรษฐานุกุล
polpipat97@gmail.com
นิษฐ์ฐา พีระชัยภาวงศ์
nitthapee@gmail.com
นันนกรฐ์ ทิพย์สูงเนิน
nannakorn1973@gmail.com
สิรินธร สินจินดาวงศ์
sirinthorn.si@spu.ac.th
ชินกฤต ศรีสุข
Chinakrit.s@tupp.ac.th
<p>แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 กล่าวถึงการพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษาไว้ในยุทธศาสตร์ที่ 6 ซึ่งให้ความสำคัญกับการนิเทศเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอน แต่จากผลการประเมิน PISA ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 จนถึงปี พ.ศ. 2561 ผู้เรียนไทยมีสมรรถนะด้านการอ่าน รวมถึงด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงเรียนต้องให้ความสำคัญกับการนิเทศเพื่อพัฒนาครูให้มากขึ้น หนึ่งในรูปแบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นนวัตกรรมการนิเทศ คือ “การนิเทศเชิงออกแบบ” หรือ “Design Supervision” ซึ่งมีกระบวนการ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นเอาใจใส่ (Empathize) 2) ขั้นกำหนดปัญหา (Define) 3) ขั้นสร้างแนวคิด (Ideate) 4) ขั้นสร้างต้นแบบ (Prototype) และ 5) ขั้นทดสอบ (Test) โดยประโยชน์ของการนิเทศเชิงออกแบบ คือ ส่งเสริมหลักการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหากระบวนการจัดการเรียนการสอนอย่างสร้างสรรค์ ให้ความสำคัญกับความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน พัฒนาผู้นิเทศและครูให้มีวิธีการแบบองค์รวมในการแก้ปัญหา (Holistic Problem Solving) รวมถึงวิธีการคิดของการเรียนรู้และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (mindset of continuous learning and growth) เพื่อสร้างพื้นที่ที่เอื้อต่อการสนทนาที่สร้างสรรค์และตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270924
กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาสมรรถนะสูงในยุคดิจิทัล
2024-03-09T13:45:24+07:00
พัสตราภรณ์ แย้มกาญจนวัฒน์
phattraporn@tupr.ac.th
บรรจบ บุญจันทร์
banjobbun21@gmail.com
อริสา นพคุณ
phattraporn@tupr.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนากลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาสมรรถนะสูงในยุคดิจิทัล เนื่องจากกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาคนในทุกมิติและทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่งและมีคุณภาพ สร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม สร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษามีแนวทางการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีพัฒนาการ สมรรถนะและคุณลักษณะที่ดีสมวัยทุกด้านซึ่งเชื่อมโยงกับมนุษย์และสังคมที่มีการปฏิรูปการเรียนรู้สำหรับศตวรรษที่ 21 และการเป็นไทยแลนด์ 4.0 ปรับบทบาทครูให้เป็นครูยุคใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการศึกษาในทุกระดับ และสร้างระบบการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการระดับนานาชาติ แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579 ระบุว่าบุคลากรที่มีสมรรถนะสูงต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ศักยภาพในการปฏิบัติงาน และพร้อมรับความท้าทายการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ดังนั้นจำเป็นต้องใช้กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาสมรรถนะสูงในยุคดิจิทัล ได้แก่ การพัฒนาระบบสารสนเทศในการวิเคราะห์และจัดการความรู้ การส่งเสริมความก้าวหน้าและการพัฒนาวิชาชีพครู และการส่งเสริมบุคคลภายนอกมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270960
กลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา
2024-04-02T21:44:36+07:00
สุพัตรา นามขาว
supatra3879@gmail.com
บรรจบ บุญจันทร์
Supatra3879@gmail.com
อริสา นพคุณ
Supatra3879@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอการพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ทั้งนี้เนื่องจากองค์กรทางการศึกษาเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญต่อชาติ เพราะการศึกษาสร้างคน คนสร้างชาติ ผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นแรงผลักดันให้เกิดการปรับตัวและนำมาซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมรูปแบบการศึกษาใหม่ ๆ สมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรทางการศึกษาอันจะส่งผลให้นักเรียนมีความรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลยุทธ์สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา ได้แก่ มุ่งอนาคต เน้นความร่วมมือ มีความสอดคล้องกับบริบท ปฏิบัติได้ และรับผิดชอบต่อสังคม สมรรถนะดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว องค์ประกอบของสมรรถนะดิจิทัล มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ความสามารถในการรู้ดิจิทัล การรู้ดิจิทัลอย่างมีวิจารณญาณ ความคล่องแคล่วทางดิจิทัล การผลิตสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัล และจรรยาบรรณทางดิจิทัล กลยุทธ์การพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 1) การส่งเสริมการใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศของผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อนำมาพัฒนาสถานศึกษา 2) การพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ 3) การสร้างการยอมรับเทคโนโลยี นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง และ 4) การพัฒนาศักยภาพทางด้านการบริหารและจัดสภาพแวดล้อมสถานศึกษาด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/273166
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานแก่นักศึกษาผ่านการฟ้อนในประเพณีบุญบั้งไฟ บ้านห้วยขะยุง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี
2024-06-14T09:39:58+07:00
ธรชญา ภูมิจิโรจ
wannika1720@gmail.com
<p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของฟ้อนในประเพณีบุญบั้งไฟ บ้านห้วยขะยุง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี 2) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของฟ้อนในประเพณีบุญบั้งไฟ บ้านห้วยขะยุง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี และ 3) เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานแก่นักศึกษาในประเพณีบุญบั้งไฟ บ้านห้วยขะยุง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี การวิจัยครั้งนี้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและข้อมูลภาคสนาม เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพและนำเสนอในแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า ฟ้อนในประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นการฟ้อนที่มีการพัฒนาการมาจากโบราณจะฟ้อนในงานบุญบั้งไฟที่จัดขึ้นในเดือนหกของทุกปี เรียกว่า ฟ้อนกลองตุ้ม เป็นการฟ้อนบูชาพญาแถนเพื่อขอฝนให้ตกตามฤดูกาล สมัยโบราณใช้ผู้ฟ้อนทั้งชายและหญิงไม่จำกัดจำนวน มีผู้ฟ้อนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงผู้ฟ้อนมีอยู่ 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ประมาณ พ.ศ. 2462 ผู้ฟ้อนกลองตุ้มจะเป็นผู้ชายทั้งหมด ระยะที่ 2 ประมาณ พ.ศ. 2500 เริ่มมีการผสมผู้หญิงเข้ามามีส่วนในการฟ้อน ระยะที่ 3 ประมาณ พ.ศ. 2505 ถือว่าเป็นช่วงที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบผู้ฟ้อนอย่างมาก พัฒนามาจากระยะที่ 2 คือมีทั้งผู้หญิงและผู้ชายฟ้อน องค์ประกอบของการฟ้อนกลองตุ้ม ด้านเครื่องแต่งกาย แบ่งเป็น 2 ยุค คือ ยุคโบราณ และยุคใหม่ ดนตรีที่ใช้ประกอบการฟ้อนกลองตุ้มมี 2 ชนิด คือ กลองตุ้มและพังฮาด ท่าฟ้อนกลองตุ้มมีทั้งหมด 5 ท่า การส่งเสริมการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุมชนเป็นฐานแก่นักศึกษา ประกอบด้วยขั้นวางแผนและเตรียมการด้วยการศึกษาชุมชน จากนั้นนำข้อมูลมาประชุมชี้แจง ขั้นต่อมาคือ ขั้นดำเนินการ มี 2 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นเรียนรู้ในชุมชน จำนวน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 การเรียนรู้ในชุมชนด้านท่าฟ้อนและศึกษาองค์ประกอบทางด้านการแสดง ครั้งที่ 2 การเรียนรู้ในชุมชนจากประสบการณ์จริง จากนั้นเกิดขั้นสะท้อนคิด เมื่อสิ้นสุดการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน นักศึกษาได้สะท้อนคิดและถอดบทเรียนที่ได้จากการเรียนรู้ในชุมชน 4 ข้อ ดังนี้ 1.การเรียนเพื่อเกิดความรู้ 2.การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง 3.การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันและเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับผู้อื่น 4.การเรียนรู้เพื่อใช้ชีวิต</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270143
แนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนชุมชน บ้านท่าสองยาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2
2024-01-19T20:45:43+07:00
พิชิต กองแก้ว
toto10102536@gmail.com
ดารณีย์ พยัคฆ์กุล
toto10102536@gmail.com
<p><strong>บทคัดย่อ </strong> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนชุมชนบ้านท่าสองยาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 และ 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนชุมชนบ้านท่าสองยาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 โดยประชากรที่ใช้ในการวิจัยรวมทั้งสิ้น 68 คน และได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 12 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์และนำเสนอข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียน ชุมชนบ้านท่าสองยาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ระดับมากที่สุด 2) ผลการศึกษาแนวทางการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนชุมชนบ้านท่าสองยาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ใน 6 ด้าน มีผลการดำเนินงานดังนี้ 1) ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษา มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้แก่บุคลากร และร่วมกันกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาในรูปแบบ On-site 2) ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา ให้มีการติดตาม และประเมินผลการดําเนินงานและรายงานผลต่อผู้บังคับบัญชา 3) ด้านการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษา เมื่อเสร็จสิ้นโครงการกิจกรรม มีการสรุปผลและรายงานผลโครงการให้หัวหน้าฝ่ายและผู้บังคับบัญชาทราบ 4) ด้านการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษา มีการสรุปจุดแข็งและจุดที่ควรพัฒนาในรายงานผลประเมินตนเองให้หน่วยงานต้นสังกัด ผู้ที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนทราบ 5) ด้านการติดตามผลการดำเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ปกครอง กรรมการสถานศึกษา เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบและทบทวนคุณภาพภายในสถานศึกษา 6) ด้านจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง มีการรายงานผลการประเมินตนเองต่อหน่วยงานต้นสังกัด เปิดเผยผลการประกันคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษาและเผยแพร่ทางเอกสารให้แก่ผู้ปกครอง</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา; แนวทางการดำเนินงาน; มาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270420
ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7E เสริมด้วยเกมวิทยาศาสตร์ ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
2024-02-06T20:54:50+07:00
ณัฐชฎาภรณ์ แสงพล
filmnatchadaporn@gmail.com
ละดา ดอนหงษา
Pulada2010@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7E เสริมด้วยเกมวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนโพนงามพิทยาคาร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 24 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.57–0.77 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.40 – 0.60 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ ต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7E เสริมด้วยเกมวิทยาศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่า t แบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7E เสริมด้วยเกมวิทยาศาสตร์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270174
กรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม
2024-01-20T21:32:00+07:00
จงรักษ์ ดวงใจ
jongruxn15@gmail.com
สุภาวดี ลาภเจริญ
supawadeela2@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม และ 2) เปรียบเทียบกรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษาโดยข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยจำแนกตามตำแหน่ง ระดับการศึกษา และสหวิทยาเขต กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูที่ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม ปีการศึกษา 2566 จำนวน 322 คน ได้มาโดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของโคเฮนและคณะ โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถามระดับการให้คะแนนความคิดเห็นของข้าราชการครูที่มีต่อระดับกรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษา มีความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.968 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติพื้นฐานการทดสอบค่าที (t - test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – way ANOVA) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า ระดับกรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และผลการเปรียบเทียบระดับกรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครปฐม พบว่าข้าราชการครูที่มีตำแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นต่อระดับกรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนข้าราชการครูที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อระดับกรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงาน ไม่แตกต่างกัน ส่วนข้าราชการครูที่มีสหวิทยาเขตต่างกันมีความคิดเห็นต่อระดับกรอบความคิดแบบเติบโตของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269993
แนวทางพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานโรงเรียนสุจริต ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1
2024-02-01T13:11:35+07:00
สุทธิศา สมัครเขตการณ์
suthisaa.aum@gmail.com
ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล
suthisaa.aum@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานตามมาตรฐาน<br />การบริหารงานโรงเรียนสุจริต 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานโรงเรียนสุจริต จำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การปฏิบัติงาน และ 3) เพื่อหาแนวทางพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานโรงเรียนสุจริต ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 317 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ การทดสอบค่าที (t-test Independent) และการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว (F-test) ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานโรงเรียนสุจริต ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 โดยภาพรวมมีสภาพการบริหารงานอยู่ในระดับมาก และปัญหาที่พบมากที่สุดคือ นักเรียนขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตด้วยความสุจริต 2. ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารโรงเรียนสุจริตของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 จำแนกตามวุฒิการศึกษาและจำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงาน ไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานการบริหารงานโรงเรียนสุจริตของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 พบว่า 1) ควรส่งเสริมการทำวิจัย รวมถึงโครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมคุณลักษณะโรงเรียนสุจริต 5 ประการ 2) ควรติดตามให้มีการใช้จ่ายงบประมาณตามแผนปฏิบัติงานประจำปี และตามมติของคณะกรรมการสถานศึกษา 3) ควรจัดกิจกรรมคัดเลือกและยกย่องบุคลากรผู้ที่มีคุณธรรมและจริยธรรมตามคุณลักษณะของโรงเรียนสุจริต 4) ควรสร้างเครื่องมือเพื่อประเมินความพึงพอใจเพื่อให้ชุมชน ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการโรงเรียนสุจริต และ 5) ควรส่งเสริมกิจกรรม เพื่อให้ครูและนักเรียนร่วมกันต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบผ่านการสินในรายวิชาผ่านกิจกรรมต่างๆ</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269890
แนวทางพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน ตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านกระบวนการบริหารและจัดการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1
2024-01-14T11:25:12+07:00
นุชบา จูมาศ
nuchaba.math@gmail.com
ประจบ ขวัญมั่น
PrajobKwanmun@yahoo.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านกระบวนการบริหารและจัดการของสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านกระบวนการบริหารและจัดการของสถานศึกษา จำแนกตามขนาดของสถานศึกษาและประสบการณ์การปฏิบัติงาน 3) เพื่อหาแนวทางพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านกระบวนการบริหารและจัดการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 317 คน ได้มาโดยการเปิดตารางกำหนดกลุ่มตัวอย่างของเคร็จซี่และมอร์แกน และการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การแจกแจงความถี่ ร้อยละ จัดลำดับความสำคัญ และการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว (F-test) ผลการวิจัย พบว่า1. สภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐานด้านกระบวนการบริหารและจัดการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 โดยภาพรวม ทุกด้านมีสภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีสภาพการปฏิบัติสูงที่สุด ได้แก่ ด้านพัฒนาครูและบุคลากร และด้านที่มีสภาพการปฏิบัติต่ำที่สุด ได้แก่ ด้านการจัดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ2. ผลการเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านกระบวนการบริหารและจัดการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา และจำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงาน ไม่แตกต่างกัน3. แนวทางพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านกระบวนการบริหารและจัดการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 พบว่า สถานศึกษาควรกำหนดแนวทางการดำเนินการตามวิสัยทัศน์ในแผนการดำเนินงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ควรมีการวางแผนทางในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ควรพัฒนาสื่อการเรียนรู้ทางนวัตกรรมรวมถึงแหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ได้ตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ และควรมีการจัดประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษา</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270186
การศึกษาสภาพการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการบริหารการศึกษา ของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภองาว จังหวัดลำปาง
2024-02-01T12:51:27+07:00
เดือนฉาย พุงขาว
duanchai.kaykay@gmail.com
สมเกตุ อุทธโยธา
duanchai.kaykay@gmail.com
ณัฐิยา ตันตรานนท์
duanchai.kaykay@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาความต้องการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการบริหารการศึกษาของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภองาว จังหวัดลำปาง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากรของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภองาว จังหวัดลำปาง ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครูการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยตำบล ครูอาสาสมัครการศึกษานอกโรงเรียน และบุคลากรภาคีเครือข่ายของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภองาว ผู้บริหารระดับตำบล ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบล กำนัน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และผู้บริหารระดับหมู่บ้าน ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน และเครือข่ายระดับตำบล ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุข ภูมิปัญญาท้องถิ่น รวม 30 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ ตรวจสอบโดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง ได้ค่าคุณภาพระหว่าง 0.67-1.00 และ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการบริหารการศึกษาของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภองาว จังหวัดลำปาง ในภาพรวมมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก ด้านการร่วมวางแผน ด้านการร่วมดำเนินการ ด้านการร่วมตรวจสอบ ส่วนด้านการร่วมประเมินผลอยู่ในระดับปานกลาง ความต้องการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการบริหารการศึกษาของศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภองาว จังหวัดลำปาง ในภาพรวมความต้องการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการร่วมวางแผน ด้านการร่วมดำเนินการ ด้านการร่วมตรวจสอบ ส่วนด้านการร่วมประเมินผลอยู่ในระดับมาก</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/273763
การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้บนฐานสมรรถนะสำหรับเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม กรณีศึกษา:ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 5
2024-07-11T21:25:10+07:00
ศุภชัย ไตรไทยธีระ
kn.vr@hotmail.com
วรรัตน์ ปทุมเจริญวัฒนา
Worarat.a@chula.ac.th
วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา
Wirathep.p@chula.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้บนฐานสมรรถนะสำหรับเด็กและเยาวชน 2.เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้บนฐานสมรรถนะสำหรับเด็กและเยาวชน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย เด็กและเยาวชนจำนวน 30 คน ครูและผู้บริหารจำนวน 10 คน เลือกกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง คือ เยาวชนกลุ่มที่มีคำสั่งศาลให้ควบคุมในระยะเวลาที่ไม่น้อยกว่า 3 เดือน และครูที่ปรึกษา ผลการวิจัยพบว่า การเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในกระบวนการยุติธรรม มีความยืดหยุ่นมากกว่าในระบบการศึกษาปกติ จากการสำรวจเพื่อค้นหาสมรรถนะปรากฏสำคัญ 6 สมรรถนะหลักและ 48 สมรรถนะย่อย การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้นำเอาความต้องการของเด็กและเยาวชนมากำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ในแผนการเรียนรู้รายบุคคล โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้ที่กำหนดเอง (Heutagogy) เป็นฐานคิดสำคัญในการออกแบบ ครูจัดทำแผนสนับสนุนการเรียนรู้รายบุคคลและพัฒนาระบบสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยการใช้นวัตกรรมการเรียนรู้ การวิจัยนี้เป็นการกระตุ้นให้ตระหนักในคุณค่าตนเองสู่การเกิดสมรรถนะ(KSA) เป็นการกอบกู้ชีวิตใหม่สำหรับเด็กและเยาวชน ภายใต้กลไกสนับสนุนที่สอดคล้องกับนิเวศการเรียนรู้ ไล่เรียงจากจุลภาคไปจนถึงมหัพภาค ครูทำหน้าที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับการเรียนรู้ ระหว่างเด็กและเยาวชน ผู้ปกครอง หน่วยงานองค์กร ระเบียบ ข้อบังคับและนโยบาย ผู้วิจัยจึงได้เสนอแนวทางในการขับเคลื่อนกลไกคือ INSPRIE Model ประกอบไปด้วย I: Inspire / Motivation แรงบันดาลใจหรือแรงผลักดัน Navigator of life เข็มทิศชีวิต แผนการดำเนินชีวิต S: Self awareness การตระหนักรู้ตนเอง P: Plan การวางแผน R: Relation / Reflection การเชื่อมโยง และการสะท้อนความคิด I: Implement การดำเนินการ ปฏิบัติการเรียนรู้ E: Empower / Enhance การเสริมพลัง และการยกระดับ การทำงานของกลไกแบ่งออกเป็น 3H Head Heart Hand โดยฐานแรก เรียกว่า ฐานใจ เป็นฐานที่ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนสร้างแรงจูงใจหรือแรงบันดาลใจในการพัฒนาสมรรถนะตนเอง ดำเนินการกำหนดทิศทาง และเป้าหมายชีวิตของตนเองที่มีความเหมาะสม บนฐานของความตระหนักรู้ของตนเอง ฐานที่สอง เรียกว่า ฐานหัว เริ่มดำเนินการวางแผนการเรียนรู้ตามแผนดำเนินชีวิต และแผนการเรียนรู้รายบุคคล และฐานสุดท้าย เรียกว่า ฐาน(ลงมือ)ทำ ซึ่งดำเนินการเป็นขั้นสุดท้ายเพื่อการบรรลุเป้าหมายในการเรียนรู้ของตนเองโดยดำเนินการจัดระบบความคิดด้วยกระบวนการเชื่อมโยง เสริมสร้าง และการสะท้อนความคิดของตนเสมอ ตลอดจนเข้าสู่การดำเนินการ และขั้นตอนสุดท้ายเป็นการเสริมพลังเพื่อการยกระดับสมรรถนะของตนเอง</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270216
ภาวะผู้นำของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร
2024-01-25T13:18:24+07:00
ชาลี เปี่ยมพลอย
113@sakngam.ac.th
ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล
poompipat_r@kpru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 2) เพื่อศึกษาองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 กับองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา และ 4) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ของภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษ ที่ 21 ที่ส่งผลต่อองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ปีการศึกษา 2565 จำนวน 306 คน ได้มาด้วยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบ่งเป็น 2 ตอน คือ ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ 0.29-0.79 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 และองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษาซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกเท่ากับ 0.30-0.83 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1.) ภาวะผู้นำของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2.) องค์กรแห่งความสุข โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3.) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับการสร้างองค์กรแห่งความสุข มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงและระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4.) ภาวะผู้นำของผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 ด้านการบริหารบุคคลกับองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาโดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ เท่ากับ 0.78 และร่วมกันทำนายองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา ร้อยละ 64 และมีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงกับความสำเร็จในองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา โดยมีค่า F = 114.96 และมีค่า Sig. = .000 จากผลของการวิจัย พบว่า ภาวะผู้นำด้านการบริหารบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการสร้างองค์กรแห่งความสุขของสถานศึกษา ดังนั้น หน่วยงานบังคับบัญชา จึงควรมีนโยบายส่งเสริม เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษา ให้ความสำคัญกับบุคลากรในองค์การทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน อำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรในองค์การในด้านต่างๆ ทั้งด้านร่างกายและด้านจิตใจ คำนึงถึงการมอบหมายงานให้กับคนในองค์การตามความสามารถและความถนัดของบุคคลเพื่อให้การดำเนินงานภายในโรงเรียนประสบความสำเร็จจากการให้ความร่วมมือของบุคลากรในโรงเรียนตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270582
ทรัพยากรทางการศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นนวัตกรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
2024-02-12T13:03:25+07:00
วรรณชมพู ศรีสุข
651995005@tsu.ac.th
รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ
vahachart@gmail.com
ศิลป์ชัย สุวรรณมณี
sinchai@tsu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาความเป็นนวัตกรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช และ 3) เพื่อศึกษาทรัพยากรทางการศึกษาที่ส่งผลต่อความเป็นนวัตกรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 2,661 คน สำหรับกลุ่มตัวอย่าง โดยการสุ่มโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan (1970) จำนวน 338 คน เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม จำนวน 67 ข้อ ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ .947 สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณผลการวิจัยพบว่า 1) ทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ความเป็นนวัตกรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3) ทรัพยากรทางการศึกษาส่งผลทางบวกต่อความเป็นนวัตกรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .001</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270313
ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
2024-02-03T12:23:02+07:00
วิไล นารีรัตน์
mewhh13@gmail.com
วิไล พลพวก
wilsupervisor@gmail.com
สุภาภร สิมลี
susan_tok@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้สมองเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สมองเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้สมองเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมหฤทัยคริสเตียน อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.71 ซึ่งมีค่าเป็นบวก 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสมองเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้สมองเป็นฐานเสริมด้วยเทคนิค KWDL นักเรียนมีความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-09-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270357
แนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการงานแนะแนวของโรงเรียนเอกชน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
2024-02-20T19:02:51+07:00
ปภัสนันท์ มณีขัติย์
papatsanan213@gmail.com
ดารณีย์ พยัคฆ์กุล
da_paya@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพปัญหาในการบริหารจัดการงานแนะแนว ในโรงเรียนเอกชน และ 2) พัฒนาแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการงานแนะแนวในโรงเรียนเอกชน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูแนะแนว โรงเรียนเอกชน จำนวนทั้งหมด 52 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ ครูแนะแนว จำนวนทั้งหมด 10 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบ 5 ระดับ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้วิเคราะห์และนำข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย โดยพบว่า สภาพปัจจุบันและสภาพปัญหาในการบริหารจัดการงานแนะแนวในโรงเรียนเอกชน สภาพปัจจุบันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากและสภาพปัญหาโดยภาพรวมอยู่ในระดับน้อยเมื่อพิจารณาการบริหารงานแนะแนวโดยหลักทฤษฎีวงจรการบริหารงานคุณภาพ (PDCA) ในแต่ละขั้นตอนและแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการงานแนะแนวของโรงเรียนเอกชน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย 1) สถานศึกษาควรมีการวางแผนประชุมชี้แจงเกี่ยวกับนโยบาย จุดมุ่งหมาย การแต่งตั้งคณะกรรมการ การดำเนินงานและการกำหนดแนวทางปฏิบัติ 2) ควรจัดทำรูปแบบการพัฒนาเครื่องมือทางการแนะแนวระบบสารสนเทศการจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมแนะแนวให้กับครูทุกคน 3) สถานศึกษาควรมีการติดตาม และตรวจสอบในการบริหารงานแนะแนวและมีการประเมินที่หลากหลายรูปแบบตามสถานการณ์และบริบทของโรงเรียน และ 4) พัฒนาสถานศึกษาประชาสัมพันธ์และการสร้างเครือข่ายกับชุมชนเพื่อให้นักเรียนจะได้แสวงหาความรู้ในทุกๆด้าน</p>
2024-09-17T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270479
การวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของครู สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3
2024-02-03T12:30:03+07:00
สนั่น ใจโชติ
drcichotid@gmail.com
จิรวัฒน์ กิติพิเชฐสรรค์
ub2493@gmail.com
ทวีศักดิ์ ขันยศ
taweesakmoral@gmail.com
อภิสรรค์ ภาชนะวรรณ
ap_pra2009@hotmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 226 คน โดยวิธีการสุ่มแบบแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามชนิดมาตรวัดประมาณค่า 5 ระดับ มีค่า มีค่า IOC ระหว่าง 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจ ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบการมีภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1] การรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดิจิทัล 2] ความรู้สามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจัดการเรียนการสอน 3] ความรู้ความสามารถในการสอน 4] การมีทักษะและความรู้ดิจิทัล และ 5] รู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล สามารถอธิบายองค์ประกอบการมีภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ได้ร้อยละ 78.90 ข้อค้นพบใหม่จากการวิเคราะห์องค์ประกอบการวิจัยเรื่องนี้บ่งชี้ว่า ผู้บริหารระดับสูง ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของครู ด้านการรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นอันดับแรกโดยเฉพาะสามารถบริหารจัดการข้อมูล รู้จักการป้องกันข้อมูลด้วยการสร้างระบบความปลอดภัย และควรให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความรู้สามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลจัดการเรียนการสอน ควรคำนึงถึงการสร้างความชำนาญและความรู้ความสามารถในการสอน รวมถึงการมีทักษะและความรู้ดิจิทัล และรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270508
ผลการพัฒนาสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น (5E) ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) เรื่อง กรด-เบส
2024-02-06T20:42:08+07:00
อาริยา วิจิตรอมรเลิศ
a.wijitamornloet@gmail.com
กัญสพัฒน์ สิทธิบวรโชติ
Noy.bio@gmail.com
กิตติวัฒน์ ดิษฐประเสริฐ
taear.1996@gmail.com
<p>การศึกษาผลการพัฒนาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง กรด-เบส ในงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้การศึกษาแบบกลุ่มเดียวและวัดคะแนนก่อน-หลังการทดลอง มีกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนศรัทธาสมุทร จำนวน 29 คน และมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน มีการวิเคราะห์ข้อมูลค่าสถิติพื้นฐาน คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบด้วยสถิติ t-test Dependent sample ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/272485
กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศในยุคดิจิทัลโรงเรียนอุบลรัตนราชกัญญา ราชวิทยาลัย นครราชสีมา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครราชสีมา
2024-05-29T11:56:52+07:00
วัลลภา โพธิโต
wallapapotito@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานการบริหารงานวิชาการ 2) สร้างกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ 3) ทดลองใช้กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ และ 4) ประเมินกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ ผู้ให้ข้อมูล ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 4 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 14 คน ครู จำนวน 115 คน ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน นักเรียน จำนวน 334 คน เครื่องมือ 1) แบบสอบถาม 2) แบบบันทึก 3) แบบทดสอบ 4) แบบประเมินการวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น ค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น ค่า t - test ผลการวิจัย 1) ข้อมูลพื้นฐานการบริหารงานวิชาการ ปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เมื่อเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ด้านการจัดการเรียนรู้ และด้านการมุ่งเน้นนักเรียน ผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้อง 2) ผลการสร้างกลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีส่งเสริมงานวิชาการ กลยุทธ์การจัดการเรียนรู้ กลยุทธ์การกระจายอำนาจ กลยุทธ์การมุ่งเน้นนักเรียนในยุคดิจิทัล และกลยุทธ์ด้านภาวะผู้นำทางวิชาการ 3) ผลการทดลองใช้กลยุทธ์ พบว่า ผลทดสอบความรู้ความเข้าใจ โดยรวม อยู่ในระดับสูงมาก หลังอบรมสูงกว่าก่อนอบรม แตกต่างกันมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ.01 ผลประเมินโครงการตามกลยุทธ์ พบว่า มีความพึงพอใจ อยู่ในระดับ มาก-มากที่สุด 4) ผลการประเมิน กลยุทธ์ พบว่าอยู่ในระดับมาก ผลประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของกลยุทธ์ อยู่ในระดับมากที่สุด และผลประเมินความความพึงพอใจต่อกลยุทธ์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270581
ภาวะผู้นำเหนือผู้นำที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1
2024-02-12T12:47:41+07:00
บุณยานุช เที่ยงธรรม
nornan.bnt@gmail.com
ศิลป์ชัย สุวรรณมณี
nornan.bnt@gmail.com
สุนทรี วรรณไพเราะ
nornan.bnt@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 2) ศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเหนือผู้นำกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 และ 4) สร้างสมการพยากรณ์ภาวะผู้นำเหนือผู้นำที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 จำนวน 297 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบจากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie & Morgan (1970) เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าเท่ากับ .913 และแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลของสถานศึกษา มีค่าเท่ากับ .892 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) สมการพยากรณ์โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ พบว่า มีจำนวน 5 ตัวแปรที่สามารถร่วมกันพยากรณ์ภาวะผู้นำเหนือผู้นำที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต 1 ได้ร้อยละ 87 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 สามารถเขียนสมการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณในรูปคะแนนดิบ ได้ดังนี้</p> <p> Ŷ = .962 + .203 (x4) + .211 (x2) + .161 (x8) + .120 (x6) + .100 (x1)</p> <p> และสามารถเขียนสมการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้ดังนี้</p> <p> Ẑ = .302 (x4) + .277 (x2) + .240 (x8) + .199 (x6) + .117 (x1)</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270733
การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการนิเทศเพื่อส่งเสริมความสามารถครูในการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนเทศบาล ๒ หนองบัว
2024-02-24T09:28:00+07:00
วรวิทย์ ตั้นเหลียง
worawitaim@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบ พัฒนารูปแบบ ศึกษาผลการใช้รูปแบบ และประเมินและปรับปรุงรูปแบบ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 11 คนและครูผู้สอน 62 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.957 แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบบันทึกการสนทนาและถอดบทเรียน แบบประเมินและบันทึกผลการใช้รูปแบบ แบบประเมินความสามารถครูและแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) ผู้บริหารและครูมีความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการนิเทศ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก จากการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่า การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางการสร้างชุมชนการเรียนรู้เชิงวิชาชีพเป็นงานเฉพาะ ส่วนใหญ่ครูขาดความรู้และทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ผู้บริหารต้องร่วมพัฒนารูปแบบและออกแบบการเรียนรู้กับครู และร่วมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการทำงานให้มีความเป็นกัลยาณมิตร 2) ผลการพัฒนารูปแบบ มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ เงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ ขั้นตอนการบริหารจัดการการนิเทศ (2PLCEE Model) และปัจจัยสนับสนุนขั้นตอนการบริหารจัดการการนิเทศ 3) ผลการใช้รูปแบบการบริหารจัดการการนิเทศ ทั้งกลุ่มนำร่องและกลุ่มทดลองจริง โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ 4) ผลการประเมินความสามารถครูในการจัดการเรียนรู้ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และความพึงพอใจที่มีต่อรูปแบบการบริหารจัดการการนิเทศของครูผู้สอนทั้งกลุ่มนำร่องและกลุ่มทดลองจริง โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270431
ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบCIRCเสริมด้วยเทคนิค การสะท้อนคิดต่อความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-02-24T09:00:54+07:00
ชุติมา นันบุญ
chutima.kkat@gmail.com
วิไล พลพวก
wilsupervisor@gmail.com
กาญจนา นิลนวล
joy.kanjana1990@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองแวงน้อย จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด 2) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทย มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.23 - 0.78 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.34 - 0.76 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบกับเกณฑ์ ( One Sample t-test) และการทดสอบที แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทยของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาไทยของนักเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด อยู่ในระดับมาก</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270208
สถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2
2024-02-01T13:06:33+07:00
จิราพัชร ช่วยรักษา
phatt0603@gmail.com
กัลยมน อินทุสุต
Kanyamon.i@rumail.ru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นของครูที่มีต่อสถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 2 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูที่มีต่อสถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สมุทรปราการ เขต 2 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 306 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น 0.977 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe's post hoc comparisons method) ผลการวิจัยพบว่า1) ความคิดเห็นของครูที่มีต่อสถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูที่มีต่อสถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 พบว่า ครูที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการเป็นสถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 แตกต่างกันทั้งภาพรวมและรายด้าน และ ครูที่มีประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการเป็นสถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ไม่แตกต่างกันทั้งภาพรวมและรายด้าน และครูที่ปฏิบัติการสอนที่มีขนาดสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการเป็นสถานศึกษาแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270167
ผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปด้วยเกมการศึกษา ที่มีต่อการพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐานของเด็กปฐมวัย
2024-02-21T08:56:22+07:00
ปวริศา ปราสาสิน
som02699@gmail.com
วิไล พลพวก
Som02699@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการคิดพื้นฐานโดยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปของเด็กปฐมวัยด้วยเกมการศึกษา ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน และ 2) ศึกษาความพึงพอใจของเด็กปฐมวัยที่มีต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง คือ เด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนบ้านนาเพียงน้อยนาสมบูรณ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 24 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1)แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคป 2)เกมการศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐาน 3) แบบประเมินการวัดทักษะการคิดพื้นฐาน และ 4)แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (Dependent Samples t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1. ทักษะการคิดพื้นฐานของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2. เด็กปฐมวัยมีความพึงพอใจต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น อยู่ในระดับมาก</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270931
ภาวะผู้นำทางวิชาการและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ที่ส่งผลต่อความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ
2024-03-31T19:18:57+07:00
ศุภากร ศรีพรหม
supazer2536@gmail.com
ศิกานต์ เพียรธัญญกรณ์
supazer2536@gmail.com
ระภีพรรณ ร้อยพิลา
supazer2536@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์ อำนาจพยากรณ์ และหาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารที่ส่งผลต่อความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบึงกาฬ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 340 คน สุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ประกอบด้วย ด้านภาวะผู้นำทางวิชาการ ด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และด้านความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.970, 0.976 และ 0.975 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การทดสอบเอฟ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการ ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร และความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ภาวะผู้นำทางวิชาการและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร จำแนกตามสถานภาพการดำรงตำแหน่ง และขนาดของโรงเรียน ภาพรวม แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 ตามลำดับ ส่วนความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ในโรงเรียน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จำแนกตามลักษณะการเปิดสอนของโรงเรียน ภาพรวม ไม่แตกต่างกัน 3) ภาวะผู้นำทางวิชาการและภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์ระดับสูงมาก 4) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารและภาวะผู้นำทางวิชาการโดยภาพรวม ร่วมกันพยากรณ์ความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้ร้อยละ 87.70 มีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์เท่ากับ ±.192 5) การวิจัยนี้ได้นำเสนอแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหาร 4 ด้าน ที่ส่งผลต่อความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270837
รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่จัดการสอนห้องเรียนพิเศษอย่างมีประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร
2024-02-24T10:45:14+07:00
ลัดดา เจียมจูไร
Ladda_ji@snr.ac.th
จิรวัฒน์ กิติพิเชฐสรรค์
ub2493@gmail.com
เสาวภาคย์ แหลมเพ็ชร
Lampetch2@gmail.com
กฤษดา ผ่องพิทยา
Kisda2000@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพความคาดหวัง 2) พัฒนารูปแบบ และ <br />3) ประเมินผลรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่จัดการสอนห้องเรียนพิเศษอย่างมีประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ขั้นตอนวิจัยมี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพความคาดหวังในการจัดการเรียนการสอนห้องเรียนพิเศษฯ ขั้นที่ 2 พัฒนารูปแบบและจัดทำคู่มือฯ และขั้นที่ 3 ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่จัดการสอนห้องเรียนพิเศษอย่างมีประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสภาพปัจจุบันการบริหารสถานศึกษาที่จัดการสอนห้องเรียนพิเศษอย่างมีประสิทธิผล ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ในกรุงเทพมหานคร โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนระดับสภาพที่คาดหวังการพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่จัดการสอนห้องเรียนพิเศษอย่างมีประสิทธิผล ของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกรุงเทพมหานครโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ผลการพัฒนารูปแบบ พบว่า องค์ประกอบของรูปแบบฯ มี 10 ด้าน ได้แก่ 1) ภาวะผู้นําของผู้บริหาร 2) ครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ที่มีคุณภาพ 3) การคัดเลือกนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ 4) เครือข่าย การมีส่วนร่วม <br />5) การบริหารงานบุคคล 6) การจัดทำแผนกลยุทธ์ 7) หลักสูตรด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ 8) การใช้สื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยี 9) การวัดผลและประเมินผลที่ส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ 10) ผลลัพธ์จากการบริหารจัดการสถานศึกษา 3. ผลการประเมินผลรูปแบบและคู่มือ พบว่า รูปแบบและคู่มือมีระดับความถูกต้อง ความเหมาะสม และความเป็นไปได้มีค่าเฉลี่ยรวมในระดับมากที่สุด</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270203
กลยุทธ์การบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา ประเภทวิชาอุตสาหกรรมในสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษา ภาคเหนือ 2
2024-02-02T21:02:10+07:00
เผด็จ บุญเป็ง
phadejb@gmail.com
พูนชัย ยาวิราช
phoonchaiya@crru.ac.th
ไพโรจน์ ด้วงนคร
pairoj.dua@crru.ac.th
ไพรภ รัตนชูวงศ์
em_pairop_r@crru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารงานวิชาการ 2. ศึกษาสมรรถนะวิชาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างก่อสร้าง ในสถานศึกษาที่สถานประกอบการ และหน่วยงานภาครัฐต้องการ 3. เพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา และ 4. เพื่อประเมินกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2 ผลการศึกษา พบว่า 1. สภาพปัจจุบันของการบริหารงานวิชาการ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก รายการที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบริหารแผนกวิชา 2. สมรรถนะวิชาชีพในศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาช่างก่อสร้างในสถานศึกษาที่สถานประกอบการ และหน่วยงานภาครัฐต้องการ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก รายการที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการใช้ทักษะชีวิต (Life Skills) 3. ผลการพัฒนากลยุทธ์การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2 พบว่ามี 5 กลยุทธ์หลัก ดังนี้ 1) พัฒนาการบริหารแผนกวิชา โดยการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายตามหลักสูตรและแผนการเรียน (SO) 2) พัฒนาคุณภาพสื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดกระบวนการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ (ST) 3) พัฒนาความรู้ตามสมรรถนะวิชาชีพในศตวรรษที่ 21 (ST) 4) สร้างกระบวนการวัดผลประเมินผลที่เป็นระบบและส่งเสริมการนำผลการประเมินมาปรับปรุงพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอน 5) พัฒนาระบบการนิเทศการศึกษาด้วยการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ (WO) 4. ผลการประเมินกลยุทธ์การบริหารงานวิชาการ ในสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 2 พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากและมากที่สุด สรุปได้ว่า มีความถูกต้อง ความเหมาะสมและความเป็นไปได้</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270567
ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาในอำเภอวังทรายพูน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 1
2024-02-12T12:42:49+07:00
กมลทิพย์ เกษรพรหม
29kamonthip29@gmail.com
ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล
poompipat_r@kpru.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยการบริหารของสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา 3)เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษาและ 4) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษาในอำเภอวังทรายพูน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 92 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม 2 ตอน ตอนที่ 1 ปัจจัยการบริหารของสถานศึกษา มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80-1.00 มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .903– .961 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .908 ตอนที่ 2 ประสิทธิผลของสถานศึกษา มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.60-1.00 มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง .902– .960 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .906 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบปกติและแบบขั้นตอนผลการวิจัยพบว่า 1)ปัจจัยการบริหารอยู่ในระดับมาก 2)ประสิทธิผลของสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก 3)ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษามีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง 4)สมการพยากรณ์ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาได้ร้อยละ .91ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้(Stepwise Multiple Regression Analysis) = 0.23 + 0.24 (X<sub>4</sub>) + 0.31 (X<sub>2</sub>) + 0.19 (X<sub>3</sub>) +0.19 (X<sub>1</sub>) =0.28 (z<sub>4</sub>) + 0.31 (z<sub>2</sub>) + 0.21 (z<sub>3</sub>) + 0.19 (z<sub>1</sub>)</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270099
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7
2024-01-15T14:27:04+07:00
กฤษดา พันไชย
kitsada16399@gmail.com
บรรจบ บุญจันทร์
BanjobBoonchan@yahoo.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียน 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน และ 3) สร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 346 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามประสิทธิผลของโรงเรียนมีค่าความเชื่อมั่นโดยภาพรวม เท่ากับ 0.97 และแบบสอบถามปัจจัยด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้านบรรยากาศของโรงเรียน ด้านแรงจูงใจในการทำงานของครู และด้านการบริหารงานวิชาการ ซึ่งค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87, 0.92, 0.94 และ 0.92 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิผลของโรงเรียน โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน โดยภาพรวม และรายด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง (X<sub>1</sub>) ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ (X<sub>4</sub>) และปัจจัยด้านบรรยากาศของโรงเรียน (X<sub>2</sub>) ซึ่งสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนประสิทธิผลของโรงเรียนได้ร้อยละ 71.00 สามารถสร้างสมการพยากรณ์ได้ดังนี้</p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนดิบ = 1.688+.317X<sub>1</sub>+.156X<sub>4</sub>+.151X<sub>2</sub></p> <p>สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน y = .443Z<sub>X1</sub>+.219Z<sub>X4</sub>+.211Z<sub>X2 </sub></p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/271080
สภาพและแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย
2024-04-02T20:31:58+07:00
ธนากร ชมภูเครือ
kob.sport@gmail.com
ทัศนะ ศรีปัตตา
thanakornch65@nu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัยและ 2.แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย โดยวิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย โดยใช้แบบสอบถามสภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย มีลักษณะเป็นมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) จำนวน 285 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ข้อมูลได้จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย ทั้ง 5 ด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ รองลงมา คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการมีจินตนาการ 2) ผลการศึกษาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุโขทัย พบว่า สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ควรพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถแสดงภาพในอนาคตที่ดีต่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ต้องรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลต่าง ๆ ด้วยความเคารพ ต้องประยุกต์ใช้ความรู้จากประสบการณ์เดิมมาคิดใหม่เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อโรงเรียน สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นจนงานสำเร็จตามเป้าหมายและส่งเสริมการเรียนรู้ของครูภายในทีม ต้องสร้างความเชื่อมั่น ความศรัทธาโดยใช้จินตนาการโดยการออกมาเป็นวิสัยทัศน์ และมีความเป็นกันเองกับบุคลากร</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/271330
รูปแบบการบริหารองค์การคุณภาพของสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4
2024-04-05T20:30:30+07:00
มรกต อนุเคราะห์
moragotanukroh@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารองค์การคุณภาพของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 ใช้วิธีวิจัยและพัฒนา 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน โดย การสังเคราะห์เอกสาร ศึกษาแนวทางจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน และศึกษาความต้องการจำเป็นจาก รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ศึกษานิเทศก์และบุคลากรอื่น และผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 183 คน และ 2) สร้างและตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นไปได้โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน 3) ทดลองใช้ และ 4) ประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์จากรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้อำนวยการกลุ่มที่เป็นตัวแทนศึกษานิเทศก์และบุคลากรอื่น และผู้อำนวยการสถานศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่ประธานศูนย์เครือข่ายการศึกษา จำนวน 39 คน ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบมี 5 องค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 หลักการบริหาร องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ของการบริหาร องค์ประกอบที่ 3 ขอบข่ายงานและกระบวนการบริหาร องค์ประกอบที่ 4 แนวทางการประเมินการบริหาร และองค์ประกอบที่ 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการบริหาร</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/271135
คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อประสิทธิผล การบริหารจัดการสถานศึกษาในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนากลุ่มภาคใต้
2024-04-02T20:27:21+07:00
อุษณีย์ ทองด้วง
pantiwa19@gmail.com
เบญจพร ชนะกุล
Chanakul_ben@hotmail.com
นพรัตน์ ชัยเรือง
drnopparat@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 2) ประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษา 4) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษา และ5) แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษาในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนา กลุ่มภาคใต้ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครู โรงเรียนร่วมพัฒนา กลุ่มภาคใต้ จำนวน 196 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยรวม อยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษา โดยรวม อยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษา พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกระดับสูง (r=0.853) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ด้านนักการสื่อสาร นักสร้างสรรค์ การมีวิสัยทัศน์ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนากลุ่มภาคใต้ สามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลการบริหารจัดการสถานศึกษา ได้ร้อยละ 73 (R2 = .73) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 5) แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ 5.1) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องรู้เท่าทันสถานการณ์และสภาพแวดล้อมในการจัดการศึกษา 5.2) จัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่สอดคล้องกับบริบทโรงเรียน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน 5.3) ผลักดันให้ครูและบุคลากรในโรงเรียนสร้างสรรค์งานให้มีคุณภาพและมาตรฐาน และ 5.4) แสวงหาความรู้ และนำไปใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรม</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270367
ผลการเรียนแบบร่วมมือแบบ TGT ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2024-02-02T20:48:47+07:00
ศศิวิมล แสงประสิทธิ์
sasi.1990.vimol@gmail.com
วิไล พลพวก
wilsupervisor@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยหลังการเรียนแบบร่วมมือแบบ TGTของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กับเกณฑ์ร้อยละ 75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยระหว่างก่อนและหลังการเรียนแบบร่วมมือแบบTGTของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่1ที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือแบบTGT แบบแผนการวิจัยที่ใช้คือ แบบกลุ่มเดียววัดก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 32 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบTGT 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย มีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.27 - 0.67 ค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.75 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือแบบ TGT สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีเปรียบเทียบกับเกณฑ์ (One Sample t-test) และการทดสอบที่ แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (Dependent t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังการเรียนแบบ ร่วมมือแบบTGT สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยหลังการเรียนแบบร่วมมือแบบTGTสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือแบบTGTอยู่ในระดับมาก</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270518
รูปแบบการพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
2024-02-27T20:45:27+07:00
เสาวพา เวศกาวี
chutathip_2534@hotmail.com
ชัยฤทธิ์ แสงสว่าง
Drchairit085@gmaik.com
จิรวัฒน์ กิติพิเชฐสรรค์
irawat.kiti@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทักษะดิจิทัล สร้างรูปแบบการพัฒนาทักษะดิจิทัล และประเมินรูปแบบการพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา และหัวหน้าแผนก วิทยาลัยอาชีวศึกษา 281 คน และครูผู้สอนในวิทยาลัยอาชีวศึกษา 354 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความต้องการจำเป็น พร้อมกันนี้มีการสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงคุณภาพประกอบด้วย ผลการวิจัยพบว่า 1. ทักษะดิจิทัลของนักเรียน 1.1) ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุดและความต้องการจำเป็นของการพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักเรียน พบว่า ทักษะที่มีความต้องการจำเป็นมากที่สุด ได้แก่ การใช้โปรแกรมการนำเสนอการใช้งานเพื่อความมั่นคงปลอดภัย และการใช้งานอินเทอร์เน็ต ตามลำดับ 1.2) Best Practice ของการพัฒนาทักษะดิจิทัล ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาที่ได้รับรางวัลพระราชทาน 10 ปี 3 ครั้ง ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ระบุว่า ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการหลักสูตรการพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักเรียน คือ 1) รู้จักการใช้ 2) มีความเข้าใจ 3) มีความคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์ 4) รู้เท่าทันสื่อและ 3) รูปแบบการพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักเรียนและผลการประเมินรูปแบบการพัฒนาทักษะดิจิทัลของนักเรียนวิทยาลัยอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษามีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความถูกต้อง และความคุ้มค่าของรูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-09-22T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)