https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/issue/feed วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) 2024-06-15T16:25:16+07:00 รศ.ดร.จิณณวัตร ปะโคทัง jinawatara@hotmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)<br />Journal of Association of Professional Development of Educational Administration of Thailand (JAPDEAT) </strong><br /><strong>ISSN <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-8813 </span>(Online)</strong></p> <p>สมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 119 หมู่ที่ 9 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มีการแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด หรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคม และนายทะเบียนสมาคม จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับจดทะเบียน แต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด ตามมาตรา 85 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว ดังต่อไปนี้<br />1.นาย จิณณวัตร ปะโคทัง นายกสมาคม<br />2.นาย นพรัตน์ ชัยเรื่อง อุปนายก<br />3.นาย ไชยา ภาวะบุตร อุปนายก<br />4.นาย วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ อุปนายก<br />5.นาย เอกรินทร์ สังข์ทอง กรรมการ<br />6.นายรชฏ สุวรรณกูฏ กรรมการ<br />7.นายสุเมธ งามกนก กรรมการ<br />8.นายสาธร ทรัพย์รวงทอง กรรมการ<br />9.นายพรเทพ รู้แผน กรรมการ<br />10.นางรุ่งชัชดาพร เวหะชาติ กรรมการและปฏิคม<br />11.นายพูนชัย ยาวิราช กรรมการและเหริญญิก<br />12.นายจักรปรุฬห์ วิชาอัครวิทย์ กรรมการและผู้ช่วยเหรัญญิก<br />13.นางจารุวรรณ พลอยดวงรัตน์ กรรมการและเลขาธิการ<br />14.นางชยากานต์ เรืองสุวรรณ นายทะเบียนและผู้ช่วยเลขาธิการ</p> <p><br /><strong>คณะกรรมการบริหารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย 2564<br /></strong>1.รองศาสตราจารย์ ดร.จิณณวัตร ปะโคทั้ง มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี นายกสมาคม<br />2.ศาสตราจารย์ ดร.ธีระ รุญเจริญ นักวิชาการอิสระ ที่ปรึกษา<br />3.ศาสตราจารย์ ดร.สมาน อัศวภูมิ มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ที่ปรึกษา<br />4.อาจารย์ ดร.พรรณี สุวัตถี มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ที่ปรึกษา<br />5.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พูนชัย ยาวิราช มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย อุปนายก<br />6.รองศาสตราจารย์ ดร.วิสุทธิ์ วิจิตรพัชราภรณ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อุปนายก<br />7.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพรัตน์ ชัยเรื่อง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อุปนายก<br />8.รองศาสตราจารย์ ดร.ไชยา ภาวะบุตร มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร อุปนายก<br />9.รองศาสตราจารย์ ดร.เอกรินทร์ สังข์ทอง มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กรรมการ<br />10.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รชฏ สุวรรณกูฏ มหาวิทยาลัยนครพนม กรรมการ<br />11.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรเทพ รู้แผน มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา กรรมการ<br />12.รองศาสตราจารย์ ดร.สุเมธ งามกนก มหาวิทยาลัยบูรพา กรรมการ<br />13.รองศาสตราจารย์ ดร.รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ มหาวิทยาลัยทักษิณ กรรมการและปฏิคม<br />14.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชยากานต์ เรืองสุวรรณ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม กรรมการและเหรัญญิก<br />15.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จักรปรุฬห์ วิชาอัครวิทย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ กรรมการและผู้ช่วยเหรัญญิก<br />16.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จารุวรรณ พลอยดวงรัตน์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กรรมการและเลขานุการ<br />17.ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สาธร ทรัพย์รวงทอง มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ นายทะเบียนและเลขานุการ </p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269159 การวิจัยสหสัมพันธ์: ก้าวสำคัญในการศึกษาและเข้าใจปรากฏการณ์ 2023-12-26T16:24:43+07:00 สมาน อัศวภูมิ samubon@hotmail.com <p>การวิจัยเป็นวิธีการในการศึกษาและทำความเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆ ที่นำใช้หลักการและวิธีการวิทยาศาสตร์ เพื่อบรรยาย อธิบาย และทำนายปรากฏการณ์ที่ยังไม่มีคำตอบ หรือมีคำตอบที่เรายังไม่แน่ใจว่าถูกต้อง หรือดีพอในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์นั้นๆ การบรรยายปรากฏการณ์เป็นเป้าหมายแรกในการศึกษาปรากฏการณ์ และการทำนาย ปราฏการณ์เป็นเป้าหมายสูงสุดของการทำการวิจัย ขณะที่การวิจัยสหสัมพันธ์เป็นการวิจัยที่เชื่อมโยงระหว่างการวิจัยเพื่อการบรรยายและการทำนายปรากฏการณ์​ ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่าการวิจัยสหสัมพันธ์เป็นก้าวสำคัญในการศึกษาและทำความเข้าใจปรากฏการณ์ จากการวิจัยเพื่อการบรรยายไปสู่การวิจัยเพื่อการพยากรณ์ผล แต่ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการวิจัยสหสัมพันธ์บางประการ จึงเป็นที่มาของการเขียนบทความนี้ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการวิจัยสหสัมพันธ์ให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของความหมาย วิธีการ และการตีความข้อค้นพบจากการวิจัยสหสัมพันธ์ดังกล่าว</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269498 ภาวะผู้นำการศึกษาคาทอลิกในยุค BANI WORLD 2023-12-19T12:18:32+07:00 ญาณิศา นวลแก้ว krufairu@gmail.com ปัทมาวรรณ จินดารักษ์ 6909020092@payap.ac.th <p>โลกยุคใหม่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีมากขึ้น สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เศรษฐกิจ ส่งผลกระทบทวีความรุนแรง สำหรับผู้นำองค์กรที่ต้องเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือให้ทัน กับโลกของความสับสนและความซับซ้อน ส่งผลให้ VUCA World ที่ใช้มานานกว่า 30 ปีอาจอธิบายสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ยังไม่ครอบคลุม ในการพัฒนาองค์กร นักบริหารจากหลายวงการอาชีพจึงนำแนวคิด BANI World มาใช้อธิบายโลกยุคใหม่แทน VUCA World เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการรับมือกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเฉพาะเจาะจงยิ่งกว่าเดิมทั้งในมิติด้านกายภาพ องค์กรและความรู้สึกอารมณ์ของบุคลากรในองค์กรด้วย ดังนั้น ผู้บริหารโรงเรียนคาทอลิกจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์และผลลัพธ์ทางการบริหารที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความศรัทธาและไว้วางใจเพื่อจะได้ร่วมแรงรวมใจกับผู้นำเพื่อมุ่งสู่ความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ องค์ประกอบของ <strong>ภาวะผู้นำการศึกษาคาทอลิกในยุค </strong><strong>BANI WORLD</strong> ได้แก่ ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ ภาวะผู้นำด้านการสื่อสาร ภาวะผู้นำการทำงานเป็นทีม ภาวะผู้นำแบบคล่องตัว และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ด้วยองค์ประกอบดังกล่าวจะสามารถนำพาองค์กรสู่เป้าหมายและเกิดความยั่งยืนได้</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270896 การพัฒนาสมรรถนะครูไทยยุคปกติใหม่ตามแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2024-03-05T14:43:33+07:00 ศกุนตลา พร้อมมูล dsinelife@gmail.com บรรจบ บุญจันทร์ Banjobbun21@gmail.com อริสา นพคุณ Nooarisa3@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและหลักการการพัฒนาสมรรถนะครูไทยยุคปกติใหม่ตามแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน หากต้องการให้ผู้เรียนมีสมรรถนะด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนแล้ว ครูนั้นนับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่จะต้องได้รับการพัฒนาให้เข้าใจ ตระหนักรู้ และมีสมรรถนะด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนเช่นกัน องค์ประกอบของการพัฒนาอย่างยั่งยืนมี 5 ส่วน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ (สภาพทรัพยากร) ด้านระบบชีวภาพ และด้านคุณภาพชีวิต ครูยุคปกติใหม่ควรมีสมรรถนะที่สำคัญ ได้แก่ ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน ทักษะการสอนที่หลากหลาย ความรับผิดชอบต่อการจัดการเรียนรู้ การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ การส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ และการส่งเสริมการทำงานร่วมกัน</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/268795 แนวทางพัฒนาการบริหารงานกิจการนักเรียนในความปรกติใหม่ของโรงเรียน มัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ 2023-11-08T21:29:42+07:00 ธีรสิทธิ์ ศรีขวัญแก้ว teerasit9987@gmail.com ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล poompipat_r@kpru.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงานกิจการนักเรียนในความปรกติใหม่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานกิจการนักเรียนในความปรกติใหม่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ จำแนกตามขนาดโรงเรียน และ3) เพื่อหาแนวทางพัฒนาการบริหารงานกิจการนักเรียนในความปรกติใหม่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 285 คน ได้มาโดยการเปิดตารางกำหนดกลุ่มตัวอย่างของเคร็จซี่และมอร์แกน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารสถานศึกษางานกิจการนักเรียน จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การแจกแจงความถี่ ร้อยละ จัดอันดับ และการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว F-Test One Way ANOVA ผลการวิจัย พบว่า 1.สภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนในความปรกติใหม่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ โดยรวมมีสภาพการบริหารงานอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสภาพการปฏิบัติงานมากที่สุด คือ ด้านการวางแผนงานกิจการนักเรียน และปัญหาที่พบมากที่สุด คือ โรงเรียนไม่มีการปฏิบัติการบริหารงานกิจการนักเรียนในด้านต่างๆตามความเหมาะสมเพื่อรับมือในสถานการณ์ความปรกติใหม่ 2.ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานกิจการนักเรียนในความปรกติใหม่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ จำแนกตามขนาดโรงเรียน พบว่า แตกต่างกัน 3.แนวทางการบริหารงานกิจการนักเรียนในความปรกติใหม่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเพชรบูรณ์ ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า สถานศึกษาควรมีการวางแผนการดำเนินงาน มีการประชุมชี้แจงประเมินผลการปฏิบัติงานและหาข้อสรุปร่วมกัน โดยกำหนดเป็นนโยบาย จุดเน้นเพื่อจัดทำสารสนเทศด้านงานกิจการนักเรียน</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/268797 แนวทางพัฒนาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษา สหวิทยาเขตเมืองสองคลองสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร 2023-11-08T21:36:27+07:00 ธัณย์นิชา สิงห์รีวงศ์ prettynam.si@gmail.com ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล poompipat_r@kpru.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาสหวิทยาเขตเมืองสองคลอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาสหวิทยาเขตเมืองสองคลอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และขนาดสถานศึกษา และ 3) เพื่อหาแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาสหวิทยาเขตเมืองสองคลอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 253 คน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาสหวิทยาเขตเมืองสองคลอง จำนวน 17 คน ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพและปัญหาการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาสหวิทยาเขตเมืองสองคลองสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร โดยรวมมีสภาพการบริหารงานอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสภาพการปฏิบัติงานมากที่สุด คือ ด้านคุณธรรม/จริยธรรม และปัญหาที่พบมากที่สุด คือ สถานศึกษามีการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาไม่ต่อเนื่อง 2. ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาสหวิทยาเขตเมืองสองคลองสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน และจำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า ไม่แตกต่างกัน 3. แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาสหวิทยาเขตเมืองสองคลองสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร ตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า สถานศึกษาควรจัดทำสำมโนโดยใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างทั่วถึง และผู้บริหารควรมอบหมายงานให้ตรงกับบุคคลให้เหมาะสมกับความสามารถ</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/268774 ผลของวงจรการเรียนรู้แบบ 5Es เสริมด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ต่อผลการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2023-11-16T09:26:41+07:00 Pattama Palunthom pattama.palanthom@gmail.com ละดา ดอนหงษา Pulada2010@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เสริมด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยวงจรการเรียนรู้แบบ 5Es เสริมด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ 3) เปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยวงจรการเรียนรู้แบบ 5Es เสริมด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต่อวงจรการเรียนรู้ 5Es เสริมด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนมหาไถ่ศึกษาบ้านดุง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 42 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบฝึกทักษะการเรียนรู้ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.57 - 0.77 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.40 - 0.60 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 4) แบบทดสอบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.60 - 0.77. ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.47 - 0.87 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.89 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และการวิเคราะห์ค่าทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยวงจรการเรียนรู้แบบ 5Es เสริมด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 88.80/85.33 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ด้วยวงจรการเรียนรู้แบบ 5Es เสริมด้วยแบบฝึกทักษะการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/268874 ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเสริมด้วยสื่อมัลติมีเดียที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาการป้องกันการทุจริต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2023-11-13T13:55:17+07:00 พิชญาวรรณ จันทร์แห่ว pichawanjunhaew@gmail.com แสงเดือน คงนาวัง Sangduean@yahoo.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการป้องกันการทุจริตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเสริมด้วยสื่อมัลติมีเดียก่อนเรียนและหลังเรียน 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการป้องกันการทุจริตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเสริมด้วยสื่อมัลติมีเดียหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเสริมด้วยสื่อมัลติมีเดีย กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านนาด่าน ตำบลนาด่าน อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 35 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและการหาคุณภาพ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเสริมด้วยสื่อมัลติมีเดียมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4.23-4.48 คุณภาพเหมาะสมในระดับมาก 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.40-0.77 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20-0.73 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.91 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 ดำเนินการทดลองโดยใช้เวลาทั้งหมด 16 ชั่วโมง ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ กลุ่มเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน และการเปรียบเทียบข้อมูล 1 กลุ่ม</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการป้องกันการทุจริตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเสริมด้วยสื่อมัลติมีเดีย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาป้องกันการทุจริตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่5 หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเสริมด้วยสื่อมัลติมีเดีย สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li class="show">นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเสริมด้วยสื่อมัลติมีเดียรายวิชาการป้องกันการทุจริต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> </ol> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>การจัดการเรียนรู้แบบแบบร่วมมือ ; สื่อมัลติมีเดีย ; ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/267801 สภาพการบริหารงานแนะแนวของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขต พื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร 2023-10-26T12:53:57+07:00 ชนากานต์ นุริตานนท์ chanakan.nuri63@sskru.ac.th ประกาศิต อานุภาพแสนยากร mooaim_judo@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานแนะแนวของโรงเรียน 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อสภาพการบริหารงานแนะแนวของโรงเรียน โดยจำแนกตามตำแหน่งประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของโรงเรียน 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานแนะแนวของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง รวมผู้บริหารที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 83 คน และครูได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน ตามขนาดโรงเรียน จำนวนทั้งสิ้น 268 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 351 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารงานแนะแนวของโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การวิเคราะห์สภาพการบริหารงานแนะแนวของโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยจำแนกตามตำแหน่ง โดยภาพรวมพบว่า ไม่แตกต่างกัน จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมพบว่า แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมพบว่า ไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานแนะแนวของโรงเรียน ควรจัดหาเครื่องมือที่ง่ายและสะดวกต่อการรวบรวมข้อมูล จัดบริการข้อมูลข่าวสารด้านอาชีพและการศึกษา การจัดให้คำปรึกษาควรครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา อาชีพ และสังคม การจัดวางตัวบุคคลในรูปแบบวิธีการที่หลากหลาย และควรมีการติดตามผลเพราะจะทำให้ครูแนะแนวมีข้อมูลในการประเมินการดำเนินการช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269448 การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร 2023-12-15T16:11:59+07:00 ปวีณา เขตขันหล้า paweenar.kh@obec.moe.go.th สมชัย ชวลิตธาดา paweenar.kh@obec.moe.go.th วิเชียร อินทรสมพันธ์ paweenar.kh@obec.moe.go.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) การบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างเป็นครู จำนวน 340 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า ด้านการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนด้านการมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) ระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร&nbsp; โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่า ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูง มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ส่วนด้านความสามารถในการรักษาแบบแผนทางวัฒนธรรม มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร ด้านที่มีอิทธิพลมากที่สุด ได้แก่ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล&nbsp; รองลงมาคือ ด้านการมีส่วนรวมในการตัดสินใจ ต่ำที่สุดคือด้านการมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรสาคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ เท่ากับ .677</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269565 การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้ปกครองที่มีต่อกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโรงเรียนนาคประสิทธิ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 2024-01-03T21:49:21+07:00 ธัญญธร ธัญญธร kruboomtm@gmail.com สมชัย ชวลิตธาดา kruboomtm@gmail.com วิเชียร อินทรสมพันธ์ kruboomtm@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนนาคประสิทธิ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้ปกครองที่มีต่อกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนนาคประสิทธิ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เมื่อจำแนกตามเพศ อายุ และระดับการศึกษา3) เพื่อหาแนวทางการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนนาคประสิทธิ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ปกครองนักเรียน ปีการศึกษา 2565 จำนวน 330 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมทางสถิติด้วยการหาค่าความถี่ ค่าร้อยละส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) โดยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way Analysis of Variance) ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของผู้ปกครองที่มีต่อการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนนาคประสิทธิ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อมีการพิจารณาในรายละเอียดพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ รองลงมาคือ ด้านกิจกรรมนักเรียน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านกิจกรรมแนะแนว 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้ปกครองที่มีต่อการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนนาคประสิทธิ์ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ทั้งด้านกิจกรรมแนะแนว ด้านกิจกรรมนักเรียน และด้านกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ เมื่อจำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษาไม่แตกต่างกัน ส่วนจำแนกตามอาชีพ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269432 สมรรถนะดิจิทัลของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู ในยุคการศึกษา 4.0 2023-12-15T21:13:36+07:00 จุฬารัตน์ บุษบงก์ chularat.b@sskru.ac.th <p>การศึกษาสมรรถนะดิจิทัลของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู ในยุคการศึกษา 4.0 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถนะดิจิทัลของนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู ในยุคการศึกษา 4.0 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 120 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบวัดสมรรถนะดิจิทัล มาตรส่วนประมาณค่า (Rating Scale) สถิติที่ใช้ในการวิจัยและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) &nbsp;ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง มีอายุ 20-25 ปี มีประสบการณ์การสอน 1-5 ปี สำเร็จศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะมนุษศาสตร์ และสอนในกลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ผลการวิจัยสมรรถนะดิจิทัล มีจำนวน 6 ด้าน ซึ่งในภาพรวมทั้งหมดสมรรถนะดิจิทัล อยู่ในระดับมาก ( = 4.44, S.D. = 0.40) เมื่อพิจารณาแต่ละด้าน ได้แก่ 1.การเข้าใจดิจิทัล (Digital Literacy) โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.28, S.D. = 0.51) 2.การใช้ดิจิทัล (Digital Skill/ICT Skill) โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.43, S.D. = 0.47) &nbsp;3.การผลิตและการติดต่อสื่อสารด้วยเครื่องมือดิจิทัล (Produce and Communication in Digital’s Tool ) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.52, S.D. = 0.49) &nbsp;4.การแก้ปัญหาด้วยเครื่องมือดิจิทัล (Problem Solving with Digital tools) โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.35, S.D. = 0.53) 5.การประเมินข้อมูลสารสนเทศดิจิทัล (Evaluating in Digital Information Technology) โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.42, S.D. = 0.48) 6.การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีจริยธรรม (Ethics of Digital Technology used) โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.62, S.D. = 0.44)</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269532 รูปแบบการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูยุคดิจิทัล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2023-12-19T14:02:59+07:00 ทวีศักดิ์ สังวัง thunyakarn.p@gmail.com พิมล วิเศษสังข์ pimonw@hotmail.com สมาน อัศวภูมิ samubon@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการความเสี่ยงของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูยุคดิจิทัลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการดำเนินการเป็นสามระยะ คือ การศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางในการจัดการความเสี่ยง การสร้างรูปแบบ และประเมินรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างและกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้ให้ข้อมูล 427 คนจาก 19 สหกรณ์ ผู้ทรงคุณวุฒิในการศึกษาแนวทางในการจัดการความเสี่ยง 9 คน ผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจสอบรูปแบบ 12 คน และในการประเมินรูปแบบขั้นสุดท้าย 21 คน เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกข้อมูล แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และแบบประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้ประกอบด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าสาระสำคัญของ 5 องค์ประกอบของรูปแบบ เป็นดังนี้ คือ 1) วัตถุประสงค์ของรูป แบบมุ่งให้ 2) หลักการของรูปแบบมี 3 หลักการคือหลักการธรรมาภิบาล หลักการจัดการความเสี่ยง และหลักการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพ 3) กระบวนการดำเนินงานของรูปแบบต้องคำนึงหลักการทั้งสามของรูปแบบและใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงานทั้งด้านการวางแผนการจัดการความเสี่ยง ด้านการระบุความเสี่ยง ด้านการวิเคราะห์ความเสี่ยง ด้านการควบคุมความเสี่ยง ด้านการประเมินความเสี่ยง และด้านการรายงานความเสี่ยง 4) การประเมินผลของรูปแบบโดยการวัดผลที่เกิดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของรูปแบบ และ 5) เงื่อนไขความสำเร็จของรูปแบบ คือ การเสริมแรง และความไว้วางใจของสมาชิกสหกรณ์</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269564 การวางแผนกลยุทธ์ทางการศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์ 2023-12-19T12:38:16+07:00 กานดา การะเกตุ karakate.kme@gmail.com ทินกร พูลพุฒ sutin1955@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการวางแผนกลยุทธ์ทางการศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์ 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการวางแผนกลยุทธ์ทางการศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์ และ 4) สร้างสมการพยากรณ์การวางแผนกลยุทธ์ทางการศึกษาที่สามารถทำนายประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม คุณภาพของแบบสอบถามทั้งฉบับมีค่าความเที่ยงตรงตามเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.60-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.998 ผลการวิจัยพบว่า 1) การวางแผนกลยุทธ์ทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) การวางแผนกลยุทธ์ทางการศึกษามีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 4) การวางแผนกลยุทธ์ทางการศึกษาทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในการกำหนดวิสัยทัศน์ การกำหนดพันธกิจ การจัดทำแผนปฏิบัติการ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกและการกำหนดเป้าประสงค์ สามารถร่วมกันทำนายประสิทธิผลของสถานศึกษา ซึ่งสามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน ดังนี้</p> <p><img title="\hat{Y}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\hat{Y}" />= 0.60 + 0.30(X<sub>2</sub>) + 0.24(X<sub>3</sub>) + 0.21(X<sub>4</sub>) + 0.11(X<sub>8</sub>) + 0.10(X<sub>1</sub>) + 0.09(X<sub>5</sub>)</p> <p><img title="\hat{Z}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\hat{Z}" /> = 0.33(Z<sub>2</sub>) + 0.28(Z<sub>3</sub>) + 0.25(Z<sub>4</sub>) + 0.12(Z<sub>8</sub>) + 0.11(Z<sub>1</sub>) + 0.10(Z<sub>5</sub>)</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269069 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยแบบฝึกทักษะการแก้ปัญหา ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2023-12-24T19:30:13+07:00 ณัฐธิดา หม่องเหล็ก nattida1255@gmail.com ละดา ดอนหงษา Pulada2010@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยแบบฝึกทักษะการแก้ปัญหา 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยแบบฝึกทักษะการแก้ปัญหา 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยแบบฝึกทักษะการแก้ปัญหา กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมหฤทัยคริสเตียน อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.33 – 0.67 และค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.33 – 0.83 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ ค่าประสิทธิภาพ E<sub>1</sub> / E<sub>2 </sub>และการทดสอบค่าทีแบบ ไม่อิสระ ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยแบบฝึกทักษะการแก้ปัญหา มีประสิทธิภาพ 80.42/76.22 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเสริมด้วยแบบฝึกทักษะการแก้ปัญหา อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269401 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2023-12-24T10:56:48+07:00 นิชานันท์ เฉลิมศักดิ์ตระกูล nichanun.034@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 2) เพื่อศึกษาระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครปฐม เขต 1 3) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ผู้บริหารและครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane จำนวน 324 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์หรือการสร้างบารมี รองลงมาได้แก่ การสร้างแรงบันดาลใจ ส่วนการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 2) องค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยรวม โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อมีการพิจารณาในรายละเอียด พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านการมีแบบแผนความคิดอ่าน ส่วนด้านการเรียนรู้เป็นทีม มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา เรียงตามลำดับอิทธิพลจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล(X4) ด้านการกระตุ้นทางปัญญา(X3) และด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์หรือการสร้างบารมี(X1) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> </p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269083 ผลการเรียนแบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด ต่อความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2023-12-06T09:57:53+07:00 ชยานันต์ ยอดคีรี delreygermanotta@gmail.com วิไล พลพวก nn.pachob@gmail.com <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยการเรียนแบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิดระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด แบบแผนการวิจัยที่ใช้คือ แบบกลุ่มเดียววัดก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 24 คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีค่า ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.25 - 0.50 ความยากง่ายระหว่าง 0.62 - 0.79 และ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.86 และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบกับเกณฑ์ (One Sample T-Test) และการทดสอบที แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (dependent t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการเรียนแบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความสามารถในการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการเรียนแบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือแบบ CIRC เสริมด้วยเทคนิคการสะท้อนคิด อยู่ในระดับมาก</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269054 ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2023-12-26T16:23:35+07:00 วันทนา เล่ห์มนตรี pad99pad@gmail.com วิไล พลพวก nn.pachob@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองแวงน้อย จำนวน 36 คน ได้จากการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความยากง่าย ระหว่าง 0.38 - 0.72 มีค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.22 – 0.47 และค่าความเชื่อมั่น 0.86 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค TGT ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมาก</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270081 การพัฒนาทักษะการบริหารสถานศึกษาเพื่อเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหาร ใน ศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 2024-01-15T14:15:14+07:00 พิมพฤทธิ์ เที่ยงภักดิ์ pimparit.t1107@gmail.com จิรวัฒน์ กิติพิเชฐสรรค์ ub2493@gmail.com วิจิตรา เจริญพงษ์ wijitranok195@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาและเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนจำนวน 16 โรงเรียน จำนวน 109 คน ผู้ให้สัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รวมจำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด รายด้าน อยู่ในระดับ มากที่สุด ได้แก่ ด้านทักษะด้านการสื่อสารและความร่วมมือ ทักษะด้านการสื่อสารและความร่วมมือ ทักษะด้านความรู้ความรับผิดชอบ ทักษะด้านการสร้างสรรค์ผลิตนวัตกรรม ตามลำดับ ส่วนอันดับน้อยที่สุดคือทักษะด้านการบริหารและการปรับตัว อยู่ในระดับมาก 2) แนวทางพัฒนาและเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จะต้องมีการพัฒนาทักษะ 1. ทักษะด้านการบริหารและการปรับตัว 2. ทักษะด้านการสื่อสารและความร่วมมือ 3. ทักษะด้านความรู้ความรับผิดชอบ 4. ทักษะด้านการเปลี่ยนแปลงและการใช้เทคโนโลยี และ 5. ทักษะด้านการสร้างสรรค์ผลิตนวัตกรรม 3) ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเสริมสร้างคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ใน 4 ด้าน คือ 1. ด้านบุคลิกภาพ 2. ด้านคุณธรรมจริยธรรม 3. คุณลักษณะด้านวิชาการ และ 4. ด้านภาวะผู้นำ</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/269735 แนวทางพัฒนาการดำเนินงานการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียนในความเป็นปกติใหม่ของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 1 2023-12-27T16:04:53+07:00 นริสรา เรียนรู้ kung_english@hotmail.com พฤฑฒิพล พฤฑฒิกุล pruettipol.ethesis@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและเปรียบเทียบการดำเนินงานการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียนในความเป็นปกติใหม่ของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต1 จำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์ 2) หาแนวทางพัฒนาการดำเนินงานการวัดผลประเมินผลและเทียบโอนผลการเรียนในความเป็นปกติใหม่ของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต1 กลุ่มตัวอย่าง 230 คน ผู้ให้ข้อมูล 17 คน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา Independent t-test และ One-way ANOVAผลการศึกษาพบว่า ด้านการวัดผลประเมินผลการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียนมีสภาพการดำเนินงาน อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อจำแนกตามวุฒิการศึกษา พบว่า ไม่แตกต่างกัน และจำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงาน พบว่า ผู้บริหารและครูที่มีประสบการณ์ 1-10 ปี กับ 11-20 ปี มีการวัดผลประเมินผลการเทียบโอนผลการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเท่ากับ .026 มีข้อเสนอแนะ คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาควรนำผลการวิจัยมากำหนดเป็นกลยุทธ์ในการดำเนินงาน สถานศึกษาควรนำผลการวิจัยมาจัดทำแผนงานเพื่อนำมาพัฒนาครูให้มีความรู้ในการวัดผลประเมินผลอย่างถูกต้อง ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมให้ครูนำผลการวิจัย ไปใช้ในการพัฒนาและออกแบบให้สอดคล้องกับแนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ. 2566</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270080 การพัฒนารูปแบบโรงเรียนดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระบุรี เขต 2* 2024-01-14T08:57:13+07:00 อภิสรรค์ ภาชนะวรรณ ap_pra2009@hotmail.com เสริมทรัพย์ วรปัญญา sermsapvorapanya@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการพัฒนารูปแบบโรงเรียนดี และประเมินประสิทธิภาพการพัฒนารูปแบบโรงเรียนดี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสระบุรี เขต 2 โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพัฒนา คือ การอบรมเชิงปฏิบัติการโดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม การติดตาม และการนิเทศ กลุ่มเป้าหมายเป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2 จำนวน 5 โรงเรียน โดยการเลือกแบบเจาะจง มีขั้นตอนในการวิจัย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การร่างการพัฒนารูปแบบ โรงเรียนดี 2) สร้างรูปแบบการพัฒนาโรงเรียนดี 3) การทดลองใช้การการพัฒนารูปแบบโรงเรียนดี 4) ประเมินคุณภาพการใช้ การพัฒนารูปแบบโรงเรียนดี 5) นำการการพัฒนารูปแบบโรงเรียนดี ที่สมบูรณ์ไปใช้ในการพัฒนาโรงเรียนในสังกัด ผลการวิจัยพบว่า ได้รูปแบบการพัฒนาโรงเรียนดี ที่มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ 1) ด้านการบริหารจัดการ ด้านการจัดการเรียนการสอน การประกันคุณภาพผู้เรียน 2) ด้านผลที่เกิดกับนักเรียน สถานศึกษา และชุมชน และ 3) ผลการประเมินประสิทธิภาพการการพัฒนารูปแบบโรงเรียนดี โดยผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการวิจัยพบว่า ด้านการบริหารจัดการและด้านการจัดการเรียนการสอนการประกันคุณภาพผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยในระดับมากที่สุด ด้านผลที่เกิดกับผู้เรียน โรงเรียน และชุมชน มีค่าเฉลี่ยในระดับมาก ผลการประเมินประสิทธิภาพ และด้านเนื้อหาของรูปแบบมีความสอดคล้องกัน</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270242 การศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของกระบวนการบริหารสื่อการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาตำบลแม่คะ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ 2024-01-25T13:10:13+07:00 ธนากษิณ โนสุ hades_tanagasin@hotmail.com สมเกตุ อุทธโยธา somkate.utt@gmail.com สายฝน แสนใจพรม koonfon3@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของกระบวนการบริหารสื่อการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษา ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง&nbsp; จังหวัดเชียงใหม่ ประชากรในการวิจัย รวม 120 คน แบ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์เป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 บุคคล ได้แก่ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนบ้านแม่คะ 2) ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนบ้านเหมืองแร่ 3) ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนบ้านโป่งนก 4) ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนบ้านปางปอย 5) ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนบ้านห้วยไคร้ และผู้ให้ข้อมูลในการตอบแบบสอบถาม ได้แก่ หัวหน้างานบริหารงานวิชาการและบุคลากรทางการศึกษาในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษา ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง&nbsp; จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 92 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กระบวนการบริหารสื่อการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีระบบ เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาตำบลแม่คะ อำเภอฝาง&nbsp; จังหวัดเชียงใหม่ ใช้สำหรับผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 5 โรงเรียน และ แบบสอบถามกระบวนการบริหารสื่อการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีระบบ เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาตำบลแม่คะ อำเภอฝาง&nbsp; จังหวัดเชียงใหม่ ใช้สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษา ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง&nbsp; จังหวัดเชียงใหม่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันและปัญหาของกระบวนการบริหารสื่อการเรียนรู้โดยใช้ทฤษฎีระบบ เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ของศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษา ตำบลแม่คะ อำเภอฝาง&nbsp; จังหวัดเชียงใหม่ ในภาพรวมของศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษา ตำบลแม่คะ ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมดำเนินการ โดยนำกระบวนการทฤษฎีระบบมาใช้ในการบริหารสื่อการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) ด้านนโยบายและแผน ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษา ตำบลแม่คะ ไม่ได้ดำเนินการกำหนดเป้าหมายในการบริหารสื่อเพื่อการเรียนรู้ที่ชัดเจนและไม่ได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการบริหารสื่อเพื่อการเรียนรู้ไว้ใช้ดำเนินการ 2) ด้านงบประมาณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาตำบลแม่คะ มีการจัดทำงบประมาณการบริหารสื่อเพื่อการเรียนรู้ที่ไม่ชัดเจน 3) ด้านบุคลากร ในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาตำบลแม่คะขาดการประเมินผลงานบุคลากรด้านการบริหารสื่อเพื่อการเรียนรู้ 4) ด้านส่งเสริมวิชาการ ขาดความต่อเนื่องของการนิเทศแนะนำการปฏิบัติงานด้านการบริหารสื่อเพื่อการเรียนรู้ 5) ด้านบริหารจัดการ ในศูนย์พัฒนาคุณภาพการศึกษาตำบลแม่คะการบริหารจัดการและการประเมินผลที่เป็นลำดับขั้นตอนที่ยังชัดเจน</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/271195 แนวทางการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ของโรงเรียนบ้านป่าแดง ตำบลบ้านหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ 2024-03-15T11:46:52+07:00 วิเชียร บุราณรักษ์ rutcha_k@hotmail.com สำเนา หมื่นแจ่ม rutcha_k@hotmail.com ภูเบศ พวงแก้ว rutcha_k@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านป่าแดง ตำบลบ้านหลวง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ประชากรในการวิจัย 59 คนแบ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ จำนวน 15 คน คณะกรรมการสถานศึกษา จำนวน7 คน สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านหลวง จำนวน 5 คน เจ้าอาวาสและผู้นำศาสนาคริสต์จำนวน 7 คนผู้นำชนเผ่า/ผู้นำชุมชน จำนวน 6คน ประธานผู้ปกครองนักเรียนชั้นอนุบาล 2-มัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 คน สภานักเรียนโรงเรียนบ้านป่าแดงจำนวน 9 คน รวมทั้งสิ้น 59 คนเครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยใช้แนวคิดเรื่องระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน แนวคิดทฤษฎีแบบมีส่วนร่วม ใช้กระบวนการบริหารแบบ วงจรคุณภาพ (PDCA) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าสภาพและปัญหาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ประกอบด้วย 1) การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านป่าแดง ไม่ได้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการดำเนินการที่ชัดเจนทั้งระบบ การปฏิบัติเป็นผู้ปฏิบัติรายบุคคล หรือครูผู้รับผิดชอบ ส่งผลให้การดำเนินงาน การประเมิน ตรวจสอบไม่มีประสิทธิผลเท่าที่ควร 2) การคัดกรองนักเรียนงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง ส่งผลให้การปฏิบัติงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ขาดการวิเคราะห์ข้อมูล การดึงทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง มาเพื่อคัดกรองนักเรียน ทั้งกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง และกลุ่มมีปัญหาส่งผลให้ การดำเนินการแก้ไขปัญหา หรือส่งเสริม ไม่ได้รับการดำเนินการ 3) การส่งเสริมและการพัฒนา ขาดการวางแผนงานในส่งเสริมนักเรียนให้ได้พัฒนาสู่ความเป็นเลิศ และไม่มีการตรวจ ประเมิน ให้ดีขึ้นเท่าที่ควร 4) การป้องกันและแก้ไขปัญหาขาดการปฏิบัติที่มีความต่อเนื่อง และประเมินผล ส่งผลให้ไม่มีแนวทางในการปฏิบัติหรือป้องกันปัญหา 5) การส่งต่อ การวางแผน การปฏิบัติงาน ไม่มีการมีส่วนร่วมในการส่งเสริม สนับสนุนจากบุคคล ทรัพยากร หรือเครือข่ายของโรงเรียน ทำให้ทิศทางในการส่งต่อไม่ชัดเจน</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270995 ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์เขตภาคกลางสู่ความเป็นเลิศ 2024-03-09T14:31:20+07:00 สุนีย์ เหมรัตน์ hmeenop@gmail.com อรพรรณ ตู้จินดา otoochinda@yahoo.com ดวงใจ ชนะสิทธิ์ Aod932@yahoo.com มิ่งขวัญ ภาคสัญไชย mingkhuan.pha@kmutt.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับปัจจัยการบริหารจัดการโรงเรียนมัธยมศึกษา ในพระราชูปถัมภ์เขตภาคกลางสู่ความเป็นเลิศ 2. ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์เขตภาคกลางสู่ความเป็นเลิศ 3. ตรวจสอบและยืนยันโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์เขตภาคกลางสู่ความเป็นเลิศ ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี วิธีการดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้ ระยะที่ 1 การศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ระยะที่ 2 วิเคราะห์โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุและข้อมูลเชิงประจักษ์ด้านการบริหารจัดการโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์สู่ความเป็นเลิศ ระยะที่ 3 ตรวจสอบและยืนยันโมเดล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร และครู จำนวน 505 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามที่สร้างขึ้นโดยผู้วิจัยและวิเคราะห์เชิงเนื้อหา สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เส้นทาง ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริหารจัดการโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์เขตภาคกลางสู่ความเป็นเลิศในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยดังนี้ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ การจัดการความรู้ การมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้นำมีวิสัยทัศน์ และภาวะผู้นำของผู้บริหาร ตามลำดับ 2) โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์ เขตภาคกลางสู่ความเป็นเลิศ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ผู้นำมีวิสัยทัศน์ การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์มีอิทธิพลทางตรง ส่วนภาวะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรง และอิทธิพลทางอ้อมผ่านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ผู้นำมีวิสัยทัศน์ การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์การมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การจัดการความรู้ ส่วนการมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีอิทธิพลทางตรงและมีอิทธิพลทางอ้อมผ่านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ สำหรับการจัดการความรู้มีอิทธิพลทางอ้อมผ่านผู้นำมีวิสัยทัศน์ 3) การตรวจสอบและยืนยันโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการโรงเรียนมัธยมศึกษาในพระราชูปถัมภ์เขตภาคกลางสู่ความเป็นเลิศ พบว่า ภาวะผู้นำของผู้บริหาร การมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียการจัดการความรู้ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ ผู้นำมีวิสัยทัศน์ และการบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ทั้ง 6 ปัจจัยมีความเหมาะสม เป็นไปได้ ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในทุกองค์ประกอบ</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/271200 แนวทางพัฒนาการสร้างเสริมองค์กรแห่งความสุขในความปรกติใหม่ของสถานศึกษา อำเภอคลองขลุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 2024-04-05T14:29:21+07:00 นารีรัตน์ อัจฉริยะมณีกุล z.naree13@gmail.com ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล rukponmongkon@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและปัญหา เปรียบเทียบสภาพการสร้างเสริมองค์กรแห่งความสุขในความปรกติใหม่ และหาแนวทางพัฒนาการสร้างเสริมองค์กรแห่งความสุขในความปรกติใหม่ของสถานศึกษา อำเภอคลองขลุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและข้าราชการครู จำนวน 198 คน โดยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเคร็จซี่และมอร์แกน และสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 17 คน โดยใช้เทคนิคเดลฟาย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพการสร้างเสริมองค์กรแห่งความสุขในความปรกติใหม่ของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านใฝ่รู้ดีและด้านจิตวิญญาณดี และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านร่างกายดี และปัญหาที่พบมากที่สุด คือ ไม่มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว (2) การเปรียบเทียบสภาพการสร้างเสริมองค์กรแห่งความสุขในความปรกติใหม่ของสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงานและจำแนกตามขนาดโรงเรียน ไม่แตกต่างกัน (3) แนวทางพัฒนาการสร้างเสริมองค์กรแห่งความสุขในความปรกติใหม่ของสถานศึกษา พบว่า 1) ควรเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนในองค์กร 2) ควรชื่นชมและให้กำลังใจในผลงานการปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพ 3) ควรเป็นผู้ประสานงานดีในการขอความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ 4) ควรจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี 5) ควรให้คำปรึกษากับบุคลากรได้ในทุกด้าน 6) ควรสร้างความตระหนักในการประหยัดอดออมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง 7) ควรส่งเสริมให้มีการผ่อนคลายในการทำงาน 8) ควรเป็นแบบอย่างในการคิดเชิงบวกและการปฏิสัมพันธ์ที่ดี</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/271201 แนวทางพัฒนาการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานในสถานการณ์การเปลี่ยน ฉับพลัน (Disruption) ของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 2024-04-03T21:19:16+07:00 อลิสา มะริด alisa140137@gmail.com ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล rukponmongkon@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน เปรียบเทียบสภาพการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน และหาแนวทางพัฒนาการบริหารโดยใช้โรงเรียน<br />เป็นฐาน ในสถานการณ์การเปลี่ยนฉับพลัน (Disruption) ของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงาน<br />เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากำแพงเพชร เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 38 คน และข้าราชการครู จำนวน 216 คน รวมทั้งสิ้น 254 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้ตารางของเคร็จซี่และ<br />มอร์แกน และการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 17 คน เครื่องมือ<br />ที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า (1) สภาพการบริหารโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และปัญหาที่พบมากที่สุดคือ ขาดนวัตกรรมในการบริหารการแก้ปัญหาในด้านการจัดการเรียนการสอน (2) การเปรียบเทียบสภาพการบริหาร จำแนกตามวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การปฏิบัติงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 (3) แนวทางพัฒนา พบว่า 1) ผู้บริหารควรมีการวิเคราะห์ความรู้ ความสามารถของแต่ละคน เพื่อมอบหมายงานตามความเหมาะสม 2) สถานศึกษาควรจัดประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครองอย่างน้อยปีการศึกษาละ 2 ครั้ง 3) ผู้บริหารควรมีการประสานขอความร่วมมือจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดนโยบายและจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา 4) ผู้บริหารและครูควรหมั่นรับการอบรมพัฒนาตนเอง แสวงหาความรู้ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ ติดตามข่าวสารของทางราชการให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้ทราบการดำเนินงานที่ทันสมัย และกล้าที่จะทดลองใช้กระบวนการใหม่ๆ 5) สถานศึกษาควรมีการตรวจสอบ โดยให้คณะกรรมการร่วมประชุมกับคณะครู เพื่อสรุปข้อดี ข้อด้อยที่ควรพัฒนา</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/271041 แรงจูงใจที่ส่งผลต่อสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต 2024-03-09T15:52:32+07:00 กุลธิดา วาหะ kulthida9645@gmail.com สุดาพร ทองสวัสดิ์ sudaporn@hu.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ศึกษาสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงาน และศึกษาแรงจูงใจที่ส่งผลต่อสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการศึกษา ประชากร คือ บุคลากรทางการศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จำนวน 938 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 273 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามขนาดของสถานศึกษา และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยวิธีการจับสลากแบบไม่ใส่คืน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการคิดวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า แรงจูงใจในการในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความรับผิดชอบ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านความสำเร็จในการทำงาน ด้านลักษณะงาน ด้านการยอมรับนับถือ และด้านความก้าวหน้าในตำแหน่ง ตามลำดับ ระดับสรรถนะในการปฏิบัติงาน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพครู ทีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ ด้านการทำงานเป็นทีม ด้านการบริการที่ดีด้านการพัฒนาตนเอง และด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน ตามลำดับ สำหรับแรงจูงใจที่ส่งผลต่อสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงาน พบว่า ด้านความรับผิดชอบ ด้านความสำเร็จในการทำงานด้านการยอมรับนับถือ ด้านลักษณะงาน ส่งผลต่อสมรรถนะหลักในการปฏิบัติงาน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ .073 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/271040 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง 2024-03-22T20:51:57+07:00 อัจจิมา วาหะ atchimanongnong@gmail.com สุดาพร ทองสวัสดิ์ sudaporn@hu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพังงา ภูเก็ต ระนอง ปีการศึกษา 2565 จำนวน 299 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยการเทียบจากตารางกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน และสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ .99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จึงมีความเห็นว่า 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา ควรมีวิธีการบริหารงานที่ทำให้ครูเกิดแรงจูงใจในการปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจ และมีการวิเคราะห์เหตุการณ์ วินิจฉัยปัญหา คาดการณ์เหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน 2) การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ผู้บริหารสถานศึกษาควรให้ความสำคัญเกี่ยวกับการส่งต่อนักเรียน สถานศึกษาควรมีการรายงานผลการส่งต่อนักเรียนให้ผู้ปกครองทราบอย่างต่อเนื่อง และ 3) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับสูง และการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษานั้นมีประสิทธิภาพ</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270807 แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในพื้นที่โครงการพัฒนา ดอยตุง(พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ 2024-03-22T12:56:13+07:00 วันมงคล กุณา wanmongkol.toto@gmail.com ไพรภ รัตนชูวงศ์ em_pairop_r@crru.ac.th สุวดี อุปปินใจ Suwadee123@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันในการบริหารวิชาการ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยในการบริหารวิชาการ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารวิชาการ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ข้อที่ 1 ได้แก่ผู้บริหารสถานศึกษา 6 คน ครูผู้สอน 86 คน ข้อที่ 2 ได้แก่หัวหน้างานวิชาการของโรงเรียน จำนวน 5 คน และข้อที่ 3 ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 1 คน ศึกษานิเทศก์ จำนวน 1 คน และหัวหน้างานวิชาการของโรงเรียน จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ มาวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการบริหารงานวิชาการ ผลการศึกษาพบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยในการบริหารวิชาการ ได้แก่ ปัจจัยภายใน ด้านโครงสร้างและนโยบายของสถานศึกษา , ผลผลิตและบริการ ,บุคลากร , ประสิทธิภาพทางการเงิน , วัสดุทรัพยากร และ การบริหารจัดการ ปัจจัยภายนอก ด้านสังคมและวัฒนธรรม , ด้านเทคโนโลยี , ด้านเศรษฐกิจ และ ด้านการเมืองและกฎหมาย 3) แนวทางการพัฒนาการบริหารวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา , ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ , ด้านการพัฒนาและการใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และ ด้านการวัดผล ประเมินผลและการดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270775 แนวทางการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้นาฏศิลป์ โดยใช้หลักการมีส่วนร่วมของโรงเรียน ในศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา พานบูรพา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 2 2024-03-22T20:51:25+07:00 กนกวรรณ ชิดชาญชัย e54141704@gmail.com วิชิต เทพประสิทธิ์ drwichit@crru.ac.th ไพรภ รัตนชูวงศ์ captpairop@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้นาฏศิลป์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้ 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้นาฏศิลป์ โดยใช้หลักการมีส่วนร่วม ของโรงเรียนในศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา พานบูรพา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงรายเขต 2 โดยใช้เครื่องมือที่ศึกษา ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ผลการศึกษาพบว่า 1.ผลการศึกษาสภาพการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้นาฏศิลป์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง 2.ปัจจัยที่ส่งผลต่อสภาพการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้ พบว่าทั้งปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอก ล้วนส่งผลต่อสภาพการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้นาฏศิลป์ทั้งสิ้น 3.แนวทางการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้นาฏศิลป์ โดยใช้หลักมีส่วนร่วม แยกเป็นรายด้านตามขั้นตอนการบริหารหลักสูตรการเรียนรู้นาฏศิลป์ ขั้นตอนที่ 1 การวางแผนการใช้หลักสูตร ขั้นตอนที่ 2 การนำหลักสูตรไปใช้ ขั้นตอนที่ 3 การนิเทศ กำกับติดตามการใช้หลักสูตร ขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลการใช้หลักสูตร โดยใช้หลักการมีส่วนร่วม 4 หลัก ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ 2) การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ 3) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ 4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/270947 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารงานวิชาการโรงเรียน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย กลุ่มโซนใต้ 2024-03-09T14:19:19+07:00 สุภาสินี มีอาหาร suphasinee28042523@gmail.com สุดาพร ปัญญาพฤกษ์ ed_sudaporn@crru.ac.th สมเกียรติ ตุ่นแก้ว somkiet.tun@crru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารงานวิชาการ 2) ศึกษาปัจจัยสำคัญในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารงานวิชาการ และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเชียงราย กลุ่มโซนใต้ ประชากร ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษาโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดเชียงราย กลุ่มโซนใต้ จำนวน 397 คน กลุ่มตัวอย่างครูจำนวน 196 คน และผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 20 คน ได้จากวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และโดยการวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารงานวิชาการ ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 3.50 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า การสร้างวัฒนธรรมองค์การ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.56 2) ปัจจัยสำคัญในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารงานวิชาการ ประกอบด้วย ปัจจัยจูงใจ คือ ผู้บริหารกระตุ้นและจูงใจให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ตามหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ มอบหมายงานตามความถนัด ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในกิจกรรมการเรียนการสอน มีการวัดผลประเมินผลตามเป้าหมายของสถานศึกษา กำกับติดตามสร้างขวัญและกำลังใจให้ครูอย่างสม่ำเสมอ ปัจจัยค้ำจุน คือ การมอบหมายงานให้เหมาะสมกับความสามารถ จัดหางบประมาณ จัดอบรม ส่งเสริมสนับสนุนให้ร่วมกันจัดทำหลักสูตร การวัดผลประเมินผล กำกับติดตามกระบวนการสอนให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์เพื่อการบริหารงานวิชาการ โรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดเชียงราย กลุ่มโซนใต้ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ 1) การกำหนดทิศทางขององค์การ 2) การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ 3) การสร้างวัฒนธรรมองค์การ</p> 2024-06-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)