วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT <p><strong>Journal of Association of Professional Development of Educational Administration of Thailand (JAPDEAT) <br />วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.)<br />ISSN <span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">3027-8813</span> (Online)</strong><br /><br />สมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เลขที่ 119 หมู่ที่ 9 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ มีการแต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด หรือการเปลี่ยนแปลงกรรมการของสมาคม และนายทะเบียนสมาคม จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับจดทะเบียน แต่งตั้งกรรมการของสมาคมขึ้นใหม่ทั้งชุด ตามมาตรา 85 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว <br />สมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย โดยนายกสมาคม รองศาสตราจารย์ ดร.จิณณวัตร ปะโคทัง และคณะกรรมการบริหารสมาคมได้มีดำริในการพัฒนาวารสารวิชาการวิชาการเพื่อเป็นพื้นที่ตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิชาการ ผลงานวิจัย บทความวิชาการของนักวิจัย นักวิชาการ และผู้สนใจทั่วไป ในนามสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย และพัฒนาให้เป็นไปตามมาตรฐานของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI)</p> th-TH jinawatara@hotmail.com (รศ.ดร.จิณณวัตร ปะโคทัง ) rattana.prof@gmail.com (รศ.ดร.รัตนะ ปัญญาภา) Mon, 08 Sep 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การบริหารจัดการความรู้เชิงสร้างสรรค์: แนวทางสู่การพัฒนาองค์กรนวัตกรรม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281202 <p>การบริหารจัดการความรู้เชิงสร้างสรรค์ เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพขององค์กรเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวคิด แนวปฏิบัติ และองค์ประกอบของการบริหารจัดการความรู้เชิงสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเสนอแนวทางในการประยุกต์ใช้สู่การพัฒนาองค์กรนวัตกรรม โดยอ้างอิงจากกรอบแนวคิดเชิงบูรณาการ ทฤษฎีนวัตกรรม และแนวคิดองค์กรแห่งการเรียนรู้ ผลการวิเคราะห์พบว่า องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการความรู้เชิงสร้างสรรค์ มีการบริหารจัดโครงสร้างองค์กรที่ยืดหยุ่น มีการสร้างวัฒนธรรมแห่งการเรียนรู้ การแลกเปลี่ยนอย่างเสรี และผู้บริหารหรือผู้นำมีภาวะผู้นำที่ส่งเสริมการคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสามารถนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่ยั่งยืนและเปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ความเป็นผู้นำในยุคดิจิทัล</p> ปัญจศีล ภูสงัด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281202 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการความรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะนักวิจัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279732 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของการบริหารจัดการความรู้ (Knowledge Management: KM) ในการพัฒนาสมรรถนะของนักวิจัยในสถาบันอุดมศึกษา โดยพิจารณาจากองค์ประกอบสำคัญของสมรรถนะ ได้แก่ ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะส่วนบุคคล ทั้งนี้เน้นการเชื่อมโยงระหว่างการจัดการความรู้กับกระบวนการสร้าง พัฒนา และใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของนักวิจัยในการผลิตงานวิจัยที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของสถาบันและประเทศ โดยเฉพาะในบริบทของมหาวิทยาลัยท้องถิ่นที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตองค์ความรู้เพื่อรับใช้สังคม</p> <p> ผลการวิเคราะห์พบว่า การบริหารจัดการความรู้ที่มีประสิทธิภาพช่วยส่งเสริมการพัฒนาสมรรถนะของนักวิจัยในทุกมิติ ได้แก่ การจัดการความรู้ด้านระเบียบวิธีวิจัย การเข้าถึงแหล่งทุนวิจัย การใช้เทคโนโลยีเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูล การแบ่งปันความรู้ผ่านเครือข่ายนักวิจัย และการใช้ระบบสนับสนุนการทำงานร่วมกัน เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์และฐานข้อมูล นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะทางจริยธรรมวิชาชีพและการตระหนักถึงความสำคัญของจริยธรรมในการวิจัยในมนุษย์ ยังเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพของงานวิจัยอย่างยั่งยืน</p> <p> </p> ชลธิชา ระลึก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279732 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลในกระบวนการนิเทศการศึกษาเพื่อการพัฒนาวิชาชีพครูในยุคดิจิทัล : การนิเทศแบบผสมผสาน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279933 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งนำเสนอแนวคิดและหลักการในการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการนิเทศการศึกษาในบริบทการพัฒนาวิชาชีพครู โดยวิเคราะห์รูปแบบการนิเทศออนไลน์และการนิเทศแบบผสมผสานที่เป็นนวัตกรรมสำคัญในยุคดิจิทัล การศึกษาพบว่าการนิเทศการศึกษาในปัจจุบันจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เร่งให้ระบบการศึกษาต้องพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น การนิเทศแบบผสมผสานที่มีการบูรณาการเทคโนโลยีอย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาวิชาชีพครู ลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ (PLC) และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการนิเทศรูปแบบดังกล่าวขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี สมรรถนะด้านดิจิทัลของผู้นิเทศและครู นโยบายสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัด และการออกแบบกระบวนการนิเทศที่เน้นการมีส่วนร่วมและการสะท้อนคิด</p> ชวดล ต้นแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279933 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาไทย: กุญแจสู่การพลิกโฉมโรงเรียนในยุค AI https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280414 <p>ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการศึกษา บทบาทภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา กลายเป็นปัจจัยชี้ขาดในการพลิกโฉมโรงเรียนไทยให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของศตวรรษที่ 21 บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาไทยในฐานะกุญแจสู่การพัฒนาคุณภาพการศึกษาในยุค AI โดยสอดแทรกกรอบนโยบายการศึกษาที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย บทความได้ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อจำแนกองค์ประกอบสำคัญของภาวะผู้นำดิจิทัล อาทิ วิสัยทัศน์ด้านดิจิทัล การบริหารจัดการเทคโนโลยี การพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลของครูบุคลากร ตลอดจนการใช้นวัตกรรม AI ในการจัดการเรียนรู้ จากนั้นจึงวิเคราะห์เชิงนโยบายโดยเชื่อมโยงกรอบภาวะผู้นำดิจิทัลกับแผนปฏิบัติราชการกระทรวงศึกษาธิการ ปี 2568 แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560–2574 และแผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2566–2570 ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าภาวะผู้นำดิจิทัลเป็นปัจจัยสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติ ตั้งแต่การส่งเสริมทักษะแห่งอนาคตสำหรับผู้เรียน การนำ AI มาประยุกต์ใช้ในโรงเรียน ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา บทความนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาไทย และสังเคราะห์องค์ความรู้ใหม่ในรูปแบบกรอบแนวคิดที่เชื่อมโยงภาวะผู้นำดิจิทัลกับทิศทางนโยบายการศึกษาไทยในยุคดิจิทัลและ AI ซึ่งจะเป็นแนวทางในการพลิกโฉมโรงเรียนไทยให้ก้าวทันอนาคต</p> ชัยณรงค์ พ่อทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280414 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการหลักสูตรเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนยุคดิจิทัล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279145 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวทางการบริหารจัดการหลักสูตรที่สามารถพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนให้สอดคล้องกับความต้องการของศตวรรษที่ 21 โดยเน้นการบูรณาการองค์ความรู้ ทักษะ และเจตคติ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ และการพัฒนาระบบประเมินผลที่สะท้อนสมรรถนะจริงของผู้เรียน ผลการศึกษา พบว่าการบริหารจัดการหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพควรประกอบด้วยการกำหนดมาตรฐานหลักสูตรที่ชัดเจน การพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสมรรถนะ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการ การเรียนรู้ และการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาหลักสูตรให้ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานและสังคม แนวทางเหล่านี้ช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และสามารถพัฒนาตนเองให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต</p> วณิชชา สีหาวงษ์, สุวดี อุปปินใจ, ประเวศ เวชชะ, สมเกียรติ ตุ่นแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279145 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารหลักสูตรการครุศาสตรบัณฑิตในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279990 <p>บทความนี้ศึกษาการบริหารหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตในยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านเทคโนโลยีและความต้องการของสังคมโลก การศึกษาพบว่าการบริหารหลักสูตรควรมุ่งเน้นการบูรณาการเทคโนโลยี AI และดิจิทัลเข้ากับการเรียนรู้ พัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และปลูกฝังทักษะแห่งอนาคต (Future Skills) ให้กับผู้เรียน นอกจากนี้ บทบาทของครูต้องเปลี่ยนจากผู้ถ่ายทอดความรู้เป็นผู้อำนวยความรู้ (Facilitator) และมีสมรรถนะด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI อย่างรอบด้าน ทั้งนี้ แนวทางการบริหารหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพต้องครอบคลุมการออกแบบหลักสูตรที่ยืดหยุ่น การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การใช้เทคโนโลยี Big Data และ AI ในการประเมินผล และการพัฒนาวิชาชีพครูอย่างต่อเนื่อง บทความยังเสนอการประยุกต์ใช้ AI ในการบริหารจัดการ เช่น ระบบช่วยวางแผนตารางเรียน ระบบแนะนำการเรียนรู้เฉพาะบุคคล และการวิเคราะห์วิดีโอการสอน พร้อมทั้งนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาหลักสูตรและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอย่างยั่งยืน</p> ณัฐกานต์ พึ่งกุศล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279990 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาในยุคดิจิทัล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279957 <p>ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยการพัฒนาทักษะการบริหาร การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการเรียนการสอน และการบริหารสถานศึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ การมีภาวะผู้นำที่สามารถสร้างวิสัยทัศน์ดิจิทัลและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อผลักดันการพัฒนาทั้งผู้เรียนและผู้สอนในยุคดิจิทัล การสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานภายในและภายนอก รวมถึงการพัฒนาวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตลอดจนการพัฒนางานวิชาการ พัฒนาการเรียนการสอนให้ทันสมัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การบริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลเกิดประสิทธิผลสูงสุดและเกิดการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา อีกทั้งยังสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนให้พร้อมเข้าสู่การทำงานและการศึกษาในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ.</p> ดารุณี บุญวิเศษ, กฤษดา ผ่องพิทยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279957 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูตามโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับประถมศึกษา ด้วยกระบวนการนิเทศ 8 ร่วม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280052 <p>บทความวิชาการนี้มุ่งนำเสนอแนวคิดการนิเทศด้วยหลักการนิเทศแบบมีส่วนร่วมผนวกกับการนิเทศแบบร่วมมือ เน้นการดำเนินการด้วยความร่วมมือ ร่วมแรงและร่วมใจของผู้เกี่ยวข้องโดยผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศร่วมกันคิดหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน ด้วยการแนะนำ ชี้แนะ ชี้นำ ช่วยเหลือให้คำปรึกษา อย่างต่อเนื่อง แล้วดำเนินการประเมินและสะท้อนผลการนิเทศ ติดตามการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริม การจัดการเรียนรู้ระบบทีม การสร้างเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงรุกของครูตามโครงการ บ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทย ระดับประถมศึกษา ได้แก่ 1) ร่วมคิดวิเคราะห์เป้าหมาย (Cooperative for Analyzing to Identify the Goals) 2) ร่วมใจสร้างพลังปฏิบัติการ (Cooperative for the Workshop Participating) 3) ร่วมออกแบบนิเทศ (Cooperative for Design Supervision) 4) ร่วมปฏิบัติการนิเทศ (Cooperative for Operate Supervision) 5) ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ออนไลน์ (Cooperative for the Online Knowledge Sharing) 6) ร่วมประเมินผลการนิเทศ (Cooperative for the Evaluate Supervision) 7) ร่วมสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ที่เป็นเลิศ (Cooperative for the Best Learning Network Development) และ 8) ร่วมยกย่องเชิดชูเกียรติอย่างยั่งยืน (Cooperative for Giving the Sustainable Honorary Awards)</p> ปิยะวรรณ์ เชิญทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280052 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280004 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา การพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการให้มีประสิทธิภาพ ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยวิเคราะห์จากเอกสารทางวิชาการและงานวิจัย องค์ประกอบของภาวะผู้นำทางวิชาการประกอบด้วย การกำหนดวิสัยทัศน์และพันธกิจ การจัดการหลักสูตรและการสอน การนิเทศการศึกษา การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ การส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ การพัฒนาบุคลากร การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี การวัดและประเมินผล ตลอดจนการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายใน บทความนี้เสนอว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาองค์ประกอบเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนโรงเรียนสู่ความเป็นเลิศด้านวิชาการอย่างยั่งยืน</p> เพชรรุ่ง เรืองรุ่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280004 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการบริหารการศึกษาในยุคดิจิทัล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280396 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และแนวทางปฏิบัติในการขับเคลื่อนนวัตกรรมการบริหารการศึกษาในยุคดิจิทัล โดยเน้นการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับกระบวนการบริหารจัดการสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ บทความได้สังเคราะห์แนวคิดหลัก ได้แก่ ภาวะผู้นำดิจิทัล การบริหารการเปลี่ยนแปลง การสร้างนวัตกรรมในองค์กร และการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ พร้อมทั้งนำเสนอประเภทของนวัตกรรมทางการศึกษา เช่น นวัตกรรมการบริหารจัดการ นวัตกรรมหลักสูตร นวัตกรรมการประเมิน นวัตกรรมพัฒนาบุคลากร นวัตกรรมงบประมาณ นวัตกรรมการมีส่วนร่วม และนวัตกรรมบริหารความเสี่ยง โดยมีตัวอย่างการประยุกต์ใช้ เช่น โมเดล SAMR การตัดสินใจจากข้อมูล และการส่งเสริมจริยธรรมดิจิทัล อีกทั้งบทความยังวิเคราะห์แนวโน้มอนาคต เช่น การใช้ AI, Blockchain และ Metaverse สรุปได้ว่าการขับเคลื่อนนวัตกรรมต้องอาศัยภาวะผู้นำ วัฒนธรรมการเรียนรู้ และระบบข้อมูลที่เข้มแข็ง เพื่อสร้างการศึกษาที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน</p> ยุบลวรรณ สาชนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280396 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280945 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอนวัตกรรมการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีคำอธิบายลำดับขั้นตอนของแต่ละองค์ประกอบ หรือกิจกรรมที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ให้สามารถเข้าใจง่าย เพื่อใช้ในการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก เพื่อให้การบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็กเป็นระบบ ที่ส่งผลให้เกิดโรงเรียนการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก และบรรลุความมุ่งหมายของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อผลักดันให้เกิดโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษาได้สำเร็จ เป็นมิติใหม่แห่งการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพ และสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับพื้นฐานของการจัดการศึกษาในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถตอบสนองความต้องการของชุมชน มีความเหมาะสมในการรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนวัตกรรมการบริหารจัดการเพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดเล็ก แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ 1) นวัตกรรมที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ อุปกรณ์ สื่อเทคโนโลยี&nbsp; 2) นวัตกรรมที่เป็นวิธีการหรือกระบวนการบริหารจัดการ และรูปแบบการบริหารจัดการมีดังนี้ 1) การบริหารแบบบูรณาการ 2) การบริหารแบบเครือข่าย และ 3) การบริหารแบบมีส่วนร่วม</p> ศักดิ์ชัย วงศ์นภาไพศาล, สมเกียรติ ตุ่นแก้ว, สุวดี อุปปินใจ,  ไพรภ รัตนชูวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280945 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278902 <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางในการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษา ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีคำอธิบายลำดับขั้นตอนของแต่ละองค์ประกอบ หรือกิจกรรมที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ ให้สามารถเข้าใจง่าย เพื่อใช้ในการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษา เพื่อให้การบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษาเป็นระบบ ที่ส่งผลให้เกิดโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษาต้นแบบและบรรลุความมุ่งหมายของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อผลักดันให้เกิดโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษาได้สำเร็จ เป็นมิติใหม่แห่งการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพ และสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาตั้งแต่ระดับพื้นฐานของการจัดการศึกษาในโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถตอบสนองความต้องการของชุมชน มีความเหมาะสมในการรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรูปแบบการบริหารโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 ความหมายของรูปแบบการบริหารโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา องค์ประกอบที่ 2 หลักการบริหารคุณภาพโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา องค์ประกอบที่ 3 วัตถุประสงค์ของการบริหารโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา องค์ประกอบที่ 4 แนวทางการประเมินผลการบริหารโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา และ องค์ประกอบที่ 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา</p> สุทัศน์ ขันแก้ว, สุวดี อุปปินใจ, ไพรภ รัตนชูวงศ์, ประเวศ เวชชะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278902 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรความฉลาดรู้ทางการเงินสำหรับครูในยุคดิจิทัล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280702 <p>ความฉลาดรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) เป็นทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21 ที่ครูควรมีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตตนเองและถ่ายทอดความรู้สู่ผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561–2580) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560–2579 และนโยบายขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่ต่างเน้นการส่งเสริมทักษะการจัดการทางการเงินในระบบการศึกษา ดังนั้น บทความนี้จึงมุ่งพัฒนาหลักสูตรความฉลาดรู้ทางการเงินสำหรับครูในยุคดิจิทัล โดยประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 มิติ ได้แก่ (1) มิติความรู้พื้นฐานทางการเงิน เช่น การออม การลงทุน และการจัดทำงบประมาณ (2) มิติทักษะการตัดสินใจทางการเงิน เช่น การวางแผนเป้าหมาย การประเมินทางเลือก และ (3) มิติด้านเจตคติและพฤติกรรม เช่น วินัยทางการเงินและความรับผิดชอบ ทั้งนี้ กระบวนการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ การวิเคราะห์ความต้องการ การออกแบบหลักสูตร การเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม และการผลิตสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ ซึ่งประโยชน์ที่เกิดขึ้นไม่เพียงช่วยปรับพฤติกรรมทางการเงิน เสริมสร้างวินัย ลดความเสี่ยงในการก่อหนี้ใหม่ แต่ยังส่งเสริมบทบาทของครูในฐานะผู้นำทางการเงินในชุมชน และสามารถต่อยอดไปสู่ระดับนโยบายในอนาคตได้อย่างยั่งยืน</p> พลพิพัฒน์ วัฒนเศรษฐานุกุล, นิษฐ์ฐา พีระชัยภาวงศ์, ขวัญสุดา วงษ์แหยม, เสาวนีย์ ธีระกาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280702 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา กับประสิทธิภาพการสอนของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278987 <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ประสิทธิภาพการสอนของครู และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิภาพการทำงานของครู กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 7 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 335 คน ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 52 คน และครูจำนวน 283 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 และ แบบสอบถามประสิทธิภาพการสอนของครู ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่<em>(</em><em>f)</em> ค่าร้อยละ<em>(%) </em>ค่าเฉลี่ย<em>(</em><em>x)</em> ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<em>(</em><em>S.D.)</em> และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน<em>(</em><em>r) </em>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสิทธิภาพการสอนของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวม และรายด้าน มีความสัมพันธ์กันทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 มีความสัมพันธ์โดยภาพรวมทางบวกในระดับสูง มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .878</p> ญาราภรณ์ แสงสุระ, สรรฤดี ดีปู่  ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/278987 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่าง Soft skills ของผู้บริหารสถานศึกษา กับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279357 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษา Soft skills ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง Soft skills ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา โดยกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ปีการศึกษา 2567 คือ ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 26 คน และครูจำนวน 276 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามสัดส่วนแต่ละกลุ่มอำเภอของโรงเรียนรวมทั้งหมด 302 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 61 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ 0.60 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่น Soft skills ของผู้บริหารสถานศึกษาเท่ากับ 0.99 และประสิทธิผลของสถานศึกษา เท่ากับ 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) <br />ผลวิจัยพบว่า 1) Soft skills ของผู้บริหารสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา รายด้าน พบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ ด้านการทำงานเป็นทีม และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ ด้านการคิดอย่างสร้างสรรค์ 2) ศึกษาประสิทธิผลของสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก พิจารณารายด้าน พบว่าทุกด้านอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านความสามารถในการพัฒนานักเรียนให้มีทัศนคติทางบวก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความสามารถในการผลิตนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง 3) ความสัมพันธ์ระหว่าง Soft skills ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา ภาพรวมมีความสัมพันธ์กันทางบวกระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ประภาพรรณ ทองอินต๊ะ, พงษ์เอก สุขใส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279357 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 การประเมินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะชีวิตของนักเรียนด้วยกระบวนการ SEEKS Model: กรณีศึกษาโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๑๐๒ (บ้านเกาะเต่า) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279595 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินโครงการพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะชีวิตของนักเรียนด้วยกระบวนการ SEEKS Model: กรณีศึกษาโรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๑๐๒ (บ้านเกาะเต่า) ด้านบริบท ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการ และด้านผลผลิต โดยใช้รูปแบบการประเมินแบบ CIPP Model กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 เป็นผู้ให้ข้อมูลด้านปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วยครูและบุคลากร 15 คน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 7 คน รวม 22 คน กลุ่มที่ 2 เป็นผู้ให้ข้อมูลด้านกระบวนการ ประกอบด้วย ครูและบุคลากร 15 คน และกลุ่มที่ 3 เป็นผู้ให้ข้อมูลด้านผลผลิต ประกอบด้วย ครูและบุคลากร 15 คน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 152 คน และผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 จำนวน 152 คน รวม 326 คน โดยได้มาจากการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบประเมินมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า โครงการมีผลการประเมินภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅ = 4.42, S.D. = 0.58) โดยด้านบริบทมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (x̅ = 4.63, S.D. = 0.49) รองลงมาคือด้านผลผลิต (x̅ = 4.50, S.D. = 0.58) ด้านกระบวนการ (x̅ = 4.47, S.D. = 0.57) และด้านปัจจัยนำเข้า (x̅ = 4.08, S.D. = 0.69) ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการ SEEKS Model มีความสอดคล้องกับบริบทและนโยบายของโรงเรียนเป็นอย่างดี สามารถพัฒนาทักษะอาชีพและทักษะชีวิตให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์</p> วรพล ศรีเทพ, รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279595 Fri, 26 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านจันทัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279941 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านจันทัย และ 2) เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน กลุ่มเป้าหมาย คือ 1) ครูผู้สอนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 6 จำนวน 11 คน 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - 6 จำนวน 57 คน ปีการศึกษา 2567 ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบประเมินรูปแบบ 2) แบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 3) แบบประเมินทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 4) แบบวัดเจตคติต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ของครู และ 6) แบบสอบถามความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Wilcoxon Signed Ranks Test ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการนิเทศภายในโดยใช้ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูโรงเรียนบ้านจันทัย มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1.1) หลักการ 1.2) วัตถุประสงค์ 1.3) กระบวนการนิเทศ 1.4) การวัดและประเมินผล และ 1.5) เงื่อนไขความสำเร็จ ผลการประเมินรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ประสิทธิผลของรูปแบบ พบว่า 2.1) ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครูหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2) ทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โดยรวมอยู่ในระดับดีมาก 2.3) เจตคติต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2.4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้เชิงรุกของครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก และ 2.5) ความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> อัมรินทร์ จาระงับ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279941 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการส่งเสริมการใช้แผนปฏิบัติการประจำปีในการบริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280376 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการใช้แผนปฏิบัติการประจำปีในการบริหารโรงเรียน &nbsp;2) เปรียบเทียบสภาพการใช้แผนปฏิบัติการประจำปีในการบริหารโรงเรียน จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดโรงเรียน และ3) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการใช้แผนปฏิบัติการประจำปีในการบริหารโรงเรียนให้เกิดประสิทธิผล กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้อำนวยการโรงเรียน 38 คน และครูผู้สอน 268 คน รวมทั้งสิ้น 306 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test และF-test ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการใช้แผนปฏิบัติการประจำปีในการบริหารโรงเรียนโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบสภาพการใช้แผนปฏิบัติการประจำปีในการบริหารโรงเรียน จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดโรงเรียน โดยรวมและรายด้านมีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) แนวทางการส่งเสริมการใช้แผนปฏิบัติการประจำปีในการบริหารโรงเรียน ได้แก่ ด้านการเตรียมการและจัดทำแผน ควรจัดอบรมการจัดทำแผน ใช้การบริหารแบบกระจายอำนาจ ระดมสมองร่วมกัน ด้านการนำแผนไปปฏิบัติ ควรแบ่งหน้าที่ให้ชัดเจน มีปฏิทินปฏิบัติงาน และดำเนินการตามแผน ด้านการติดตามและประเมินผลแผน ตั้งคณะกรรมการและประชุม ส่วนด้านการปรับปรุงและแก้ไขแผน เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมและใช้เทคโนโลยีมาช่วย</p> พัชรียา ใยสุขเจริญกุล, พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง, อุดมพันธุ์ พิชญ์ประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280376 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ของบุคลากรในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279188 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู 2) เพื่อศึกษาปัญหาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู 3) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ของบุคลากรในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลเมืองกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลเมืองกำแพงเพชร จำนวน 110 คน ปีการศึกษา 2567 ขอบเขตเนื้อหา เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ด้านมาตรฐานการปฏิบัติงาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ แบบกำหนดคำตอบให้เลือกและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง คุณภาพของเครื่องมือวิจัยได้ค่า IOC เท่ากับ 0.80 - 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.975 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ด้านการปฏิบัติหน้าที่ครูอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชนอยู่ในระดับมาก และด้านการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก 2) ปัญหาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ด้านการจัดการเรียนรู้มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านการปฏิบัติหน้าที่ครู และด้านความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน 3) แนวทางการพัฒนาการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ผู้บริหารควรลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในวิชาที่ตนสอน และใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมในการติดต่อสื่อสารกับผู้ปกครองและชุมชน</p> อรรณพ นาคบุรี, ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279188 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการแก้ปัญหาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอปางมะผ้า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279542 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็น และ 2) ศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอปางมะผ้า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารสถานศึกษา และครูในอำเภอปางมะผ้า จำนวน 182 คน และกลุ่มเป้าหมายผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์เพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาการบริหารงานบุคคล จำนวน 9 คน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสังเคราะห์องค์ประกอบ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาสรุปบรรยายแบบพรรณนา และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็น ผลการศึกษา พบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอปางมะผ้า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 พบว่าสภาพปัจจุบันในภาพรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นเรียงจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง วินัยและการรักษาวินัย และการออกจากราชการ ตามลำดับ 2. แนวทางการแก้ปัญหาการบริหารงานบุคคลของผู้บริหารสถานศึกษาในอำเภอปางมะผ้า ตามดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นที่สูงสุด 5 ด้าน คือ 1) การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการประชุมคณะครู เพื่อวิเคราะห์บริบทของสถานศึกษา วางแผน สำรวจจำนวนนักเรียน สำรวจความต้องการบุคคลกรของสถานศึกษา เพื่อกำหนดอัตรากำลังที่ขาด และจัดโครงสร้างการบริหารบุคลากรให้เหมาะสมกับสถานศึกษา 2) การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการสำรวจอัตรากำลัง จัดหาคน หรือบรรจุแต่งตั้งคนที่มีคุณสมบัติ ทักษะ และประสบการณ์ของบุคลากรเข้าปฏิบัติงานตรงกับความต้องการของสถานศึกษา 3) การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาบุคลากร จัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานของบุคลากรอย่างเพียงพอ สำรวจความต้องการด้านอุปกรณ์การสอน สื่อการเรียนรู้ และเทคโนโลยี เพื่อให้การทำงานของบุคลากรมีประสิทธิภาพ 4) วินัยและการรักษาวินัย ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการจัดอบรมให้ความรู้เรื่องแนวปฏิบัติระเบียบ วินัย สังเกตดูแลเอาใจใส่และเสริมสร้างระเบียบวินัยแก่บุคลากรอย่างจริงจังและต่อเนื่อง และตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดก่อนที่จะดำเนินการใด ๆ กับบุคลากรที่กระทำผิด 5) การออกจากราชการ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการจัดอบรม สัมมนา ส่งเสริมให้บุคลากรทราบกฎหมายเกี่ยวกับการออกจากราชการ มีการดูแลด้านสุขภาพอย่างเหมาะสม และสร้างระบบติดตาม ประเมินผลเพื่อให้บุคลากรไม่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>การบริหารงานบุคคล; ผู้บริหารสถานศึกษา</p> ชยุตม์ กิจโชคประเสริฐ, คมศิลป์ ประสงค์สุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279542 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279559 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองปลาเข็ง-กอไหล่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ คือแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 12 แผน แบบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์แบบอัตนัย แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผลการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาที่ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นการสร้างความสนใจ 2) ขั้นสำรวจค้นหา 3) ขั้นอภิปรายและลงข้อสรูป 4) ขั้นขยายความรู้ 5) ขั้นประเมินผล มีผลการประเมินความเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญโดยรวมอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด 2) ผลการศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ หลังจากเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค เค ดับเบิ้ลยู ดี แอล โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ปิยะพงษ์ พลโสภา, ปริญา ปริพุฒ, สมถวิล ขันเขตต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279559 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนอาชีวะเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280287 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนอาชีวะเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนอาชีวะเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research)ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือผู้บริหาร ครูผู้สอนโรงเรียนอาชีวะเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่นจำนวน 86 คน เลือกโดยวิธีสุ่มอย่างง่ายตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie &amp; Morgan, 1970) เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร และในขั้นตอนที่ 2 ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้างนำไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 ท่าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ (Percentile) ค่าเฉลี่ย (Means) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และ ใช้เทคนิค Modified Priority Needs Index (PNimodified) ในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจําเป็น ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅= 3.75, S.D. = 0.70) สภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับ มาก (𝑥̅= 4.21, S.D. = 0.65) และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่า PNImodified เท่ากับ 0.16 รองลงมา คือ ด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา มีค่า PNImodified เท่ากับ 0.15 และด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล มีค่า PNImodified 0.09 2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนอาชีวะเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น มี 3 ด้าน </p> ชัญญารักษ์ นาคปั้น, จุลดิศ คัญทัพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280287 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสมรรถนะครูด้านการพัฒนาและใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยี เพื่อการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนกะปง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพังงา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280686 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการในการพัฒนาและใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนกะปง 2) พัฒนาสมรรถนะครูด้านการพัฒนาและใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนกะปง และ 3) ประเมินความพึงพอใจต่อกระบวนการพัฒนาสมรรถนะครูด้านการพัฒนาและใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมายคือครูจำนวน 6 คน เลือกแบบเจาะจง ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบทดสอบ แบบประเมินสื่อ และแบบนิเทศ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีของครูโรงเรียนกะปงอยู่ในระดับปานกลาง ( =2.95) ขณะที่ความต้องการในการพัฒนาและใช้สื่ออยู่ในระดับมาก ( = 3.80) โดยเฉพาะในขั้นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความต้องการสูงสุด ( = 4.69) 2) สมรรถนะของครูด้านการใช้สื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยคะแนนก่อนอบรมอยู่ที่ ( = 16.17) และหลังอบรมเพิ่มขึ้นเป็น ( = 32.33) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สื่อนวัตกรรมที่ครูพัฒนาขึ้นได้รับการประเมินว่าอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.60) โดยเฉพาะด้านเนื้อหาที่สอดคล้องกับหลักสูตรและมาตรฐานการเรียนรู้ ( = 4.67) 3) ความพึงพอใจของครูที่มีต่อกระบวนการพัฒนาสมรรถนะโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.65) โดยด้านที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุดคือผลลัพธ์ของการอบรม ( = 4.70) รองลงมาคือด้านวิทยากร สื่ออุปกรณ์ และเนื้อหากระบวนการอบรมตามลำดับ</p> พัชรียา เทพณรงค์, พิชามญชุ์ สุรียพรรณ, อนุ เจริญวงศ์ระยับ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280686 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษาของกลุ่มโรงเรียนแม่สอด – ท่าสายลวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281587 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนแม่สอด-ท่าสายลวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 และ 2) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนแม่สอด-ท่าสายลวด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาจำนวน 133 คน ในปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า สภาพการนิเทศภายในของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนแม่สอด-ท่าสายลวด โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านการสร้างสื่อและเครื่องมือในการนิเทศมีค่ามัชฌิมเลขคณิตสูงสุด รองลงมาคือการประเมินผลและการรายงานผล ด้านการวางแผนการนิเทศ และการศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาและความต้องการอยู่ในระดับมากตามลำดับ สำหรับแนวทางการพัฒนา พบว่าควรเน้นการจัดทำแบบสอบถามที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครูในการแสดงความเห็นและวางแผน พัฒนาเครื่องมือและสื่อในการนิเทศ ใช้เทคนิคการนิเทศแบบเสริมแรงและสร้างสรรค์ รวมถึงออกแบบเกณฑ์ประเมินผลที่สอดคล้องกับเป้าหมายและจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ</p> พุทธชาติ เกี๋ยงวงค์, จารุวรรณ  แก่นทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281587 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 กับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลเมืองศรีสะเกษ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/282002 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ระดับประสิทธิผลของโรงเรียน และความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรดังกล่าว ในสังกัดสำนักการศึกษาเทศบาลเมืองศรีสะเกษใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณแบบสหสัมพันธ์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน 127 คน จากประชากร 185 คน โดยกำหนดขนาดตัวอย่างตามตาราง Krejcie และ Morgan รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่มีค่า IOC ระหว่าง 0.60-1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.987 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก (M = 4.43, SD = 0.56) โดยการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (M = 4.45) ประสิทธิผลของโรงเรียนอยู่ในระดับมาก (M = 4.36, SD = 0.51) โดยการปรับเปลี่ยนและพัฒนาให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (M = 4.41) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิผลของโรงเรียนในระดับสูง (r = 0.827, p &lt; 0.01) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการวิจัยยืนยันความสำคัญของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาในบริบทท้องถิ่น สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและยกระดับประสิทธิผลของสถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น</p> ปานฟ้า บุญอินทร์, อุดมพันธุ์ พิชญ์ประเสริฐ, ปกรณ์ชัย สุพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/282002 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดศรีสะเกษ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279502 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดศรีสะเกษ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดศรีสะเกษ 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดศรีสะเกษและ 4) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาหน่วยบริการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดศรีสะเกษในการนำไปใช้ในสถานศึกษาอื่น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกสนทนากลุ่ม แบบประเมินรูปแบบฯ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหาการบริหารแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาหน่วยบริการ พบความถี่ประเด็นที่เป็นปัญหา คือ ด้านความพร้อมของอาคาร สถานที่ ด้านการเดินทางมารับบริการ ด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับเด็กพิการและด้านข้อมูลเด็กพิการ 2) รูปแบบฯ การพัฒนาหน่วยบริการประกอบด้วย ส่วนที่ 1 หลักการและวัตถุประสงค์ ส่วนที่ 2 เนื้อหาของรูปแบบ ประกอบด้วย การบริหารแบบมีส่วนร่วม การส่งเสริมพัฒนา กระบวนการนิเทศและคุณภาพผู้เรียน ส่วนที่ 3 กระบวนการพัฒนา ส่วนที่ 4 การประเมินผลและส่วนที่ 5 เงื่อนไขความสำเร็จ ผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด 3) การนำรูปแบบฯ ไปใช้ พบว่าอยู่ในระดับ มากที่สุด ในด้านหน่วยบริการมีการดำเนินงานที่มีคุณภาพ และ 4) ผลการประเมินความเป็นไปได้ในการนำรูปแบบฯ และคู่มือไปใช้ในสถานศึกษาอื่น โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ราชมาลี ต้อนรับ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/279502 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการนิเทศภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281465 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการนิเทศภายในของครูสถานศึกษาสังกัด <br />2) เปรียบเทียบการนิเทศภายในสถานศึกษาตามประสบการณ์ในการทำงานของครู 3) เสนอแนวทางการนิเทศภายในของครูสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ สถานศึกษา จำนวน 59 โรงเรียน ได้มาโดยวิธีกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ของ Krejcie และ Morgan โดยมีผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และหัวหน้างานวิชาการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ทรงคุณวุฒิเป็นผู้บริหารสถานศึกษาที่มีผลการทดสอบระดับชาติ O-NET สูงกว่าระดับประเทศจำนวน 5 ท่าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ และร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบ t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1)ระดับการนิเทศภายในของครูสถานศึกษา พบว่า ระดับการนิเทศภายในของครูสถานศึกษา โดยภาพรวมรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยและระดับการนิเทศสูงสุด ได้แก่ การปฏิบัติการนิเทศภายในสถานศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ การประเมินผลและรายงานผล อยู่ในระดับมากที่สุด ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่า การวางแผนการนิเทศภายในสถานศึกษา และ การศึกษาสภาพปัญหาปัจจุบันและความต้องการ มีระดับการนิเทศอยู่ในระดับมาก 2)ผลการเปรียบเทียบการนิเทศภายในสถานศึกษาตามประสบการณ์ในการทำงานของครู ความคิดเห็นของครูผู้สอนต่อการนิเทศภายในของสถานศึกษาจำแนกตามประสบการณ์ ต่ำกว่า 5 ปีและตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป มีความคิดเห็นที่ไม่แตกต่าง และ 3)ผลการศึกษาแนวทางการนิเทศภายในของครูสถาน คือผู้บริหารควรมีการลงพื้นที่สังเกตจริงในการพูดคุยกับครูเป็นรายบุคคล มีการเก็บข้อมูลจากผลสัมฤทธิ์และเวทีสนทนากลุ่มเพื่อเข้าใจปัญหาในหลายมิติและตอบสนองความต้องการได้ตรงจุด มีการวางแผนการนิเทศต้องมุ่งเน้นการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ มีการให้ความสำคัญกับการกระจายภาระงานเพื่อการมีส่วนร่วมของทุกคนในกระบวนการนิเทศ มีการให้ครูส่วนร่วมในการพัฒนา เพื่อให้ครูรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนและสามารถปรับปรุงการสอนได้จริง และมีการประเมินผลและรายงานผลควรเน้นการสะท้อนผลในเชิงพัฒนา</p> วราภรณ์ ผาสีดา, สมชัย  พุทธา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281465 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การในยุคดิจิทัลของโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280061 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การในยุคดิจิทัล 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การในยุคดิจิทัล และ 3) เพื่อประเมินรูปแบบการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การในยุคดิจิทัลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร การวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นในการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การในยุคดิจิทัลของโรงเรียนที่มีความต้องการจำเป็นมากที่สุดคือ ด้านแผนกลยุทธ์ และได้แนวทางการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การในยุคดิจิทัล 6 ด้าน คือ 1) ด้านภาวะผู้นำดิจิทัล 2) ด้านแผนกลยุทธ์ 3) ด้านกระบวนการบริหารคุณภาพ 4) ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 5) ด้านการทำงานเป็นทีม และ 6) ด้านการให้ความสำคัญกับผู้รับบริการ 2) รูปแบบการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การในยุคดิจิทัลของโรงเรียนที่สร้างขึ้น มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) วัตถุประสงค์ 2) หลักการ 3) วิธีดำเนินการ ( 4 หลักการ 6 ด้าน) 4) วิธีการประเมินรูปแบบ 5) เงื่อนไขความสำเร็จ 3) ผลประเมินรูปแบบการบริหารคุณภาพทั่วทั้งองค์การในยุคดิจิทัลของโรงเรียน มีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ณัฐวุฒิ นามวงศ์, พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง, สมาน อัศวภูมิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280061 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารวิชาการในสถานศึกษาของโรงเรียนศูนย์เครือข่าย แม่ลาน้อยสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280063 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุงการบริหารวิชาการ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารวิชาการในสถานศึกษาของโรงเรียนศูนย์เครือข่ายแม่ลาน้อย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 ประชากรที่ให้ข้อมูลโดยการตอบแบบสอบถาม รวมจำนวน 91 คน และกลุ่มเป้าหมายผู้ทรงคุณวุฒิผู้ให้ข้อมูลโดยการสัมภาษณ์จากโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติที่ดี (Best practice) รวมทั้งสิ้น 7 คน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed medthod) เครื่องมือที่ใช้ในการทำวิจัยคือ แบบสังเคราะห์องค์ประกอบ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาสรุปบรรยายแบบพรรณนา และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็น ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นการศึกษาการบริหารวิชาการในสถานศึกษาของโรงเรียนศูนย์เครือข่ายแม่ลาน้อย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 สภาพปัจจุบันในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สำหรับสภาพที่พึงประสงค์ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนค่าดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การนิเทศการศึกษา การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายใน และมาตรฐานการศึกษา การวัดประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา การจัดการเรียนรู้ การพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร 2. ผลการศึกษาแนวทางการบริหารวิชาการในสถานศึกษาของโรงเรียนศูนย์เครือข่ายแม่ลาน้อย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 โดยเรียงจากค่าดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นที่จำเป็นต้องพัฒนาในแต่ละด้านมีดังนี้ 1) การนิเทศการศึกษาให้สถานศึกษาดำเนินการสร้างเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ จัดระบบนิเทศทั้งภายในและนอก 2) การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายใน และมาตรฐานการศึกษาให้สถานศึกษาออกแบบระบบประกันคุณภาพที่เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาเพื่อใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา 3) การวัดประเมินผล และการเทียบโอนผลการเรียนให้สถานศึกษามีการจัดให้มีการเทียบโอนความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และผลการเรียนจากโรงเรียนอื่นตามที่กำหนด 4) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาสถานศึกษาควรส่งเสริมให้ครูทำการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อแก้ปัญหาและประยุกต์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 5 ) การจัดการเรียนรู้ควรวิเคราะห์ผู้เรียนปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับบริบทเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันและวัฒนธรรมท้องถิ่น 6) การพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาควรพัฒนาสื่อและนวัตกรรมทางการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ควรกำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินการพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง 7) การพัฒนาหลักสูตรควรวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของผู้เรียนและบริบทของชุมชนเพื่อให้หลักสูตรสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและบูรณาการเข้ากับหลักสูตรแกนกลาง<strong><br /></strong></p> สุภาษิต งามจารุเกรียงไกร, ประพันธ์ ธรรมไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280063 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักพุทธลีลาการสอน 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280336 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการนิเทศภายในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักพุทธลีลาการสอน 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) เพื่อประเมินแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักพุทธลีลาการสอน 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูหัวหน้ากลุ่มบริหารงานวิชาการ จำนวน 300 คน แบบสัมภาษณ์ โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/ คน และแบบประเมินเพื่อการวิจัย โดยมีผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 11 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพการนิเทศภายในสถานศึกษาของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการศึกษาวิธีการพัฒนาการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักพุทธลีลาการสอน 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา ได้แนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในสถานศึกษา ทั้งสิ้น 39 แนวทาง ซึ่งสอดคล้องกับ สันทัสสนา สมาทปนา สมุตเตชนา และสัมปหังสนา ตามหลักพุทธลีลาการสอน 4 3) ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการพัฒนาการนิเทศภายในสถานศึกษาตามหลักพุทธลีลาการสอน 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมมีความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> บันเทิง บุตรเทศ, พระครูวิริยปัญญาภิวัฒน์, ชูชัย ประดับสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280336 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักภาวนา 4 ในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280461 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก 2) ศึกษาวิธีการพัฒนาสมรรถนะหลักของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักภาวนา 4 และ 3) ประเมินแนวทางการพัฒนาสมรรถนะหลักตามหลักภาวนา 4 รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ และแบบประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารและครูจำนวน 126 คน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 7 คน และผู้เชี่ยวชาญ 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติพื้นฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการสมรรถนะหลักของผู้บริหารที่จำเป็นมากที่สุด ได้แก่ การพัฒนาตนเอง รองลงมาคือ การบริหารมุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริการที่ดี และการทำงานเป็นทีม 2) วิธีการพัฒนาเน้นการวางแผน การสร้างแรงจูงใจ การให้บริการอย่างโปร่งใส การใช้เทคโนโลยี และการสร้างทีมที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับหลักภาวนา 4 ได้แก่ กายภาวนา ศีลภาวนา จิตภาวนา และปัญญาภาวนา <br />3) แนวทางการพัฒนามีความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีความเป็นไปได้สูงสุดคือการทำงานเป็นทีม ส่วนด้านที่มีความเป็นประโยชน์สูงสุดคือการบริการที่ดี</p> จันทร์ฤดี ภาคตอน, สิน งามประโคน, ชูชัย ประดับสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280461 Sat, 27 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางพัฒนาการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ของกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาเถิน 2 สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280671 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา <br />และ 2) ศึกษาแนวทางพัฒนาการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ของกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาเถิน 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 2 ประชากรและแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา ของกลุ่มเครือข่ายสถานศึกษาเถิน 2 ในปีการศึกษา 2567 จำนวน 6 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น จำนวน 70 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ซึ่งมีค่า IOC รายข้ออยู่หว่าง 0.60 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.971 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยรวมและรายด้าน เฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางพัฒนาการบริหารงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา โดยสรุปทั้ง 7 ด้าน ดังนี้ 1) การกำหนดมาตรฐานการศึกษา สร้างความเข้าใจกระบวนการกำหนดมาตรฐานอย่างถูกต้องทุกขั้นตอน และกำหนดแนวปฏิบัติที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย 2) การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษา ดำเนินงานตามวงจร PDCA ตรวจสอบความสอดคล้องของแผนงาน จัดประชุมชี้แจงแผนโครงการและขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา 3) การดำเนินการตามแผน มีการติดตามผลด้วยวงจร PDCA อย่างสม่ำเสมอ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศรายงานผล จัดสรรทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และพัฒนาบุคลากรอย่างเหมาะสม 4) การประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพ ใช้เครื่องมือประเมินที่เหมาะสม หลากหลายรูปแบบ ใช้เทคโนโลยีช่วยประเมิน มีแผนและคู่มือประเมินชัดเจน ดำเนินการประเมินผ่านกระบวนการ PLC 5) การติดตามผลเพื่อพัฒนา วิเคราะห์ผลการประเมินเพื่อปรับปรุงแผน รวบรวมข้อมูลผ่านการสะท้อนคิด จัดทำสารสนเทศสนับสนุนการวางแผนพัฒนา และติดตามผลอย่างน้อยภาคเรียนละ 2 ครั้ง 6) การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง (SAR) แต่งตั้งคณะทำงานจัดทำ SAR ส่งผ่านระบบ E-SAR ของ สพฐ. จัดเวทีแลกเปลี่ยนผลการประเมิน สรุปรายงานให้กระชับ ครบถ้วน ตรงประเด็น ใช้ Infographic และเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ และพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยใช้กระบวนการ PLC 7) การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์ผลประเมินร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้กระบวนการ PLC และ SWOT Analysis และทบทวนระบบประกันคุณภาพตามวงจร PDCA</p> พลวัฒน์ สุวรรณรินทร์, นลธวัช ยุทธวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280671 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 ประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงของบุคคลที่เรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา: การวิจัยแนวปรากฏการณ์วิทยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280742 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงของบุคคลที่เรียนรู้ตามแนวคิดจิตตปัญญาศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแนวปรากฏการณ์วิทยา กลุ่มตัวอย่างคือผู้เรียนรู้ที่มีประสบการณ์เรียนรู้ตามแนวทางจิตตปัญญาศึกษาอย่างต่อเนื่อง จำนวน 12 คน ซึ่งผ่านการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงและแบบก้อนหิมะ เครื่องมือหลักคือการสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์ข้อมูลตามแนวทางของ Van Manen (2014) ผลการวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงภายในไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นเส้นตรง แต่ดำเนินไปอย่างมีพลวัตผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงเป็นองค์รวม โดยสามารถแบ่งออกเป็นหกขั้นตอน ได้แก่ (1) การเกิดความทุกข์และเจตจำนงภายใน (2) การฟังเสียงจากภายใน (3) การเข้าใจตนเอง (4) การยอมรับและคืนดีกับตนเอง (5) การคืนอำนาจภายใน และ (6) การเกิดความหมายใหม่ นอกจากนี้ยังพบว่าสภาวะภายในระหว่างการเปลี่ยนผ่าน เช่น ความไม่รู้และความเปราะบาง การหยุดนิ่งและไม่กระทำ และ การเว้นว่างและการเปิดพื้นที่ใหม่ภายใน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการก่อเกิดความหมายใหม่ ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอก ได้แก่ ผู้ชี้ทาง เพื่อน/สังฆะ พื้นที่ปลอดภัย และเครื่องมือในการเรียนรู้ ก็ทำหน้าที่เอื้อและประคับประคองกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในได้อย่างมีนัยยะ</p> เดโช นิธิกิตตน์ขจร , วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา, อดิศร จันทรสุข ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280742 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 หลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280822 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และแนวทางพัฒนาหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร 80 คน และข้าราชการครู 222 คน รวมทั้งสิ้น 302 คน ได้จากการใช้ตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเคร็จซี่และมอร์แกน และการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน โดยมีผู้เชี่ยวชาญจำนวน 17 คนเป็นผู้ให้ข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงานอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ “หลักความโปร่งใส” ส่วนปัญหาที่พบมากที่สุด คือ การขาดเวทีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคณะกรรมการสถานศึกษา คณะครู ชุมชน และองค์กรในชุมชนในการรายงานทางการเงินและผลการดำเนินงานประจำปี (2) แนวทางการพัฒนาประกอบด้วย การจัดประชุมสร้างการรับรู้ร่วมกันในสถานศึกษา การอบรมด้านการจัดซื้อจัดจ้าง การจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงาน การจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายใน และการกำหนดระเบียบและวิธีการบริหารทางการเงินโดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้มีความชัดเจนและถูกต้อง</p> สุชานันท์ ไชยยะ, ภูมิพิพัฒน์ รักพรมงคล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280822 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนสายน้ำวัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280653 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และหาแนวทางภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนสายน้ำวัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 ประชากร ได้แก่ ข้าราชการครู จำนวน 62 คน ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนสายน้ำวัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 โดยภาพรวมมีสภาพการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ 2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มโรงเรียนสายน้ำวัง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 1 พบว่า 1) ผู้บริหารต้องวิเคราะห์องค์กรโดยการ Swot เพื่อหาจุดเด่น จุดด้อย โอกาส อุปสรรค เพื่อกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์กรได้อย่างชัดเจน 2) ผู้บริหารควรสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชามองเห็นภาพความสำเร็จ ผลตอบแทนที่จะได้รับ และต้องพัฒนาคนอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริมคนทำงานให้ประสบความสำเร็จและก้าวหน้า 3) ผู้บริหารต้องตระหนัก มีความรู้ความเข้าใจ และกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ในการบริหารงาน หรือพัฒนาสถานศึกษา ยกตัวอย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการขับเคลื่อนสถานศึกษาทั้งหมด 4) ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับความแตกต่างระหว่างบุคคลของคณะครูโดยเลือกงานและแต่งตั้งผู้รับผิดชอบแต่ละงานที่เหมาะสมกับความถนัด ความสนใจของคุณครูแต่ละบุคคล</p> ธเนศพล พันธุ์แก้ว, นลธวัช ยุทธวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280653 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมในงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่ปะ-แม่กาษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280716 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารแบบมีส่วนร่วมในงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 2) หาแนวทางพัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วมในงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่ปะ-แม่กาษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก &nbsp;เขต 2 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 10 คน ครูผู้สอน จำนวน 122 คน กลุ่มโรงเรียนแม่ปะ-แม่กาษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 &nbsp;&nbsp;ปีการศึกษา 2567 จำนวน &nbsp;132 คน และผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารแบบมีส่วนร่วมในงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่ปะ-แม่กาษา&nbsp; สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางพัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วมในงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่ปะ-แม่กาษา มีแนวทาง ดังนี้&nbsp; ควรเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วมกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายและร่วมตัดสินใจทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน ควรให้โอกาสผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ปฏิบัติงานระบบดูแลช่วยเหลือของตนเองอย่างเต็มที่ สนับสนุน การทำงานด้วยความเชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถ เปิดโอกาสในการพิจารณาเลือกกิจกรรมในการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน&nbsp; สร้างความเชื่อมั่นไว้วางใจให้คณะครูปฏิบัติงานที่สำคัญ และมีส่วนร่วมในการประเมินผลการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน</p> ธนาภรณ์ มาเรียน, จารุวรรณ แก่นทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280716 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนบ้านหนองจิกนาเรือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280809 <p>การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโรงเรียนบ้านหนองจิกนาเรือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบ 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบ และ 4) เพื่อประเมินรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ได้แก่ ครู จำนวน 9 คน ผู้ปกครอง จำนวน 36 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 7 คน และผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ระยะที่ 3 การศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบ ได้แก่ ครู จำนวน 9 คน ระยะที่ 4 การประเมินรูปแบบ ได้แก่ ครู จำนวน 9 คน ผู้ปกครอง จำนวน 36 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 7 คน และนักเรียน จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ 3) แบบทดสอบ 4) แบบประเมิน 5) แบบวิเคราะห์เอกสาร และ 6) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และใช้ค่าสถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ และค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน พบว่า (1) องค์ประกอบของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ประกอบด้วย ด้านการเข้าใจดิจิทัล ด้านการใช้ดิจิทัล ด้านการสื่อสารดิจิทัล ด้านการสร้างดิจิทัล และ ด้านการประเมินดิจิทัล (2) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก สภาพที่คาดหวัง อยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อจัดลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านประเมินดิจิทัล ด้านการสื่อสารดิจิทัล และด้านการใช้ดิจิทัล 2) ผลการสร้างรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา การดำเนินการ การประเมินผล แลเงื่อนไขความสำเร็จ ซึ่งรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบมีความถูกต้องและความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า (1) ผลการประเมินความรู้ของครู มีพัฒนาการอยู่ในระดับสูงมาก และหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) ผลการประเมินความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก 4) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแต่ละรายวิชาในระดับ 3 ขึ้นไป ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 ปีการศึกษา 2567 คิดเป็นร้อยละ 87.56 (2) ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 100 (3) ผลการทดสอบสมรรถนะสำคัญของนักเรียนทั้งหมด 5 ด้าน ระดับดีขึ้นไป เฉลี่ยรวมคิดเป็นร้อยละ 97.10 (4) ผลการประเมินความสามารถในการนำตนเองของนักเรียน ระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 96.05 (5) ผลการประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ และความพึงพอใจต่อรูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> นินาท พลเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280809 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่กุ–มหาวัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281199 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่กุ-มหาวัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 และ 2) เพื่อหาแนวทางการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่กุ-มหาวัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ประชากรและแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนของสถานศึกษากลุ่มโรงเรียนแม่กุ-มหาวัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 210 คน และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน รวมทั้งสิ้น จำนวน 219 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา โดยแบบสอบถามมีค่าดัชนีความสอดคล้องรายข้อตั้งแต่ 0.60 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ .915 ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่กุ–มหาวัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 โดยรวมและรายด้าน เฉลี่ยรวมอยู่ในระดับ มาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ำ พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านที่ 4 ด้านการปฏิบัติ การนิเทศ อยู่ในระดับ มาก รองลงมาคือ ด้านที่ 2 ด้านการวางแผนการนิเทศ อยู่ในระดับ มาก ด้านที่ 3 ด้านการสร้างสื่อและเครื่องมือนิเทศ อยู่ในระดับมาก ด้านที่ 5 ด้านการประเมินผลและรายงานผล อยู่ในระดับมาก และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำ คือ ด้านที่ 1 ด้านการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหาและความต้องการ อยู่ในระดับ มาก ตามลำดับ 2. แนวทางการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนของกลุ่มโรงเรียนแม่กุ-มหาวัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 มีข้อเสนอแนะเพื่อใช้เป็นแนวทาง คือ สถานศึกษาควรบรรจุโครงการนิเทศภายในไว้ในแผนปฏิบัติการประจำปีการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้รับผิดชอบโครงการนิเทศภายในโรงเรียนควรมีการประชุมชี้แจง ผู้บริหารสถานศึกษาควรสนับสนุนการสร้างสื่อให้กับครูผู้สอนในทุกรายวิชา ควรกำหนดให้มีการประชุม วางแผน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศก่อนการนิเทศ และสถานศึกษาควรมีการรายงานผลการปฏิบัติการนิเทศภายในให้คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทราบทุกปีการศึกษา</p> มณีรัตน์ นันใจวงษ์, นลธวัช ยุทธวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281199 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อความสำเร็จการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281291 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยการบริหารและระดับความสำเร็จการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับความสำเร็จการประกันคุณภาพการศึกษา และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหาร 20 คน และครูผู้สอน 333 คน รวม 353 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น 0.978 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ภายใน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการบริหารมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ ภาวะผู้นำ การจูงใจ การติดต่อสื่อสาร ทรัพยากรเพื่อการเรียนการสอน การใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาครูและบุคลากร ความสำเร็จการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษามีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยกระบวนการบริหารและการจัดการมีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับกระบวนการจัดการเรียนการสอน รองลงมาคือคุณภาพผู้เรียน ปัจจัยการบริหารทั้ง 6 ด้านมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความสำเร็จการประกันคุณภาพในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถร่วมกันพยากรณ์ความสำเร็จได้ร้อยละ 91.40 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณร้อยละ 95.6</p> ปรีชา ทองมา , จิตติมาภรณ์ สีหะวงษ์, พงษ์ศักดิ์ ทองพันชั่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/281291 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280899 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น และ 2) แนวทางการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 92 คน และกลุ่มเป้าหมายผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์ จำนวน 9 คน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึ่งประสงค์และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการ หาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า 1. ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็น การบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงาน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 พบว่าสภาพปัจจุบันการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์การบริหารทรัพยากรทางการศึกษา โดยรวมและ รายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา โดยรวมเรียงจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การบริหารทรัพยากรการเงิน/งบประมาณ การบริหารทรัพยากรวัสดุ อุปกรณ์ การบริหารทรัพยากรบุคคล การบริหารทรัพยากรอาคารสถานที่ 2. แนวการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 ประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ 1) การบริหารทรัพยากรบุคคล ควรจัดการปฐมนิเทศอย่างเป็นระบบ มีการจัดทำคู่มือหรือเอกสารสรุปนโยบายและแนวทางปฏิบัติ เปิดโอกาสให้ครูได้เสนอแนวคิด ปัญหา และข้อเสนอแนะต่าง ๆ รวมถึงกำกับติดตามตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงาน 2) การบริหารทรัพยากรการเงิน/งบประมาณ ควรจัดประชุมคณะครูอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งจัดทำรายงานสรุปในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เปิดโอกาสให้ครูมีส่วนร่วมในการสอบถาม แสดงความคิดเห็นหรือเสนอแนะแนวทางการใช้งบประมาณ รวมถึงทำข้อตกลงความร่วมมือ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรภายนอก 3) การบริหารทรัพยากรวัสดุ อุปกรณ์ ควรมีการสำรวจและรวบรวมข้อมูลความต้องการพัสดุและอุปกรณ์จากแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้และฝ่ายงานที่เกี่ยวข้อง และจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องจัดหาตามความจำเป็นเร่งด่วน รวมถึงจัดทำบัญชีรายการวัสดุและอุปกรณ์ที่ชำรุด เสื่อมสภาพ หรือหมดอายุการใช้งาน 4) การบริหารทรัพยากรอาคารสถานที่ ควรกำหนดมาตรการในการดูแลรักษาพื้นที่และระบบต่าง ๆ อย่างรัดกุม และตรวจตรวจสอบสภาพอาคารพื้นที่สาธารณะ สนามกีฬา ระบบไฟฟ้า อุปกรณ์ดับเพลิง และทางหนีไฟ พร้อมทั้งติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงจัดฝึกอบรมให้แก่ครู นักเรียน และเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน</p> กรณ์กฤษฏิ์ เก่งวิการณ์, วีรวิชญ์ ปิยนนทศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280899 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนขนาดเล็กในเขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280912 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็น และแนวทางการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนขนาดเล็กในเขตอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 123 คน และกลุ่มเป้าหมายในการสัมภาษณ์ จำนวน 9 คน เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสังเคราะห์องค์ประกอบ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็น&nbsp; และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1. สภาพปัจจุบันโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นโดยรวม เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การพัฒนาบุคลากร การออกจากงาน การให้ผลตอบแทน การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง วินัยและการรักษาวินัย การประเมินผลการปฏิบัติงาน และการกำหนดตำแหน่งและวางแผนอัตรากำลัง 2. แนวทางการบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย 7 ด้าน ได้แก่ 1) การกำหนดตำแหน่งและวางแผนอัตรากำลัง โรงเรียนควรวิเคราะห์ภารกิจหลักและจัดโครงสร้างงานอย่างชัดเจน รวมถึงวางแผนอัตรากำลังโดยใช้ข้อมูลบุคลากรและ SWOT analysis 2) การสรรหาและ&nbsp; บรรจุแต่งตั้ง โรงเรียนควรมีนโยบายที่โปร่งใส ใช้กรรมการและเครื่องมือการสรรหาที่หลากหลาย และประชาสัมพันธ์การสรรหาอย่างทั่วถึง 3) การพัฒนาบุคลากร โรงเรียนควรส่งเสริมความร่วมมือกับเครือข่ายการศึกษา สนับสนุนการอบรม ใช้ระบบพี่เลี้ยง และมีการประเมินผลการพัฒนา 4) การประเมินผลการปฏิบัติงาน โรงเรียนควรเปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมเสนอแนวทางการประเมิน ให้คำปรึกษา และใช้ผลการประเมินในการพัฒนาและให้รางวัลอย่างเป็นธรรม 5) การให้ผลตอบแทน โรงเรียนควรชี้แจงหลักเกณฑ์การให้ผลตอบแทน ยกย่องผู้มีผลงานดีเด่น และสำรวจความพึงพอใจต่อระบบการให้ผลตอบแทน 6) วินัยและการรักษาวินัย โรงเรียนควรจัดอบรมประจำปี มีคู่มือวินัยที่เข้าใจง่าย มีระบบร้องทุกข์และคณะกรรมการที่เป็นกลาง และ 7) การออกจากงาน โรงเรียนควรให้ความรู้เรื่องสิทธิประโยชน์ มีการประสานงานกับหน่วยงานต้นสังกัด และมีมาตรฐานการให้บริการอย่างมืออาชีพ</p> <p>&nbsp;</p> อรวีย์ บุญศรี, วีรวิชญ์ ปิยนนทศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280912 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน โรงเรียนชุมชนบ้านหนองยาว สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280577 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน 2) พัฒนารูปแบบ 3) ทดลองใช้รูปแบบ และ 4) ประเมินรูปแบบ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ครู ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 372 คน ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน และนักเรียน 329 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม (ค่าความเชื่อมั่น .980) แบบสัมภาษณ์ แบบทดสอบ (ค่าความยากง่าย .50 และค่าอำนาจจำแนก 1.00) แบบประเมิน แบบวิเคราะห์เอกสาร และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และใช้ค่าสถิติ ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา การทดสอบค่าที ค่าคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ และค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ ประกอบด้วย ภาวะผู้นำของผู้บริหาร การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การบริหารจัดการ การพัฒนาบุคลากร การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และการมุ่งเน้นนักเรียน 2) สภาพปัจจุบัน มีการปฏิบัติระดับมาก สภาพที่คาดหวังอยู่ในระดับมากที่สุด 3) องค์ประกอบรูปแบบ ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา การดำเนินการ การประเมินผล และเงื่อนไขความสำเร็จ ซึ่งรูปแบบและคู่มือการใช้รูปแบบมีความถูกต้องและเหมาะสมระดับมากที่สุด 4) ผลการทดลองใช้รูปแบบ พบว่า ผลการประเมินความรู้ความเข้าใจของครู มีระดับพัฒนาการอยู่ในระดับสูงมาก และผลการประเมินประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศ มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 5) ผลการประเมินรูปแบบ พบว่า (1) ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน ปีการศึกษา 2567 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เฉลี่ยรวมสูงกว่าระดับภาคและสังกัด ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เฉลี่ยรวมสูงกว่าระดับประเทศ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.25 จากปีการศึกษา 2566 (2) ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 99.16 (3) ผลการประเมินสมรรถนะสำคัญ ระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 96.39 (4) ผลการประเมินความสามารถในการนำตนเอง ระดับดีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 81.72 (5) ผลการประเมินความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และความพึงพอใจต่อรูปแบบ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> พยุงศักดิ์ แก้วสงค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280577 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของครูในสถานศึกษาเอกชนสังกัดคณะซาเลเซียนแห่งประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280334 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของครู 2) ระดับ<br />การคงอยู่ของครู และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของครู ในสถานศึกษาเอกชนสังกัดคณะซาเลเซียน<br />แห่งประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูในสถานศึกษาเอกชนสังกัดคณะซาเลเซียน<br />แห่งประเทศไทย จำนวน 294 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน จากการเปรียบเทียบสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.905 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของครูในสถานศึกษาเอกชนสังกัดคณะซาเลเซียนแห่งประเทศไทย อยู่ในระดับมากทั้งหมด โดยมีค่าเฉลี่ยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ความผูกพันต่อองค์กร ความพึงพอใจในงาน วัฒนธรรมองค์กร และแรงจูงใจ 2. ระดับการคงอยู่ของครูในสถานศึกษาเอกชนสังกัดคณะซาเลเซียนแห่งประเทศไทย อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านงาน ด้านผู้บริหาร ด้านบุคลากร และด้านองค์กร 3. ปัจจัยทำนายการคงอยู่ของครูในสถานศึกษาเอกชนสังกัดคณะซาเลเซียนแห่งประเทศไทย<br />มีประสิทธิภาพในการทำนาย ร้อยละ 81.10 สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบได้ดังนี้ <br /> = 0.432 + 0.282X<sub>4</sub> + 0.282X<sub>2</sub> + 0.222X<sub>1</sub> + 0.115X<sub>3</sub></p> ณัฐภูมิ เลิศวิทยาวิวัฒน์, สัมฤทธิ์ แสงทอง, ไพรัช มณีโชติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280334 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 สภาพและปัญหาการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นการศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280555 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์&nbsp; เพื่อ1) ศึกษาสภาพ การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นการศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ&nbsp; เขต 4&nbsp; 2) เปรียบเทียบสภาพการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่ง&nbsp; ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของโรงเรียน 3) ศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะการบริหารบุคคลในสถานศึกษา&nbsp; กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการครูในสถานศึกษา&nbsp; สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาศรีสะเกษ เขต&nbsp; 4 ซึ่งกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางกำหนดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie and Morgan ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 467 คน&nbsp; เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ&nbsp; แบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า&nbsp; 5&nbsp; ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .92 &nbsp;สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ&nbsp; ค่าเฉลี่ย &nbsp;ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าt (t-test) และการทดสอบค่า F (F-test) &nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า&nbsp; 1) สภาพการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา&nbsp; สังกัดสำงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 4&nbsp; โดยรวม มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก&nbsp; 2) ผลการเปรียบเทียบสภาพการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา&nbsp; &nbsp;จำแนกตามมีตำแหน่ง&nbsp; ประสบการณ์การทำงาน&nbsp; ขนาดของโรงเรียน พบว่า&nbsp; แตกต่างกัน&nbsp; อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01&nbsp; 3) ปัญหาและข้อเสนอแนะในการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษา พบประเด็นสำคัญใน 4 ด้าน คือ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้งบุคลากร&nbsp; ปัญหาคือ การขาดแคลนครู โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ชายแดน หรือโรงเรียนขนาดเล็ก&nbsp; ข้อเสนอแนะ คือ ต้นสังกัดควรจัดสรรครูพนักงานราชการมาทดแทนกรณีที่มีการย้ายออก และควรบรรจุครูให้ตรงตามความต้องการของแต่ละโรงเรียน&nbsp; ด้านการพัฒนาบุคลากร ปัญหาคือ โรงเรียนหลายแห่งไม่มีการกำหนดแผนการพัฒนาครูอย่างเป็นระบบ ข้อเสนอแนะ คือ ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูจัดทำผลงานทางวิชาการเพื่อความก้าวหน้าในสายงาน&nbsp; พัฒนาทักษะที่ตรงกับความจำเป็นในการปฏิบัติงานจริง&nbsp; ด้านการธำรงรักษาบุคลากรปัญหาคือ&nbsp; บุคลากรบางส่วนขาดความตระหนักในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ส่งผลให้การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ&nbsp; ข้อเสนอแนะ คือ ผู้บริหารควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี&nbsp; และส่งเสริมความสัมพันธ์ในองค์กรให้มีความสุข&nbsp; ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน&nbsp; ปัญหาคือ&nbsp; การขาดการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ระบบการประเมินไม่มีประสิทธิภาพ และไม่มีเกณฑ์ที่ชัดเจนหรือเป็นธรรม&nbsp; ข้อเสนอแนะ คือ ผู้บริหารควรมีความเป็นธรรมและใช้หลักเกณฑ์ที่ชัดเจน โปร่งใส</p> ชลธิชา จำเริญสุข , ชวนคิด มะเสนะ, วิไลวรรณ พรมสีใหม่ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/280555 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/283160 <p>การวิจัย เรื่อง การพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 และ 3) ตรวจสอบและยืนยันแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 ผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครูที่ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้ากลุ่มงาน และผู้ทรงคุณวุฒิเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา การสัมภาษณ์ การสนทนากลุ่ม และการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันในการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับค่าดัชนีความต้องการจำเป็น เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ 1) การบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม 2) การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ 3) การบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการ 4) การบริหารจัดการสถานศึกษา และ 5) การบริหารงานชุมชนและเครือข่าย 2. แนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 ประกอบด้วย หลักการ วิธีการและเงื่อนไขความสำเร็จ ของแต่ละด้านทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1) การบริหารการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม 2) การพัฒนาตนเองและวิชาชีพ 3) การบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการ 4) การบริหารจัดการสถานศึกษา และ 5) การบริหารงานชุมชนและเครือข่าย 3. การตรวจสอบและยืนยันแนวทางการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 2 ด้วยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญพบว่า โดยภาพรวมมีความถูกต้อง และมีความเหมาะสม ในระดับมากที่สุด</p> เกวลิน แก้ววิจิตร, พรรณี สุวัตถี, ชูชีพ พุทธประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษาแห่งประเทศไทย (สพบท.) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JAPDEAT/article/view/283160 Sun, 28 Sep 2025 00:00:00 +0700