วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU <p>วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง (ISSN 2286-8658) ได้จัดทำขึ้นเพื่อเปิดเวทีให้นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้สนใจ ได้เผยแพร่ความรู้ทางวิชาการ งานวิจัย และผลงานสร้างสรรค์อื่นๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการสรรค์สร้างความรู้ นำสู่สังคม และเพื่อเผยแพร่บทความทางวิชาการ งานวิจัยและบทความวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาและนักวิชาการ โดยมีกำหนดการเผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (ราย 6 เดือน)</p> Institute of Research and Development th-TH วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 2286-8658 <p>บทความลิขสิทธิ์ของวารสารมหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง</p> บทบรรณาธิการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/281737 admin Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 แนวทางการบริหารจัดการข้อมูลเพื่อการขับเคลื่อนงานบริหารทรัพยากรบุคคลในรูปแบบดิจิทัลของ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/275282 <p>ด้วยวิสัยทัศน์ของประเทศไทยที่ว่า “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และรัฐบาลได้นำรูปแบบการขับเคลื่อนประเทศโดยใช้โมเดลไทยแลนด์ 4.0 จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบราชการและข้าราชการ โดยการนำนวัตกรรมละเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการปฏิบัติราชการ เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการจากภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น สำนักงานการปฏิรูปที่ดิน<br>เพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จึงมีความจำเป็นที่ต้องมีระบบการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรบุคคลของหน่วยงาน ที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยการจัดทำระบบฐานข้อมูลสารสนเทศในเชิงดิจิทัล หรือการนำนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ : Artificial Intelligence (AI) เพื่อนำมาใช้กับการบริหารจัดการของ ส.ป.ก. ตลอดจนมีกระบวนการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบุคลากรภายในหน่วยงาน ส.ป.ก. และมีกระบวนการในการติดตามและประเมินผลเพื่อกาพัฒนาระบบ<br>การบริหารจัดการข้อมูลทรัพยากรบุคคลเชิงดิจิทัลขององค์กรให้บรรลุตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและ<br>มีการพัฒนาหน่วยงานเป็นองค์กรดิจิทัลเพื่อประโยชน์ในการให้บริการแก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป&nbsp;</p> ชเนตตี พุ่มพฤกษ์ ณัฐกาญจน์ สุวรรณธารา สาธิรัตน์ รัตนวงศ์ปาล Copyright (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 73 83 ส่วนท้าย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/281738 admin Copyright (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจใช้บริการร้านสะดวกซักแบบหยอดเหรียญของผู้ใช้บริการที่อาศัยอยู่ในจังหวัดปทุมธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/276813 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (2) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของคุณภาพการให้บริการ และ (3) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและปัจจัยด้านคุณภาพการให้บริการ ที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการของผู้ใช้บริการร้านสะดวกซักแบบหยอดเหรียญของผู้ใช้บริการที่อาศัยอยู่ในจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้บริการร้าน จำนวน 400 คน การวิเคราะห์ใช้สถิติพรรณนาที่ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาด และคุณภาพในการให้บริการมีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดสามารถทำนายความตั้งใจใช้บริการร้านสะดวกซักแบบหยอดเหรียญได้ร้อยละ 56.8 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 โดยปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (ß=0.450) ผลิตภัณฑ์ (ß=0.268) ราคา (ß=0.227) และบุคลากร (ß=0.190) ตามลำดับ ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย ส่งผลด้านลบต่อการตัดสินใจใช้บริการร้านสะดวกซักแบบหยอดเหรียญ สำหรับปัจจัยคุณภาพในการให้บริการ สามารถอธิบายความตั้งใจใช้บริการร้านสะดวกซักแบบหยอดเหรียญได้ร้อยละ 66.6 มีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 โดยปัจจัยที่ส่งผลคือ การให้ความมั่นใจแก่ผู้ใช้บริการ (ß = 0.440) รองลงมาคือ ความเห็นอกเห็นใจผู้ใช้บริการ (ß = 0.220) และการตอบสนองต่อผู้ใช้บริการ (ß = 0.208) ตามลำดับ</p> จินตนา บุญร่วม สินิทรา สุขสวัสดิ์ รุจิกาญจน์ สานนท์ Copyright (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 1 12 ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/276257 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 และเพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 จำแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน และขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 278 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตรฐานส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 พบว่า มีค่าเฉลี่ยโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ ด้านการนิเทศการศึกษา ด้านการพัฒนาครู ด้านการบริหารหลักสูตร และด้านการจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมทางวิชาการ</p> <p> 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 พบว่า ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน โดยรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และจำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ชนะชล ฺบ้านใหม่ กัญภร เอี่ยมพญา นิวัตต์ น้อยมณี Copyright (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 13 24 การจัดการกลุ่มผู้สูงอายุโดยแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมตำบลน้ำโจ้ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/275448 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์กระบวนการจัดการผู้สูงอายุในตำบลน้ำโจ้ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง จากข้อมูลด้านบริบทพื้นที่ สถานการณในอดีตและปัจจุบัน ผู้มีส่วนได้สวนเสีย และการจัดการในปัจจุบัน 2) พัฒนารูปแบบการจัดการผู้สูงอายุบนฐานการสร้างแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมในด้านสังคมและเทคโนโลยี และ 3) กำหนดปทัสถานของตำบลเพื่อการจัดการผู้สูงอายุบนฐานการสร้างแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมตำบลน้ำโจ้ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ด้วยวิธีวิจัยแบบผสม ด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสังเกตแบบมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการตรวจสอบแบบสามเส้ากับการวิจัยเชิงปริมาณ ด้วยการเก็บแบบสำรวจจากผู้สูงอายุและประชาชนในเขตเทศบาลตำบลน้ำโจ้ จำนวน 400 ชุด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปี พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารท้องถิ่น เทศบาลตำบลน้ำโจ้จึงได้กำหนดแนวทางการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ได้แก่ ด้านการเตรียมความพร้อมของประชากรเพื่อวัยสูงอายุ ด้านส่งเสริมการพัฒนาผู้สูงอายุ ด้านการพัฒนาและเผยแพร่องค์ความรู้ด้านผู้สูงอายุ และส่งเสริมการเล่นกีฬา การออกกำลังกาย 2) ความสำคัญของคนทุกวัยใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมอย่างมีคุณภาพ ได้แก่ การสร้างแรงยึดเหนี่ยวทางสังคมโดยการส่งเสริมความผูกพันทางสังคมสำหรับการสร้างสังคมที่เหนียวแน่นและปรองดอง การจัดการช่องว่างระหว่างวัยที่เป็นสิ่งสำคัญในการส่งเสริมความสามัคคี ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างบุคคลในกลุ่มอายุต่าง ๆ และนวัตกรรมทางสังคมที่เกิดจากการวิจัยด้วยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม และความแตกต่างระหว่างวัยที่เข้มแข็งสามารถนำไปสู่การดำรงอยู่ร่วมกันได้ 3) การกำหนดปทัสถาน (ข้อตกลง) เป็นกระบวนการที่ได้ทำอย่างต่อเนื่องและได้รับความร่วมมือจากสมาชิกทุกคน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้กลุ่มสามารถพัฒนาไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน</p> ณัฏฐ์ดนัย ประเทืองบริบูรณ์ ไพฑูรย์ อินต๊ะขัน ธนวรกฤต โอฬารธนพร วิศท์ เศรษฐกร พัชรสฤษดิ์ กนิษฐเสน วรญา จตุพัฒน์รังสี เทวฤทธิ์ วิญญา พฤกษา เครือแสง ธีระวัฒน์ แก้วลังกา Copyright (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 25 36 การสื่อสารออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของเยาวชน อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/277344 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและเพื่อศึกษาการสื่อสารออนไลน์ที่ส่งผลต่อการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพของเยาวชน อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15 - 24 ปี จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบความแตกต่าง</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ด้านทัศนคติต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ส่วนใหญ่มีทัศนคติต่อการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มสมรรถภาพด้านร่างกาย จิตใจและสติปัญญามากที่สุด (x̄=4.02) รองลงมาทัศนคติต่อการออกกำลังกายเพื่อช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพ (x̄=4.01) และทัศนคติต่อการออกกำลังกายสามารถทำให้ได้พบเพื่อนใหม่ (x̄=3.98) ตามลำดับ 2) การสื่อสารออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ พบว่าการสื่อสารออนไลน์ด้านการออกกำลังกาย สามารถตอบโจทย์ความต้องการส่วนบุคคลมากที่สุด (x̄=3.79) รองลงมาการสื่อสารออนไลน์ด้านการออกกำลังกายสามารถเข้าถึงได้ง่าย (x̄=3.58) และการสื่อสารออนไลน์ด้านการออกกำลังกายมีความเหมาะสมสำหรับทุกช่วงวัย (x̄=3.47) ตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบหลายด้าน พบว่าอายุที่ต่างกันส่งผลต่อทัศนคติต่อพฤติกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และรายได้ที่ต่างกันส่งผลต่อทัศนคติพฤติกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ และการสื่อสารออนไลน์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> นเรศ บัวลวย อัครพล ลีกำเนิดไทย Copyright (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 37 48 ผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อการคิดวิเคราะห์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ในรายวิชาพลเมืองไทยในสังคมพลวัต https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/263617 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการคิดวิเคราะห์วิชาพลเมืองไทยในสังคมพลวัต ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลังได้รับการเรียนรู้เชิงรุก 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาพลเมืองไทยในสังคมพลวัตของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลังได้รับการเรียนรู้ เชิงรุก และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้เชิงรุกของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ในรายวิชาพลเมืองไทยในสังคมพลวัต กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการจัดการ,สาขาวิชาการบัญชี และสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา ศท 0022701 พลเมืองไทยในสังคมพลวัต ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 97 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 2) แบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัดการเรียนรู้เชิงรุกของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.88/83.09 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2) ผลการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา พบว่านักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่เรียนวิชาพลเมืองไทยในสังคมพลวัตโดยการเรียนรู้เชิงรุก หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่านักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่เรียนวิชาพลเมืองไทยในสังคมพลวัต โดยการเรียนรู้เชิงรุก หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ 4) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนเชิงรุกในรายวิชาพลเมืองไทยในสังคมพลวัตภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37 และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.276</p> วันวิสา แย้มกระจ่าง เบญจพร บุญสยมภู Copyright (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 49 60 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า กลุ่มวิสาหกิจจักสานบ้านดอนพัฒนา ตำบลนาบ่อคำ อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JLPRU/article/view/275832 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) พัฒนาผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า 2) พัฒนาตราสินค้าผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า 3) พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า และ 4) พัฒนาการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้า ของกลุ่มวิสาหกิจจักสานบ้านดอนพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากร ได้แก่ กลุ่มวิสาหกิจจักสานบ้านดอนพัฒนา 120 คน แหล่งข้อมูลเป็นสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจจักสานบ้านดอนพัฒนาที่ผลิตไม้กวาดดอกหญ้า และผู้ที่เกี่ยวข้อง 15 คน ใช้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง การสนทนากลุ่ม และการประชุมเชิงปฏิบัติการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม้กวาดดอกหญ้ามีการเพิ่มการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เช่น ไม้กวาดธรรมดาพัฒนาเป็นไม้กวาดที่สามารถยืดได้ และไม้กวาดแฟนตาซี 2) ทางกลุ่มได้มีการพัฒนาตราสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง 3) การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายได้เพิ่มช่องทางในรูปแบบออนไลน์ โดยจัดทำ Live สดผ่านเพจเฟชบุ๊ก หลังการวิจัยพบว่ากลุ่มมีรายได้จากหน้าร้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 และทางออนไลน์เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และ 4) การพัฒนาการจัดทำบัญชี ได้มีการฝึกปฏิบัติการบันทึกบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่ถูกต้อง ทำให้ทราบถึงกำไรและขาดทุนได้</p> อนันธิตรา ดอนบรรเทา เพ็ญศรี ยวงแก้ว พัตราภรณ์ อารีเอื้อ คุณัญญา เบญจวรรณ มัทรี ขาวจุ้ย Copyright (c) 2025 วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-06-30 2025-06-30 14 1 61 72