วารสารมหาจุฬาวิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA <p><img src="https://so04.tci-thaijo.org/public/site/images/suchaya09/20190826113420_A408E920-5F80-44CC-B986-0F59ADF90550.jpg" width="721" height="375" /></p> <p> วารสารมหาจุฬาวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการผลิตผลงานทางวิชาการและงานวิจัยด้านพระพุทธศาสนา เพื่อให้บริการทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนาแก่สังคมเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนแนวคิดทางพระพุทธศาสนา เพื่อสนับสนุนให้เกิดวารสารทางวิชาการกลางของมหาวิทยาลัย ในการเผยแพร่บทความวิชาการ และบทความวิจัยแก่ผู้บริหาร คณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย และนิสิต นักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ในมิติทางด้านศาสนาและปรัชญา พระพุทธศาสนากับศาสตร์สมัยใหม่ ในขอบข่ายเนื้อหาสาขาวิชาสังคมวิทยา ศิลปศาสตร์และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์สังคมศาสตร์เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong> </strong></p> en-US Suchaya998464@gmail.com (suchaya sirithanyaporn) supatharn@live.com (supatharn sudachan) Wed, 02 Jul 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ส่วนหน้า https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/282479 <p>ส่วนหน้าของวารสาร</p> สุชญา ศิริธัญภร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุชญา ศิริธัญภร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/282479 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 ความรักกับพรหมวิหาร ๔ : จิตวิทยาแห่งความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278175 <p> บทความวิชาการเรื่อง “ความรักกับพรหมวิหาร ๔ : จิตวิทยาแห่งความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน” กล่าวถึงการนำหลักพรหมวิหาร ๔ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตาและอุเบกขา มาเป็นแนวทางสร้างความรักและความสัมพันธ์ที่มั่นคงในชีวิตประจำวัน โดยชี้ให้เห็นว่าความรักที่แท้จริงควรปราศจากความเห็นแก่ตัวและการครอบครอง แต่เน้นความปรารถนาดีต่อกัน พรหมวิหาร ๔ ช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสาร ความเข้าใจ และการจัดการอารมณ์ในความสัมพันธ์ ลดความขัดแย้งและเสริมสร้างความไว้วางใจ</p> <p> บทความนี้ยังเสนอแง่มุมทางจิตวิทยาที่สนับสนุนว่าการปฏิบัติตามพรหมวิหาร ๔ ช่วยให้เกิดความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ทั้งในระดับบุคคลและสังคม โดยเน้นความรักที่บริสุทธิ์และปราศจากการยึดติด สรุปได้ว่าพรหมวิหาร ๔ เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสุขและความสงบในความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: ความรัก; พรหมวิหาร ๔; ความสัมพันธ์</p> จิรกิติยา บุญครองทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 jirakitiya boonkrongsupya https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278175 Wed, 02 Jul 2025 00:00:00 +0700 การดูแลเด็กวัยประถมศึกษาเพื่อป้องกันโรคสมาธิสั้น ความบกพร่องทางการเรียนรู้ และอารมณ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279422 <div><span lang="TH"> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลเด็กวัยประถมศึกษาเพื่อป้องกันโรคสมาธิสั้น ความบกพร่องทางการเรียนรู้ และปัญหาทางอารมณ์ โรคสมาธิสั้นเป็น</span><span lang="TH">ความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาทที่พบได้บ่อยในเด็กวัยประถมศึกษา โดยในประเทศไทยพบความชุกร้อยละ 8.1 หรือประมาณ 1 ล้านคน มีลักษณะสำคัญคือ การขาดสมาธิที่ต่อเนื่อง ภาวะซนหรือไม่อยู่นิ่ง และการขาดการยั้งคิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเรียน พฤติกรรม อารมณ์ และการเข้าสังคม </span></div> <div><span lang="TH"> บทความนี้นำเสนอแนวทางการดูแลเด็กวัยประถมศึกษาแบบองค์รวม ประกอบด้วย การดูแลด้าน</span><span style="font-size: 0.875rem;">สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูที่บ้าน การดูแลด้านโภชนาการและการนอนหลับ การดูแลในโรงเรียนและการ</span></div> <div> <div><span lang="TH">ส่งเสริมการเรียนรู้ และการคัดกรองและการช่วยเหลือเบื้องต้น โดยเน้นการจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นระเบียบ การสร้างกิจวัตรประจำวันที่ชัดเจน การจำกัดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการส่งเสริมกิจกรรมออกกำลังกาย การดูแลที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงของอาการและผลกระทบของโรคสมาธิสั้นและความบกพร่องที่เกี่ยวข้องได้ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ปกครอง ครู และบุคลากรทางการแพทย์</span></div> </div> ศิโรจน์ ผลพันธิน, อมลวรรณ วีระธรรมโม, ภัทรสุดา สุกปลั่ง, กันยามาศ ช่วยสมบูรณ์, มลิวัลย์ ธรรมแสง, สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Supaporn Tungdamnernsawad https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279422 Wed, 02 Jul 2025 00:00:00 +0700 อรรถปริวรรตศาสตร์ของกัดดาเมอร์ในกฎหมายสิทธิการตายสำหรับผู้ป่วยทางจิต https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278554 <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตีความกฎหมายสิทธิการตาย (Medical Assistance in Dying: MAiD) สำหรับผู้ป่วยทางจิตในประเทศแคนาดาผ่านกรอบแนวคิดของอรรถปริวรรตศาสตร์ของฮันส์-จอร์จ กัดดาเมอร์ (Hans-Georg Gadamer) โดยเน้นการวิเคราะห์ “อคติ” (Prejudice) และ “การหลอมรวมขอบฟ้า” (Fusion of Horizon) ของกลุ่มผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยต่อการขยายขอบเขตกฎหมาย MAiD ให้ครอบคลุมผู้ป่วยทางจิต โดยการตีความที่แตกต่างกันนั้นมิได้เกิดจากข้อเท็จจริงทางการแพทย์หรือจิตเวชเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผลของบริบททางวัฒนธรรม จริยธรรม ความเชื่อเรื่องศักดิ์ศรีของชีวิต และความกลัวต่อการถูกใช้สิทธิการตายในทางที่ไม่เหมาะสม</p> ฉัตรทอง มีเมศกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ฉัตรทอง มีเมศกุล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278554 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในนวนิยายเรื่องแก่นไม้หอม ของกิ่งฉัตร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280791 <p> นวนิยายเรื่องแก่นไม้หอม เป็นเรื่องราวของตัวละครเอกหญิงชาวไทยเชื้อสายจีนชื่อซิ่วเฮียง ซึ่งอพยพมาจากประเทศจีนช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองตั้งแต่เยาว์วัย มาอยู่กับบิดามารดาในประเทศไทย ชีวิตของเธอผ่านประสบการณ์ความสุขและความทุกข์ ในบทบาทเมีย และแม่มาหลายยุคสมัย เรื่องราวชีวิตของเธอได้สะท้อนภาพความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมตามยุคสมัย ดังนั้นบทความทางวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในนวนิยาย เรื่องแก่นไม้หอม ประพันธ์โดยกิ่งฉัตร (นามแฝง) ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๖๖ วิเคราะห์และตีความข้อมูลโดยใช้ทฤษฎีภาพสะท้อนทางสังคม </p> <p> จากการวิเคราะห์นวนิยายเรื่องแก่นไม้หอมได้สะท้อนภาพทางสังคม มี ๗ ด้าน ได้แก่ (๑) ภาพสะท้อนด้านชีวิตความเป็นอยู่ทั่ว ๆ ไป เช่น วิถีชีวิตด้านการประกอบอาชีพ หรือการทำมาหากิน วิถีชีวิตด้านสภาพแวดล้อมบ้านเมือง วิถีชีวิตด้านการคมนาคม (๒) ภาพสะท้อนด้านครอบครัว เช่น ลักษณะภาพสะท้อนครอบครัวเดี่ยว และครอบครัวขยาย ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว (๓) ภาพสะท้อนด้านความเชื่อ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับศาสนา ความเชื่อเกี่ยวกับความตาย ความเชื่อเกี่ยวกับโหราศาสตร์ ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิด (๔) ภาพสะท้อนด้านค่านิยม เช่น ค่านิยมเรื่องการศึกษา ค่านิยมเรื่องการลำดับความสำคัญของบุตรและเลือกเพศบุตร ค่านิยมเรื่องการแต่งงาน ค่านิยมการตั้งชื่อร้าน ค่านิยมการตำหนิหญิงม่าย (๕) ภาพสะท้อนด้านวัฒนธรรม ได้แก่ เทศกาลวันสำคัญทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมการจัดงานศพ วัฒนธรรมการแต่งงาน วัฒนธรรมการจัดเลี้ยงโต๊ะจีน วัฒนธรรมการให้เงิน วัฒนธรรมการเรียกชื่อลำดับ ญาติ และวัฒนธรรมการนับถือเครือญาติ (๖) ภาพสะท้อนด้านเศรษฐกิจ การเมืองและการปกครอง เช่น ภาพสะท้อนเศรษฐกิจช่วงต้มยำกุ้ง ภาพสะท้อนเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ ๒ ภาพสะท้อนเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ (๗) ภาพสะท้อนทางสังคมด้านการศึกษา เช่น กลุ่ม มีการศึกษา กลุ่มด้อยการศึกษา และการเปรียบเทียบการศึกษารัฐบาลและเอกชน ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในนวนิยาย เรื่องแก่นไม้หอม ของกิ่งฉัตร ดังกล่าวนั้น สะท้อนผ่านเรื่องราวชีวิตของซิ่วเฮียงตั้งแต่เด็กจวบจนสิ้นอายุขัย ดังคำกล่าวที่ว่า “วรรณกรรมเปรียบเหมือน กระจกเงา ที่สะท้อนสภาพความเป็นไปของสังคมและมนุษย์”</p> <p><a href="#_ftnref2" name="_ftn2"></a></p> <p><a href="#_ftnref3" name="_ftn3"></a></p> อภิญญา พงษ์สระพัง, สุรธัชนุกูล นุ่นภูบาล, ศาริศา สุขคง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Apinya phongsaphang, Suratadchanukoon Nunphooban, Sarisa Sukkhong https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280791 Tue, 29 Jul 2025 00:00:00 +0700 การประยุกต์สัญญา ๑๐ ในคิริมานันทสูตรเพื่อส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/277471 <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสัญญา ๑๐ ในคิริมานันทสูตร แล้วนำสัญญา ๑๐ มาประยุกต์เพื่อส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม ผลการศึกษาพบว่า การประยุกต์สัญญา ๑๐ ในคิริมานันทสูตร เพื่อส่งเสริมสุขภาวะองค์รวม ได้แก่ (๑) สุขภาวะทางกาย กล่าวคือ ๑ ) อสุภสัญญา ช่วยลดความยึดมั่น ในรูปลักษณ์ภายนอก มองเห็นร่างกายตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่สิ่งน่าปรารถนา จึงลดความหลงใหลในกาม ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพแบบมีสติ ไม่ยึดติดภาพลักษณ์ ๒) อาทีนวสัญญา ช่วยเห็นโทษของกายที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ เช่น ความเจ็บป่วย ความเหนื่อยหน่าย นำไปสู่การดูแลร่างกายด้วยความไม่ประมาท ส่งเสริมการรักษาสุขภาพเชิงป้องกัน ๓) อานาปานสติ การฝึกหายใจอย่างมีสติช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายลดความเครียด ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ เพิ่มความแข็งแรงให้ระบบหายใจและหัวใจ (๒) สุขภาวะทางจิตใจ กล่าวคือ ๑) อนิจจสัญญา การเห็นว่าขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ช่วยลดความยึดมั่น ลดความวิตกกังวลเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ๒) วิราคสัญญา การเสริมสร้างจิตใจที่ปล่อยวาง ลดการยึดติดในกิเลส ทำให้เกิดความสงบภายใน ๓) นิโรธสัญญา การเห็นถึงความเป็นไปได้ในการดับทุกข์ทั้งหมด ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง ๔) อานาปานสติ การเจริญสติผ่านการกำหนดลมหายใจ ช่วยควบคุมอารมณ์ ความเครียด และความโกรธ ช่วยให้จิตสงบ สมดุล มีสมาธิและเจริญปัญญาได้ง่าย (๓) สุขภาวะทางสังคม กล่าวคือ ๑) สัพพโลเก อนภิรตสัญญา การไม่หลงใหลในโลก ทำให้ไม่อิงอัตตาลดการเปรียบเทียบแข่งขันกับผู้อื่น เกิดความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และอยู่ร่วมกับสังคมอย่างมีเมตตา ๒) ปหานสัญญา การละอกุศลธรรม เช่น พยาบาทหรือความคิดร้าย ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคล ลดความขัดแย้ง ๓) อานาปานสติ การเจริญสติผ่านการกำหนดลมหายใจ ช่วยพัฒนาความเอาใจใส่และการฟังอย่างลึกซึ้ง ซึ่งจำเป็นในการสื่อสารและสร้างสัมพันธภาพที่ดี (๔) สุขภาวะทางปัญญา กล่าวคือ ๑) อนัตตสัญญา การเข้าใจว่าอายตนะทั้งหลายไม่ใช่ตน ช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับชีวิตและการปล่อยวางอัตตา ๒) สัพพสังขาเรสุ อนิจจสัญญา การส่งเสริมการเจริญปัญญา โดยตระหนักว่าทุกสิ่งเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป เป็นกระบวนการของธรรมชาติ ๓) อานาปานสติ เมื่อฝึกจนชำนาญ จะช่วยพัฒนาโยนิโสมนสิการ คือการใคร่ครวญอย่างมีปัญญา และนำไปสู่ญาณทัสสนะ</p> สมศรี รุ่งแสงทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมศรี รุ่งแสงทอง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/277471 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 คติชนสร้างสรรค์กับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชน ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำบ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280801 <p> บทความทางวิชาการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเสนอการนำแนวคิดทางคติชนสร้างสรรค์มาใช้พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทดำ บ้านนาป่าหนาด ตำบลเขาแก้วอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ภาคสนาม และการสนทนากลุ่ม โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง แบบสนทนากลุ่มผู้รู้ ปราชญ์ท้องถิ่น และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว จำนวน ๑๐ คน วิเคราะห์และตีความข้อมูลโดยใช้แนวคิดคติชนสร้างสรรค์ และแนวคิดบทบาทหน้าที่ของคติชนวิทยา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์ไทดำบ้านนาป่าหนาด ได้จัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนมาตั้งแต่ ปี ๒๕๓๙ ชุมชนได้นำแนวคิดคติชนเชิงสร้างสรรค์มาพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยว ๕ รูปแบบดังนี้ (๑) <strong>การผลิตซ้ำเรื่องเล่า</strong> โดยการนำเรื่องเล่าที่เป็นตำนานมาผลิตซ้ำ เพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนของชาวไทดำผ่านเรื่องเล่าประวัติความเป็นมาของชุมชน ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม เรื่องเล่าเจ้าบ้าน เป็นต้น (๒) <strong>การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทางภูมิปัญญา</strong> โดยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ผ้าฝ้าย และเครื่องรางในพิธีกรรม มาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการท่องเที่ยว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย โดยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนั้น ได้นำเรื่องเล่ามาสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างความหมายใหม่ให้แก่ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยว (๓) <strong>การนำเสนออาหารอัตลักษณ์ชาติพันธุ์</strong> ได้แก่ แจ่วอด จุ๊บผัก เพื่อสื่อสารถึงวิถีวัฒนธรรม ภูมิปัญญาการปรับตัวต่อธรรมชาติของบรรพบุรุษชาวไทดำ(๔) <strong>นำเสนอการละเล่น และการแสดง</strong> เช่น มะกอนลอดบ่วง การแสดง “แซปาง” และฟ้อนแคน <br />เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว เป็นการสร้างสีสัน และสร้างการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้วัฒนธรรมไทดำอีกแนวทางหนึ่ง และ ๕) <strong>การสร้างสรรค์ประเพณี “ตุ้มโฮมพี่น้องไต”</strong> เพื่อหลอมรวมชาติพันธุ์ไทดำ การสร้างเครือข่ายทางสังคมและวัฒนธรรม และ การท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนไทดำบ้านนาป่าหนาดดังกล่าวนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการนำคติชนเชิงสร้างสรรค์มาสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่ม ซึ่งนำไปสู่การสร้างงาน และรายได้ ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในชุมชนไทดำในด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมให้ยั่งยืนสืบไป</p> พยุงพร ศรีจันทวงษ์, ณภัทร ภัทร์ธราธร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 พยุงพร ศรีจันทวงษ์, ณภัทร ภัทร์ธราธร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280801 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 พระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคมปัจจุบันแบบบูรณาการที่ยั่งยืน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279699 <p> บทความนี้ มุ่งศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน ศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาสังคมอันจะนำไปสู่ประโยชน์ความสำเร็จและความสุข ศึกษาแนวทางการวางแผนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมตามหลักพระพุทธศาสนา โดยวิธีการวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ เพื่อนำไปสังเคราะห์ บริหารจัดการ ปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาตามวัตถุประสงค์ที่ได้วางเอาไว้ โดยไม่ขัดต่อตามความต้องการของผู้คนในสังคม</p> <p> พระพุทธศาสนามีหลักการที่สำคัญต่อการพัฒนาสังคม เป็นมิตรกับสังคม อยู่กับสังคมมาโดยตลอด เมื่อสังคมเกิดวิกฤตการณ์ปัญหาหลักด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านสิ่งแวดล้อม พระพุทธศาสนานอกจากจะมีบทบาทที่สำคัญ ต่อการแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคมนั้น ๆ เป็นอย่างยิ่งแล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถในการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น ด้วยการประสานเชื่อมโยงระหว่างสังคม ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้องดีงามแบบบูรณาการ ซึ่งจะส่งผลให้สังคมมีคุณธรรมจริยธรรม อย่างต่อเนื่องด้วยดี และมีคุณภาพที่ยั่งยืน</p> พระครูธรรมธรวรเดชา อคฺคเตโช (วรเดชา พรหมเสนา) ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Waradecha Aggatejo https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279699 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารงานบุคคลแบบมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต ๑ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279632 <p style="font-weight: 400;"> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (๑) เพื่อศึกษาความต้องการบริหารงานบุคคลแบบมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต ๑ (๒) เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลแบบมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต ๑ วิธีดำเนินการวิจัยมี ๒ ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ ๑ ศึกษาความต้องการการบริหารงานบุคคลแบบมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต ๑ ทั้งหมด ๑,๗๒๐ คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie &amp; Mogan) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน ๓๑๔ คน โดยผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พระนครศรีอยุธยา เขต ๑ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ ๒ นำเสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลแบบมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เชี่ยวชาญ ๗ ท่าน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) โดยนำข้อมูลมาเรียบเรียง จำแนกและสร้างข้อสรุปจากข้อมูลที่รวบรวมได้</p> <p style="font-weight: 400;"> ผลการวิจัยพบว่า (๑) ความต้องการการบริหารงานบุคคลแบบมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต ๑ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = ๓.๙๐) (๒) แนวทางการบริหารงานบุคคลแบบมีส่วนร่วมของครูในสถานศึกษา มีดังนี้ ๑) ด้านการมีส่วนร่วมในการวางแผนอัตรากำลัง ครูต้องการมีส่วนร่วมกำหนดแนวทางปฏิบัติในการวางแผนอัตรากำลังของสถานศึกษา ๒) ด้านการมีส่วนร่วมในการสรรหาและการบรรจุแต่งตั้ง ครูต้องการมีส่วนร่วมตัดสินใจเลือกเทคนิควิธีค้นหาหรือแสวงหาบุคคลกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้ามาปฏิบัติงาน ๓) ด้านการมีส่วนร่วมในการสร้างเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ครูต้องการมีส่วนร่วมตัดสินใจเลือกรูปแบบให้บุคลากรเข้ารับการอบรม สัมมนา หรือศึกษาดูงานตามความเหมาะสม ๔) ด้านการมีส่วนร่วมในวินัยและการรักษาวินัย ครูต้องการมีส่วนร่วมตัดสินใจกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการควบคุมในการรักษาระเบียบวินัยของสถานศึกษา ๕) ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผลการปฏิบัติงาน ครูต้องการมีส่วนร่วมตัดสินใจกำหนดแนวทางปฏิบัติ ในการประเมินผลการปฏิบัติงาน เพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนอย่างเป็นธรรมและชัดเจน</p> จิรพันธ์ ประดิษฐขวัญ, วีรภัทร ภัทรกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 นายจิรพันธ์ ประดิษฐขวัญ, วีรภัทร ภัทรกุล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279632 Wed, 02 Jul 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาระดับน้ำตาลก่อนและหลังการถือศีลอดเดือนรอมฎอน ในชาวไทยมุสลิม ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280647 <p> การวิจัยเชิงพรรณนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ศึกษาผลของการถือศีลอด เดือนรอมฎอนต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของชาวไทยมุสลิมที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ ๒ ที่อาศัยในเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร (๒) ศึกษาภาวะแทรกซ้อน และลักษณะการใช้ยารักษาโรคเบาหวานช่วงถือศีลอด เดือนรอมฎอนของกลุ่มประชากรนี้ กลุ่มตัวอย่างเป็นชาวไทยมุสลิมที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ ๒ ที่อาศัยในเขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร ซึ่งมาตรวจรักษาโรคเบาหวานที่ศูนย์บริการสาธารณสุข ๖๔ คลองสามวา จำนวน ๘๕ คน คัดเลือกโดยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Paired t-test และ Fisher’s Exact test </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (๑) ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ของระดับน้ำตาลในเลือดก่อนและหลังการถือศีลอด (p &gt; 0.05) และไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ระหว่างระยะเวลาการถือศีลอด กับน้ำหนัก ดัชนีมวลกาย และระดับน้ำตาลในเลือด (๒) มีผู้เข้าร่วมเพียงรายเดียวที่รายงานอาการหิวและเวียนศีรษะคล้ายกับระดับน้ำตาลในเลือดต่ำระหว่างการถือศีลอด กลุ่มตัวอย่างทุกคนรักษาโรคเบาหวานด้วยการรับประทานยาเม็ด ส่วนใหญ่ใช้ยาวันละ ๒ ครั้ง (ร้อยละ ๖๒.๓ ใช้ยาเมทฟอร์มิน ร้อยละ ๒๗.๑ ใช้ยาไกลปิไซด์) และพบว่าร้อยละ ๗๐.๖ ไม่ได้กำหนดเวลารับประทานยาให้ถูกต้องตามเวลาอาหารระหว่างการถือศีลอด</p> ศุภรณี ขาววิจิตร, รัตนา บรรณาธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศุภรณี ขาววิจิตร, รัตนา บรรณาธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280647 Wed, 02 Jul 2025 00:00:00 +0700 ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค ของสำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280359 <p class="5175"><span lang="TH"> </span>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนเปรียญธรรม ๙ ประโยค ของสำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม (๒) เพื่อศึกษาแรงจูงใจการเรียนการสอนเปรียญธรรม ๙ ประโยค ของสำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม (๓) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค ของสำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน ๑๐ รูป วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพการจัดการการเรียนการสอนของวัดโมลีโลกยารามคือการบริหารแนวดิ่งนโยบายการบริหารอยู่ที่เจ้าสำนักเรียน มีการวางแผนการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ ออกปฏิทินการศึกษา จัดอาจารย์ที่มีประสิทธิภาพในการสอน อุปกรณ์การสอนเพียบพร้อม จัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายตลอดทั้งปี ทำแบบฝึกหัดวันเว้นวัน จัดที่พักอาศัยห้องส่วนตัวอำนวยความสะดวกในการอ่านหนังสือแก่นักเรียนบาลี เปรียญธรรม ๙ ประโยค มอบทุนการศึกษาประจำเดือนและประจำปี แรงจูงใจในการเรียนภาษาบาลีมาจากแรงจูงใจต้องการให้บิดามารดาเห็นความสำเร็จของตน ต้องการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ภาษาบาลี ต้องการรางวัลความสำเร็จจากเจ้าสำนักเรียน การต่อยอดการศึกษาระดับอุดมศึกษา สำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค ต้องการได้รับพระราชทานปริญญาบัตรพัดยศจากพระมหากษัตริย์อันเป็นที่ยอมรับเป็นที่ยกย่องของคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนเป็นเกียรติแก่วงษ์ตระกูล ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จเปรียญธรรม ๙ ประโยค คือ ๑) เจ้าสำนักเรียนเป็นทั้งผู้บริหารและอาจารย์ เน้นการเรียนเป็นหลักไม่เน้นกิจกรรม เจ้าสำนักเรียนเอาใจใส่ ๒) อาจารย์ประจำชั้นชำนาญในวิชาที่สอนและเข้าถึงง่าย ๓) เพื่อนในห้องเรียนมีความเป็นกัลยาณมิตรเอื้อเฟื้อ ๔) ได้รับการอุปถัมภ์จากประชาชน ๕) อาคารสถานที่ ห้องเรียน ที่พักอาศัยมีความสัปปายะ ๖) บรรยากาศในห้องเรียนดี มีวัฒนธรรมการเคารพกันตามลำดับพรรษา</p> พระมหาวีรยุทธ บุตรราช, PhramahaTawee Mahāpañño, Maechee Kritsana Raksachom ลิขสิทธิ์ (c) 2025 พระมหาวีรยุทธ บุตรราช, PhramahaTawee Mahāpañño , Maechee Kritsana Raksachom https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280359 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการลดและการแก้ปัญหาความเครียดในการปฏิบัติงานของอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280729 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการลดและการแก้ปัญหาความเครียดในการปฏิบัติงานของอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษาเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ๒๕ คน ประกอบด้วย ผู้บริหารและอาจารย์จากสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ครอบคลุม ๖ ภูมิภาคของประเทศไทยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยมีดังนี้ (๑) แนวทางการลดความเครียด มีดังนี้ การจัดการสภาพการทำงานที่ก่อให้เกิดความเครียด ความก้าวหน้าและความมั่นคงในอาชีพ ความสัมพันธ์และแรงจูงใจ นโยบายองค์กรและการสื่อสาร และปริมาณงานและการประเมินคุณภาพ การเพิ่มความสามารถในการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐาน ได้แก่ การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม การเรียนการสอน การบริการวิชาการ การวิจัย คุณภาพหลักสูตร การบริหารหลักสูตร และการพัฒนาผู้เรียน และการจัดการความรู้สึกเครียด ด้านจิตใจและสมอง ด้านร่างกาย ด้านครอบครัว และด้านความสำเร็จตามเป้าหมาย (๒) แนวทางการแก้ปัญหาความเครียด มีดังนี้ ระดับมหาวิทยาลัย ได้แก่ การบริหารบุคลากร การสร้างบรรยากาศ<br />การทำงาน การสนับสนุนการปฏิบัติงาน การวิจัย การบริการวิชาการ และการประกันคุณภาพการศึกษา ระดับอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร ได้แก่ การพัฒนาตนเอง การทำงานเป็นทีม และการจัดการความเครียด และระดับองค์กรนโยบายประเทศ ได้แก่ การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน การพัฒนาระบบสารสนเทศ และการพัฒนาบุคลากร</p> สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280729 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279973 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวเชิงพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยแบบผสม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงราย จำนวน ๕๒๔ คน ได้มาโดยวิธีสุ่มแบบบังเอิญเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามในการประเมินศักยภาพด้านการท่องเที่ยว ๕ ด้าน วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยการประเมินศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในจังหวัดเชียงราย ๕ ด้าน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (=๓.๕๘) เรียงลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาน้อยสุดดังนี้ ๑. ด้านสถานที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด(= ๔.๕๓) ๒. ด้านสิ่งดึงดูดใจของแหล่งท่องเที่ยว มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก(=๓.๙๗) ๓. ด้านการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (=๓.๕๔) ๔. ด้านกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอยู่ในระดับปานกลาง(=๓.๓๘) และ ๕.ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในแหล่งท่องเที่ยวมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับน้อยสุด (=๒.๔๖)</p> ณรงค์ เจนใจ, รณิดา ปิงเมือง , เลหล้า ตรีเอกานุกูล, จันจิรา วิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 narong jenjai, Ranida Mingmoung, Lelah Tri-aekanukul, Janjira Wichai https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279973 Tue, 29 Jul 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาสมรรถนะภาวะผู้นำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ ของที่ปรึกษาด้านการบริหารองค์กร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278553 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาสมรรถนะภาวะผู้นำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของที่ปรึกษาด้านการบริหารองค์กร โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้บริหารระดับสูงหรือผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมรรถนะภาวะผู้นำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของที่ปรึกษาด้านการบริหารองค์กร ขององค์กรการศึกษา ธุรกิจอาหาร ธุรกิจบริการ และธุรกิจค้าปลีก จำนวน ๘ คน เลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง ใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาและการวิเคราะห์แก่นสาระ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาสมรรถนะภาวะผู้นำเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของที่ปรึกษาด้านการบริหารองค์กร ได้แก่ “WISDOM” คือ การใช้ปัญญา ความรอบรู้ ความเป็นมืออาชีพและจริยธรรม เพื่อพัฒนาองค์กร มี ๖ องค์ประกอบสำคัญ ดังนี้ W - Workplace Excellence ความเป็นเลิศในการทำงาน ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านอุตสาหกรรมหรือภาคเศรษฐกิจและสังคมI - Innovation Creation การสร้างนวัตกรรมการวิเคราะห์ตลาด การจัดการการเปลี่ยนแปลง และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ S - Strategic Thinking การคิดเชิงกลยุทธ์ และการบริหารจัดการD - Development Mastery ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา การพัฒนาวิชาชีพทักษะ ความรู้และประสบการณ์ O - Organizational Leadership ภาวะผู้นำองค์กร มนุษยสัมพันธ์ และการปรับตัว และ M - Management Skills ทักษะการจัดการ มาตรฐานจริยธรรมและวิชาชีพ ความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจ โดยทุกองค์ประกอบต้องดำเนินไปอย่างสอดคล้องและส่งเสริมกันและกัน</p> บุญชัย ปลื้มสืบกุล, สุขุม เฉลยทรัพย์, ศิโรจน์ ผลพันธิน, สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บุญชัย ปลื้มสืบกุล, สุขุม เฉลยทรัพย์, ศิโรจน์ ผลพันธิน, Supaporn Tungdamnernsawad https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278553 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 พุทธาวตารในทศาวตารจริต ของเกษเมนทระ: การศึกษาเปรียบเทียบกับพุทธาวตารในปุราณะ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279892 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการคือ (๑) เพื่อศึกษา “พุทธาวตาร” ในวรรณคดีสันสกฤต <em>ทศาวตารจริต </em>ประพันธ์โดยเกษเมนทระ (๒) เพื่อศึกษา“พุทธาวตาร” ในวรรณคดีปุราณะ ๓ เรื่อง ได้แก่ <em>วิษณุปุราณะ อัคนิปุราณะ </em>และ<em>ภาควตปุราณะ</em> (๓) เพื่อเปรียบเทียบพุทธาวตารในวรรณคดี<em>ทศาวตารจริต</em> และวรรณคดีปุราณะ ๓ เรื่อง ได้แก่ <em>วิษณุปุราณะ อัคนิปุราณะ </em>และ<em>ภาควตปุราณะ </em></p> <p> ผลการวิจัยพบว่าพุทธาวตารที่ปรากฏในวรรณคดีปุราณะมีบทบาทที่ต่างกับอวตารภาคอื่น ๆ ของพระวิษณุซึ่งมีลักษณะเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้ เป็นผลมาจากความพยายามที่จะลดทอนความน่าเชื่อถือของคำสอนในพุทธศาสนาและความพยายามในการควบรวมศาสนาท้องถิ่นเข้ามาในจักรวาลศาสนาฮินดู เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงสอนขัดแย้งกับจารีตของพระเวท น่าเชื่อว่าปางนี้จะเกิดขึ้นเพราะช่วงเวลาที่พุทธศาสนากำลังได้รับความนิยมอย่างสูง คัมภีร์ปุราณะเป็นวรรณคดียุคแรกที่แต่งขึ้นเพื่อตอบสนองพลวัตของสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงจากการนับถือศาสนาพระเวทสู่ศาสนาฮินดู และเพื่อตอบโต้ศาสนาทางเลือกอื่น พุทธาวตารที่ปรากฏในคัมภีร์ปุราณะจึงมีลักษณะในเชิงลบ มุ่งโจมตีพระพุทธเจ้า ในขณะที่พุทธาวตารที่ปรากฎใน<em>ทศาวตารจริต</em>ของเกษเมนทระมีเนื้อหาคล้ายคลึงกับพุทธประวัติ ไม่มีลักษณะในเชิงโจมตีดังที่ปรากฎในวรรณคดีปุราณะ เป็นไปได้ว่าเนื่องด้วยในแคว้นกัษมีระหรือแคชเมียร์ สถานที่ประพันธ์<em>ทศาวตารจริต</em>นั้น เป็นสถานที่ที่มีสภาพสังคมพหุวัฒนธรรม พุทธศาสนาและศาสนาฮินดูได้รับความนิยมควบคู่กันไป</p> บุษยมาน วัชนาค, ชานป์วิชช์ ทัดแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บุษยมาน วัชนาค, ชานป์วิชช์ ทัดแก้ว https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279892 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาศิลปหัตถกรรม ในพื้นที่ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280143 <p> บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาศิลปหัตถกรรมสร้างสรรค์จาก ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากตามแนวพุทธในพื้นที่ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” โดยในบทความวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการเพื่อการพัฒนาศิลปหัตถกรรมในพื้นที่ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ใช้เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสนทนากลุ่ม เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสนทนากลุ่มร่วมกับชาวบ้านที่มีประสบการณ์ด้านงานศิลปหัตถกรรม ๑๐ คน ซึ่งถูกคัดเลือกตาม กลยุทธ์แบบเจาะจง (Purposive Sampling) และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (๑) สภาพปัญหาเกี่ยวกับศิลปหัตถกรรมในพื้นที่ตำบลหนองขนาก อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มี ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ ๑) การขาดการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ ๒) การขาดแคลนทุนการผลิต ๓) การขาดช่องทางการตลาด (๒) ความต้องการเพื่อการพัฒนาศิลปหัตถกรรม มี ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่ ๑) ความต้องการเรียนรู้ศิลปหัตถกรรมลวดลายใหม่ เรียนรู้ทักษะใหม่ ๒) ความต้องการช่องทางการตลาด ๓) ความต้องการจัดตั้งกลุ่มอาชีพอย่างเป็นทางการ ๔) ความต้องการเงินทุนกองกลางเพื่อการผลิตภายในกลุ่มอาชีพ</p> แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, อรชร ไกรจักร์, กรรณิการ์ ขาวเงิน, พระมหาวรัญธรณ์ ญาณกิตฺติ, พระปัญญาวัชรบัณฑิต, พระมหาดวงเด่น ตุนิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม, อรชร ไกรจักร์, กรรณิการ์ ขาวเงิน, พระมหาวรัญธรณ์ ญาณกิตฺติ, พระปัญญาวัชรบัณฑิต, พระมหาดวงเด่น ตุนิน https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280143 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุและวัตถุพยาน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280131 <p> การวิจัยแบบผสมผสานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ศึกษาความคิดเห็นของเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจในจังหวัดปราจีนบุรีเกี่ยวกับประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุและวัตถุพยาน (๒) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุและวัตถุพยาน และ (๓) ประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของแนวทางการปฏิบัติงานป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุและวัตถุพยาน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ๑๘๒ คน (แบบสอบถาม),เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจที่มีประสบการณ์มากกว่า ๕ ปี ๖ คน (สัมภาษณ์เชิงลึก) และผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๓ คน (ประเมินแนวทางพัฒนา) โดยกลุ่มตัวอย่างในส่วนของแบบสอบถามได้มาจากการใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) จากประชากรตำรวจสายตรวจทั้งหมดในจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อให้ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมและเป็นตัวแทนของประชากรอย่างเพียงพอ</p> <p> เครื่องมือวิจัยเชิงปริมาณคือแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ ซึ่งมีค่า IOC เท่ากับ ๑.๐๐ และค่า Cronbach’s Alpha เท่ากับ ๐.๘๐ แสดงถึงความน่าเชื่อถือของเครื่องมือในระดับดี ข้อมูลถูกวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจเห็นว่าการรักษาสถานที่เกิดเหตุและวัตถุพยานมีความสำคัญต่อการสืบสวน แต่ยังคงประสบปัญหาหลัก ๕ ประการ ได้แก่ ขาดแคลนอุปกรณ์และยานพาหนะ, กำลังพลไม่เพียงพอ, การฝึกอบรมไม่ครอบคลุมและไม่ทันสมัย, กฎหมายและระเบียบปฏิบัติไม่ชัดเจน และขาดความร่วมมือจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิเห็นด้วยในระดับมากต่อข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ซึ่งรวมถึงการจัดหาอุปกรณ์, เพิ่มกำลังพล, จัดฝึกอบรมที่ทันสมัย, ปรับปรุงกฎหมาย, เสริมสร้างความร่วมมือ และนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการปฏิบัติงาน ข้อจำกัดของการวิจัยนี้คือขนาดกลุ่มตัวอย่างและพื้นที่ศึกษา จึงเสนอแนะให้มีการขยายผลการศึกษาไปยังพื้นที่อื่น และศึกษาปัจจัยด้านจิตวิทยาและความคิดเห็นของประชาชนเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น</p> พิชญากร ดีพา, สฤษดิ์ สืบพงษ์ศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 pitchayakorn deepa, sarit Suebpongsiri https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280131 Tue, 29 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานครูกลุ่มเมืองฉะเชิงเทรา ๑ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต ๑ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280253 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพพึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูกลุ่มเมืองฉะเชิงเทรา ๑ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต ๑ (๒) ศึกษาแนวทางการเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครูกลุ่มเมืองฉะเชิงเทรา ๑ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต ๑ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods) กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้ คือ ครูโรงเรียนในกลุ่มเมือง ๑ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต ๑ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยจำนวน ๑๕๒ คน การวิจัยนี้มี ๒ ขั้นตอน ขั้นตอนที่ ๑ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของแนวทางการเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู และในขั้นตอนที่ ๒ ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างนำไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน ๕ ท่าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ (Percentile) ค่าเฉลี่ย (Means) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และ ใช้เทคนิค Modified Priority Needs Index (PNImodified) ในการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (๑) สภาพที่ปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาความต้องการจำเป็นในการพัฒนา พบว่า ๕ อันดับแรก ได้แก่ ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ ด้านความรับผิดชอบ ด้านความก้าวหน้า ด้านสถานภาพทางอาชีพ และด้านความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา (๒) แนวทางการพัฒนาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู ประกอบด้วย ๕ ด้าน ได้แก่ การยอมรับและยกย่อง ความมั่นคงและความก้าวหน้าในอาชีพ สภาพแวดล้อมในการทำงาน การมีส่วนร่วมและการสื่อสาร และการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ในวิชาชีพ</p> ลลิดา ปุญญะประสิทธิ์, จุลดิศ คัญทัพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ลลิดา ปุญญะประสิทธิ์, Juladis Khantap https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280253 Tue, 29 Jul 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์เส้นทางสู่ความสำเร็จในตำแหน่งทางวิชาการ ของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/277414 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อเส้นทางสู่ความสำเร็จในตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา และ (๒) วิเคราะห์เส้นทางสู่ความสำเร็จในตำแหน่งทางวิชาการของอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาที่มีตำแหน่งทางวิชาการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ ขนาดของกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 396 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อเส้นทางสู่ความสำเร็จในตำแหน่งทางวิชาการ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.979 สถิติที่ใช้ใน<br />การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สหสัมพันธ์การวิเคราะห์การถดถอย และการวิเคราะห์เส้นทาง</p> <p> ผลการวิจัย 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในตำแหน่งทางวิชาการในภาพรวมอยู่ในระดับมาก( = 4.30, SD = 0.351) โดยปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ความสำเร็จของผลงานทางวิชาการ ( = 4.55, SD = 0.612) ซึ่งประกอบด้วยการมีผลงานที่มีคุณภาพตามเกณฑ์และการปฏิบัติตามจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการ รองลงมาคือวิถีชีวิต ( = 4.54, SD = 0.447) โดยเฉพาะด้านการบริหารเวลาในการทำงานวิชาการ การสอน และภารกิจอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ และความสำเร็จในชีวิต ( = 4.37, SD = 0.446) ที่เน้นการกำหนดเป้าหมายความสำเร็จและความภาคภูมิใจในคุณค่าของตนเอง 2) ผลการวิเคราะห์เส้นทางสู่ความสำเร็จในตำแหน่งทางวิชาการพบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยสามารถอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จในตำแหน่งทางวิชาการได้ร้อยละ 85.3 (R² = 0.853) และความสำเร็จของผลงานทางวิชาการได้ร้อยละ 58.4 (R² = 0.584) ปัจจัยที่มีอิทธิพลรวมสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ปัจจัยความสำเร็จในวิชาชีพ(TE = 1.463) ความสำเร็จในชีวิต (TE = 1.350) และบทบาทการทำงาน (TE = 1.260)</p> ธานินทร์ สิทธิวิรัชธรรม, สุขุม เฉลยทรัพย์, พิทักษ์ จันทร์เจริญ, สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ธานินทร์ สิทธิวิรัชธรรม, สุขุม เฉลยทรัพย์, พิทักษ์ จันทร์เจริญ, สุภาภรณ์ ตั้งดำเนินสวัสดิ์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/277414 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัญหากฎหมายในการปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา ที่เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278681 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ศึกษา แนวคิด และหลักเกณฑ์ทฤษฎีทางพระพุทธศาสนาและทางกฎหมาย ในการปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาที่เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา (๒) ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องในการปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาที่เป็นพระภิกษุของต่างประเทศ และของราชอาณาจักรไทย และคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง(๓) ศึกษาวิเคราะห์และเปรียบเทียบ กฎหมายในการปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาที่เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา และ (๔) เสนอแนะแนวทางแก้ไข ปัญหากฎหมายในการปล่อยชั่วคราวของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาที่เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จากเอกสาร (Documentary Research) โดยรวบรวมข้อมูลจาก พระไตรปิฎก กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำพิพากษาของศาล หนังสือ ตำรา เอกสารทางวิชาการ รายงานการวิจัย ดุษฎีนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ รวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ทั้งของไทยและภาษาต่างประเทศ จากนั้นจึงนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์และเปรียบเทียบ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๒๙ ให้อำนาจพนักงานสอบสวนในการใช้ดุลยพินิจเมื่อพระภิกษุต้องหาว่ากระทำผิดอาญาร้ายแรงถึงขั้นอาบัติปาราชิก โดยให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุ และมาตรา ๓๐ กำหนดให้ พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเสียก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ส่งผลให้พระภิกษุขาดโอกาสในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์จากพยานหลักฐานที่ชัดเจนเสียก่อน ซึ่งหากภายหลังพระภิกษุผู้นั้นไม่มีความผิด ก็จะก่อให้เกิดความเสียหาย อีกทั้งกลับไปบวชใหม่ไม่ได้ สมณศักดิ์ที่ถูกถอดไปแล้วก็ไม่สามารถกลับคืนได้ด้วย เป็นการบั่นทอนการสืบทอดพระพุทธศาสนาและความศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนอย่างยิ่ง จึงเห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมให้มีการปล่อยชั่วคราว เป็นการเน้นการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลย ภายใต้เจตนารมณ์ในการบัญญัติกฎหมายให้คุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน</p> อมรรัตน์ ม่วงกลิ่น, ประเสริฐ ลิ่มประเสริฐ, วรพจน์ ถนอมกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 อมรรัตน์ ม่วงกลิ่น, Prasert Limprasert, Worapote Thanomkul https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278681 Tue, 29 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัญหากฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดของพระภิกษุตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๖๐ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278066 <p> สภาพสังคมในปัจจุบันมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และระบบอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก การติดต่อสื่อสารหรือการค้นหาข้อมูลต่างๆจะมีการกระทำผ่านทางสื่อออนไลน์ ทั้งผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือ และในปัจจุบันการเผยแผ่พุทธศาสนามีการใช้สื่อออนไลน์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแผ่หลักคำสอนได้อย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะแต่ในราชอาณาจักรไทย แต่ยังสามารถเผยแผ่ไปไกลได้ทั่วโลกด้วยวิธีการที่สะดวก ง่าย และรวดเร็วดังนั้น การใช้สื่อออนไลน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจึงเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูง แต่อย่างไรก็ตามการใช้สื่อออนไลน์ของพระภิกษุนั้นยังไม่มีมาตรการในการควบคุม เพราะถือว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ<br />ภายใต้รัฐธรรมนูญที่บุคคลจะสามารถใช้สิทธิของตนเองกระทำการอันไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย และไม่ขัดต่อศีลธรรมหรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อพระภิกษุถือเป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งในสังคมที่สามารถเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ได้ง่ายเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป โอกาสในการกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๖๐ จึงอาจเกิดขึ้นได้ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา ซึ่งการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯนี้ มีการกำหนดโทษทางอาญา ทั้งจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อพระภิกษุกระทำความผิดตามที่บัญญัติไว้ พระภิกษุรูปดังกล่าวอาจต้องรับโทษทางอาญา จำเป็นต้องถูกบังคับสึกจากสมณเพศ ทั้งที่การพิสูจน์ความผิด ตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ อาจจำเป็นต้องใช้เวลาในการรวบรวมและตรวจสอบพยานหลักฐาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ที่จะยืนยันตัวผู้กระทำผิดนั้น เป็นพยานหลักฐานที่แตกต่างไปจากพยานวัตถุทั่วไป การพิสูจน์ให้แน่ชัดเสียก่อนว่าพระภิกษุรูปนั้นเป็นผู้กระทำผิดจริง จึงเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนกว่าความผิดอาญาโดยทั่วไป และพระภิกษุยังต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๓๕ อีกด้วย</p> <p> ดังนั้น ความรับผิดทางคอมพิวเตอร์สำหรับพระภิกษุจึงมีความซับซ้อน การบัญญัติกฎหมายหรือระเบียบเพิ่มเติมเพื่อใช้เฉพาะกรณีพระภิกษุต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯนั้น จึงมีความจำเป็น และ การจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบกำกับดูแลการใช้งานคอมพิวเตอร์ของพระภิกษุจะช่วยให้ลดปัญหาการละเมิดสิทธิของพระภิกษุจากการต้องสึก<br />จากสมณเพศทั้งที่ในบางครั้งยังไม่เป็นอาบัติหนักตามโทษทางพระวินัยและยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ การมีเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะที่มีอำนาจและมีความรู้ความเชี่ยวชาญจะช่วยทำให้ลดปัญหาดังกล่าว และสามารถจัดการปัญหาที่เกิดจากการใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ของพระภิกษุได้ รวมทั้งการให้ความรู้ความเข้าใจแก่พระภิกษุในการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างถูกต้องเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อช่วยดำรงพุทธศาสนาให้ยังมีความน่าเลื่อมใสศรัทธาและสืบสานพุทธศาสนาต่อไป</p> กุลวดี ณ นคร, ประเสริฐ ลิ่มประเสริฐ, วรพจน์ ถนอมกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กุลวดี ณ นคร, ประเสริฐ ลิ่มประเสริฐ, วรพจน์ ถนอมกุล https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278066 Tue, 29 Jul 2025 00:00:00 +0700 ผลการใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกม ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279664 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (๑) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกม และ (๒) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด จับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย <br />ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนบ้านเนินทอง ในภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๗ จำนวน ๒๗ คน โดยมาจากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ด้วยวิธีการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่<br /> (๑) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกม เรื่อง เศษส่วน (๒) บอร์ดเกม เรื่อง เศษส่วน (๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ <br />เรื่อง เศษส่วน (๔) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกม วิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน<br />ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกม โดยสถิติเชิงบรรยาย ประกอบด้วยค่าเฉลี่ยคะแนน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ โดยเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน โดยใช้สถิติ t – test แบบ dependent และวิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกม โดยสถิติเชิงบรรยาย ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (๑) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เศษส่วน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ (๒) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดจับต้องเป็นภาพนามธรรม (CPA) ร่วมกับบอร์ดเกมอยู่ในระดับมาก</p> สุภาวดี อินทร์พรม, กิตติศักดิ์ ลักษณา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุภาวดี อินทร์พรม, กิตติศักดิ์ ลักษณา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279664 Tue, 29 Jul 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณ รูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจ เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/281179 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (๑) เพื่อศึกษาปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ (๒) เพื่อพัฒนารูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ (๓) เพื่อเสนอผลการใช้รูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า (๑) ผลการศึกษาปัญหาและความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ สรุปได้ว่า สภาพปัญหาสภาพปัญหาอยู่ในระดับมากที่สุด ( = ๔.๕๒, S.D. = ๐.๓๔) สภาพที่ต้องการอยู่ในระดับ<br />มากที่สุด ( = ๔.๗๑, S.D. = ๐.๓๓) (๒) ผลการพัฒนารูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ สรุปได้ว่า รูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ประกอบด้วย ๑) แนวคิดพื้นฐาน ๒) องค์ประกอบของรูปแบบการสอน ๓) วัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอน ๔) ขั้นตอนของรูปแบบการสอน และ ๕) การวัดและประเมินผลของรูปแบบการสอนผลการประเมินรูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ที่พัฒนาขึ้นในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = ๔.๗๒, S.D. = ๐.๓๓) ๓. ผลการใช้รูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ สรุปได้ว่า หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยประยุกต์ใช้หลักอริยสัจเพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> อรพัทธ ศิริแสง, พระครุสังฆรักษ์เทิดศักดิ์ สตฺตินฺธโร, วีระพงษ์ แพงคำฮัก ลิขสิทธิ์ (c) 2025 อรพัทธ ศิริแสง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/281179 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่วบ้านภูเหม็น จังหวัดอุทัยธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279506 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ศึกษาบริบทเชิงพื้นที่ และวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว (๒) ศึกษาการจัดการคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ในบริบทหลังการเปลี่ยนแปลง (๓) หาแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากเอกสาร ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๑๗ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และการลงพื้นที่สังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดย การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า (๑) บริบทเชิงพื้นที่ และวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่วบ้าน พบว่า ชุมชนกะเหรี่ยงโผล่ว บ้านภูเหม็น มีประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน มีวิถีชีวิตที่สัมพันธ์กับธรรมชาติ ชุมชนมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น มีวิถีชีวิต และประเพณีวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติตามความเชื่อชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว (๒) การจัดการคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว ในบริบทหลังการเปลี่ยนแปลง หลังการประกาศ “พื้นที่คุ้มครองวัฒนธรรม” เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ พบว่า การจัดการวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนกะเหรี่ยงโผล่ว บ้านภูเหม็น ยังคงมีความเชื่อและให้ความเคารพนับถือในเรื่องของสิ่งที่เหนือธรรมชาติ การจัดการการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ พบว่า การใช้ประโยชน์แบบมีเงื่อนไขยังขาดความมั่นคง และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้ามาจัดการแต่ไม่มีการบูรณาการการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม ด้านการจัดการด้านการศึกษา ยังไม่มีหน่วยงานที่ส่งเสริมการศึกษาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม และชุมชนไม่ได้สืบทอดภาษาถิ่นให้ลูกหลาน และการจัดการสิทธิขั้นพื้นฐาน พบว่า ไม่ประสบปัญหาเรื่องสิทธิในสัญชาติ รวมถึงการได้รับสวัสดิการแห่งรัฐเทียบเท่าคนไทยทุกประการ(๓) แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว พบว่า ๑) การจัดการวิถีชีวิต และวัฒนธรรม ควรส่งเสริมให้มีการจัดทำประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิต มีการกำหนดให้มีการขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตอย่างจริงจังและให้เกิดความยั่งยืน ๒) การจัดการเรื่องอาชีพและรายได้ ควรส่งเสริมสนับสนุนการถอดองค์ความรู้ และอบรมความรู้ด้านอาชีพให้กับประชาชนทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม ๓) การจัดการการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ โดยการกำหนดใช้แนวทางการจัดการพื้นที่คุ้มครองวัฒนธรรมตาม มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม ๔) การจัดการความมั่นคงในที่อยู่อาศัย ควรสร้างความมั่นคงที่อยู่อาศัย และสำรวจ ศึกษา และกำหนดเขตพื้นที่ในการทำกิน โดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ๕) การจัดการด้านการศึกษา ควรออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นแบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต สอดคล้องกับวิถีชีวิต และวัฒนธรรม ๖) การจัดการด้านสิทธิ์พื้นฐาน ควรจัดทำข้อมูลทะเบียนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว บ้านภูเหม็น อย่างต่อเนื่องและให้หน่วยงานลงพื้นที่ทำความเข้าใจสิทธิ์ต่าง ๆ รวมถึงการรับบริการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</p> สมเกียรติ หน่วงกลาง, วรวิทย์ นพแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สมเกียรติ หน่วงกลาง, วรวิทย์ นพแก้ว https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/279506 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนกลุ่มอำเภอแม่เปิน-กลุ่มชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักพรหมวิหาร ๔ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280715 <p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ (๑) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน กลุ่มอำเภอแม่เปิน – กลุ่มชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ และเพื่อ (๒) เสนอแนวทางการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน กลุ่มอำเภอแม่เปิน – กลุ่มชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักพรหมวิหาร ๔ การศึกษาวิจยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือแบบสอบถาม ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการเก็บข้อมูล โดยการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและครูโรงเรียนกลุ่มอำเภอแม่เปิน และกลุ่มอำเภอชุมตาบง จำนวน ๑๕๔ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ด้วยแบบสอบถามประมาณค่า ๕ ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง ๐.๘๐-๑.๐๐ ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๙๔ สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (๑) สภาพการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน กลุ่มอำเภอแม่เปิน – กลุ่มชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( =๓.๘๖, S.D.=๐.๔๕) และพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสุงสุดคือ ด้านการดำเนินงานการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ( =๔.๒๙, S.D.=๐.๔๐) รองลงมา คือ ด้านโครงสร้างการบริหารและบทบาทหน้าที่การดำเนินงานการดูแลช่วยเหลือนักเรีย ( =๔.๐๙, S.D.=๐.๓๓) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการส่งต่อ ( =๓.๒๓, S.D.=๐.๖๕) (๒) แนวทางการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน กลุ่มอำเภอแม่เปิน – กลุ่มชุมตาบง จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักพรหมวิหาร ๔ ได้นำการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน ตามหลักพรหมวิหาร ๔ มาเป็นกรอบแนวทางในการบริหารการจัดการเรียนรู้ ใน ๕ ด้าน ได้แก่ ๑) ด้านยุทธศาสตร์การดูแลช่วยเหลือนักเรียน มี ๕ แนวทาง ประกอบด้วยด้านเมตตา มี ๑ ด้านกรุณามี ๒ แนวทาง ด้านมุทิตา มี ๑ แนวทาง และด้านอุเบกขามี ๑ แนวทาง ๒) ด้านโครงสร้างการบริหารและบทบาทหน้าที่การดำเนินงานการดูแลช่วยเหลือนักเรียน มี ๕ แนวทาง ประกอบด้วยด้านเมตตา มี ๒ แนวทาง ด้านกรุณา มี ๑ แนวทาง ด้านมุทิตามี ๑ แนวทาง และด้านอุเบกขา มี ๑ แนวทาง ๓) ด้านการดำเนินงานการดูแลช่วยเหลือนักเรียน มี ๖ แนวทาง ประกอบด้วยด้านเมตตา มี ๒ แนวทาง ด้านกรุณามี ๒ ด้านมุทิตา มี ๑ แนวทาง และด้านอุเบกขา มี ๑ แนวทาง ๔) ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา มี ๕ แนวทาง ประกอบด้วยด้านเมตตา มี ๒ แนวทาง ด้านกรุณามี ๑ แนวทาง ด้านมุทิตา มี ๑ แนวทาง และด้านอุเบกขามี ๑ แนวทาง ๕) ด้านการส่งต่อ มี ๔ แนวทาง ประกอบด้วยด้านเมตตามี ๑ แนวทาง ด้านกรุณามี ๑ แนวทาง ด้านมุทิตา มี ๑ แนวทาง และด้านอุเบกขา มี ๑ แนวทาง</p> ชรินทร์ บุญราชแสวง, อานนท์ เมธีวรฉัตร, ดิเรก ด้วงลอย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชรินทร์ บุญราชแสวง, อานนท์ เมธีวรฉัตร, ดิเรก ด้วงลอย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280715 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 พัฒนาการและรูปแบบการรำหน้าแตรวง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280434 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาพัฒนาการ และองค์ประกอบของ การรำหน้าแตรวง (2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์รูปแบบกระบวนท่ารำหน้าแตรวง โดยการศึกษางานวิจัยในครั้งนี้ผู้ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารตำราที่เกี่ยวข้อง เก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานศึกษา ได้แก่ เอกสาร ตำรา บทความ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนค้นคว้าข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า บริบททางสังคมและวัฒนธรรมการแสดงนางรำหน้าแตรวง ของจังหวัดปทุมธานี แตรวงเป็นวงดนตรีที่มีตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากบทบาทหน้าที่ในการบรรเลงดนตรีในงานทั่วไป และ ยังให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมแล้ว แตรวงยังมีบทบาทหน้าที่ในการอนุรักษ์และการสืบทอดที่สำคัญที่สุดคือการสืบทอดของนางรำ นอกจากนี้ทั้งคณะแตรวงและนางรำยังช่วยอนุรักษ์และสืบทอดการแสดงรูปแบบต่าง ๆ ที่นํามาแทรกไว้ในการรำหน้าแตรวง ได้แก่ เพลงลูกทุ่ง ตามยุ 5</p> <p>ตามสมัยนิยมเพลงร้องเล่น รวมถึงการช่วยอนุรักษ์และสืบทอดวงดนตรีแตรวง ซึ่งเป็นวงดนตรีที่มีการรำประกอบหน้าแตรวงอีกด้วย นอกจากนี้นางรำหน้าแตรวงยัง มีบทบาทในการให้ความบันเทิงแกผู้ชมในฐานะมหรสพพื้นบ้าน มอบความบันเทิงของผู้ชมเกิดจากการบรรเลงแตรวง และการรำ ประการ สุดท้าย คือ บทบาทในการอนุรักษ์สืบทอดมหรสพพื้นบ้านและวรรณกรรมประกอบการแสดง การร้อง เล่น เต้น รำ รวมถึงศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกทุ่ง ลิเก การแหล่ เพลงร้องเล่น ซึ่งแทรกอยู่ ในเนื้อเรื่องที่แสดงนับได้ว่านางรำหน้าแตรวง จังหวัดปทุมธานี มีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อสังคมไทย ให้ความบันเทิง และยังสามารถอนุรักษ์และสืบทอด มหรสพพื้นบ้าน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้</p> ณัฐธิดา บุญมาทัน, สุรัตน์ จงดา, สุขสันติ แวงวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ณัฐธิดา บุญมาทัน, สุรัตน์ จงดา, สุขสันติ แวงวรรณ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280434 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 บทบาทของสื่อในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทย พศ. 2563-2565 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280585 <p> งานวิจัยชิ้นนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) เพื่อศึกษาบทบาทของสื่อในสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๖๕ (๒) เพื่อศึกษารูปแบบและวิธีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของสื่อแต่ละสำนักจาก พ.ศ. ๒๕๖๓ - พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยการศึกษาในเชิงคุณภาพ ด้วยแนวทางการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ประกอบกับการวิเคราะห์เนื้อหาซ่อนเร้น (Latent Content) และการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) เพื่อศึกษาบทบาทของสื่อจำนวนทั้งสิ้น ๗ สำนัก</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า สื่อทั้ง ๗ สำนักมีความโน้มเอียงทางการเมือง (Political Orientation) เป็นของตนเอง โดยมักนำเสนอข่าวสารไปในทิศทางที่ตอบสนองจุดยืนทางการเมืองของตน ประกอบกับการเติบโตขึ้นของเทคโนโลยี ทำให้ภูมิทัศน์ของสื่อส่วนใหญ่ในปัจจุบันอาศัยแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นช่องทางหลังในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีโอกาสก่อให้เกิดปรากฏการณ์ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber) อันเป็นผลมาจากระบบอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มดิจิทัล ส่งผลให้ผู้รับข้อมูลข่าวสารอาจได้รับข้อมูลเพียงแง่มุมเดียวและอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน นอกจากนั้นสื่อยังมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกล่อมเกลาทัศนคติ <span style="font-size: 0.875rem;">ความเชื่อ และชุดความคิดของปัจเจกบุคคล ผ่านการใช้วิธีการวางกรอบ (Framing) เนื้อหาของข่าวที่จะนำเสนอ และการกำหนดวาระข่าวสาร (Agenda-Setting) ซึ่งแม้ว่าข้อเท็จจริงของเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร สื่อมีเครื่องมือและวิธีการในการโน้มน้าวให้ผู้รับข้อมูลข่าวสารเห็นคล้อยตามความโน้มเอียงทางการเมืองของสื่อนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้การศึกษาสื่อในฐานะหนึ่งในผู้แสดงทางการเมือง (Political Actor) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในสังคมไทย</span></p> อภิเชษฐ์ เกตุมณี, สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 อภิเชษฐ์ เกตุมณี, สิริพรรณ นกสวน สวัสดี https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280585 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280674 <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๔ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันการพัฒนาสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้สาขาวิชาการสอนภาษาไทย (๒) เพื่อออกแบบการพัฒนาครูสู่นักจัดการเรียนรู้ของนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สาขาวิชาการสอนภาษาไทยคณะครุศาสตร์ (๓) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้สาขาวิชาการสอนภาษาไทย และ (๔) เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้สาขาวิชาการสอนภาษาไทย โดยใช้การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&amp;D) กลุ่มตัวอย่าง นิสิตคณะครุศาสตร์ จำนวน ๑๕๕ รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาวิจัยพบว่า (๑) สภาพปัจจุบันการพัฒนาสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้สาขาวิชาการสอนภาษาไทย โดยภาพรวม นิสิตมีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก(𝑥̅ = ๔.๐๒, S.D. = ๐.๙๖) (๒) อออกแบบการพัฒนาครูสู่นักจัดการเรียนรู้ของนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตร์ พบว่า องค์ประกอบของรูปแบบสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย หลักการ วัตถุประสงค์ ขั้นตอนรูปแบบการวัดและประเมินผล และเงื่อนไขความสำเร็จ ผลการประเมินรูปแบบสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้ โดยภาพรวมพบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = ๔.๔๑ S.D. = ๐.๕๖) และมีความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = ๔.๔๙ S.D. = ๐.๕๔) (๓) ทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้สาขาวิชาการสอนภาษาไทย พบว่า คะแนนหลังการทดลองรูปแบบ (𝑥̅ = ๔.๔๒) สูงกว่า ก่อนการทดลองใช้รูปแบบ (𝑥̅ =๓.๔๐) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่.๐๕ ผลการการประเมินสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = ๔.๔๒ S.D. = ๐.๕๗) ความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อรูปแบบสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้ โดยภาพรวม พบว่า นิสิตมีความพึงใจต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = ๔.๖๐ S.D. = ๐.๕๐) (๔) นำเสนอรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสู่นักการจัดการเรียนรู้สาขาวิชาการสอนภาษาไทย พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = ๔.๕๘, S.D.= ๐.๕๗) องค์ความรู้ที่ได้ หรือความรู้ใหม่ ประกอบด้วย ๑) การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสมรรถนะ ๒) การเรียนรู้ร่วมกันในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ๓) การฝึกปฏิบัติจริงให้นิสิตออกแบบและจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning และ ๔) การประเมินและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Evaluation &amp; Professional Growth) ประเมินสมรรถนะก่อน–หลัง</p> เอกลักษณ์ เทพวิจิตร, พิธพิบูลย์ ทองเกลี้ยง, พระมหาสันทัศน์ โสตฺถิวํโส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เอกลักษณ์ เทพวิจิตร, พิธพิบูลย์ ทองเกลี้ยง, พระมหาสันทัศน์ โสตฺถิวํโส https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280674 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการบริหารจัดการของสหกรณ์โรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๑ ตามหลักธรรมาภิบาล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280713 <p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (๑) ศึกษาสภาพการบริหารจัดการของสหกรณ์โรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๑ ตามหลักธรรมาภิบาล (๒) เสนอแนวทางการบริหารจัดการของสหกรณ์โรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๑ ตามหลักธรรมาภิบาล การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี รวบรวมข้อมูลโดยใช้เครื่องมือแบบสอบถามแนวทางการบริหารจัดการของสหกรณ์โรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๑ ตามหลักธรรมาภิบาล โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและครู จำนวน ๒๖๘ คน โดยวิธีการเทียบตารางเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามแนวทางการบริหารจัดการของสหกรณ์โรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๑ ตามหลักธรรมาภิบาล นำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน กำหนดผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๑๑ รูป/คน เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือเก็บข้อมูลได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า(๑) สภาพการบริหารจัดการของสหกรณ์โรงเรียนโดยรวม ในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๑ อยู่ในระดับมาก (๒) แนวทางการบริหารจัดการของสหกรณ์โรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต ๑ ตามหลักธรรมาภิบาล ๗ ด้านได้แก่ ๑) ด้านการเป็นสมาชิกโดยสมัครใจและเปิดกว้าง พบว่า สหกรณ์โรงเรียนเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ใช้บริการ ถือว่าเป็นความสำเร็จของโรงเรียน ๒) ด้านการควบคุมโดยสมาชิกตามหลักประชาธิปไตย พบว่า สหกรณ์โรงเรียนมีการประชุมเพื่อให้สมาชิกได้ใช้สิทธิออกเสียงตามหลักประชาธิปไตยในการคัดเลือกกรรมการ ๓) ด้านการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของสมาชิก พบว่า สหกรณ์โรงเรียนเปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการดูแลการใช้เงินทุนของสหกรณ์โรงเรียน ๔) ด้านการปกครองตนเองและการเป็นอิสระ พบว่า สหกรณ์โรงเรียนหากรับความช่วยเหลือหรือสนับสนุนจากบุคคลภายนอก ต้องไม่ขัดต่อความเป็นอิสระของสหกรณ์โรงเรียน ๕) ด้านการฝึกอบรมและสารสนเทศ พบว่า สหกรณ์โรงเรียนมีสมาชิกที่มีความรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตน ๖) ด้านการร่วมมือกันระหว่างสหกรณ์ พบว่า สหกรณ์โรงเรียนมีการซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน ๗) ด้านการเอื้ออาทรต่อชุมชน พบว่า สหกรณ์โรงเรียนพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน</p> นัทธพงษ์ ระวังภัย, อานนท์ เมธีวรฉัตร, วินัย ทองมั่น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 นัทธพงษ์ ระวังภัย -, อานนท์ เมธีวรฉัตร, วินัย ทองมั่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280713 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความคิดเห็นและแนวทางการปรับใช้แนวคิดเรกจิโอ เอมิเลีย กับโรงเรียนอนุบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280795 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้ปกครองและแนวทางการปรับใช้แนวคิด เรกจิโอ เอมิเลียกับโรงเรียนอนุบาลเอกชนในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหาร ๓ คน ครู ๑๓ คน และผู้ปกครอง ๒๐ คน ของโรงเรียนอนุบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่นำแนวคิดเรกจิโอ เอมิเลียมาปรับใช้ โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ๑) แบบสอบถาม (มีค่า IOC เท่ากับ ๑.๐๐ และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๘๘) และ ๒) แนวทางการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (มีค่า IOC เท่ากับ ๑.๐๐) ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และนำผลทั้งสองส่วนมาเปรียบเทียบเชื่อมโยงกัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ปกครองมีความพึงพอใจต่อการนำแนวทางเรกจิโอ เอมิเลียมาปรับใช้ในโรงเรียนอนุบาลเอกชนในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (Mean = ๔.๒๑, SD = ๐.๔๐) โดยมีความพึงพอใจมากที่สุดในด้านการเลี้ยงดู รองลงมาคือด้านการสื่อสาร การอาสาสมัคร การเรียนรู้ที่บ้าน การตัดสินใจ และการร่วมมือกับชุมชน ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพเผยให้เห็นถึงแรงบันดาลใจและวัตถุประสงค์ของผู้บริหารในการนำแนวคิดมาใช้ ความรู้ความเข้าใจและการสนับสนุนบุคลากรและผู้ปกครอง สมรรถนะของผู้บริหาร ข้อเสนอแนะในการปรับใช้ และความสำคัญของบทบาทผู้ปกครองและชุมชน แนวทางการปรับใช้แนวคิดเรกจิโอ เอมิเลียในบริบทโรงเรียนอนุบาลเอกชนเน้น ๖ องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ วิสัยทัศน์และเป้าหมาย ความรู้ความเข้าใจในหลักการ การปรับปรุงกระบวนการจัดการเรียนรู้ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การพัฒนาปัจจัยสนับสนุน และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผลการวิจัยนี้มีประโยชน์ต่อโรงเรียนอนุบาลเอกชนในการปรับปรุงการจัดการศึกษาตามแนวทางเรกจิโอ เอมิเลีย และเป็นข้อมูลสำหรับผู้ปกครองในการสนับสนุนการเรียนรู้ของบุตรหลาน</p> เจนจิรา อินทรสมบัติ; พิบูลย์ ตัญญบุตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เจนจิรา อินทรสมบัติ; พิบูลย์ ตัญญบุตร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280795 Wed, 30 Jul 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ภาษาเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา: กรณีศึกษาปริจเฉทเทศนาธรรมในเพจเฟซบุ๊ก “พระศักดา สุนฺทโร” https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/277360 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กลวิธีทางภาษาเพื่อการเผยแผ่ธรรมะของพระศักดา สุนฺทโร โดยการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพประเภทวิเคราะห์เนื้อหาตามแนวคิดของจันทิมา อังคพณิชกิจ ซึ่งเก็บข้อมูลจากการปริจเฉทธรรมะที่ถอดความเป็นตัวหนังสือจากคลิปของพระศักดา สุนทฺโรที่เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กเพจ “พระศักดา สุนทฺโร” ในช่วงวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓ - วันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ มีจำนวนปริจเฉททั้งหมด ๗๒๓ ปริจเฉท</p> <p> ผลจากการวิจัย พบว่า พระศักดา สุนฺทโรใช้กลวิธีทางภาษาในการเผยแผ่ธรรมะ จำนวน ๕ กลวิธี ได้แก่ (๑) กลวิธีทางศัพท์ (๒) กลวิธีการขยายความ (๓) กลวิธีทางวัจนปฏิบัติศาสตร์และวาทกรรม (๔) กลวิธีทางวาทศิลป์ และ (๕) กลวิธีอื่น ๆ พระศักดา สุนฺทโรมีลักษณะเด่นเฉพาะตัว กล่าวคือ การเล่นเสียง การใช้คำซ้ำ การใช้สำนวน และการใช้คำคล้องจอง</p> บัณฑิกา จารุมา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิกา จารุมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/277360 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 การส่งเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุตามหลักภาวนา ๔ ในเขตเทศบาลเมืองหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280878 <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ (๑) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและสุขภาวะของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลเมืองหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี (๒) เพื่อศึกษากิจกรรมในการสร้างเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุตามหลักภาวนา ๔ (๓) เพื่อเสนอแนวทางส่งเสริมสุขภาวะตามหลักภาวนา ๔ ของกลุ่มผู้สูงอายุในเทศบาลเมืองหนองปรือ อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและภาคสนามโดยการสัมภาษณ์แบบเชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมายจำนวน ๒๕ รูป/คน โดยการบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาสุขภาวะของผู้สูงอายุในเขตเทศบาลเมืองหนองปรือ จังหวัดชลบุรี มีความสำคัญและต้องการการจัดการอย่างเร่งด่วน ซึ่งจำนวนผู้สูงอายุในพื้นที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านสุขภาพและกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะ ยังคงมีข้อจำกัดในหลายด้านซึ่งสุขภาพร่างกายที่เสื่อมโทรม ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และการขาดกิจกรรมที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้สูงอายุ ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาวะของผู้สูงอายุในพื้นที่นี้รวมถึงปัญหาสุขภาพโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ การพัฒนากิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุตามหลักภาวนา ๔ เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการสร้างสมดุลในชีวิตของผู้สูงอายุผ่านการบูรณาการหลักธรรมในพระพุทธศาสนา หลักภาวนา ๔ ประกอบด้วย กายภาวนา (การพัฒนาร่างกาย), ศีลภาวนา (การพัฒนาความประพฤติ), จิตภาวนา (การพัฒนาจิตใจ), และ ปัญญาภาวนา (การพัฒนาปัญญา) เป็นแนวทางที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาวะในทุกมิติ ทำให้ผู้สูงอายุสามารถปรับตัวและดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณค่า แนวทางนี้ส่งเสริมสุขภาวะตามหลักภาวนา ๔ ของผู้สูงอายุเขตเทศบาลเมืองหนองปรือจังหวัดชลบุรี เป็นการ บูรณาการหลักธรรมในพระพุทธศาสนาคืออริยสัจ ๔ สอดคล้องกับกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยสร้างสมดุลในชีวิตและเสริมสร้างสุขภาวะที่ยั่งยืนในชุมชน เป็นการเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า ช่วยให้การส่งเสริมสุขภาวะตามหลักภาวนา ๔ ประสบความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมากในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคม อย่างยั่งยืน ควรระบุโมเดล (PMSS Model.) P =กายภาวนา กิจกรรมที่เน้นการพัฒนาร่างกาย ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังในผู้สูงอายุ M= ศีลภาวนา การส่งเสริมความประพฤติที่ดีงามผ่านกิจกรรมทางศาสนา ช่วยสร้างความสงบสุขในจิตใจและเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและชุมชน S= จิตภาวนา กิจกรรมที่ช่วยพัฒนาจิตใจช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างความมั่นคงทางอารมณ์ S= ปัญญาภาวนา การเรียนรู้และพัฒนาสติปัญญาผ่านการอบรมหรือกิจกรรมที่เสริมสร้างความรู้ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถปรับตัวและดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณค่า</p> โสภา ชื่นชูจิตต์, สมคิด เศษวงศ์ , พระมหาทวี มหาปญฺโญ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 โสภา ชื่นชูจิตต์, สมคิด เศษวงศ์ , พระมหาทวี มหาปญฺโญ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/280878 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/281350 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (๑) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของกระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง (๒) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา รองผู้บริหารฝ่ายวิชาการหรือหัวหน้างานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง จำนวน ๑๖๖ คน และผู้ทรงคุณวุฒิให้สัมภาษณ์ จำนวน ๕ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ ๐.๙๓ และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า (๑) สภาพปัจจุบัน ของกระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์ ของกระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดไปถึงน้อยสุด ได้ดังนี้ ด้านปรับปรุงแก้ไข และรายงานผลการนิเทศ ด้านปฏิบัติการนิเทศ ด้านประเมินผล ด้านวางแผนการนิเทศ ด้านศึกษาสภาพความต้องการการนิเทศภายในโรงเรียน และด้านสร้างขวัญและกำลังใจ (๒) แนวทางการพัฒนากระบวนการนิเทศภายในของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ประกอบด้วย ๖ ด้าน พบว่า ในแต่ละด้านมีประเด็นที่ควรพัฒนาเป็นลำดับแรก ดังนี้ดังนี้ ๑) ด้านปรับปรุงแก้ไข และรายงานผลการนิเทศ โรงเรียนรายงานผลประเมินการนิเทศภายใน เสนอข้อมูลต่อหน่วยงานต้นสังกัด ๒) ด้านปฏิบัติการนิเทศ ผู้บริหารโรงเรียนมีการนิเทศ ติดตามด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ ๓) ด้านประเมินผล ผู้รับการนิเทศรายงานความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานหลังจากการนิเทศ ภายในโรงเรียน ๔) ด้านวางแผนการนิเทศ โรงเรียนแต่งตั้งคณะดำเนินงานนิเทศภายใน โดยหน้าที่การดำเนินงานอย่างชัดเจน ๕) ด้านศึกษาสภาพความต้องการการนิเทศภายในโรงเรียน โรงเรียนจัดลำดับความสำคัญของปัญหาให้สอดคล้องกับความต้องการ ๖) ด้านสร้างขวัญและกำลังใจ ผู้บริหารหรือผู้นิเทศ ยกย่องชมเชยโดยการมอบรางวัล ให้กับผู้ผ่านการนิเทศ หรือผู้ที่มีคะแนนการนิเทศสูง</p> เกนจิรา ศรีชุม, อัจฉรา นิยมาภา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Kenjira Srichum, อัจฉรา นิยมาภา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/281350 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยสำหรับนิสิตชาวต่างชาติในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/281185 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาสภาพและปัญหาการเรียนภาษาไทยของนิสิตชาวต่างชาติในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒) พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยที่เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน ๓) ประเมินประสิทธิภาพและความพึงพอใจของนิสิตชาวต่างชาติที่ได้เรียนด้วยรูปแบบดังกล่าว การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&amp;D) ประกอบด้วย ๔ ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์ปัญหา การออกแบบและพัฒนา การทดลองใช้ และการประเมินผล กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตชาวต่างชาติที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (ส่วนกลาง) ปีการศึกษา ๒๕๖๗ ชั้นปีที่ ๑ จาก ๔ คณะ จำนวน ๔๐ รูป/คน ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาภาษาไทยพื้นฐานในปีการศึกษา ๒๕๖๗ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม คู่มือรูปแบบการจัดการเรียนการสอนการอ่านภาษาไทย และแบบทดสอบการอ่านภาษาไทยของนิสิตต่างชาติ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที (t-test) แบบไม่เป็นอิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า นิสิตส่วนใหญ่มีปัญหาในการอ่านคำศัพท์ไม่ถูกต้อง รู้คำศัพท์น้อย ไม่เข้าใจความหมาย ออกเสียงไม่ชัด และใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันน้อย ทำให้หลีกเลี่ยงการอ่านภาษาไทยและไม่ชอบรายวิชาที่เน้นทักษะการอ่าน รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นมีลักษณะเป็นคู่มือกิจกรรมการอ่านตามลำดับขั้น ได้แก่ ก่อนอ่าน ระหว่างอ่าน หลังอ่าน และการประเมินผล ซึ่งผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ และทดลองใช้จริงกับนิสิต ผลการทดลองใช้พบว่านิสิตมีคะแนนการอ่านหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของรูปแบบดังกล่าวในการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาไทย นอกจากนี้ ความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย ๔.๔๐) โดยเฉพาะในด้านการกระตุ้นความสนใจและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของนิสิต</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;"> </span></p> พระมหาโกศล ธีรปญฺโญ, พระมหาสันทัศน์ โสตฺถิวํโส, พิธพิบูลย์ ทองเกลี้ยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 พระมหาโกศล ธีรปญฺโญ, พระมหาสันทัศน์ โสตฺถิวํโส, พิธพิบูลย์ ทองเกลี้ยง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/281185 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 บทวิพากษ์เรื่องบทบาทของเศรษฐีในการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท พระมหาสิทธิชัย เตชวณฺโณ และ อุเทน ลาพิงค์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278177 <p> บทความเรื่อง “บทบาทของเศรษฐีในการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบท” นี้ เป็นบทความประเภทบทความวิจัย ตีพิมพ์ในวารสารพุทธศาสตร์ศึกษา ปีที่ ๑๕ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๗) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เนื้อหามีจำนวน ๑๖ หน้า <br /> เป็นผลงานของพระมหาสิทธิชัย เตชวณฺโณ และ อุเทน ลาพิงค์</p> จิรกิติยา บุญครองทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 จิรกิติยา บุญครองทรัพย์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/278177 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 ส่วนท้าย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/282478 <p>ส่วนท้าย-ภาคผนวก</p> สุชญา ศิริธัญภร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สุชญา ศิริธัญภร https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JMA/article/view/282478 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700