วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS <p>วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน ( Journal of Social Innovation and Mass Communication Technology) ISSN 2822-0463 (Online) รับตีพิมพ์บทความวิจัย บทความวิชาการ บทวิจารณ์หนังสือ ด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา บริหารธุรกิจ การเมือง จิตวิทยา ศิลปวัฒนธรรม นิเทศศาสตร์ สื่อสารการตลาด เทคโนโลยีสื่อสารมวลชน ดิจิทัลคอนเทนท์ สื่อดิจิทัล เทคโนโลยีสื่อสารมวลชน และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกำหนดออก 3 ฉบับต่อปี<strong> ฉบับที่ 1</strong> [มกราคม – เมษายน] <strong>ฉบับที่ 2</strong> [พฤษภาคม - สิงหาคม] และ <strong>ฉบับที่ 3</strong> [กันยายน - ธันวาคม] โ<em><strong>ดยบทความทุกบทความผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2-3 คน แบบ Double Blind Peer Review</strong></em></p> th-TH sandusit.13@gmail.com (ดร.สันดุสิทธิ์ บริวงษ์ตระกูล) sandusit.13@gmail.com (รัชชนก แพทย์นิมตร) Sun, 26 Oct 2025 21:40:31 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 กลยุทธ์การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ในประเทศจีน: กรณีศึกษาจาก Chengdu Plus https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/279299 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศการใช้สื่อประชาสัมพันธ์โดยเฉพาะสื่อออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยว เมืองเฉิงตูเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ในประเทศจีนผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Chengdu Plus ซึ่งได้รับความนิยมทั้งในจีนและระดับสากล <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> 1) เพื่อศึกษากลยุทธ์การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ของ Chengdu Plus และ 2) เพื่อวิเคราะห์ผลตอบรับของกลุ่มผู้ชมทั้งชาวจีนและชาวต่างชาติ <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลดำเนินการโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง กับกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้เกี่ยวข้องกับ Chengdu Plus 2) ผู้ชมชาวจีน และ 3) ผู้ชมชาวต่างชาติ รวมทั้งหมด 30 คน นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังทำการวิเคราะห์เนื้อหาวิดีโอ ที่เผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อประเมินรูปแบบและประสิทธิภาพของเนื้อหาใช้ และใช้การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (triangulation) โดยเปรียบเทียบผลการสัมภาษณ์กับเนื้อหาวิดีโอและข้อมูลรองจากแหล่งสาธารณะ <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> พบว่า Chengdu Plus ใช้กลยุทธ์การเล่าเรื่องและเทคนิคการผลิตวิดีโอที่สร้างสรรค์เพื่อดึงดูดผู้ชม โดยเน้นการนำเสนอวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยว และวิถีชีวิตของเมืองเฉิงตู ผู้ชมชาวจีนสนใจวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและการพัฒนาเมือง ขณะที่ผู้ชมชาวต่างชาติให้ความสนใจกับวิดีโอเชิงท่องเที่ยวและการใช้ชีวิตในเฉิงตู กลยุทธ์ของ Chengdu Plus มีประสิทธิภาพในการประชาสัมพันธ์เมืองเฉิงตูและสร้างการรับรู้ในระดับสากล <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> แนวทางดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในประเทศไทยเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ</p> จำเริญ คังคะศรี, อธิราช สิทธิราษฎร์, ธัญชนก คังคะศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/279299 Sun, 26 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกรับชมรายการข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ ของประชากร GENERATION X ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/275962 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ปัจจุบันรายการข่าวเช้าทางโทรทัศน์แต่ละสถานีโทรทัศน์มีการนำเสนอในรูปแบบที่หลากหลายและมีการพัฒนาคุณภาพเนื้อหามาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการตอบสนองให้กับผู้ชมที่ต้องการรับรู้ข่าวสารเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่ผู้รับชมให้ความสนใจ <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> 1) ศึกษาพฤติกรรมผู้ชมในการเลือกชมรายการข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ 2) ศึกษาการรับชมข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ของประชากร Generation X ในเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกรับชมรายการข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ของประชากร Generation X ในเขตกรุงเทพมหานคร <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitive Research) รูปแบบวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชากร Generation X ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 134 คน <strong>ผลการวิจัย</strong>: พบว่า 1) พฤติกรรมการเลือกรับชมรายการข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ของ Generation X ในเขตกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กับเพศ การศึกษา อาชีพ และรายได้ ซึ่งประชากรมีพฤติกรรมการเปิดรับสื่อในระดับมาก 2) ปัจจัยในการเลือกรับชมข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ของประชากร Generation X ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการเปิดรับสื่อผ่านรายการข่าวโทรทัศน์ซึ่งเป็นสื่อหลักที่มีความน่าเชื่อถือ 3) พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของประชากร Generation X ในเขตกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์ต่อการเลือกรับชมรายการข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ โดยปัจจัยที่ผู้ชมเลือกชมรายการข่าวเช้าเวิร์คพอยท์ ประกอบด้วย 3 ด้าน คือ เพื่อการแสวงหาข้อมูล เพื่อการเปิดรับข้อมูล และเพื่อเป็นการเปิดรับประสบการณ์ จากการวิจัยพบว่าประชากรที่มีพฤติกรรมการเปิดรับสื่อในระดับมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> จักรพันธ์ จักรพล, องอาจ สิงห์ลำพอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/275962 Sat, 13 Dec 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานและแนวทางส่งเสริมการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์สู่ความยั่งยืน: กรณีศึกษาพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/282687 <p><strong>บทนำ:</strong> การขนส่งที่ยั่งยืนมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความเท่าเทียม และคุณภาพชีวิต งานวิจัยที่ผ่านมาเน้นว่าความสำเร็จของการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์ต้องมาจากการบูรณาการมาตรการหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย การรณรงค์ และการบังคับใช้กฎหมาย ในบริบทของประเทศไทยยังมีปัญหาการพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคลและโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์ที่ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์สภาพโครงสร้างพื้นฐานและแนวทางส่งเสริมการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์ เพื่อพัฒนาแนวทางส่งเสริมการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์อย่างยั่งยืนต่อไป <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย:</strong> 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์ และ 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางเชิงบูรณาการในการส่งเสริมการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์เพื่อการขนส่งที่ยั่งยืน <strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> การวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิจัยเอกสารจากข้อมูลปฐมภูมิและข้อมูลทุติยภูมิ อาทิ หนังสือตำรา บทความ วิชาการ หรืองานวิจัย สำรวจภาคสนาม การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เป็นต้น <strong>ผลการวิจัย:</strong> สภาพโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์ พบว่า พื้นที่ศึกษามีศักยภาพเชิงทำเลในการเชื่อมต่อกับแหล่งกิจกรรมและระบบขนส่งสาธารณะ และแนวทางส่งเสริมการขนส่งที่ไม่ใช้ยานยนต์เพื่อการขนส่งที่ยั่งยืนที่มีความเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย คือ การใช้จักรยาน และการเดินเท้า <strong>สรุป:</strong> แนวทางเพื่อการขนส่งที่ยั่งยืนต้องอาศัยการบูรณาการนโยบายที่ชัดเจน การมีส่วนร่วมของชุมชนพร้อมแรงจูงใจ การเข้าถึงข้อมูลเส้นทาง โครงสร้างพื้นฐาน และการบังคับใช้กฎหมายควบคู่กันอย่างเป็นระบบ</p> กิตติศักดิ์ อุตส่าห์การ, ธีรพล วินิจวัฒนโกมล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/282687 Sat, 13 Dec 2025 00:00:00 +0700 การสร้างสรรค์ลวดลายบนกระดาษหยวกกล้วย ด้วยวิธีการพิมพ์จากแม่พิมพ์แกะไม้ กรณีศึกษา : โครงการพัฒนาป่าชุมชนบ้านอ่างเอ็ด(มูลนิธิชัยพัฒนา) ตำบลตกพรม อำเภอขลุงจังหวัดจันทบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/279024 <p><strong>บทนำ:</strong> ปัจจุบันการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมีความสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จันทบุรีซึ่งมีทรัพยากรหลากหลายสามารถต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ชุมชนได้อย่างยั่งยืน ตำบลตกพรมมีการแปรรูปต้นกล้วยเป็นกระดาษหยวกกล้วยและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เช่น กรอบรูป กล่องใส่พลอย และประติมากรรมสัตว์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นอย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์ยังขาดลวดลายเฉพาะที่ดึงดูดผู้บริโภค จึงเกิดแนวคิดวิจัยเพื่อพัฒนาลวดลายใหม่โดยใช้กระบวนการศิลปะภาพพิมพ์ เพื่อเพิ่มมูลค่า สร้างรายได้ และลดวัสดุเหลือทิ้งในชุมชน <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย: </strong>เพื่อทดลองสร้างสรรค์ลวดลายด้วยแม่พิมพ์แกะไม้บนกระดาษหยวกกล้วย เพื่อสร้างสรรค์ลวดลายบนกระดาษหยวกกล้วยในรูปแบบใหม่และเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการสร้างลวดลายด้วยแม่พิมพ์แกะไม้สู่ชุมชนแบบมีส่วนร่วม <strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> ใช้วิธีการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงและประเมินหาความเหมาะสมของลวดลายโดยผู้เชี่ยวชาญ ใช้วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา <strong>ผลการวิจัย:</strong> การสร้างสรรค์แม่พิมพ์แกะไม้ได้แนวทางออกแบบลวดลายที่มีอัตลักษณ์ต่อชุมชน ได้แม่พิมพ์แกะไม้ในขนาดที่เหมาะสมกับวิธีการพิมพ์โดยการจุ่มสีลงบนแม่พิมพ์ <strong>สรุป:</strong> การพัฒนาผลิตภัณฑ์กระดาษหยวกกล้วยด้วยเทคนิคการพิมพ์จากแม่พิมพ์แกะไม้ที่ผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับศิลปะร่วมสมัยวิธีการพิมพ์ช่วยให้ลวดลายคมชัดสามารถนำไปพัฒนายกระดับกระดาษหยวกกล้วย และนำแม่พิมพ์กลับมาใช้ซ้ำได้ ผลงานมีศักยภาพเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างอัตลักษณ์ผลิตภัณฑ์ชุมชน และต่อยอดสู่ตลาดเชิงสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน</p> จิตติพันธ์พชร ธรรมพัฒนกุล, เบญจพร ประจง, ธนวัฒน์ กันภัย, กฤติยา โพธิ์ทอง, กิตติพล คำทวี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/279024 Sat, 13 Dec 2025 00:00:00 +0700 THE CULTURAL INHERITANCE CONNOTATION OF GUANGXI FOLK PIANO WORKS https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/278105 <p><strong>Introduction:</strong> As a multi-ethnic region, Guangxi has a rich folk music culture. The fusion of Western piano art and Guangxi's local folk music gave birth to Guangxi piano folk music. However, the development of this music faces challenges, such as the impact of social changes, economic development and cultural exchanges. This paper aimed to study the connotation of its cultural heritage, which is of great significance for the protection and promotion of Guangxi national culture. <strong>Objective:</strong> To study the cultural inheritance connotation of Guangxi folk piano works. <strong>Methods: </strong>The literature research method is adopted, and the multidisciplinary theories and methods of musicology, ethnology, sociology, and history are comprehensively used to conduct research, and various relevant texts are collected for analysis. <strong>Results: </strong>Guangxi qin folk music integrates the melody and rhythm of multiple ethnic groups, forming a unique style, carrying the connotation of multi-ethnic culture, and expressing the rich content of work, love, and history through music. Social changes have an impact on its inheritance, bringing opportunities and challenges, and the way of inheritance has changed from traditional to modern, and innovative development needs to balance national characteristics and modern elements.<strong> Conclusion: </strong>This study is helpful for the preservation and promotion of piano folk music in Guangxi, analyzes its cultural inheritance significance and existing problems, explores the development strategy of cultural heritage, and emphasizes the balance between tradition and innovation in inheritance.</p> Zhiyi Zhou, Manissa Vasinarom, Jing Li ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/278105 Sun, 14 Dec 2025 00:00:00 +0700 การสร้างสรรค์เนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์ของผลิตภัณฑ์กลุ่มพัฒนาสตรี เทศบาลตำบลย่านดินแดง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/283539 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นมีความสำคัญและเป็นฐานรากของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ การที่เศรษฐกิจท้องถิ่นเจริญก้าวหน้าได้ก็ต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานอย่างพลเมืองที่มีคุณภาพ <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย: </strong>เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาและสร้างสรรค์เนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์ให้กับผลิตภัณฑ์กระเป๋าของกลุ่มพัฒนาสตรีเทศบาลตำบลย่านดินแดง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี <strong>ระเบียบวิธีวิจัย:</strong> ใช้วิธีการแบบผสานวิธี คือการวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การวิเคราะห์เอกสาร การสนทนากลุ่ม และการสัมภาษณ์เชิงลึก ด้วยการเก็บข้อมูลกับสมาชิกกลุ่มพัฒนาสตรีเทศบาลตำบลย่านดินแดง โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและเชิงพรรณนา รวมทั้งการวิจัยเชิงปริมาณในการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่ากลุ่มผู้ผลิตต้องการสร้าง<em>เฟซบุ๊ก</em>ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายและผลิตเนื้อหาเกี่ยวกับการนำเสนอผลิตภัณฑ์กระเป๋าผ่านช่องทางดังกล่าว ส่วนด้านความต้องการของผู้บริโภค พบว่า ความต้องการด้านเนื้อหาอันดับแรกคือเนื้อหาเกี่ยวกับจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ ส่วนด้านรูปแบบและวิธีนำเสนออันดับแรกคือมีความคิดสร้างสรรค์น่าสนใจ แนวทางการพัฒนาและสร้างสรรค์เนื้อหาคือ การนำเสนอเนื้อหาที่หลากหลายเพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างจุดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ เช่น การแนะนำตราสินค้า, การนำเสนอผลิตภัณฑ์ และข้อมูลการผลิตสินค้าด้วยรูปแบบการนำเสนอที่ผสมผสานรูปภาพ ข้อความและกราฟิกจากแนวทางดังกล่าวได้นำมาจัดทำ<em>เฟซบุ๊ก</em>และการสร้างสรรค์เนื้อหา เช่น ป้ายโฆษณา การรวมภาพและภาพเคลื่อนไหว</p> แพรวพรรณ ปานนุช , ปิยตา นวลละออง , นันทิพา บุษปวรรธนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/283539 Sun, 14 Dec 2025 00:00:00 +0700 ศึกษาเปรียบเทียบนโยบายการจัดการเพื่อการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/279324 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การใช้เทคโนโลยี 5G ของสาธารณะรัฐประชาชนจีนและราชอาจักรไทย มีเป้าหมายที่แตกต่างกันโดยจีนจัดเป็นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมขนส่ง และการผลิตอัจฉริยะ ส่วนไทยเน้นการประยุกต์ใช้ 5G ในภาคเกษตร การท่องเที่ยว และระบบสาธารณสุข <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษานโยบายการจัดการเพื่อการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ของสาธารณรัฐประชาชนจีนและราชอาณาจักรไทย และ เพื่อเปรียบเทียบนโยบายการจัดการเพื่อการประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับราชอาณาจักรไทย <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการวิเคราะห์เอกสาร (Content Analysis) จากแผนพัฒนา 5G แห่งชาติจีน (2021-2023) และเอกสารนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ และรายงานวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G ในช่วงปี 2015 – 2023 และแผนปฏิบัติการ 5G ของประเทศไทย (พ.ศ. 2566–2570) <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี 5G โดยการสร้างสถานีเครือข่ายมากกว่า 1.29 ล้านแห่งในปี 2021 เพื่อสนับสนุนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในหลากหลายอุตสาหกรรม ราชอาณาจักรไทย มีการเริ่มต้นขยายเครือข่าย 5G โดยเน้นการผสมผสานกับระบบ 4G (Non-Standalone: NSA) และมุ่งเน้นการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล (Digital Divide) โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและกลุ่มประชากรที่ด้อยโอกาส <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> สาธารณะรัฐประชาชนจีนมีการพัฒนาและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 5G เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวางส่งผลให้ สาธารณะรัฐประชาชนจีนเป็นแหล่งผลิตสินค้าที่มีคุณภาพราคาถูกและมีความสามารถในการแข่งขันส่งระดับโลก ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเริ่มต้นและเน้นการลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลเพื่อรองรับการเข้าถึงเทคโนโลยีในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย และต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาโครงข่ายเทคโนโลยี 5G ให้ครอบคลุมพื้นที่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ของราชอาณาจักรไทย ดังนั้นการเปรียบเทียบการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ช่วยให้เข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของเทคโนโลยี 5G ที่สามารถช่วยให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ</p> Ai limin, อภิวรรณ ศิรินันทนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/279324 Sun, 14 Dec 2025 00:00:00 +0700 การใช้แอพลิเคชั่นโต่วยินเพื่อส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์ธุรกิจขนาดเล็กในมณฑลปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/279323 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ธุรกิจขนาดเล็กต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านการส่งเสริมการตลาดกับธุรกิจขนาดใหญ่จึงมีการปรับตัวเป็นการตลาดอีคอมเมิสร์โดยการใช้แอพพิเคชั่นโต่วยินในการสื่อสารเพื่อสร้างการรับรู้และเพิ่มยอดขาย การวิจัยนี้จึงม<strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> 1) เพื่อศึกษาบริบทการใช้แอพลิเคชั่นโต่วยินเพื่อส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์ธุรกิจขนาดเล็กในมณฑลปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจการใช้แอพลิเคชั่นโต่วยินเพื่อส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์ธุรกิจขนาดเล็กในมณฑลปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการการใช้แอพลิเคชั่นโต่วยินเพื่อส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์ธุรกิจขนาดเล็กที่เหมาะสม <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์ และวิเคราะห์เอกสาร (Content Analysis) จากเอกสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขนาดเล็ก การตลาดอีคอมเมิสร์ สถิติตัวเลขการใช้แอพพิเคชั่นโต่วยิน และกลุ่มตัวอย่างข้อมูลเชิงปริมาณ เก็บจากผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กในมณฑลปักกิ่งที่ใช้แอพพิเคชั่นโต่วยินในการส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์ แล้วนำข้อมูลจากการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ มาสร้างแบบสอบถามแนวทางการการใช้แอพลิเคชั่นโต่วยินเพื่อส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์ธุรกิจขนาดเล็กที่เหมาะสม <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กในมณฑลปักกิ่งใช้อินเทอร์เน็ตเกือบร้อยละ 80 และมีการใช้แอพลิเคชั่นโต่วยินเพื่อส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์เพื่อความสะดวกในการซื้อสินค้าแบบออนไลน์ ซึ่งมีจำนวนผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแอพพิเคชั่นโต่วยินมากถึง 905 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 82.3 ของแพลตฟอร์มออนไลน์ของจีน และความพึงพอใจการใช้แอพลิเคชั่นโต่วยินเพื่อส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์ธุรกิจขนาดเล็กในมณฑลปักกิ่งประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเฉลี่ย 3.60 และแนวทางที่เหมาะสมของการการใช้แอพลิเคชั่นโต่วยินเพื่อส่งเสริมการตลาดอีคอมเมิสร์ธุรกิจขนาดเล็ก คือ การสื่อสารการตลาดด้วยภาพหรือวิดีโอที่ให้ข้อมูลสินค้าหรือบริการตามความเป็นจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และการให้บริการหลังการขายที่มีคุณภาพ พัฒนาระบบการให้บริการอย่างรวดเร็ว เช่น การประมวลผลคำสั่งซื้อ ระยะเวลาการจัดส่งที่ชัดเจน วิธีการชำระเงินที่หลากหลาย และแอพพิเคชั่นโต่วยินมีอินเทอร์เฟซที่ชัดเจนและกระชับเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ที่มีคุณภาพ <strong>สรุป</strong>: ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กควรสื่อสารการตลาดผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และการบริการที่สะดวกรวดเร็วและหลากหลาย เช่น การประมวลผลคำสั่งซื้อ ระยะเวลาการจัดส่ง วิธีการชำระค่าสินค้าที่หลากหลาย แอพพิเคชั่นโต่วยินแบบอินเทอร์เฟซที่ชัดเจนและกระชับเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว</p> Ye Liying, บวรสรรค์ เจี่ยดำรง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/279323 Sun, 14 Dec 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม เจดี เซ็นทรัล ของผู้บริโภคต่างเจเนอเรชั่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/284271 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>เทคโนโลยีดิจิทัลทำให้พฤติกรรมการซื้อออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมี Social Commerce และ Live Shopping เป็นแรงผลักดันสำคัญ ขณะเดียวกันผู้บริโภคแต่ละเจเนอเรชั่นมีพฤติกรรมและปัจจัยด้านการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจแตกต่างกัน <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> 1) ศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มเจดีเซ็นทรัลจำแนกตามเจเนอเรชั่น 2) ศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของลูกค้า (4C's) ต่อพฤติกรรมการซื้อ 3) ศึกษาอิทธิพลของแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการซื้อ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเจดีเซ็นทรัลในประเทศไทย <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>: </strong>ผู้วิจัยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง 400 คน โดยใช้แนวคิดของ Hair et al. (2023) ที่แนะนำให้มีกลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 10-20 เท่าของจำนวนตัวแปรในการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้มีตัวแปรอิสระ 6 ตัวแปร จึงต้องการกลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 120 คน <strong>ผลการวิจัย: </strong>1. พฤติกรรมการซื้อแตกต่างกันตามเจเนอเรชันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเจเนอเรชั่นวายมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด และเจเนอเรชั่นซีต่ำที่สุด 2. ส่วนประสมทางการตลาดทำนายพฤติกรรมการซื้อได้ 48.6% โดยปัจจัยสำคัญคือ ความสะดวกสบาย คุณค่าที่ได้รับ การสื่อสาร และต้นทุน 3. แรงจูงใจทำนายพฤติกรรมการซื้อได้ 35.8% โดยแรงจูงใจด้านเหตุผลมีอิทธิพลสูงที่สุด รองลงมาคือแรงจูงใจด้านอารมณ์</p> กิตติอำพล สุดประเสริฐ, วิยะดา วรานนท์วนิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/284271 Sun, 14 Dec 2025 00:00:00 +0700 ANALYSIS OF CHINESE LANGUAGE LEARNING NEEDS OF THAI UNIVERSITY STUDENTS https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/270871 <p><strong>Introduction:</strong> In recent years, with the increase of Sino-Thai cooperation, Chinese language teaching in Thailand has been developing rapidly, and students' desire to learn Chinese and understand China has become increasingly urgent. <strong>Objective:</strong> 1) To examine the Chinese language learning needs of Thai university students. 2) To provide instructional recommendations derived from the needs analysis findings. <strong>Method:</strong> Literature survey method. By reviewing a large amount of literature on the theory of language learning needs analysis, including journals, dissertations, books and online materials, and drawing on the experience of previous generations, Questionnaire method. The questionnaire for this study is based on the Hutchinson &amp; Waters model of demand analysis and the Dudley-Evans &amp; St. John model of demand analysis, with reference to domestic scholars' research. <strong>Results:</strong> In this regard, the needs of Thai university students are analyzed from different perspectives and in different aspects in terms of individual learners and their Chinese learning situation. Based on the above, this study takes. The results are analyzed, and teaching suggestions and strategies are given from different perspectives to meet the actual learning needs of Chinese language learners, in the hope that helpful suggestions can be made for the improvement of students' Chinese language proficiency and the development of Chinese language teaching.</p> Yang Xiaoman ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/270871 Sun, 14 Dec 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการผลิตภาพยนตร์สั้นด้วยเทคนิคการถ่ายทำวีดิทัศน์แนวตั้ง กรณีศึกษา “เลขดีผีบอก” https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/280023 <p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> การคิดค้นกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ในช่วงศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ มนุษย์คุ้นเคยกับการรับชมภาพเคลื่อนไหวในรูปแบบแนวนอนมาโดยตลอด ด้วยความสอดคล้องกับธรรมชาติของสายตามนุษย์ในการมองภาพ <strong>วัตถุประสงค์ของการวิจัย</strong><strong>:</strong> 1) เพื่อศึกษากระบวนการผลิตภาพยนตร์ด้วยเทคนิคการถ่ายทำวีดิทัศน์แนวตั้งของภาพยนตร์สั้นชุดเลขดีผีบอก ซึ่งเผยแพร่ทางแพลตฟอร์มติ๊กต็อก 2) วิเคราะห์ปัจจัยด้านเนื้อหาที่ส่งผลกระทบต่อยอดการเข้าชม โดยการวิเคราะห์เนื้อหา <strong>ระเบียบวิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์เชิงลึกทีมผู้ผลิต <strong>ผลการวิจัย</strong><strong>: </strong>พบว่า ภาพยนตร์สั้นชุดนี้มีกระบวนการผลิต 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นตอนก่อนการถ่ายทำ มีการสร้างสรรค์บทให้เป็นตอนสั้น ๆ เรื่องราวเรียบง่าย และมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ช่วยแตกรายละเอียดฉากเพื่อวางแผนการถ่ายทำ 2. ขั้นตอนการถ่ายทำ ใช้ทีมงานน้อย การตั้งกล้องใช้อุปกรณ์เสริม L-plate เพื่อตั้งกล้องในแนวตะแคงเพื่อให้ถ่ายภาพได้ในแนวตั้งดังเช่นภาพบุคคล มีการจัดองค์ประกอบภาพเพื่อให้เหมาะสมกับเฟรมภาพแนวตั้ง ไม่ค่อยใช้การเคลื่อนกล้องแบบแพน 3. ขั้นตอนหลังการถ่ายทำ มีขั้นตอนการหมุนภาพเพื่อให้ภาพที่ถูกบันทึกในกล้องแนวตะแคงกลับมาเป็นแนวตั้ง วางตำแหน่งคอมพิวเตอร์กราฟิกบริเวณกลางจอ และมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ช่วยสร้างภาพฉากหลังเพื่อลดต้นทุนด้านสถานที่ถ่ายทำ เมื่อวิเคราะห์ยอดการเข้าชมพบว่าตอนที่มียอดเข้าชมสูงจะมีเรื่องราวกระชับ ไม่ซับซ้อน นำเสนอสิ่งที่คุ้นเคยในชีวิตประจำวัน มีอารมณ์ขันแบบตลกทางกายภาพที่ตัวละครหลักถูกกระทำ <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้สะท้อนว่าแม้วีดิทัศน์แนวตั้งจะอยู่ในสื่อยุคใหม่ แต่ก็ยังมีโครงสร้างบางอย่างที่เคยพบในสื่อโทรทัศน์ดั้งเดิมอยู่ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำหรับผู้ผลิตสื่อที่จะปรับตัวโดยใช้ทักษะที่มีอยู่มาประยุกต์เพื่อผลิตเนื้อหาในรูปแบบใหม่ต่อไปในอนาคต</p> นท พูนไชยศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารนวัตกรรมสังคมและเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JRBGS/article/view/280023 Sun, 14 Dec 2025 00:00:00 +0700