https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/issue/feed
วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
2024-10-28T13:41:34+07:00
รศ.ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร
jsse.sci.ubu@gmail.com
Open Journal Systems
<p> วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (Journal of Science and Science Education: JSSE) หมายเลข<strong> ISSN (Print) และ 2697-410X (Online)</strong> เป็นวารสารที่จัดทำโดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่บทความวิจัย (Research articles) หรือบทความวิชาการ (Review articles) ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา (ซึ่งหมายรวมถึงเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ศึกษา และคณิตศาสตร์ศึกษา) และด้านวิทยาศาสตร์ (โดยเน้นเป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ ได้แก่ เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี) ทั้งบทความภาษาไทยและบทความภาษาอังกฤษ โดยลักษณะของบทความที่จะนำเสนอเพื่อขอลงตีพิมพ์ในวารสารจะต้องมีสาระที่น่าสนใจ เป็นงานที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ทันสมัย และต้องเป็นงานที่ไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน (original article) ทั้งนี้ ทุกบทความจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการจากคณะผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในแต่ละสาขาวิชา (Peer Review) จากหลากหลายสถาบัน อย่างน้อย 3 ท่าน ตั้งแต่วารสารปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เป็นต้นมา ผลงานที่ได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ในวารสารจะต้องมีสาระน่าสนใจ เป็นงานที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ทันสมัย และต้องเป็นงานที่ไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน</p> <p> อนึ่ง <strong>วารสาร JSSE จัดอยู่ในกลุ่มสาขาวิชาสังคมศึกษา (Main subject categories: Social Sciences) สาขาวิชาสังคมศึกษา (Subject areas: Social Sciences)</strong> <strong>และอยู่ในสาขาวิชาย่อยด้านการศึกษา (Sub-subject: Education) นอกจากนี้ ยังมีสาขาวิชาย่อยเพิ่มเติมอีก 4 สาขาวิชาย่อยในกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ (Main subject categories: Physical Sciences) ได้แก่ (1) เคมีทั่วไป (2) คอมพิวเตอร์ทั่วไป (3) คณิตศาสตร์ทั่วไป และ (4) ฟิสิกส์และดาราศาสตร์ทั่วไป</strong></p> <p> ทั้งนี้ วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษามีกำหนดเผยแพร่บทความปีละ 2 ฉบับหรือเล่ม โดยเล่มที่ 1 เป็นเผยแพร่บทความระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน และเล่มที่ 2 เผยแพร่บทความระหว่าง กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ (Publication Charge)</strong></p> <p>วารสารได้ประกาศอัตราค่าธรรมเนียมการพิจารณาบทความ (Article Processing Charge) บทความละ 1,500 บาท โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้เฉพาะบทความต้นฉบับที่ผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากบรรณาธิการวารสาร ก่อนที่จะส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมจากค่าธรรมเนียมดังกล่าว ทั้งนี้ มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการดำเนินการบทความตั้งแต่ วารสารปีที่ 6 พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป</p> <p><strong>ทั้งนี้ การชำระค่าธรรมเนียมการพิจารณาบทความ ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าบทความดังกล่าวจะได้รับการเผยแพร่ใน JSSE แต่อย่างใด ดังนั้น บทความที่จะได้รับการเผยแพร่ใน JSSE จะต้องผ่านกระบวนการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิตามปกติ</strong></p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/275880
ส่วนนำ
2024-10-28T13:41:34+07:00
ศักดิ์ศรี สุภาษร
saksri.s@ubu.ac.th
2024-10-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/274084
กิจกรรมจำลองด้วยโปรแกรมไพทอนเพื่อประมาณพื้นที่ระหว่างกราฟสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา
2024-07-31T10:48:28+07:00
ธนวิทย์ จีรุพันธ์
thanawit.j@ubu.ac.th
<p>กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการจำลองด้วยไพทอน (Python) สำหรับการประมาณค่าพื้นที่ระหว่างเส้นโค้งนี้ถูกออกแบบขึ้นเพื่อสอนนักเรียนเกี่ยวกับการจำลองปัญหาที่มีพฤติกรรมเชิงกำหนด ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาความสามารถในการสร้างแบบจำลองของนักเรียน กลุ่มเป้าหมายคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 28 คน ได้เรียนรู้การใช้โปรแกรมไพทอนเพื่อประมาณค่าพื้นที่ระหว่างเส้นโค้งโดยใช้การจำลองแบบลงมือปฏิบัติที่พัฒนาขึ้น เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรม ได้มีการประเมินความสามารถของนักเรียนในการใช้ไพทอน (Python) เพื่อจำลองและประมาณค่าพื้นที่ระหว่างเส้นโค้ง ผลการประเมินแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมที่ออกแบบสามารถปรับปรุงผลการปฏิบัติงานที่ต้องการได้ นอกจากนี้ ผลการประเมินยังแสดงให้เห็นว่านักเรียนมีความสนุกสนาน มองเห็นคุณค่า มีความสนใจ และมีความเชื่อมั่นในตนเองในการทำกิจกรรม ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ในเชิงบวก การศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ที่ครูสามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาความสามารถพื้นฐานและความรู้ของนักเรียนในการเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างแบบจำลองต่อไป</p>
2024-10-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/271064
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัสของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีอุปนัย
2024-05-23T13:53:24+07:00
สุริยัน เขตบรรจง
suriyun.k@rumail.ru.ac.th
ฆูซัยม๊ะห์ ดาโอะ
suriyun.k@rumail.ru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีอุปนัย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีอุปนัย ระหว่างหลังเรียนและก่อนเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้วิธีอุปนัย กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบง่ายด้วยวิธีจับฉลากเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนมัธยมสุวิทย์เสรีอนุสรณ์ จำนวน 30 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิตที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และสถิติการทดสอบค่าที (<em>t</em>-test) แบบ dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2) การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ระหว่างหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ระดับความพึงพอใจต่อการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดมีค่าเฉลี่ย 4.89</p>
2024-06-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/271955
การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบ MACRO Model ร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write เพื่อส่งเสริมความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
2024-05-17T13:58:22+07:00
นภัสกร โพธาราม
65010554022@msu.ac.th
มนตรี ทองมูล
montri.t@msu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายคือ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ MACRO Model ร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write เรื่อง ลำดับและอนุกรม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ MACRO Model ร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write เรื่อง ลำดับและอนุกรม ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ลำดับและอนุกรม ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ MACRO Model ร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write เรื่อง ลำดับและอนุกรม กับเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 42 คน โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ ปีการศึกษา 2566 ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบ MACRO Model ร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Writeเรื่อง ลำดับและอนุกรม จำนวน 10 แผน 2) แบบทดสอบวัดความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ แบบอัตนัยจำนวน 5 ข้อ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สูตรหาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสถิติทดสอบที (t-test for one sample และ t-test dependent sample) ผลการวิจัยปรากฎดังนี้ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบ MACRO Model ร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write เรื่อง ลำดับและอนุกรม ที่มีประสิทธิภาพเท่ากับ 77.56/76.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้ 2) ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ ที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ MACRO Model ร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write เรื่อง ลำดับและอนุกรม พบว่าความเข้าใจทางคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ MACRO Model ร่วมกับเทคนิค Think-Talk-Write เรื่อง ลำดับและอนุกรม มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-07-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/273760
การส่งเสริมความเข้าใจของครูเกี่ยวกับการประเมินระหว่างเรียนผ่านการอบรมในรูปแบบออนไลน์
2024-08-27T11:24:26+07:00
ศานิกานต์ เสนีวงศ์
ssane@ipst.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการอบรมออนไลน์ในหัวข้อการประเมินระหว่างเรียน หรือการประเมินเพื่อการพัฒนา ที่ส่งเสริมความเข้าใจของครูเกี่ยวกับการประเมินในรูปแบบนี้ ความสามารถของครูในการวางแผนการจัดการการเรียนรู้จากผลงานนักเรียนโดยใช้การประเมินระหว่างเรียนและความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดอบรมออนไลน์ของครูที่มีต่อหลักสูตรนี้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้เป็นครูผู้สอนที่เข้าร่วมและผ่านตามเกณฑ์การอบรมออนไลน์ จำนวน 5 คน ซึ่งเป็นครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับมัธยมศึกษา จำนวน 3 คน เป็นครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับประถมศึกษา จำนวน 1 คน และเป็นครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ในระดับมัธยมศึกษา จำนวน 1 คน เก็บข้อมูลจากเอกสารใบงานของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาที่ส่งเข้ามาในระบบอบรมออนไลน์ของหลักสูตร และแบบสอบถามหลังจากจบหลักสูตร วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) และข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย (mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า ครูที่ผ่านการอบรมในหลักสูตรนี้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินระหว่างเรียนเพิ่มมากขึ้น สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ตัวอย่างเกี่ยวกับการเรียนการสอนและสามารถให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับการเรียนการสอนให้มีการประเมินระหว่างเรียนเพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถสะท้อนการสอนของตนเองและปรับให้มีการประเมินระหว่างเรียนเพิ่มขึ้น และครูที่ผ่านการอบรมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดอบรมออนไลน์หลักสูตรการประเมินระหว่างเรียนในด้านเนื้อหาของหลักสูตร การออกแบบหลักสูตร สื่อประกอบการอบรม และความคิดเห็นที่มีต่อการประเมินตนเองภายหลังจากการเข้ารับอบรม อยู่ในระดับสูงมาก (𝑥̅ = 3.79, S.D. = 0.42)</p>
2024-10-03T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/271994
การยกระดับทักษะการคิดวิเคราะห์ ด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ที่เน้นการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมตอนปลาย
2024-07-23T11:05:56+07:00
อรรถพล เฟื่องวงษ์
attaphonfw@gmail.com
ฉัตรมงคล สีประสงค์
chatmongkol.s@rbru.ac.th
<p>งานวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังเรียนแบบรายชั้นเรียน รายบุคคลและรายเนื้อหาโดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะความรู้ ที่เน้นการคิดวิเคราะห์และ 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะความรู้ (5E) ที่เน้นการคิดวิเคราะห์หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจันทบุรี ตราด ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในงานวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ที่เน้นการคิดวิเคราะห์เรื่อง การควบคุมการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพืช แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที <br />t-test แบบ Dependent sample และการทดสอบค่าที t-test แบบ One sample และการเทียบเกณฑ์ร้อยละ 70 ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และผู้เรียนมีคะแนนการคิดวิเคราะห์หลังเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 84.13 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด และ 2) ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 70 ผู้เรียนส่วนใหญ่มีทักษะการคอดวิเคราะห์ด้านความสัมพันธ์มากที่สุด รองลงมาคือด้านความสำคัญ และด้านหลักการ</p>
2024-08-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/273858
การศึกษาพฤติกรรมและความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning)
2024-07-25T14:25:15+07:00
อัปสร อินทิแสง
upsorn.i@ubu.ac.th
สมปอง เวฬุวราธร
sompong.v@ubu.ac.th
ชาญชัย ศุภอรรถกร
chanchai.s@ubu.ac.th
วรยุทธ วงศ์นิล
worayoot.w@ubu.ac.th
ธวัชชัย สลางสิงห์
tawatchai.s@ubu.ac.th
พิมลสินี อุดมพันธ์
phimonsinee.u@ubu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมและสำรวจความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมการเรียนกาสอนในรูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก กรณีศึกษา รายวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิตยุคดิจิทัล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิตยุคดิจิทัล การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้เครื่องมือในการเก็บรวบรวม คือแบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นด้วยวิธี วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เท่ากับ 0.96 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิตยุคดิจิทัล ภาคเรียนที่ 2/2566 จำนวน 255 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-Test และ F-Test ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คณะที่สังกัด คือ คณะบริหารศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ และ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่าผู้เรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่า คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ ผลประเมินของนักศึกษา ในด้านที่ 1 การศึกษาพฤติกรรม อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.30 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.48 อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่ 2 ความพึงพอใจของนักศึกษา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.47 อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านที่ 3 ความพึงพอใจเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพห้องเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.17 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.53 อยู่ในระดับมาก 3) ความแตกต่างของเพศและคณะที่นักศึกษาสังกัด พบว่า เพศ ที่แตกต่างกัน มีผลต่อความความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมและความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เพศที่แตกต่างกัน ไม่มีผลต่อความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพห้องเรียนต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และ คณะที่นักศึกษาสังกัดที่แตกต่างกัน มีผลต่อความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมและความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้เชิงรุก อย่างมีนัยสำคัญที่ .05 ดังนั้นจากผลการวิจัยนี้ ทำให้มหาวิทยาลัยได้พัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนและเป็นการตอบสนองต่อนโยบายด้านการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และสามารถพัฒนาตนเอง และส่งผลให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p>
2024-10-07T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/272046
การหาอัตราเร็วของเสียงในอากาศด้วยเครื่องดนตรีขลุ่ยและโหวดสำหรับผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
2024-06-25T14:18:22+07:00
ทรรศนาภรณ์ วงค์คำจันทร์
wongnaporn@gmail.com
กัญจน์ชญา หงส์เลิศคงสกุล
kanchaya@go.buu.ac.th
<p>การทดลองหาอัตราเร็วเสียงในอากาศเป็นการทดลองหนึ่งในวิชาฟิสิกส์ที่มีทั้งทฤษฎีและการคำนวณ การเรียนการสอนแบบทฤษฎีเพียงอย่างเดียวอาจทำให้ผู้เรียนไม่เข้าใจและเกิดความเบื่อหน่ายได้ หากปรับการสอนให้มีการนำอุปกรณ์สมัยใหม่ หรือเครื่องดนตรีมาใช้จะทำให้ผู้เรียนสนใจและสนุกกับการเรียนมากขึ้น ดังนั้นการวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างชุดการทดลองหาอัตราเร็วของเสียงในอากาศจากขลุ่ยและโหวด และใช้สมาร์ทโฟนวัดความถี่เสียงที่ออกมาตามตัวโน๊ตที่เป่า ขลุ่ยจะเป็นตัวอย่างของการสั่นพ้องในท่อปลายเปิดและโหวดจะเป็นตัวอย่างของการสั่นพ้องในท่อปลายปิด ในการทดลองความสัมพันธ์ระหว่างความยาวของท่อสั่นพ้อง (L) กับความถี่เสียง (f) จะนำไปใช้ในการสร้างกราฟและคำนวณหาอัตราเร็วของเสียงในอากาศ ในการวิเคราะห์จะนำค่าอัตราเร็วของเสียงในอากาศที่ได้จากการทดลองมาเปรียบเทียบกับค่าที่ได้จากทางทฤษฎี ผลการทดลองพบว่าอัตราเร็วเสียงในอากาศจากเครื่องดนตรีขลุ่ยและโหวด มีค่าเท่ากับ 345.38 m/s และ 348.03 m/s ตามลำดับ เมื่อนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าอัตราเร็วของเสียงตามทฤษฎี ซึ่งเท่ากับ 347.26 m/s จะพบว่ามีความคลาดเคลื่อนร้อยละ 0.54 และ 0.22 ตามลำดับ นั่นแสดงว่าขลุ่ยและโหวดสามารถนำมาประยุกต์ใช้สำหรับการเรียนการสอนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้</p>
2024-08-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/273888
การพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยา เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
2024-08-02T10:38:50+07:00
พลากร เนียมจะโปะ
palakorn@rajsima.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยาก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยาหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานกับเกณฑ์ร้อยละ 80 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดย ใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ dependent t-test ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ตามขั้นตอนของโพลยาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2024-09-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/270117
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด
2024-04-25T11:13:04+07:00
อารียา ศรีจันดี
areeya.sr@ksu.ac.th
ปวีณา ขันธ์ศิลา
paweena.kh@ksu.ac.th
ประภาพร หนองหารพิทักษ์
prapaporn.no@ksu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิดเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่ต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทำวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเขาวงพิทยาคาร อำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 32 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง เลขยกกำลัง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิดสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ SSCS ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.31 ซึ่งอยู่ในระดับมาก</p>
2024-06-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/275031
การพัฒนาความรู้ในการสอนจำเพาะเนื้อหาโดยใช้เทคโนโลยีของนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ผ่านโมดูลการเรียนรู้เพื่องานวิชาชีพผสานร่วมเทคโนโลยีที่เน้นการเข้าใจใน ธรรมชาติวิทยาศาสตร์สืบเสาะ
2024-09-05T17:37:11+07:00
วัชราภรณ์ เขาเขจร
wacharaporn.kh@kkumail.com
นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์
niwsri@kku.ac.th
<p>การบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลในบริบททางการศึกษาในปัจจุบันมีบทบาทสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษาของประเทศ โดยเฉพาะบริบทการจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์ที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วนหนึ่งตามสภาวะคุณภาพของการพัฒนาทุนมนุษย์ปัจจุบันของสังคมไทย งานวิจัยนี้มุ่งคิดค้นแนวปฏิบัติการจัดการศึกษาแบบโมดูลจำเพาะที่เน้นการพัฒนาความรู้ในการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมการเข้าใจธรรมชาติของกระบวนการวิทยาศาสตร์สืบเสาะสำหรับผู้เรียนยุคใหม่ของนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ โดยกลุ่มผู้เข้าร่วมการวิจัยเป็นนักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์ชั้นปีที่ 3 จำนวน 50 คน ที่ได้รับโมดูลการเรียนรู้ดังกล่าวเป็นระยะเวลา 10 ชั่วโมง โดยมีการทดสอบความรู้ในการสอนจำเพาะเนื้อหาโดยใช้เทคโนโลยี (TPACK) ทั้งก่อนและหลังการได้รับโมดูลการเรียนรู้โดยใช้แบบทดสอบอัตนัย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงบรรยายและเชิงอ้างอิง ผลการวิจัยพบว่าคะแนน TPACK ของนักศึกษาหลังได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านโมดูลนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งข้อค้นพบดังกล่าวบ่งชี้ได้ถึงผลกระทบของโมดูลการเรียนรู้สำหรับกลุ่มนักศึกษาดังกล่าว ดังนั้นแล้ว ผลของการวิจัยนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลกับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในหลักสูตรการเตรียมครูเพื่อการพัฒนา TPACK ของครูวิทยาศาสตร์ให้ดีขึ้นได้ ซึ่งการออกแบบและพัฒนาโมดูลการเรียนรู้ธรรมชาติวิทยาศาสตร์สืบเสาะบนพื้นฐานของกรอบแนวคิด TPACK ในงานการสอนวิทยาศาสตร์นี้สามารถช่วยให้นักศึกษาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์มีการพัฒนาองค์ความรู้ที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการจัดการศึกษาโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาบูรณาการร่วม เพื่อการยกระดับคุณภาพการเตรียมความพร้อมให้กับว่าที่ครูวิทยาศาสตร์ให้ได้มีองค์ความรู้สำคัญในการปฏิบัติงานการสอนในยุคดิจิทัลได้อย่างมีคุณภาพ</p>
2024-10-16T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/274988
ผลการจัดการเรียนรู้แบบเปิดร่วมกับแนวคิด Concrete-Pictorial-Abstract (CPA) ที่มีต่อความรู้สึกเชิงจำนวนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทางคณิตศาสตร์ เรื่อง การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2024-10-08T10:05:09+07:00
ณัฐพล หงษ์ทอง
natthaphon.ho@ksu.ac.th
ธีรโชติ โลกธาตุ
Natthaphon.ho@ksu.ac.th
ณรงศักดิ์ รอบคอบ
Natthaphon.ho@ksu.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรู้สึกเชิงจำนวน เรื่อง การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบเปิดร่วมกับแนวคิด Concrete-Pictorial-Abstract (CPA) 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบเปิดร่วมกับแนวคิด Concrete-Pictorial-Abstract (CPA) และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกเชิงจำนวนกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านบึงกาฬ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 24 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความรู้สึกเชิงจำนวน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน สถิติทดสอบที และการหาสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความรู้สึกเชิงจำนวน เรื่อง การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ความรู้สึกเชิงจำนวนมีความสัมพันธ์ทางบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง การลบ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = 0.946)</p>
2024-10-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/274187
การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถการแก้ปัญหา เรื่อง รูปสามเหลี่ยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2024-08-05T11:49:41+07:00
สุวนันท์ เชี่ยวดี
65010285005@msu.ac.th
มะลิวัลย์ ภัทรชาลีกุล
maliwan.t@msu.ac.th
นิภาพร ชุติมันต์
nipaporn.c@msu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง รูปสามเหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง รูปสามเหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการแก้ปัญหา ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหา เรื่อง รูปสามเหลี่ยม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 6 โรงเรียนบ้านโชค อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2566 จำนวน 17 คน ที่ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่มเครื่องมือที่ใชในการวิจัยได้แก่ (1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สถิติที่ใชวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐาน โดยใช Hotelling’s T<sup>2 </sup> ผลการวิจัย พบว่า (1) กิจกรรมการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ มีประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 86.71/80.00 (2) ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ร่วมกับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เท่ากับ 0.6440 แสดงว่านักเรียนมีคะแนนเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.40 (3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ที่ระดับนัยสำคัญ .05 และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ที่ระดับนัยสำคัญ .05</p>
2024-10-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/272316
ระบบพยากรณ์การสำเร็จการศึกษาของผู้เรียนด้วยเทคนิคป่าสุ่ม
2024-06-25T14:09:36+07:00
วิชิต สมบัติ
wichit.s@ubu.ac.th
ชยาพร แก่นสาร์
chayaporn.k@ubu.ac.th
สุภาวดี หิรัญพงศ์สิน
supawadee.h@ubu.ac.th
สิรินญา เบ้าคำ
sirinya.ba.62@ubu.ac.th
<p>ญหาผลการเรียนที่อยู่ในระดับค่อนข้างน้อยและการตกออกเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราการคงอยู่ของนักศึกษาลดลง ทำให้ส่งผลกระทบในหลายด้าน เช่น สูญเสียเวลา ค่าใช้จ่าย และโอกาสในการได้งาน การเตรียมความพร้อมและการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและสร้างแบบจำลองการพยากรณ์ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักศึกษา 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาการข้อมูลและนวัตกรรมซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เคมี และจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ด้วยเทคนิคป่าสุ่ม และ 2) พัฒนาระบบต้นแบบในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานแบบจำลองและสรุปผลด้วยจังโก้เฟรมเวิร์กและจัดเก็บข้อมูลในฐานข้อมูลโพสต์เกรสคิวเอล ชุดข้อมูลที่ใช้ในการสร้างแบบจำลองเป็นผลการเรียนจากทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในอดีตของนักศึกษา 4 สาขาวิชา คณะวิทยาศาสตร์ ในปีการศึกษา 2560-2564 จำนวน 1,336 คน โดยพิจารณาข้อมูล 11 ปัจจัย ได้แก่ สาขาวิชาการศึกษา เกรดเฉลี่ยสะสมปีแรกในมหาวิทยาลัย ผลการเรียนใน 8 กลุ่มสาระหลัก ได้แก่ กลุ่มวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ และเกรดเฉลี่ยในโรงเรียน ผลการวิจัยแบบจำลองต้นแบบของสาขาวิชา วิทยาการข้อมูลและนวัตกรรมซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เคมี และจุลชีววิทยา สามารถพยากรณ์ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยมีค่า F1-measure เท่ากับ 88.02% 86.18% 84.04% และ 85.18% ตามลำดับ ดังนั้นการนำระบบที่พัฒนาขึ้นนี้ไปใช้จะมีประโยชน์ต่อผู้เรียน ผู้สอนในสาขาวิชา และสถาบันการศึกษา เพื่อใช้ในการวางแผนและการจัดการสอนให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p>
2024-08-01T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/270972
การแก้ปัญหาถุงเป้หลายมิติด้วยขั้นตอนวิธีละโมบแบบปรับปรุง
2024-04-24T18:50:36+07:00
สุจารี ศรีสะอาด
ratee.b@ubu.ac.th
รตี โบจรัส
ratee.b@ubu.ac.th
<p>ปัญหาถุงเป้เป็นปัญหาการหาค่าเหมาะที่สุดเชิงการจัด กล่าวคือ ต้องการเลือกของใส่ถุงเป้โดยเลือกของใส่ถุงให้มีมูลค่ารวมสูงสุดแต่ไม่เกินความจุที่กำหนด ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของปัญหากำหนดการเชิงจำนวนเต็ม งานวิจัยนี้ศึกษาปัญหาถุงเป้หลายมิติที่มีหลายเงื่อนไขและมีวิธีแก้ปัญหาซับซ้อนมากขึ้น โดยปรับปรุงการเรียงลำดับการเลือกของใส่ถุงเป้จากวิธีละโมบและนำผลเฉลยที่ได้ตรวจสอบกับผลเฉลยจากการใช้ฟังก์ชัน solver ในโปรแกรมสำเร็จรูปไมโครซอฟท์เอกซ์เซล จากการศึกษาปัญหาแบบ 0-1 และปัญหาแบบจำนวนเต็มแท้ทั้งหมด 49 ตัวอย่าง พบว่าการเรียงลำดับการเลือกของใส่ถุงเป้โดยปรับปรุงค่า benefit (อัตราส่วนกำไรต่อน้ำหนักสิ่งของ) ให้ผลเฉลยดีกว่าการใช้ค่า benefit แบบเดิม ทั้งนี้โดยพิจารณาจากค่าเฉลี่ยของร้อยละความผิดพลาดสัมบูรณ์จากจำนวนตัวอย่างทั้งหมด</p>
2024-06-20T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/273558
ตัวแทนอินทิกรัลของจำนวนเพลล์และเพลล์-ลูคัส
2024-07-04T07:41:20+07:00
อัจฉริยา นิลสระคู
achariya.n@ubru.ac.th
<p>ในบความนี้ ได้นำเสนอตัวแทนอินทิกรัลของจำนวนเพลล์ และเพลล์-ลูคัส โดยใช้สูตรไบเนตสำหรับจำนวนเพลล์และเพลล์-ลูคัสในการสร้างเอกลักษณ์บางประการและใช้แคลคูลัสอินทิกรัลพื้นฐานในการพิสูจน์ </p>
2024-09-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/273647
การเพิ่มความปลอดภัยให้ฐานข้อมูล: วิธีการของ One Time Pad
2024-07-29T21:36:09+07:00
อลัน จีน
alain.j@ubu.ac.th
ทศพร อเลิร์ป
tossaporn.c@ubu.ac.th
<p>การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนซึ่งถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลถือเป็นความท้าทายที่สำคัญที่องค์กรในหลากหลายอุตสาหกรรมต้องเผชิญ ถ้าฐานข้อมูลมีการรักษาความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ จะนำไปสู่การละเมิดข้อมูลหรือการรั่วไหลของข้อมูลที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวโดยเฉพาะข้อมูลสำคัญที่เป็นความลับ งานวิจัยนี้มุ่งเน้นไปที่ความสำคัญของมาตราการรักษาความปลอดภัยบนฐานข้อมูล และบทบาทของการใช้เครื่องมือกิดคริปโทในการรักษาข้อมูลให้เป็นความลับ กิดคริปโทเป็นแอปพลิเคชันแบบสแตนอโลนที่สามารถทำการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้กุญแจส่วนตัว กุญแจสาธารณะ และกุญแจร่วม ก่อนหน้านี้กิดคริปโทจะทำการเก็บกุญแจที่ใช้ในการเข้ารหัสและรายชื่อผู้ติดต่อกันลงในฐานข้อมูลมองโกลดีบีโดยตรง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากผู้โจมตีระบบสามารถเข้าถึงรหัสผ่านได้ งานวิจัยนี้ได้นำเสนอวิธีการใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากการนำวิธีการเข้ารหัสแบบวันไทม์แพด (โอทีพี) เข้ามาร่วม เพื่อยกระดับความปลอดภัยให้กับการใช้งานกิดคริปโท การใช้โอทีพีทำให้ข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อ กุญแจส่วนตัว และกุญแจลับ มีการเข้ารหัสก่อนนำไปจัดเก็บลงฐานข้อมูล ทำให้ข้อมูลไม่สามารถเข้าใจได้หากไม่มีกุญแจที่ใช้ในการถอดรหัสที่ถูกต้อง แม้ว่าจะมีการเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นโดยผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม แอปพลิเคชันกิดคริปโทที่ได้รับการปรับปรุงนี้สามารถรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล เก็บข้อมูลไว้เป็นความลับและรักษาความถูกต้องของข้อมูลเอาไว้ โดยสามารถปกป้องข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนในฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการทดสอบการทำงานของกิดคริปโท ผลการทดสอบยืนยันถึงความทนทานต่อการพยายามโจมตี สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นตัวเลือกในการนำไปใช้งานได้จริงและมีความคุ้มค่าในการนำไปรักษาความปลอดภัยให้กับฐานข้อมูล</p>
2024-09-08T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/272137
การเข้ารหัสและถอดรหัสโดยการใช้เมทริกซ์เพลล์และเพลล์ที่ปรับปรุงแล้ว
2024-05-07T18:45:56+07:00
สุพรรณี สมพงษ์
s_sompong@snru.ac.th
พงษ์พันธ์ มุขวะชิ
phongphan_math@snru.ac.th
สอาด ม่วงจันทร์
msaat@snru.ac.th
จิรวัฒน์ กันทะโล
jirawat@snru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้ คณะผู้วิจัยได้ศึกษาเมทริกซ์เพลล์และเพลล์ที่ปรับปรุงเเล้วที่สมาชิกในเมทริกซ์เกี่ยวข้องกับลำดับเพลล์และลำดับเพลล์ที่ปรับปรุงแล้ว นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยได้นำเมทริกซ์ดังกล่าวมาใช้ในการนำเสนอขั้นตอนวิธีการใหม่สำหรับการเข้ารหัสซึ่งแปลงข้อความธรรมดาเป็นข้อความที่ได้รับการเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัยในการส่งข้อมูลและการถอดรหัสเป็นขั้นตอนในการแปลรหัสข้อความที่ได้รับการเข้ารหัสเพื่อให้ได้ข้อความเดิม</p>
2024-09-04T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)