https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/issue/feed วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) 2025-11-04T16:06:09+07:00 รศ.ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร jsse.sci.ubu@gmail.com Open Journal Systems <p> วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (Journal of Science and Science Education: JSSE) หมายเลข<strong> ISSN (Print) และ 2697-410X (Online)</strong> เป็นวารสารที่จัดทำโดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่บทความวิจัย (Research articles) หรือบทความวิชาการ (Review articles) ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ศึกษา (ซึ่งหมายรวมถึงเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ศึกษา และคณิตศาสตร์ศึกษา) และด้านวิทยาศาสตร์ (โดยเน้นเป็นวิทยาศาสตร์กายภาพ ได้แก่ เคมี ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี) ทั้งบทความภาษาไทยและบทความภาษาอังกฤษ โดยลักษณะของบทความที่จะนำเสนอเพื่อขอลงตีพิมพ์ในวารสารจะต้องมีสาระที่น่าสนใจ เป็นงานที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ทันสมัย และต้องเป็นงานที่ไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน (original article) ทั้งนี้ ทุกบทความจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการจากคณะผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในแต่ละสาขาวิชา (Peer Review) จากหลากหลายสถาบัน อย่างน้อย 3 ท่าน ตั้งแต่วารสารปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เป็นต้นมา ผลงานที่ได้รับการพิจารณาลงพิมพ์ในวารสารจะต้องมีสาระน่าสนใจ เป็นงานที่เป็นองค์ความรู้ใหม่ที่ทันสมัย และต้องเป็นงานที่ไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารใดมาก่อน</p> <p> อนึ่ง <strong>วารสาร JSSE จัดอยู่ในกลุ่มสาขาวิชาสังคมศึกษา (Main subject categories: Social Sciences) สาขาวิชาสังคมศึกษา (Subject areas: Social Sciences)</strong> <strong>และอยู่ในสาขาวิชาย่อยด้านการศึกษา (Sub-subject: Education) นอกจากนี้ ยังมีสาขาวิชาย่อยเพิ่มเติมอีก 4 สาขาวิชาย่อยในกลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ (Main subject categories: Physical Sciences) ได้แก่ (1) เคมีทั่วไป (2) คอมพิวเตอร์ทั่วไป (3) คณิตศาสตร์ทั่วไป และ (4) ฟิสิกส์และดาราศาสตร์ทั่วไป</strong></p> <p> ทั้งนี้ วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษามีกำหนดเผยแพร่บทความปีละ 2 ฉบับหรือเล่ม โดยเล่มที่ 1 เป็นเผยแพร่บทความระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน และเล่มที่ 2 เผยแพร่บทความระหว่าง กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ (Publication Charge)</strong></p> <p>วารสารได้ประกาศอัตราค่าธรรมเนียมการพิจารณาบทความ (Article Processing Charge) บทความละ 1,500 บาท โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้เฉพาะบทความต้นฉบับที่ผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากบรรณาธิการวารสาร ก่อนที่จะส่งบทความให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมจากค่าธรรมเนียมดังกล่าว ทั้งนี้ มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการดำเนินการบทความตั้งแต่ วารสารปีที่ 6 พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป</p> <p><strong>ทั้งนี้ การชำระค่าธรรมเนียมการพิจารณาบทความ ไม่ได้เป็นการยืนยันว่าบทความดังกล่าวจะได้รับการเผยแพร่ใน JSSE แต่อย่างใด ดังนั้น บทความที่จะได้รับการเผยแพร่ใน JSSE จะต้องผ่านกระบวนการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิตามปกติ</strong></p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/279812 ตัวเร่งปฏิกิริยากรดของแข็งฐานคาร์บอนสำหรับการลดปริมาณกรดไขมันอิสระ ในน้ำมันพืชใช้แล้ว 2025-07-12T08:31:25+07:00 รุ่งอรุณ พิมพ์ปรุ rpimparu@gmail.com ฐิติมา สายวงศ์สอน thitima.saiwongsorn@gmail.com จุติธรณ์ เลาหพรชัยพันธ์ ljutitorn@aru.ac.th <p>งานวิจัยนี้ได้เตรียมตัวเร่งปฏิกิริยากรดของแข็งฐานคาร์บอนจากใบอ้อยผ่านกระบวนการไฮโดรเทอร์มัล<br />คาร์บอไนเซชัน-ซัลโฟเนชันร่วมกับการใช้กรดเปอร์คลอริกและกรดฟอสฟอริก การตรวจสอบหมู่ฟังก์ชันด้วยเทคนิคฟูเรียร์ทรานสฟอร์มอินฟราเรด (FT-IR) สเปกโทรสโกปีพบลักษณะที่คล้ายคลึงกันของตัวเร่งปฏิกิริยากรดของแข็งทั้งสามชนิดซึ่งประกอบด้วยหมู่ไฮดรอกซิล (−OH) หมู่คาร์บอกซิล (−COOH) และหมู่ซัลโฟนิก (−SO<sub>3</sub>H) ที่แสดงความเป็นกรดบนตัวเร่งปฏิกิริยา กรดของแข็งที่เตรียมได้มีปริมาณกรดทั้งหมดอยู่ระหว่าง 2.26-3.71 มิลลิโมลต่อกรัม และมีปริมาณของหมู่ซัลโฟนิกอยู่ระหว่าง 0.428-0.768 มิลลิโมลต่อกรัม เมื่อนำตัวเร่งปฏิกิริยากรดของแข็งไปทดสอบการลดปริมาณกรดไขมันอิสระในน้ำมันพืชที่มีปริมาณกรดไขมันอิสระสูงซึ่งเตรียมได้จากการผสมน้ำมันปาล์มกับกรดโอเลอิกผ่านปฏิกิริยาเอสเทอริฟิเคชันกับเมทานอล พบว่าอัตราส่วนของเมทานอลต่อน้ำมันตั้งต้น อุณหภูมิ และเวลาที่ใช้ในการทำปฏิกิริยามีผลต่อการลดลงของปริมาณกรดไขมันอิสระ การเร่งปฏิกิริยาในน้ำมันพืชใช้แล้วได้รับการทดสอบโดยการปรับเปลี่ยนตัวแปรต่าง ๆ ได้แก่ อัตราส่วนของเมทานอลต่อน้ำมันตั้งต้น อุณหภูมิ เวลาการทำปฏิกิริยา ชนิดของตัวเร่งปฏิกิริยา และปริมาณตัวเร่งปฏิกิริยา พบว่าตัวเร่งปฏิกิริยาที่เตรียมโดยใช้กรดฟอสฟอริกและกรดซัลฟูริกสามารถลดปริมาณกรดไขมันอิสระในน้ำมันพืชใช้แล้วได้มากที่สุด โดยมีปริมาณกรดไขมันอิสระเหลือเพียงร้อยละ 0.95 หลังทำปฏิกิริยาเป็นเวลา 5 ชั่วโมง เมื่อใช้ตัวเร่งปฏิกิริยากรดของแข็งฐานคาร์บอน (SLPPS) ปริมาณร้อยละ 3 โดยน้ำหนักของน้ำมันตั้งต้น</p> 2025-09-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/281781 ผลเฉลยของระบบสมการเชิงอนุพันธ์ย่อยรูปแบบแน่นอนและตัวแทนของ A2 2025-09-19T13:04:33+07:00 ศราวุธ แสนการุณ sarawut.s@ubu.ac.th ศักดิ์ดา น้อยนาง sakda.n@ubu.ac.th ระตี โบจรัส ratee.b@ubu.ac.th ไพรินทร์ สุวรรณศรี puirin.s@ubu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้เกี่ยวกับการประยุกต์ของตัวแทนของ A2 ในการหาผลเฉลยของระบบสมการเชิงอนุพันธ์ย่อยรูปแบบแน่นอน ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้ตัวแทนของ A2 และตัวดำเนินการอินเตอร์ทไวนิง ผลเฉลยของระบบสมการเชิงอนุพันธ์ย่อยสามารถหาได้จากผลคูณของตัวดำเนินการที่สัมพันธ์กันกับ 1</p> 2025-11-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/279639 กำหนดการเชิงเส้นเพื่อการจัดสรรที่ดินและน้ำอย่างเหมาะสม กรณีศึกษา: เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น 2025-09-08T11:23:30+07:00 อรอุมา สมัญญา ratee.b@ubu.ac.th รตี โบจรัส ratee.b@ubu.ac.th สาวิตรี เทนโสภา ratee.b@ubu.ac.th อริศรา ฝอยทอง ratee.b@ubu.ac.th ไพรินทร์ สุวรรณศรี ratee.b@ubu.ac.th กฤษดา นารอง ratee.b@ubu.ac.th <p>งานวิจัยนี้ศึกษาการจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกพืชเพื่อให้ได้กำไรสุทธิมากสุดและการจัดสรรทรัพยากรน้ำ กรณีศึกษา : เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 - 2566 โดยใช้ตัวแบบกําหนดการเชิงเส้นและโปรแกรม LINGO ผลการวิจัยพบว่าการจัดสรรพื้นที่เพาะปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง ยางพารา และอ้อยในเขตชลประทาน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอน้ำพองและอำเภอกระนวนด้วยตัวแบบสามารถเพิ่มผลกำไรเฉลี่ยต่อปีเป็น 14.54% เมื่อเทียบกับการปลูกพืชแบบเดิมและพบว่าปริมาณน้ำจากเขื่อนที่ปล่อยในแต่ละเดือนเหมาะสมเพียงพอกับความต้องการน้ำในการเกษตรโดยไม่ทำให้เกิดความขาดแคลนของน้ำในอ่างเก็บน้ำ</p> 2025-11-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/282674 ไม่ควรมีพืชใดใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง: ทบทวนการสอนวิทยาศาสตร์เพื่อโลกในวันพรุ่งนี้ ด้วยการปลูกฝังความตระหนักรู้เรื่องพืช 2025-08-09T12:50:11+07:00 วิชญาดา นวนิจบำรุง wnb.2803@gmail.com สมรัก อินทวิมลศรี wnb.2803@gmail.com <p><strong>ชีวิตบนโลกจะเป็นเช่นไร หากปราศจากพืช</strong><strong>?</strong> พืชเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญของระบบนิเวศ และมีบทบาทอย่างยิ่งต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก พืชทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตในห่วงโซ่อาหาร เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนที่จำเป็นต่อการหายใจ ตลอดจนเป็นกลไกทางธรรมชาติที่ช่วยบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ แม้จะมีบทบาทสำคัญเช่นนี้ พืชกลับมักถูกมองข้าม หรืออาจจะไม่ได้รับความสนใจอย่างเพียงพอทั้งในมุมมองของสาธารณชน และทางการศึกษา นำไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ภาวะตาบอดพืช” หรือ “การขาดความตระหนักรู้เรื่องพืช” ซึ่งกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในแวดวงวิจัยและการศึกษาระดับนานาชาติในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนถูกมองว่าเป็นทั้งสาเหตุหนึ่งของปัญหานี้ และเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว บทความวิชาการฉบับนี้จึงมุ่งเน้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะตาบอดพืช และเน้นย้ำความสำคัญของการปลูกฝังความตระหนักรู้เรื่องพืชให้แก่นักเรียนไทยผ่านบริบทของการจัด<br />การเรียนรู้ในห้องเรียน โดยบทความวิชาการนี้จะนำเสนอเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่ความหมาย และความเป็นมาของแนวคิด ความสำคัญ ตลอดจนแนวทางการศึกษาและพัฒนา พร้อมทั้งยกตัวอย่างกิจกรรมการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ที่มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนเห็นคุณค่าและบทบาทของพืชในชีวิตประจำวันอย่างลึกซึ้งมากขึ้น บทความวิชาการนี้มุ่งหวังที่จะเป็นแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์สำหรับครู อาจารย์ และนักการศึกษาไทยที่ต้องการออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ช่วยให้นักเรียนไทยมีโอกาสได้พัฒนาความตระหนักรู้เรื่องพืช เชื่อมโยงตนเองกับโลกของพืชที่มีความสำคัญ แต่มักจะถูกมองข้าม และสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับธรรมชาติได้</p> 2025-09-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/283650 การสร้างกล่องสุญญากาศความดันต่ำจากกล่องอาหาร : การทดลองกฎของแก๊ส ด้วยเซนเซอร์ไร้สาย 2025-11-04T16:06:09+07:00 จิตรา เกตุแก้ว chittra.ked@kmutt.ac.th สราวุธ คงทอง sarawut.kong@mail.kmutt.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาชุดการทดลองกฎของแก๊สที่ใช้งานง่าย เพื่อใช้ในการศึกษากฏของแก๊สและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรและความดันภายในภาชนะสุญญกาศที่ได้จากกล่องอาหาร สำหรับชุดทดลองต้นแบบประกอบด้วย ภาชนะสุญญากาศสำหรับใส่อาหาร ผลิตด้วยวัสดุโพลีโพรพิลีน ขนาดความจุ 1 ลิตร มีฝาล็อก 4 ด้าน ดัดแปลงให้ต่อท่ออากาศเข้ากับปั๊มลม (air pump) ขนาดเล็ก ซึ่งทำหน้าที่เป็นปั๊มสุญญากาศ (vacuum pump) และเครื่องวัดความดันแบบไร้สาย ซึ่งสามารถวัดความดันในช่วง 300 – 1100 hPa ซึ่งชุดทดลองที่พัฒนาขึ้น แสดงให้เห็นว่าภาชนะสุญญากาศที่เลือกใช้สามารถคงรูปได้โดยไม่เกิดการเสียรูปภายใต้สภาวะความดันต่ำ และสามารถรักษาความดันที่ลดลงไว้ได้ตลอดระยะเวลาการทดลอง และขณะเปิดปั๊มลมเป็นเวลา 30 s สามารถลดความดันภายในภาชนะลงมาถึงประมาณ 474 hPa โดยภาชนะยังไม่มีการเสียรูปร่างไป และจากการทดลองวางลูกโป่งไว้ภายในภาชนะสุญากาศ เพื่อศึกษาปริมาตรที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกโป่ง พบว่า เมื่อความดันภายในภาชนะลดลง ลูกโป่งจะขยายใหญ่ขึ้น เมื่อใช้โปรแกรม Tracker วัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของลูกโป่ง และนำไปคำนวณหาปริมาตรของลูกโป่ง และค่าความดันที่วัดได้จากเซ็นเซอร์ไร้สายมีค่าความคลาดเคลื่อน 6.06% เมื่อเทียบกับค่าที่คำนวณได้ ผลการทดลองนี้ แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างปริมาตรของลูกโป่งและส่วนกลับของความดัน (1/P) มีแนวโน้มเป็นเส้นตรง ในช่วงความดัน 103.15 – 474.90 hPa ซึ่งยืนยันความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างปริมาตรและความดัน โดยมีความสอดคล้องกับกฎของบอยล์ การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าชุดการทดลองที่สร้างขึ้น สามารถศึกษาใช้ศึกษากฎของก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทที่การเข้าถึงอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการเฉพาะทางมีจำกัด</p> 2025-11-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/280067 การศึกษาความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการพัฒนา หลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2025-06-06T14:59:56+07:00 ตวงทอง บุญมาชัย tuangthong.b@rumail.ru.ac.th ปิยธิดา สุภา piyatida.s@rumail.ru.ac.th อัมพร วัจนะ umporn.w@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการพัฒนาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนและสังคม โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วยแบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแบบสอบถาม โดยมีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 71 คน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นครูวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่สอนในระดับประถมศึกษาหรือมัธยมศึกษาและทำงานในหน่วยงานของรัฐ โดยมีความต้องการหลักสูตรที่เน้นการเชื่อมโยงเนื้อหาวิทยาศาสตร์กับชีวิตประจำวัน การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา รวมถึงส่งเสริมการมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ เช่น ความรับผิดชอบต่อสังคม และความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ผลการสัมภาษณ์ยังสอดคล้องกับผลสำรวจจากแบบสอบถาม โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มให้ความสำคัญกับความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับครูวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะความรู้ในเนื้อหาวิทยาศาสตร์ ทักษะในการใช้เทคโนโลยี การออกแบบการเรียนรู้ นอกจากนี้ ยังต้องการให้บัณฑิตมีคุณลักษณะของความเป็นครูยุคใหม่ ที่มีความกระตือรือร้นในการปรับตัวและเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยสรุปแล้ว ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่หลากหลายและครอบคลุมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการพัฒนาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการนำไปปรับปรุงและการพัฒนาหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนและสังคมได้อย่างแท้จริง</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/278832 การสร้างเสริมสมรรถนะการอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เรื่อง พลังงานทดแทน ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้การเรียนรู้วิทยาศาสตร์สืบเสาะ ผ่านบทปฏิบัติการทางไกล 2025-05-28T11:52:11+07:00 วันชัย สินโพธิ์ wanchai_sinpho@kkumail.com ภัทรพร ผลดี phatpon@kku.ac.th นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์ niwsri@kku.ac.th <p>การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาความสามารถของนักเรียนในการประยุกต์<br />ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การให้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ และการแก้ปัญหาในสถานการณ์จริง งานวิจัยนี้เป็นการศึกษา<br />การพัฒนาสมรรถนะการอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 25 คน ที่ได้รับ<br />การเรียนรู้วิทยาศาสตร์สืบเสาะผ่านบทปฏิบัติการทางไกล เรื่อง พลังงานทดแทน โดยการศึกษานี้ใช้รูปแบบการวิจัย<br />แบบยังไม่เข้าขั้นการทดลองและดำเนินการที่โรงเรียนมัธยมศึกษาของรัฐแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />ของประเทศไทย เพื่อศึกษาความสามารถของนักเรียนในการสร้างคำกล่าวอ้าง การใช้ประจักษ์พยาน และการให้เหตุผล<br />ทั้งก่อนและหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้แบบดังกล่าว วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ Paired-Samples t-test เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและ<br />หลังการเรียน ผลการศึกษาพบว่า สมรรถนะการอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ของนักเรียนพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ<br />ทางสถิติ .05 โดยมีคะแนนที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในองค์ประกอบด้านคำกล่าวอ้าง ประจักษ์พยาน และการให้เหตุผล <br />ผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้สนับสนุนว่าการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สืบเสาะผ่านปฏิบัติการทางไกลสามารถส่งเสริมความสามารถในการสร้างคำอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นแล้วการศึกษานี้ได้ชี้ให้เห็นว่า<br />การเรียนรู้วิทยาศาสตร์สืบเสาะผ่านบทปฏิบัติการทางไกลสามารถพัฒนาสมรรถนะการอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์<br />ของนักเรียนโดยเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์และกระตุ้นการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้ ดังนั้น<br />จึงควรมีการวิจัยในอนาคตเพื่อศึกษาผลกระทบระยะยาวของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์สืบเสาะผ่านบทปฏิบัติการทางไกลและเปรียบเทียบแนวทางการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวในเงื่อนไขที่แตกต่างกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาสมรรถนะ<br />การอธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ของนักเรียนในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ระดับโรงเรียน</p> 2025-08-13T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/281321 การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง เรื่อง ความน่าจะเป็น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2025-06-18T16:16:07+07:00 วรันธร ทองหม่อม waranthon.wrt@gmail.com จักรกฤษ กลิ่นเอี่ยม waranthon.wrt@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการศึกษาคณิตศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตจริง (Realistic Mathematics Education: RME) ที่พัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเพื่อศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด RME ที่มีต่อความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เรื่อง ความน่าจะเป็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 30 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จากโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ประกอบด้วย 3 วงจรปฏิบัติการ รวมเวลา 10 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ 3 แผน ใบกิจกรรม และแบบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ข้อมูลที่ได้ถูกวิเคราะห์เชิงเนื้อหา โดยพิจารณาตามองค์ประกอบของความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ได้แก่ การระบุประเด็น การพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล การระบุข้อตกลงเบื้องต้น การลงข้อสรุป และการตัดสินใจ ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด RME ที่พัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ประเด็นสำคัญที่ควรให้ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ การเลือกบริบทที่สอดคล้องกับชีวิตจริงของผู้เรียน การส่งเสริมการอภิปรายกลุ่มย่อย การใช้คำถามกระตุ้นเชิงโครงสร้าง การเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เปรียบเทียบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการทบทวนความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวข้อง 2) นักเรียนมีพัฒนาการในความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณทั้ง 5 ด้าน โดยมีพัฒนาการมากที่สุดในด้านการลงข้อสรุป รองลงมาคือ การระบุประเด็น การพิจารณาความน่าเชื่อถือของข้อมูล การระบุข้อตกลงเบื้องต้น และการตัดสินใจ ตามลำดับ</p> 2025-09-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/281966 การจุดประกายสมรรถนะดิจิทัลคณิตศาสตร์ของนักศึกษาครูคณิตศาสตร์ผ่านกิจกรรมการสร้าง GIS ด้วยสมการถดถอยเชิงเส้นและแผนที่เชิงสถิติบน Google Colab 2025-08-21T17:12:42+07:00 ชยาพร แก่นสาร์ chayaporn.k@ubu.ac.th สุพจน์ สีบุตร supot.s@ubu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลการประเมินการปฏิบัติงานและการรับรู้สมรรถนะดิจิทัลคณิตศาสตร์ (Mathematical Digital Competency - MDC) ของนักศึกษาครูคณิตศาสตร์ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ฐานระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ที่ออกแบบมาเพื่อการพยากรณ์ผลผลิตทางการเกษตร ดำเนินการบนแพลตฟอร์ม Google Colab โดยใช้ภาษา Python และ AI (DeepSeek) โดยกิจกรรมประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่ การสร้างแบบจำลองพยากรณ์ผลผลิตมันสำปะหลังด้วย Python การใช้ AI สร้างโค้ดสำหรับพยากรณ์ผลผลิตอ้อย และการบูรณาการความรู้เพื่อสร้าง GIS สำหรับการพยากรณ์ผลผลิตข้าว กลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษาครูคณิตศาสตร์ชั้นปีสุดท้าย จำนวน 24 คน โดยใช้แบบประเมินการปฏิบัติงานและแบบสำรวจการรับรู้เป็นเครื่องมือเก็บข้อมูล ผลการวิจัยพบว่าผู้เรียนสามารถดึงสมรรถนะดิจิทัลคณิตศาสตร์มาใช้ในการดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ ผ่านการผสมผสานการเขียนโปรแกรมเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ และสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ร่วมกับเครื่องมือดิจิทัลเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม GIS ได้สำเร็จ จากการสะท้อนผลการเรียนรู้ยังพบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจในคณิตศาสตร์ การใช้เทคโนโลยี และการให้เหตุผลเชิงวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สรุปได้ว่า การเรียนรู้ผ่านการสร้าง GIS ด้วย Python และ AI ถือเป็นกลยุทธ์การสอนที่ทรงพลังในการจุดประกายสมรรถนะดิจิทัลคณิตศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21</p> 2025-09-15T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/282103 ผลการประเมินความก้าวหน้าทางการเรียนรู้และการรับรู้ความสามารถของตนเองในการนำเสนอข้อมูลเชิงสถิติ ผ่านการประยุกต์ใช้ GPT ร่วมกับ Google Colab 2025-08-15T14:51:24+07:00 คณิศา โชติจันทึก kanisa.c@ubu.ac.th สุพจน์ สีบุตร supot.s@ubu.ac.th <p>ในยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ทักษะการนำเสนอข้อมูลเชิงสถิติกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของการคิดวิเคราะห์และการสื่อสารเชิงข้อมูล โดยเฉพาะสำหรับนักศึกษาครูคณิตศาสตร์ที่ต้องเตรียมพร้อมสู่บทบาทผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ผู้เรียน อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของซอฟต์แวร์สถิติมักเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการพัฒนาสมรรถนะด้านนี้ งานวิจัยนี้จึงมุ่งออกแบบและประเมินกิจกรรมการเรียนรู้ที่บูรณาการ GPT กับ Google Colab เพื่อช่วยลดอุปสรรคดังกล่าว กลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษาครูคณิตศาสตร์ชั้นปีที่ 3 จำนวน 28 คน ซึ่งเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ 5 กิจกรรม โดยประเมินผลผ่านการทดสอบก่อน–หลังเรียน และการสำรวจการรับรู้ความสามารถของตนเอง ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย n-gain = 0.63) และมีการรับรู้ความสามารถของตนเองในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย = 3.65) สะท้อนถึงศักยภาพของการใช้ GPT และ Google Colab ในการลดกำแพงทางเทคนิค เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมุ่งพัฒนาความเข้าใจเชิงเนื้อหา และเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นครูในยุคดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้มุ่งเน้นการประเมินทั้งความก้าวหน้าทางการเรียนรู้ (n-gain) และการรับรู้ความสามารถของตนเอง ซึ่งเป็นแกนกลางของผลการวิจัย</p> 2025-09-19T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/281916 การพัฒนาทักษะการจัดการข้อมูลและการแปลความหมายทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในรายวิชาเคมีผ่านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 5D โดยชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2025-09-03T10:36:11+07:00 พรพรรณ สกนธวัฒน์ suwat.p@nrru.ac.th สุวัฒน์ ผาบจันดา suwat.p@nrru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการจัดการข้อมูลและการแปลความหมายทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รายวิชาเคมี ผ่านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 5D (การสืบค้นข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การสังเคราะห์ข้อมูล การสะท้อนข้อมูล และการประยุกต์ใช้ข้อมูล) โดยใช้กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ วิจัยนี้ใช้แบบแผนกลุ่มเดียวทดสอบหลัง กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 5D 17 แผน ใบงาน และแบบทดสอบหลังเรียนด้านทักษะการจัดการข้อมูลและการแปลความหมายทางวิทยาศาสตร์ ข้อมูลคะแนนใบงานและตั๋วออกวิเคราะห์โดยการคำนวณค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีทักษะการจัดการข้อมูลงานกลุ่มและงานรายบุคคลมีค่าเฉลี่ยคะแนนร้อยละ 95.49 และ 95.29 ของคะแนนเต็ม ขณะที่ทักษะการแปลความหมายทางวิทยาศาสตร์มีค่าเฉลี่ยคะแนนร้อยละ 94.52 และ 90.53 ของคะแนนเต็ม ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก การเรียนรู้ผ่านกระบวนการเชิงรุก 5D ใน 5 ขั้นตอนมีส่วนส่งเสริมกระบวนการคิดวิเคราะห์และการใช้เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกิจกรรมกลุ่มและการประเมินแบบมีส่วนร่วม มีส่วนช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายและสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ได้จริง</p> 2025-10-22T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/281304 การศึกษาความสามารถในการทำโครงงานคณิตศาสตร์ผ่านกิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย 2025-09-15T11:13:28+07:00 วิภา ชัยสวัสดิ์ wipa@reru.ac.th สุพรรณิการ์ ชนะนิล supannika@reru.ac.th พันธ์ทิพา จุฬากาญจน์ Phuntipa@reru.ac.th ปิยะธิดา ชนะพันธ์ parada2527@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสามารถในการทำโครงงานคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนบ้านเหล่าแขมดงกลาง จำนวน 43 คน โดยการเลือกจากจำนวนสัดส่วนของนักเรียนที่ลงทะเบียนตอบรับการเข้าร่วมกิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) กิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ 2) แบบประเมินความสามารถในการทำโครงงานคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายที่เข้าร่วมกิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการทำโครงงานคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง (<em>x̄</em> = 4.43, S.D. = 0.67) โดยมีโครงงานรวมทั้งหมดจำนวน 15 โครงงาน และ 2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมค่ายคณิตศาสตร์ อยู่ในระดับมาก (<em>x̄ </em>= 4.37, S.D. = 0.76) </p> 2025-10-22T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/282067 การส่งเสริมพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของนักเรียนหอพักระดับมัธยมศึกษาที่ส่งผลต่อการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของโรงเรียน 2025-09-03T19:31:35+07:00 กิตติคุณ เซียวสกุล kittikhuns@g.swu.ac.th สวรินทร์ นิลอุทัย sawarin@g.swu.ac.th ธรรมิก ขันทอง thammik1990@gmail.com <p>งานวิจัยนี้ได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพในกลุ่มนักเรียนหอพักระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทางอ้อมของโรงเรียน ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มนักเรียนมีการเปลี่ยนแปลงด้านความเข้าใจและทัศนคติที่ดีต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าที่จะส่งผลต่อภาวะโลกร้อนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ โดยคะแนนความเข้าใจเพิ่มจาก 11.86 เป็น 23.82 คะแนน (t = 39.89, p = .000) ทัศนคติหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนมีค่าเพิ่มขึ้นจาก 4.29 เป็น 4.46 นักเรียนมองว่าการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อนควรเริ่มต้นจากตัวเราเองโดยมีค่าเฉลี่ยขึ้นเป็น 4.60 จากก่อนหน้า 3.98 นักเรียนมีการเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานไฟฟ้า โดยลดเวลาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยจาก 4.18 เป็น 3.87 ชั่วโมงต่อวัน (t = -4.82, p = .000) พฤติกรรมที่ปรับเปลี่ยน ได้แก่ ลดเวลาชาร์จโทรศัพท์และการใช้คอมพิวเตอร์ การถอดปลั๊กและการปิดหลอดไฟในตอนกลางวัน ผลจากการเก็บข้อมูลปริมาณการใช้ไฟฟ้าของนักเรียนในหอพักเปรียบเทียบกับปีที่แล้วมีการใช้พลังงานไฟฟ้าลดลงไป 1,307 หน่วย คิดเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็น 783 kgCO<sub>2</sub> หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้พบว่าพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของนักเรียนได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมส่วนตัว สภาพแวดล้อม และการสร้างแรงจูงใจทางสังคม ดังนั้นการส่งเสริมพฤติกรรมประหยัดพลังงานควรดำเนินการควบคู่กันใน 3 ด้าน ได้แก่ การให้ความรู้ การสร้างแรงจูงใจ และการปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่พักอาศัย เพื่อปลูกฝังพฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้าของนักเรียนในอนาคต</p> 2025-11-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSE/article/view/283881 การใช้ GeoGebra Classroom ในการจัดการเรียนรู้แบบดิจิทัล: การส่งเสริมความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแปลงทางเรขาคณิต สำหรับผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 2025-10-09T11:41:18+07:00 วุฒิชัย ภูดี w.phoodee@gmail.com พรทิพย์ เข็มปัญญา Pornthip.khem2531@gmail.com ทัศนีย์ นาคำ sooktawee.nakham@gmail.com ณัฐพร เดชทะสอน mam2314@gmail.com สุทธิชัย นาคะอินทร์ Suttichai.sci@gmail.com อรรถพร วรรณทอง attaporn.w@ubru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแปลงทางเรขาคณิต ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้ GeoGebra Classroom ในการเรียนรู้แบบดิจิทัล และ (3) ศึกษาเจตคติของผู้เรียนต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว การวิจัยนี้ใช้รูปแบบการวิจัยในชั้นเรียน โดยกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 จำนวน 34 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย (1) นวัตกรรมการเรียนรู้โดยใช้ GeoGebra Classroom ในการเรียนรู้แบบดิจิทัล เรื่อง การแปลงทางเรขาคณิต จำนวน 10 นวัตกรรม จำนวน 13 ชั่วโมง (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นข้อสอบแบบปรนัยจำนวน 30 ข้อ 30 คะแนน (3) แบบประเมินความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์เป็นแบบองค์รวม (Holistic rubrics) (4) แบบการสัมภาษณ์ผู้เรียนโดยใช้คำถามปลายเปิด และ (5) แบบสอบถาม<br />เจตคติของผู้เรียน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเทียบกับเกณฑ์คุณภาพ และDependent t-test เพื่อเปรียบเทียบผลก่อนและหลังการเรียนรู้ ผลการวิจัย พบว่า (1) การใช้ GeoGebra Classroom ในการจัดการเรียนรู้แบบดิจิทัลช่วยส่งเสริมความสามารถในการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้และอธิบายแนวคิดทางเรขาคณิตได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น (2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแปลงทางเรขาคณิต ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งค่าเฉลี่ยหลังเรียนมากกว่าก่อนเรียน และ (3) ผู้เรียนมีเจตคติเชิงบวกต่อการใช้ GeoGebra Classroom ในการจัดการเรียนรู้แบบดิจิทัล โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย ( =4.13, SD= 0.61) และเจตคติเชิงลบของผู้เรียนโดยรวมอยู่ในระดับไม่เห็นด้วย ( =1.54, SD= 0.52) นอกจากนี้ ผู้เรียนยังมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นและมีทัศนคติทางบวกต่อการเรียนรู้ผ่านสื่อดิจิทัล โดยรู้สึกสนุก กล้าแสดงออกทางความคิด และเข้าใจเนื้อหาได้ลึกซึ้งมากขึ้น และการใช้ GeoGebra Classroom ยังช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้เรียนแบบเรียลไทม์ ทำให้การเรียนรู้มีความหมายและเชื่อมโยงกับชีวิตจริงได้ดียิ่งขึ้น</p> 2025-11-26T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตร์ศึกษา (JSSE)