วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;คณะสังคมศาสตร์ ได้จัดทำวารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (Journal of Social Sciences Mahamakut Buddhist University) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิชาการ ระหว่างคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย ทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนนิสิต นักศึกษาในสาขาสังคมศาสตร์&nbsp; และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีพื้นที่ในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผลงานวิจัย และอื่น ๆ รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นทางวิชาการ และการศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะเป็นประโยชน์แก่สถาบัน คณะ และสาธารณะต่อไป</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทั้งนี้ วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ผ่านการรับทราบจากสภาวิชาการ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ในการประชุมครั้งที่ 12/2560 ระเบียบวาระที่ 4 (4.4) เรื่อง ที่เสนอเพื่อทราบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2560</p> คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย th-TH วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2587-0033 THE EFFECTS OF ENGLISH FILMS ON THAI EFL LEARNERS' PRAGMATICS COMPETENCE https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/271447 <p>This research study delves into the effect of films on the pragmatic competence of Thai students learning English as a Foreign Language (EFL). The focus is specifically on refusal speech acts, which previous research has not explored extensively. Despite the widespread use of films in language instruction across various educational settings, there is a significant gap in research concerning their influence on refusal speech acts. This gap is particularly noticeable in the context of Thai EFL learners, a group that has not been the focus of many studies in this area. The objectives of this research were 1) to investigate the impact of films on the pragmatic competence of Thai EFL students, specifically in the context of refusal speech acts, and 2) to explore the effectiveness of using films as a teaching tool in enhancing students' engagement and language skills. This research employs an action research design, allowing for a more practical and participatory approach. The study participants are five students from Grade 5 at a school in Northeast Thailand. The choice of a smaller group allows for a more detailed and in-depth analysis of each student's progress and response to the teaching method. Several research instruments are used in this study to gather data, including semi-structured interviews. Observation forms for student and teacher behaviours are also used. These forms help record and evaluate the interactions, engagement levels, and general behaviours during the learning process, offering insights into the effectiveness of the teaching method and the student's progress. Post-teaching interviews are also conducted, allowing the research to capture students' reflections and thoughts after completing the teaching process. The preliminary findings of this study suggest that films can serve as rich, authentic resources for pronunciation and pragmatic instruction. The students exhibited enthusiasm and showed improved skills through film-based learning. These observations indicate that film can be a motivating and effective educational tool, facilitating an active learning environment and contributing to better student engagement. Hence, the results revealed that films are valuable, authentic resources for teaching pronunciation and pragmatic skills. The students demonstrated increased enthusiasm and improved abilities through film-based learning, suggesting that films can be a motivating and effective tool for creating an active learning environment and enhancing student engagement.</p> Korrakod Panpoom Burajt Phoodokmai Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 1 20 FACTORS INFLUENCING URBAN GOVERNMENT ACCORDING TO SOCIAL GOVERNANCE CAPACITY IN HENAN PROVINCE FROM TOE THEORY’S PERPECTIVE https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278973 <p>The objectives of this study were three-fold: (1) to analyze the key factors influencing the government's social governance capacity; (2) to analyze the impact of these factors on government governance effectiveness in individual and combined states; (3) to propose optimization paths for enhancing local government's social governance capacity from the perspectives of technology, organization, and environment. The research was a quantitative. The study selected the governance capacities of 18 municipal governments in Henan Province as research samples and utilized the results of self-made social survey questionnaires as outcome variables. Six conditional variables were identified, with data sources for these variables being the number of internet broadband access ports, the number of legal entities in scientific research and technical services, general public budget revenue, the number of employees in public management, social security, and social organizations, population density, and per capita disposable income of resident families.</p> <p>Major findings: After analyzing the sufficiency of condition configurations using FSQCA software, three path configurations were identified that explained high social governance capacity, namely "Technology-Environment Dual Drive Type," "Economic Drive Core Type," and "Technology-Environment Drive - Organizational Support Type." In terms of technology, a high level of innovation in science and technology was recognized as a core condition for two paths, highlighting the critical supporting role of technological innovation in urban government's social governance capacity. In terms of organization, sufficient "fiscal resource supply" served as a supportive condition for two paths, emphasizing the importance of providing adequate financial resources. Among environmental factors, "level of economic development" was confirmed as a core condition for all three paths, revealing its significant impact on urban government's social governance capacity. Finally, policy paths for enhancing government's social governance capacity were proposed from technological, organizational, and environmental aspects.</p> Chai Lina Kamolporn Kalyanamitra Tassanee Lakkhanapichonchat Chucheep Biadnok Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 นวัตกรรมหน้ากากอนามัยผสมสารสกัดสมุนไพรจากขิง (ZINGIBER OFFICINALE) : ประสิทธิภาพสารสกัดและความพึงพอใจนวัตกรรมของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสมุนไพร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/277790 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองและการวิจัยเชิงพรรณนา โดยการวิจัยเชิงทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดสมุนไพรขิงในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย (Inhibition zone) และการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของสมาชิกวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ บ้านท่าทางเกวียน ตำบลท่ามะไฟหวาน อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ต่อการใช้นวัตกรรมหน้ากากอนามัยด้วยการผสมสารสกัดสมุนไพรขิง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของสารสกัดสมุนไพรขิงในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย (Inhibition zone) 2 ชนิดคือ <em>Bacillus cereus</em> และ<em> Staphylococcus aureus </em>โดยใช้ส่วนเหง้าของสมุนไพรขิง (<em>Zingiber officinale</em>) โดยทดสอบที่ความเข้มข้นสารสกัดเท่ากับ 100, 200 และ 300 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ผลการทดสอบพบว่าความสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ความเข้มข้น 300 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ดีที่สุด จากนั้นนำมาพัฒนานวัตกรรมหน้ากากอนามัยผสมสารสกัดสมุนไพรจากขิง และการศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้นวัตกรรมหน้ากากอนามัยด้วยการผสมสารสกัดสมุนไพรจากขิงของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพ บ้านท่าทางเกวียน ตำบลท่ามะไฟหวาน อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ จำนวนทั้งสิ้น 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าระดับความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก (4.14 ±0.69) โดยด้านคุณสมบัตินวัตกรรมมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( 4.24 ±0.63) รองลงมา ได้แก่ ด้านการยอมรับนวัตกรรม (4.13 ±0.66) ด้านสิ่งดึงดูดใจของนวัตกรรม (4.12 ±0.72) และด้านการรับรู้ถึงประโยชน์นวัตกรรม (4.05 ±0.76) ตามลำดับ ซึ่งความยั่งยืนของการนำไปใช้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจที่แสดงถึงทัศนคติหรือการรับรู้คุณภาพที่ดีจากผู้ใช้ ดังนั้นการประเมินความพึงพอใจจึงนำมาซึ่งโอกาสพัฒนาต่อยอดหน้ากากอนามัยและการใช้ประโยชน์สมุนไพรขิงต่อไป</p> จันทร์จิรา ตรีเพชร กุลวดี คตชนะเลขา ณัฐพงศ์ ชัยภักดี Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 56 74 ความเป็นพลเมืองดิจิทัลของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278264 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาข้อมูลคุณลักษณะและองค์ประกอบความเป็นพลเมืองดิจิทัล 2) วิเคราะห์ความเป็นคุณลักษณะและองค์ประกอบความเป็นพลเมืองดิจิทัลของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ 3) จับคู่กลยุทธ์ แนวทางในการพัฒนาและแนวทางการแก้ไขปัญหาความเป็นพลเมืองดิจิทัลของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพได้กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ จำแนกตามคณะ 7 คณะ จำนวน 368 คน ด้วยเทคนิคการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับในปัจจัยด้านการเข้าถึง และการใช้งานดิจิทัล เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ใช้โทรศัพท์มือถือ (Smart Phone) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเข้าถึงสื่อดิจิทัล (Digital Media) หรือสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) รองลงมา คือ โน้ตบุ๊ก (Notebook) และแท็บเล็ต (Tablet) ทั้งนี้ นักศึกษามีความสามารถในการใช้สื่อดิจิทัล (Digital Media) หรือสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ประกอบด้วย เฟซบุ๊ก (Facebook), ยูทูบ (Youtube), อินสตาแกรม (Instagram), เฟซบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live), ทวิตเตอร์ (Twitter), เว็บไซต์ (Website) และไลน์ (Line) เป็นส่วนหนึ่งในการใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งในด้านการศึกษา การติดต่อสื่อสารและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ผลการวิเคราะห์และจับคู่กลยุทธ์ (TOWS Matrix) ของมหาวิทยาลัย โดยเน้นจุดแข็งภายใน เช่น การจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการและจุดอ่อน เช่น การขาดแคลนห้องแล็บ (Lab) ทางดิจิทัล โอกาสภายนอกรวมถึงทักษะดิจิทัลของนักศึกษา ในขณะที่อุปสรรค คือ ปัญหาค่าใช้จ่ายและสัญญาณอินเทอร์เน็ต (Internet) กลยุทธ์เชิงรุก (SO) มุ่งสร้างพื้นที่การเรียนรู้ดิจิทัล และกลยุทธ์เชิงป้องกัน (ST) เน้นการอบรมทักษะดิจิทัล</p> ชฎาจันทร์ โชคนิรันดรชัย Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 75 99 ปัจจัยในการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศของผู้ต้องขังสูงอายุ: กรณีศึกษาผู้ต้องขังชายในเรือนจำจังหวัดเพชรบูรณ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278303 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสาเหตุในการกระทำผิดทางเพศของผู้ต้องขังสูงอายุ (2) ศึกษารูปแบบ/พฤติกรรมในการกระทำผิดทางเพศของผู้ต้องขังสูงอายุ <br />(3) ศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับเพศของผู้ต้องขังสูงอายุ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยในเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ซึ่งเป็นผู้ต้องขังชายสูงอายุในเรือนจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่กระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ จำนวน 10 ราย มีการวิเคราะห์ข้อมูลจากการเก็บรวบรวมเอกสาร และการสัมภาษณ์ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย ในลักษณะของการตีความ พร้อมนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนาความ (Descriptive Analysis) </p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) สาเหตุหรือแรงจูงใจ ในการกระทำผิดทางเพศของผู้ต้องขังสูงอายุ เกิดจากความใกล้ชิดระหว่างผู้ต้องขังกับเหยื่อมากที่สุด ประกอบกับผู้ต้องขังได้ดื่มสุราก่อนจะกระทำความผิด ผู้ต้องขังสูงอายุส่วนใหญ่มีบุคลิกภาพเก็บกด ชอบอยู่คนเดียว <br />2) รูปแบบพฤติกรรมการกระทำความผิดทางเพศของผู้ต้องขังสูงอายุชาย ส่วนใหญ่เกิดในขณะเหยื่ออยู่ตามลำพังและผู้กระทำมีโอกาสใกล้ชิดเหยื่อ การเกิดเหตุมี 2 ลักษณะ คือ เกิดเหตุโดยบังเอิญและจากการเตรียมการของผู้ต้องขัง ด้วยการใช้เงินและสิ่งของล่อลวง 3)ข้อเสนอแนะแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา คือ ไม่ให้ผู้สูงอายุชายอยู่ใกล้เด็กและสตรีที่เป็นผู้พิการทางสติปัญญาเพื่อป้องกันอาชญากรรม ไม่ควรข้องเกี่ยวกับยาเสพติด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากการดื่มสุรา ส่งผลต่อการควบคุมตนเอง ควรเพิ่มมาตรการทางกฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดทางเพศให้รุนแรงขึ้น สร้างความเข้มแข็งภายในสถาบันครอบครัว ส่งเสริมบทบาทของสถาบันศาสนา ให้ความรู้ด้านป้องกันตนเองจากอาชญากรรมทางเพศให้เด็กและเยาวชน</p> ภูวารี หรสาตร์ นวภัทร ณรงค์ศักดิ์ Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 100 114 ผลการจัดกิจกรรมฝึกอบรมเรื่องศิลปะประดิษฐ์สำหรับผู้สูงอายุชุมชนวัดน้อยนอก จังหวัดนนทบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278350 <p>งานวิจัยเรื่องผลการจัดกิจกรรมฝึกอบรมเรื่องศิลปะประดิษฐ์สำหรับผู้สูงอายุชุมชนวัดน้อยนอก จังหวัดนนทบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมฝึกอบรมเรื่องศิลปะประดิษฐ์สำหรับผู้สูงอายุชุมชนวัดน้อยนอกจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ การทำพิมเสนน้ำ ยาดมสมุนไพร ดอกไม้จันทน์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือผู้สูงอายุชุมชนวัดน้อยนอก จังหวัดนนทบุรี จำนวนทั้งสิ้น 35 คน ได้จากการสมัครใจในการเข้าร่วมกิจกรรม เครื่องมือทีใช้ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบประเมินผลการปฏิบัติงาน แบบสอบถามความพึงพอใจ และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ความถี่ ค่าร้อยละ และค่าเฉลี่ย มีผลการศึกษาดังนี้</p> <p>สังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติงานความสนใจ ใฝ่รู้ ความรับผิดชอบ ความประหยัด ความสะอาดเรียบร้อย และความสามัคคีอยู่ในเกณฑ์ดี ผลการปฏิบัติงานขั้นเตรียม ขั้นปฏิบัติ และผลงานสำเร็จอยู่ในเกณฑ์ดี ความพึงพอใจที่มีต่อการจัดกิจกรรมฝึกอบรมเรื่องศิลปะประดิษฐ์สำหรับผู้สูงอายุชุมชนวัดน้อยนอกจังหวัดนนทบุรี ด้านเนื้อหา กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจเนื้อหาวิชาเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต เช่น การใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.82 ด้านวิทยากร กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจการตอบข้อซักถามได้ชัดเจนและตรงประเด็น อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.94 และด้านสิ่งอำนวยความสะดวก กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจบริการอาหาร ของว่างและเครื่องดื่มมีความเหมาะสม อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.97</p> ศักรินทร์ หงส์รัตนาวรกิจ ขจร อิศราสุชีพ สุกัญญา จันทกุล Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 115 132 กลไกการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษา วิชาเอกสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278447 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัจจุบัน เกี่ยวกับสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ 3. สร้างกลไกการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษา วิชาเอกสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ เป็นการผสมผสานระหว่างวิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณกับวิธีวิทยาการเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 148 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย,ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน,ค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์ด้วยวิธีของเพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยของพหุคูณและวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันที่ส่งผลต่อสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษา วิชาเอกสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุด คือด้านการบริหารจัดการชั้นเรียน ส่วนด้านที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือด้านภาวะผู้นำครู 2. ผลการทดสอบความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษา วิชาเอกสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ที่มีความสัมพันธ์กันทั้ง 6 ด้าน พบว่า มีความสัมพันธ์กันทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. กลไกการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษา วิชาเอกสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ที่ได้ดำเนินการยกร่างกลไกการพัฒนา มีขั้นตอนของกลไกการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การบริหารทีมงาน ขั้นตอนที่ 2 การบริหารทรัพยากรหรือวัสดุ อุปกรณ์ ขั้นตอนที่ 3 การจัดสรรงบประมาณ และขั้นตอนที่ 4 การบริหารจัดการโครงการ 4. ผลการประเมินกลไกการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมสมรรถนะความเป็นครูมืออาชีพ สำหรับนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษา วิชาเอกสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์และการพัฒนามนุษย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุด คือด้านความถูกต้อง ส่วนด้านที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือด้านความเหมาะสม</p> จักรี ศรีจารุเมธีญาณ พระครูประยุตสารธรรม Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 133 153 ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีศึกษาเทศบาลตำบลบ้านแก้ง อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278955 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ปัจจัยจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการและพนักงานจ้าง เทศบาลตำบลบ้านแก้ง อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ และ 2. ปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงานของข้าราชการและพนักงานจ้าง เทศบาลตำบลบ้านแก้ง อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ โดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 85 คน และแบบสัมภาษณ์ จำนวน 5 คน เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์โดยหาค่าเฉลี่ย ( ) ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Linear Regression) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการพรรณนาวิเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยจูงใจมีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการและพนักงานจ้างของเทศบาลตำบลบ้านแก้ง อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 คิดเป็นร้อยละ 54.80 ทั้งนี้เนื่องจากการได้รับการยอมรับและคำชมจากผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับผลงานที่ดี จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความภาคภูมิใจในการทำงาน การได้รับการชื่นชมทำให้ข้าราชการและพนักงานจ้างรู้สึกว่าความพยายามของพวกเขามีค่า ซึ่งจะกระตุ้นให้ทำงานได้ดีขึ้น 2. ปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงานของข้าราชการและพนักงานจ้าง ปัญหาที่พบ คือ การที่ข้าราชการและพนักงานจ้างไม่ได้รับการฝึกอบรมหรือพัฒนาทักษะใหม่ ๆ อาจส่งผลให้ไม่สามารถปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีหรือวิธีการทำงานใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง การขาดแคลนทรัพยากร และแนวทางการแก้ไขปัญหา และการแก้ไขปัญหาเหล่านี้สามารถทำได้โดยการเสริมสร้างการสื่อสารที่ดี การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและสามารถวัดผลได้ การสนับสนุนและพัฒนาทักษะของบุคลากร และการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ</p> รุ่งทิวา แจ่มสว่าง ณัฐดนัย แก้วโพนงาม ธรรมรัตน์ โรมแพน Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 154 174 การศึกษาประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการทางการเมือง และการปกครองเมืองชัยภูมิ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278957 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาประวัติความเป็นมาและระบบการปกครองของเมืองชัยภูมิ 2. วิเคราะห์บทบาทของผู้นำท้องถิ่นและการบริหารราชการในเมืองชัยภูมิ ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นกระบวนการที่ใช้ในการรวบรวม พิจารณา วิเคราะห์ และตีความหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยกลุ่มบุคคล 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้อาวุโส อายุ 60 ปี จำนวน 5 คน ขึ้นไป 2. ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน 5 คน 3. ผู้นําชุมชน จำนวน 5 คน และ 4. บุคคลทั่วไป จำนวน 5 คน รวมจำนวน 20 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ สมุดจดบันทึก กล้องถ่ายรูป และเครื่องบันทึกเสียงการและวิเคราะห์ข้อมูลและตีความด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์แล้วนำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์จัดตามหมวดหมู่ตามความมุ่งหมายของวัตถุประสงค์การวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. เมืองชัยภูมิเป็นพื้นที่ที่มีการตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยได้รับอิทธิพลจากอารยธรรมอินเดีย พุทธศาสนา ขอม และล้านช้าง ก่อนพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสุโขทัยและอยุธยา ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองชัยภูมิขึ้นตรงกับนครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2362 พระยาภักดีชุมพล (พญาแล) อพยพจากเวียงจันทน์และได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมือง ต่อมาเมืองชัยภูมิถูกจัดอยู่ในมณฑลนครราชสีมา และได้รับการยกฐานะเป็นจังหวัดในปี พ.ศ. 2432 ส่วนระบบการปกครองของเมืองชัยภูมิ เริ่มจากการเป็นเมืองขึ้นของนครราชสีมา มีเจ้าเมืองและขุนนางปกครอง ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ เมืองชัยภูมิถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งของ มณฑลนครราชสีมา และภายหลังการปฏิรูประบบราชการ เมืองชัยภูมิกลายเป็นจังหวัด มีโครงสร้างปกครองแบ่งเป็น อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ระบบมณฑลถูกยกเลิก เมืองชัยภูมิกลายเป็นจังหวัดที่มี ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้บริหารสูงสุด ร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีการเลือกตั้งเพื่อส่งเสริมการกระจายอำนาจ 2. บทบาทของผู้นำท้องถิ่นและการบริหารราชการในเมืองชัยภูมิในอดีต ผู้นำท้องถิ่นในเมืองชัยภูมิ เริ่มจากหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าเมือง ซึ่งมีบทบาทในการดูแลประชาชน จัดเก็บภาษี รักษาความสงบ และควบคุมกำลังพล โดยเฉพาะในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ และปัจจุบันบทบาทของผู้นำท้องถิ่นถูกเปลี่ยนแปลงมาอยู่ในรูปแบบของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น นายก อบจ. นายกเทศมนตรี และหน่วยงานท้องถิ่นอื่น ๆ ที่มีหน้าที่พัฒนาเศรษฐกิจ สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้เข้าถึงบริการภาครัฐอย่างทั่วถึง</p> <p><strong> </strong></p> ชัยสิทธิ์ ชูสกุล ณัฐดนัย แก้วโพนงาม ธรรมรัตน์ โรมแพน Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 175 192 การบริหารจัดการสวัสดิการสังคมสำหรับคนพิการในจังหวัดนนทบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278969 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์ถึงสภาพการบริหารจัดการสวัสดิการสังคมสำหรับคนพิการในจังหวัดนนทบุรี 2) เพื่อประเมินสภาพปัญหาและอุปสรรคของการบริหารจัดการสวัสดิการสังคมสำหรับคนพิการในจังหวัดนนทบุรี และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารจัดการสวัสดิการสังคมสำหรับคนพิการในจังหวัดนนทบุรี รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น จำนวน 5 คน ผู้ปฏิบัติงานองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ทำหน้าที่ในการให้บริการสวัสดิการสังคม จำนวน 5 คน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานด้านสวัสดิการสังคมสำหรับผู้พิการจากส่วนราชการ จำนวน 5 คน ประธานชมรมผู้พิการ จำนวน 3 คน และ ผู้พิการ 6 จำนวน รวมจำนวน 24 คน วิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท โค๊ตคำพูดที่สำคัญและนำเสนอเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารจัดการสวัสดิการสังคมสำหรับคนพิการในจังหวัดนนทบุรี ในด้านนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้พิการยังมีความไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องการจัดสรรงบประมาณและการประเมินผลโครงการ นอกจากนี้การบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ยังไม่เพียงพอและขาดความเข้มงวด ส่วนทรัพยากร เช่น งบประมาณและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้พิการมีไม่เพียงพอต่อความต้องการที่แท้จริง การให้บริการผู้พิการยังประสบปัญหาความล่าช้าและความซับซ้อนในกระบวนการทำงาน ข้อมูลของผู้พิการที่ไม่ครบถ้วนและไม่เป็นปัจจุบันยังเป็นปัญหา การมีส่วนร่วมของผู้พิการในการตัดสินใจด้านนโยบายยังมีจำกัด และการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีข้อจำกัดเช่นเดียวกัน สภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมสำหรับผู้พิการอย่างเพียงพอ 2) ปัญหาและอุปสรรคของการบริหารจัดการสวัสดิการสังคมสำหรับคนพิการในจังหวัดนนทบุรี ปัญหาหลักที่พบคือการขาดแคลนทรัพยากร เช่น งบประมาณ บุคลากร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสม รวมถึงการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ราบรื่น การให้บริการที่ซับซ้อนและไม่ครอบคลุมทุกกลุ่มผู้พิการเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข และ 3) แนวทางการบริหารจัดการสวัสดิการสังคมสำหรับคนพิการในจังหวัดนนทบุรี ควรเริ่มจากการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลความต้องการของผู้พิการเพื่อวางแผนพัฒนาบริการอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดสรรทรัพยากรต้องมีความเพียงพอและเหมาะสม การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานควรทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุงกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> ศุภจิรา ทองศรี กมลพร กัลยาณมิตร สถิตย์ นิยมญาติ ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 193 215 ปัจจัยทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278971 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพิจารณาปัจจัยทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของความไม่แน่นอนทางการเมืองต่อพฤติกรรมการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางในทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารในบริษัทตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 5 คน นักการเมือง จำนวน 5 คน นักวิชาการ จำนวน 5 คน นักลงทุนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 10 คน รวมจำนวน 25 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบสรุปพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) การพิจารณาปัจจัยทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แก่ การต่อต้านสินค้าจากเหตุจูงใจทางการเมือง การชุมนุมประท้วง ความรุนแรงทางการเมือง การประกาศเคอร์ฟิว/การใช้กฎอัยการศึก การปฏิวัติรัฐประหาร การเลือกตั้ง/การยุบสภา และการลาออกจากตำแหน่งสำคัญ ซึ่งพบว่าปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนและความผันผวนในตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะลดการลงทุนหรือหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอน 2) การวิเคราะห์ผลกระทบของความไม่แน่นอนทางการเมืองต่อพฤติกรรมการลงทุน พบว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายลดลง ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากขึ้น และนักลงทุนบางส่วนเลือกที่จะถอนการลงทุน และ 3) การเสนอแนะแนวทางในทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แก่ การสร้างเสถียรภาพทางการเมือง การจัดตั้งกลไกเพื่อลดผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่คาดคิด และการสนับสนุนมาตรการป้องกันความเสี่ยงให้แก่นักลงทุน ทั้งนี้ การดำเนินนโยบายที่มีเสถียรภาพและการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตของตลาดทุนไทย</p> นพรัตน์ ประมวลวัลลิกุล กมลพร กัลยาณมิตร สถิตย์ นิยมญาติ ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 216 242 อิทธิพลที่มีต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็งในประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/278972 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็งในประเทศไทย 2) วิเคราะห์อิทธิพลที่มีต่อความสามารถในการแข่งขัน และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ บุคลากรภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง 11 คน และผู้ประกอบการภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็ง 11 คน รวม 22 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาในประเด็นต่าง ๆ เพื่อหาข้อสรุปแล้วเข้าใจภาพรวม</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัญหาและอุปสรรคที่มีต่อความสามารถในการแข่งขัน พบว่า อุตสาหกรรมอาหารทะเลแช่แข็งของไทยเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคหลายประการ เช่น ความผันผวนของวัตถุดิบ มาตรฐานที่เข้มงวดของประเทศนำเข้า การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง รวมถึงปัญหาด้านโลจิสติกส์และการขนส่ง ในขณะที่ปัจจัยภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นโยบายของรัฐ และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม 2) อิทธิพลที่มีต่อความสามารถในการแข่งขัน พบว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นโยบายของรัฐ และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ล้วนมีผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม จากการวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจพบว่าอัตราแลกเปลี่ยนและภาวะเศรษฐกิจถดถอยส่งผลให้ความต้องการสินค้าลดลง ในขณะที่ด้านเทคโนโลยีและสังคมพบว่าเทคโนโลยีดิจิทัลสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ยังขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ การเปลี่ยนแปลงในรสนิยมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารและสิ่งแวดล้อมยังส่งผลต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์อีกด้วย และ 3) แนวทางการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน พบว่า ควรมีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ การสร้างตราสินค้าที่แข็งแกร่ง การขยายตลาดส่งออกโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การฝึกอบรมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งนี้ การดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรม</p> สุเพ็ญพร อ่าวสาคร สถิตย์ นิยมญาติ กมลพร กัลยาณมิตร ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 243 272 การมีส่วนร่วมในการสร้างช่องทางการตลาดต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง กรณีศึกษา: กลุ่มทอผ้า อำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/277786 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในการสร้างช่องทางการตลาดต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง 2. ศึกษาระดับของการมีส่วนร่วมในการสร้างช่องทางการตลาดต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง 3. ศึกษาถึงปัญหาและแนวทางแก้ไขการมีส่วนร่วมในการสร้างช่องทางการตลาดต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ สมาชิกของกลุ่มสมาชิกวิสาหกิจชุมชนทอผ้าที่จดทะเบียนกับสำนักงานพัฒนาชุมชนและเกษตรอำเภอคอนสวรรค์ ในจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejcie &amp; Morgan (1970) ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 248 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ (Percent) ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยมีดังนี้</p> <ol> <li>ความรู้ความเข้าใจในการสร้างช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนที่พึ่งตนเอง พบว่า ประชาชนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าในอำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ มีความรู้ความเข้าใจในการสร้างช่องทางการตลาดต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง ซึ่งส่วนมากกลุ่มตัวอย่างสามารถตอบคำถามได้ถูกต้อง โดยข้อที่ถามว่า มีผลิตภัณฑ์หลากหลายทั้งรูปแบบ เช่น สีสันและลวดลาย กลุ่มตัวอย่างตอบถูกร้อยละ 98.38 และข้อที่ถามว่า สมาชิกกลุ่มมีการจดบันทึกองค์ความรู้จากสมาชิกกลุ่ม กลุ่มตัวอย่างตอบผิดร้อยละ 8.06</li> <li>ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างช่องทางการตลาดต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง พบว่า ประชาชนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทอผ้าในอำเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างช่องทางการตลาดต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( = 2.81) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ประเด็นที่กลุ่มตัวอย่างมีส่วนร่วมมากที่สุด ท่านได้รับประโยชน์จากการพัฒนาการสร้างช่องทางการตลาดทำให้มีอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้แก่ครอบครัว ( = 3.59) รองลงมาคือ ท่านได้รับประโยชน์ต่อการพัฒนาการสร้างช่องทางการตลาดทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ( = 3.54) และที่มีส่วนร่วมน้อยที่สุดคือ ท่านมีส่วนร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นของท่านในการสร้างช่องทางการตลาดเพื่อพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง ( = 2.25)</li> <li>ความคิดเห็นที่มีต่อปัญหาและแนวทางแก้ไขการมีส่วนร่วมในการสร้างช่องทางการตลาดต่อการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพึ่งตนเอง คือ หน่วยงานท้องถิ่นควรสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างช่องทางการตลาดของกลุ่มมากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของสมาชิกร่วมกันทั้งในและนอกกลุ่มมากขึ้น รวมถึงควรมีงบประมาณมากขึ้นด้วย</li> </ol> อินทุราภรณ์ อินทรประจบ เรมี ธนิกานต์ ศรีจันทร์ ธรรมรัตน์ โรมแพน Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 273 288 การศึกษาสภาพการบริหารจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมแนวใหม่ สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/279401 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เพื่อเปรียบเทียบ และเพื่อศึกษาข้อเสนอแนะสภาพการบริหารจัดศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมแนวใหม่ สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพะเยา เขต 2 จำแนกตามวุฒิการศึกษาสูงสุด และประสบการณ์ในการทำงาน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษากลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ศึกษา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 97 คน ซึ่งใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ค่าเอฟ ผลจากการศึกษาพบว่า 1) สภาพการบริหารจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมแนวใหม่ สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ศึกษา โดยภาพรวมทุกมาตรฐานอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารจัดการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมแนวใหม่ สำหรับโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ศึกษา จำแนกตามวุฒิการศึกษาสูงสุด พบว่าไม่มีความแตกต่างกัน และจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน พบว่ามีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ข้อเสนอแนะ สถานศึกษาควรส่งเสริมวินัยและความรับผิดชอบของผู้เรียน ควบคู่กับการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้ผ่านสื่อที่มีประสิทธิภาพ โดยมีครูช่วยกำกับดูแลและประเมินผลการเรียนรู้ ผู้บริหารต้องกำหนดวิสัยทัศน์และแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและนโยบายภาครัฐ เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน</p> ฉันทัช กันทะดี ณัฐวุฒิ สัพโส Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 289 304 การศึกษาสภาพและแนวทางการดำเนินงานการให้บริการ สนับสนุนนิสิตพิการ มหาวิทยาลัยพะเยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/279405 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานการให้บริการสนับสนุนนิสิตพิการ มหาวิทยาลัยพะเยา 2) เพื่อศึกษาแนวทางการดำเนินงานการให้บริการสนับสนุนนิสิตพิการ มหาวิทยาลัยพะเยา เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างหรือประชากรที่ศึกษาประชากรที่ศึกษาคือกลุ่มที่มีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับนิสิตพิการ มหาวิทยาลัยพะเยา ได้แก่ผู้บริหารมหาวิทยาลัย คณบดี รองคณบดี ผู้ช่วยคณบดี อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ผู้สอน ผู้อำนวยการกอง เจ้าหน้าที่กิจการนิสิตประจำคณะ และเจ้าหน้าที่ DSS มหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มตัวอย่างจำนวน 181 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการดำเนินงานการให้บริการสนับสนุนนิสิตพิการ มหาวิทยาลัยพะเยาโดยรวมอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.05) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการประสานงานกับคณะที่มีนิสิตเรียนร่วม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10) 2) แนวทางการดำเนินงานการให้บริการสนับสนุนนิสิตพิการ มหาวิทยาลัยพะเยา พบว่า ด้านการเป็นแหล่งข้อมูลด้านคนพิการของมหาวิทยาลัยพะเยา ควรมีการจัดประชุมผู้ปกครองของนักศึกษาพิการ ด้านการบริการให้คำปรึกษา ควรจัดบริการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มและมีการประชุมนักศึกษาพิการ เพื่อชี้แจงและอธิบายให้ข้อมูลกับนักศึกษาพิการ ด้านการจัดทำแผนการรับบริการเฉพาะบุคคล บุคลากร DSS ควรรายงานผลการอนุมัติของคณะกรรมการการจัดทำแผนการรับบริการเฉพาะบุคคล ด้านการให้บริการด้านการจัดทำเทคโนโลยี สื่อ สิ่งอำนวยความสะดวก และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ควรมีการจัดทำประเมินผลการให้บริการ สื่อและเทคโนโลยี รวมทั้งสรุปผลการให้บริการ การใช้สื่อและเทคโนโลยีของนักศึกษาพิการ และด้านการประสานงานกับคณะที่มีนิสิตเรียนร่วม ควรมีการจัดให้มีการจัดประชุมอาจารย์ผู้สอนนักศึกษาพิการ</p> อภิเชษฐ ดูใจ ณัฐวุฒิ สัพโส Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 326 343 การมีส่วนร่วมในการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพญาวัง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลำปาง ลำพูน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/279406 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพญาวัง และ 2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพญาวัง จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของโรงเรียน โดยได้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วยผู้บริหารและครูสังกัดโรงเรียนในสหวิทยาเขตพญาวัง จำนวน 136 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test F-test และ One-Way ANOVA</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1)ระดับการมีส่วนร่วมในการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพญาวัง ในภาพรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนในสหวิทยาเขตพญาวัง จำแนกตามขนาดของโรงเรียน พบว่า โดยภาพรวมมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และรายด้าน มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน พบว่าโดยภาพรวมมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 และรายด้านมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> พรชัย จินะทา ณัฐวุฒิ สัพโส Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 344 359 การศึกษาบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของครู ในสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/279400 <p>การศึกษาบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของครูในสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของครู และ 2) เพื่อเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของครู ในสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน จำแนกตามวุฒิการศึกษาสูงสุด และประสบการณ์การทำงานในตำแหน่ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 254 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานโดยใช้สูตร t-test (Independent Samples) ค่าความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA)</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) ความคิดเห็นเกี่ยวกับบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของครู โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ บทบาทในการให้การยอมรับนับถือครูผู้ทำวิจัยในชั้นเรียน รองลงมา คือ บทบาทในการให้ความสำคัญกับการวิจัยในชั้นเรียน และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ บทบาทในการมีความรับผิดชอบต่อครูผู้ทำวิจัยในชั้นเรียน 2) การเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของครู จำแนกตามวุฒิการศึกษาสูงสุด และประสบการณ์การทำงานในตำแหน่ง พบว่า ภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน ซึ่งผลการวิจัยครั้งนี้ทำให้ได้ฐานข้อมูลสารสนเทศขององค์กร เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนพัฒนาบทบาทของผู้บริหารในการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของครูให้มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง</p> อภิชญา กิ่งแก้ว ณัฐวุฒิ สัพโส Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 305 325 การศึกษาสภาพการดำเนินงาน การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม สำหรับเด็กพิการ ในสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพ การจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 จังหวัด ภาคเหนือตอนบน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/279549 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา และเปรียบเทียบสภาพการดำเนินงานการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสำหรับเด็กพิการของศูนย์การศึกษาพิเศษ ในสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน จำแนกตามวุฒิทางการศึกษาและประสบการณ์ในการปฏิบัติงานกลุ่มตัวอย่าง <br />ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาเครือข่าย จำนวน 254 คน ซึ่งได้จากการสุ่ม<br />ตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้<br />ในการวิจัยคือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และค่าเอฟ <br />ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพการดำเนินงานการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสำหรับเด็กพิการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบการศึกษาสภาพการดำเนินงาน จำแนกตาม<br />วุฒิทางการศึกษาและประสบการณ์การในการปฏิบัติงาน ไม่มีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของการดำเนินงานช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม ที่มีประสิทธิภาพในระดับสูง โดยไม่แตกต่างกันตามคุณสมบัติของบุคลากรทางการศึกษา อันเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาและวางแผนการจัดบริการในอนาคต</p> ณิชา วงศ์สุฤทธิ์ ณัฐวุฒิ สัพโส Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 360 375 THE TRUE MEANING OF CATHOLIC SCHOOL https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/277167 <p>The aim of this article is to clarify the meaning of Catholic Education which will provide the real vision of Catholic education so that the catholic school administrators can use it as base for their management in school. The catholic church has promulgated the document of Gravissimum Educationis (Declaration on Christian Education) in 1965 The Church clearly sees the importance of education and would like to see those involved in Catholic Education possess the outlines to be used as their fundamental principles of being Catholic School so that upon this understanding of its meaning catholic school administrators can find a proper pattern to run their schools in line with the teaching of the Church.</p> Phiranant Numkanisorn Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 376 386 การบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนการกุศล ของวัดในพระพุทธศาสนา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/279482 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนการกุศลในพระพุทธศาสนา ซึ่งตั้งอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของวัด โดยมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาการอย่างยั่งยืน การศึกษานี้ใช้การวิเคราะห์เชิงเอกสารและการสังเคราะห์องค์ความรู้จากหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการศึกษา โดยเน้นบริบทเฉพาะของโรงเรียนในสังกัดวัด ผลการวิเคราะห์พบว่า การบริหารงานวิชาการที่มีประสิทธิภาพควรให้ความสำคัญกับ (1) การมีส่วนร่วมของชุมชนวัดและศรัทธา (2) การพัฒนาหลักสูตรที่บูรณาการคุณธรรมจริยธรรม (3) การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ (4) การใช้ทรัพยากรของวัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการจัดการศึกษา นอกจากนี้ยังได้ระบุปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการขับเคลื่อนงานวิชาการสู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศ บทความนี้เสนอแนวทางเชิงประยุกต์ที่สามารถนำไปใช้จริงในโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาและสร้างความเป็นเลิศทางวิชาการอย่างยั่งยืน</p> แวววิมล เชาวลิต Chaowalit Copyright (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2025-06-25 2025-06-25 8 1 387 404