วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU <p>&nbsp;&nbsp; &nbsp;คณะสังคมศาสตร์ ได้จัดทำวารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (Journal of Social Sciences Mahamakut Buddhist University) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานวิชาการ ระหว่างคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย ทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนนิสิต นักศึกษาในสาขาสังคมศาสตร์&nbsp; และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้มีพื้นที่ในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ผลงานวิจัย และอื่น ๆ รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นทางวิชาการ และการศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะเป็นประโยชน์แก่สถาบัน คณะ และสาธารณะต่อไป</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ทั้งนี้ วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ผ่านการรับทราบจากสภาวิชาการ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ในการประชุมครั้งที่ 12/2560 ระเบียบวาระที่ 4 (4.4) เรื่อง ที่เสนอเพื่อทราบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2560</p> คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย th-TH วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2587-0033 การพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเป๋าสตรีตกแต่งด้วยเสื่อกก เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้ามัดหมี่และเสื่อกกแปรรูป ตำบลห้วยแก้ว อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/273395 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ออกแบบและผลิตภัณฑ์กระเป๋าสตรีตกแต่งด้วยเสื่อกก สำหรับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้ามัดหมี่และเสื่อกกแปรรูป ตำบลห้วยแก้ว อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร 2. ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์กระเป๋าสตรีตกแต่งด้วยเสื่อกก สำหรับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้ามัดหมี่และเสื่อกกแปรรูป ตำบลห้วยแก้วอำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร จากแบบสอบถามกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 30 คน พร้อมข้อเสนอแนะ จากการทำวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยแบบสอบถามความพึงพอใจกลุ่มเป้าหมาย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>ออกแบบและผลิตภัณฑ์กระเป๋าสตรีตกแต่งด้วยเสื่อกก โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.62 และจากการประเมินผลในแต่ละด้าน พบว่า กลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจการออกแบบมีรูปแบบสอดคล้องกับความต้องการ หรือความนิยมในปัจจุบัน อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.70 รองลงมามีการนำวัสดุในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.63 และมีความแปลกใหม่ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.53</li> <li>2<strong>.</strong> ศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์กระเป๋าสตรีตกแต่งด้วยเสื่อกก พบว่า ด้านการออกแบบ, ด้านผลิตภัณฑ์กระเป๋าสตรีตกแต่งด้วยเสื่อกก จำนวน 6 รูปแบบ มีความพึงพอใจต่อกระเป๋าทรง Shopping bag, กระเป๋าทรง Tote Bag กระเป๋าทรงสีเหลี่ยมผืนผ้า, กระเป๋าทรง Top-handle bag, กระเป๋าทรง Duffel หรือกระเป๋าใบใหญ่มีหูหิ้วและสายสะพาย, ผลิตภัณฑ์กระเป๋าทรง Crossbody, กระเป๋าทรง Backpack และด้านคุณค่าและประโยชน์ใช้สอย มีคะแนนความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด จากทุกข้อของการประเมิน สำหรับคะแนนเฉลี่ยรวมจากทุกข้อที่ประเมินในแต่ละด้านพบว่า ทุกด้านมีคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> อนุสรณ์ ใจทน อัมพวัน ยันเสน ปิยะธิดา สีหะวัฒนกุล Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 1 17 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมีวินัยในตนเองของนักศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน ในกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/273536 <p>การพัฒนาความมีวินัยในตนเองถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากที่จะต้องได้รับการพัฒนาสำหรับกลุ่มเยาวชนที่เป็นเป้าหมายของการพัฒนานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับวิทยาลัยอาชีวศึกษา ซึ่งเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงรอยต่อระหว่าง เด็กและวัยรุ่น จึงมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรม ดังนั้น นักศึกษาระดับอาชีวศึกษา จึงน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมในการ ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับความมีวินัยในตนเอง บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความมีวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาระดับความมีวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความมีวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง 394 คนเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 1-3 (ปวช.) ปีการศึกษา 2564 ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาเอกชน เขตกรุงเทพมหานคร จำนวนกลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการและมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวของลิเคอร์ท (Likert) การหาคุณภาพของ<br /><br />แบบสอบถาม มีการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยการหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) มีค่าระหว่าง 0.70-1.00 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha-Coefficient) ของครอนบัค (Cronbach) ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.82 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความมีวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) ระดับความมีวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยที่ส่งผลความมีวินัยในตนเองของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยเรียงลำดับปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปยังปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุดได้แก่ ลักษณะมุ่งอนาคต การจัดสภาพแวดล้อมภายในวิทยาลัย การเห็นแบบอย่างทางสังคม เจตคติต่อความมีระเบียบวินัย อิทธิพลของสื่อ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว และความสนใจคุณธรรมส่วนตัว ตามลำดับซึ่งปัจจัยทั้ง 7 สามารถร่วมกันพยากรณ์ความมีวินัยในตนเองของนักศึกษาได้ร้อยละ 74.3</p> <p>ดังนั้น ตัวแปรทั้ง 7 ตัวคือลักษณะมุ่งอนาคต การจัดสภาพแวดล้อมภายในวิทยาลัย การเห็นแบบอย่างทางสังคม เจตคติต่อความมีระเบียบวินัย อิทธิพลของสื่อ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว และความสนใจคุณธรรมส่วนตัว ควรนำมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระเบียบวินัยของเยาวชน เพราะเป็นรากฐานให้เยาวชนสมาชิกที่ดีของสังคมต่อไป</p> สุเมธ ด้วงจู Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 18 37 ศักยภาพและโอกาสการจัดตั้งตลาดค้าปลีกริมน้ำ ของชุมชนริมคลองลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/274109 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา เพื่อ 1.ศึกษาพฤติกรรมการจำหน่ายสินค้าและบริการของคนในชุมชนริมคลองลาดพร้าวเพื่อวิเคราะห์ศักยภาพการจัดตั้งตลาด 2.ศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเกี่ยวกับการใช้บริการตลาดค้าปลีกริมน้ำเพื่อวิเคราะห์โอกาสของการจัดตั้งตลาดอันเป็นประโยชน์ต่อการสร้างศักยภาพในการดึงดูดให้ผู้คนได้มาจับจ่ายและท่องเที่ยว ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้ตลาดเป็นเครื่องสะท้อนอัตลักษณ์และสร้างรายได้ให้ชุมชน ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนจาก 5 เขตพื้นที่ พื้นที่ละ 8 ตัวอย่าง ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และแบบสำรวจ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริโภคจำนวน 400 คน ใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณา แล้วนำข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณมาวิเคราะห์ด้วย SWOT analysis</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยทำให้ตลาดมีศักภาพ ในการดึงดูดลูกค้าประกอบด้วย 11 ปัจจัย ได้แก่ การมีร้านอาหารคาว ร้านอาหารหวาน ร้านผลไม้ ร้านเครื่องดื่ม ร้านสินค้าอุปโภค บริการขนส่ง บริการหัตถการและนำเที่ยว บริการด้านบันเทิงและศิลปการแสดง บริการ<br /><br />ท่องเที่ยวและทำกิจกรรม สิ่งอำนวยความสะดวก และทำเลชัยภูมิที่ตั้ง และโอกาสในการจัดตั้งตลาด ได้แก่ ผู้บริโภคมีกำลังซื้อ สะดวกในการเดินทาง ให้ความสำคัญกับปัจจัยบริการท่องเที่ยวและทำกิจกรรม บริการหัตการและนำเที่ยว และมีการใช้จ่ายเงินสำหรับซื้อสินค้าอาหารคาว อาหารหวาน สินค้าอุปโภค เป็นต้น จึงเห็นได้ว่าศักยภาพที่ตลาดมีนั้นสอดคล้องโอกาสซึ่งสามารถต่อยอดสังเคราะห์เป็นกลยุทธ์ SO ที่นำไปสู่การจัดตั้งตลาดให้สามารถดึงดูดผู้คนให้มาใช้บริการได้</p> ธมลวรรณ ธีระบัญชร มณฑล จันทร์แจ่มใส สุรางค์รัตน์ แสงศรี Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 38 49 ถอดบทเรียนการสั่งสมภูมิปัญญาชาวบ้านในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางกสิกรรม กรณีศึกษาหมู่ที่ 3 ตำบลกรุงชิง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/274644 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.ศึกษากระบวนการเรียนรู้ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาทางกสิกรรมจนนำไปสู่การสร้างโมเดลสร้างสมภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้านหมู่ที่ 3 ตำบลกรุงชิง จังหวัดนครศรีธรรมราช ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ สุ่มตัวอย่างแบบจำเพาะเจาะจง โดยมีจำนวน 1 ตัวอย่างที่มีคุณสมบัติตรงตามลักษณะต้องการศึกษา ใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบไม่เป็นทางการ อาศัยเทคนิค laddering technic ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เป็น Input process output แล้วนำมาสังเคราะห์เป็นโมเดลการสั่งสมภูมิปัญญาของปราชญ์ขาวบ้านในการจัดการความเสี่ยงทางกสิกรรมของปราชญ์ชาวบ้าน ม.3 ต.กรุงชิง จ.นครศรีธรรมราช</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า โมเดลการสั่งสมประสบการณ์การจัดการความเสี่ยงทางกสิกรรม ประกอบด้วย ปัจจัยนำเข้า ได้แก่ ผู้นำชุมชน การรวมกลุ่ม ความเป็นพหูสูต การช่างสังเกต คิด<br /><br />วิเคราะห์ การลงมือทำ ในส่วนกระบวนการ ได้แก่ กระบวนการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน ได้แก่ ระยะที่ 1 ระยะสั่งสมปัญหา คือทำความเข้าใจว่าปัญหาที่ เกิดขึ้นคืออะไร ระยะที่ 2 ระยะสังเกตปัญหา ระยะที่ 3 ระยะวิเคราะห์สาเหตุ ระยะที่ 4 ระยะรวบรวมองค์ความรู้ ระยะที่ 5 ระยะทดลองปฏิบัติ ระยะที่ 6 ระยะประเมินผล และปัจจัยนำออก ได้แก่ องค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ความเสี่ยงลดลง รายได้เพิ่มขึ้น แล้วจึงทำการประเมินผลการใช้ภูมิปัญญานั้นและนำภูมิปัญญานั้นพัฒนาต่อไป</p> กัลยารัตน์ ศิริรัตน์ ธมลวรรณ ธีระบัญชร Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 50 67 การส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/275183 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ <br />2. ศึกษารูปแบบวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ 3. นำเสนอแนวทางในการส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวนทั้งสิ้น 35 คน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์ตามเนื้อหา แล้วสรุปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. วัฒนธรรมทางการเมืองในบริบทของการเลือกตั้งยังคงเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและมีการพัฒนาไปตามสภาพสังคม การศึกษาและทำความเข้าใจใน<br /><br />เรื่องนี้จำเป็นต้องพิจารณาทั้งประวัติศาสตร์ สถานการณ์ปัจจุบัน และปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อการเมืองในแต่ละยุคสมัย</p> <ol start="2"> <li>รูปแบบวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ประกอบด้วย 1) ความสัมพันธ์เชิงชุมชนและการเชื่อมโยงส่วนบุคคล 2) บทบาทของผู้นำท้องถิ่นและผู้มีอิทธิพลในชุมชน 3) การรักษาประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น 4) การรับรู้ข่าวสารและข้อมูลท้องถิ่น 5) การมีส่วนร่วมและความตื่นตัวทางการเมือง 6) การให้ความสำคัญกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในชุมชน</li> <li>แนวทางในการส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ประกอบด้วย 1) การส่งเสริมการศึกษาทางการเมือง 2) การส่งเสริมความโปร่งใสและความเป็นธรรมในกระบวนการเลือกตั้ง 3) การสนับสนุนบทบาทของผู้นำชุมชนและสื่อท้องถิ่น 4) การสนับสนุนการสร้างเครือข่ายและกลุ่มประชาสังคม 5) การพัฒนาโครงการริเริ่มชุมชน 6) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชน 7) การสร้างพื้นที่สำหรับการสนทนาทางการเมือง</li> </ol> ธรรมรัตน์ โรมแพน Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 68 82 การวางแผนและการสรรหากำลังพลพนักงานสอบสวนหญิงของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศึกษากรณีกองบัญชาการตำรวจนครบาล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/275574 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. วิเคราะห์อัตรากำลังพลพนักงานสอบสวนหญิงในปัจจุบัน 2. ศึกษาปัญหาและข้อจำกัดกำลังพลพนักงานสอบสวนหญิงในปัจจุบัน และ 3. ศึกษาแนวทางการวางแผนและการสรรหาพนักงานสอบสวนหญิงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้แนวทางการวิจัยแบบผสม เชิงคุณภาพใช้การสังเกตและสัมภาษณ์เจาะลึกกับผู้เกี่ยวข้องพนักงานสอบสวนหญิงจำนวน 18 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ส่วนแนวทางการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากพนักงานสอบสวนหญิง 52 ราย วิเคราะห์โดยใช้สถิติพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจุบันพนักงานสอบสวนหญิงที่ปฏิบัติงานประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีทั้งสิ้น 73 นาย แบ่งเป็นระดับตำแหน่ง ร.ต.ต.หญิง-ร.ต.อ.หญิง จำนวน 54 นาย และระดับ พ.ต.ต.หญิง-พ.ต.อ.หญิง จำนวน 19 นาย 2. ปัญหาการวางแผนกำลังพลคือ การแจ้งประกาศการรับสมัครไปยังสถานที่ต่าง ๆ ยังไม่ครอบคลุมทั่วพื้นที่โดยเฉพาะสถานศึกษา และ 3. แนวทางการการวางแผนและการสรรหาพนักงานสอบสวนหญิงควรเพิ่มช่องทางในการสรรหาด้วยการประยุกต์ใช้เฟซบุ๊กหรือเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ยูทูป ทวิตเตอร์ เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์</p> พิชศาล พันธุ์วัฒนา Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 83 102 แนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนออนไลน์สำหรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/276065 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา พัฒนา ประยุต์ใช้และประเมินประสิทธิผลของแนวทางการเรียนการสอนออนไลน์ที่เหมาะสมสำหรับนักศึกษา สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย ประจำปีการศึกษา 2566 ใช้ระเบียบวิธีวิทยาการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ใช้ประชากร จำนวน 101 คน และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาการเรียนการสอนออนไลน์ของนักศึกษา มีค่าอยู่ในระดับปานกลาง (m 3.29) ความพึงพอใจด้านออกแบบบทเรียน มีค่าอยู่ในระดับปานกลาง (m 3.35) ความพึงพอใจด้านการใช้งาน มีค่าอยู่ในระดับมาก (m 3.41) ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ภายในตัวแปรที่นำมาศึกษาและความพึงพอใจที่มีต่อการพัฒนาการเรียนการสอนออนไลน์ ของนักศึกษา มีค่าอยู่ระหว่าง .402 ถึง .528 โดยตัวแปรต้นทั้ง 8 มีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปแบบการเรียนการสอนออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถนำมาปรับให้เหมาะสมกับนักศึกษา สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยการพัฒนาสื่อการ<br /><br />เรียนการสอนให้เหมาะสม สาระสำคัญโดยภาพรวม คือ รูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล สามารถนำมาปรับให้เหมาะสมกับนักศึกษาการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์โดยการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมควรเพิ่มสื่อในการอธิบายเนื้อหา เช่น สื่อในรูปแบบการนำเสนอผ่านเพาเวอร์พ้อย (Power Point) และสื่อในรูปแบบของพอร์ตแคช (Podcast)</p> ธีระโชตติกุล ยาวยืน สุธามาศ นพเทศน์ วัชรพงษ์ โสภาจร Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 103 123 หลักสูตรการพัฒนาสมองซีกขวาเพื่อการจัดการเรียนการสอน ของครูมัธยมศึกษา จังหวัดเพชรบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/276319 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรการพัฒนาสมองซีกขวาเพื่อการจัดการเรียนการสอน ของครูมัธยมศึกษา จังหวัดเพชรบุรี และ 2) ศึกษาผลของการทดลองใช้หลักสูตร ดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนาหลักสูตร ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้หลักสูตร ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง ได้แก่ครูมัธยมศึกษา จังหวัดเพชรบุรี จำนวน 80 คน ขั้นตอนที่ 4 ปรับปรุงหลักสูตร เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบทดสอบวัดความรู้ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมองซีกขวาของผู้เรียน 2) แบบประเมินพฤติกรรมการใช้สมองซีกขวา และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรการพัฒนาสมองซีกขวาเพื่อการจัดการเรียนการสอน ประกอบด้วย หลักการของหลักสูตร, วัตถุประสงค์ของหลักสูตร, เนื้อหาหลักสูตร, แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นตอนที่ 2 ขั้นเสนอสาระ ขั้นตอนที่ 3 ขั้นฝึกปฏิบัติ และ ขั้นตอนที่ 4 ขั้นประยุกต์สู่การจัดการเรียนรู้ 2) ก่อนและหลัง<br /><br />การใช้หลักสูตร ครูมีความรู้ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยหลังการใช้หลักสูตร ครูมีความรู้ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมองซีกขวาของผู้เรียน สูงกว่าก่อนการฝึกอบรม 3) ผลการประเมินพฤติกรรมการใช้สมองซีกขวาของครู จากคะแนนเต็ม 9 ได้คะแนนรวมสูงที่สุดในกิจกรรมที่ 6 : สมองสร้างสีสัน (8.79) และได้คะแนนรวมน้อยที่สุดในกิจกรรมที่ 3 : สมองสร้างจังหวะ (7.01) และ 4) ครูมัธยมศึกษาจังหวัดเพชรบุรีมีความพึงพอใจต่อหลักสูตรการพัฒนาสมองซีกขวาเพื่อการจัดการเรียนการสอน อยู่ในระดับมากที่สุด </p> สรรเสริญ เลาหสถิตย์ Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 124 142 รูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/276451 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) พัฒนารูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อการามต้องการจำเป้นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปะถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา 3) ทดลองใช้พื่อนึกษาความต้องการ</p> <p>๔บริหารสถานศึกษาและครูมีความพึงพอใจในระดบมากที่สุดรูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อการามต้องการจำเป้นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปะถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา ดำเนินการ 3 ขั้นตอน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 64 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพที่เป็นและสภาพที่ควรจะเป็น แบบสอบถามการบริหารงานวิชาการ แบบวัดความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI )</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการจำเป็นในการเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลภาพรวมมีค่า PNI = 0.52 2. รูปแบบการเสริมสร้างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อการามต้องการจำเป้นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปะถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต การบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร ประกอบด้วย 2.1 หลักการร 2.2 วัตถุประสงค์ 2.3 สาระสำคัญ 6 ด้าน 2.4 วิธีดำเนินการ 4 ขั้นตอน 2.5 เงื่อนไขความสำเร็จ 3. ผลการทดลองใช้รูปแบบพบว่า 3.1 สถานศึกษามีการบริหารงานวิชาการได้ในระดับมากที่สุด 3.2 ผู้บริหารสถานศึกษามีความพึงพอใจต่อรูปแบบในระดับมากที่สุด</p> วทัญญู ภูครองนา นิพล อินนอก อุไรรัตน์ ทิพยเนตร ปัญหา หาแก้ว รัตติมา พานิชอนุรักษ์ Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 143 158 องค์ประกอบของการบริหารเชิงกลยุทธ์สู่การเป็นโรงเรียนธรรมาภิบาล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/274764 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารเชิงกลยุทธ์สู่การเป็นโรงเรียนธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นการดำเนินงานของผู้บริหารสถานศึกษาในด้านต่างๆภายใต้กรอบของหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมและธรรมาภิบาลในสถานศึกษา ซึ่งเป็นกลไกในการป้องกันและปราบหรามการทุจริตของประเทศชาติให้กับนักเรียน ครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษาทุกคนในโรงเรียน เพื่อให้กาบริหารสถานศึกษามีคุณภาพสู่การเป็นโรงเรียนธรรมาภิบาล มีองค์ประกอบหลักของการบริหารเชิงกลยุทธ์ 3 องค์ประกอบ คือ 1) การกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์ 2) การปฏิบัติตามกลยุทธ์ 3) การประเมินผลและการควบคุม นอกจากนี้ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการพัฒนากลยุทธ์ในการบริหารสถานศึกษาให้เกิดการบริหารในรูปแบบใหม่ เพื่อวางการฐานการปลูกจิตสำนึก ความซื่อสัตย์สุจริต และการทุจริตในสถานศึกษา ซึ่งจะช่วยให้การบริหารสถานศึกษาตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริตของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ที่ได้มีนโยบายให้สถานศึกษาเป๋นโรงเรียนธรรมาภิบาล ปราศจากการทุจริตคอรัปชั่นทุกประเภท</p> จิราภรณ์ เทพคุ้มกัน ชัยวัฒน์ ประสงค์สร้าง เฉลิมพล มีชัย Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 214 229 คุณลักษณะของผู้เรียนที่พึงประสงค์ในทศวรรษหน้า https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/257322 <p>บทความบทนี้นำเสนอแนวคิดในการจัดการศึกษาไทยในวันนี้และในอนาคตสำหรับนักการศึกษาที่สนใจในการเสริมสร้างคุณลักษณะของผู้เรียน ในทศตวรรษที่กำลังจะมาถึงนี้ การศึกษาไทยจะสามารถกำหนดคุณลักษณะของผู้เรียนที่เหมาะสมดังกล่าวได้ นักการศึกษาไทยจะต้องมีกรอบในการทำความเข้าใจปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ความเข้าใจดังกล่าวจะมีผลต่อการกำหนดนโยบายการศึกษาที่มุ่งส่งเสริมคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของผู้เรียนใน ศตวรรษหน้า บทความนี้ยังนำเสนอ นโยบายการจัดการศึกษาของประเทศที่พัฒนาแล้วเพื่อใช้เป็นข้อมูลในการสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว ผู้เขียนหวังว่า บทความนี้จะชี้ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เห็นความสำคัญของการศึกษาปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อการจัดการศึกษาและนำความเข้าใจดังกล่าวมาสร้างกรอบนโยบายในการกำหนดคุณลักษณะของผู้เรียน ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษหน้า เพื่อให้ผู้เรียนเหล่านั้น สามารถดำรงตนได้อย่างมีความสุขและเป็นประชากรที่มีคุณภาพและพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน</p> ภราดา พีระนันท์ นัมคณิสรณ์ Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 175 197 การประยุกต์ใช้หลักธรรมในมังคลัตถทีปนี เพื่อการดำเนินชีวิตเมื่อเผชิญกับโลกธรรม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/276129 <p>บทความนี้เป็นบทความวิชาการ นำเสนอการประยุกต์ใช้หลักธรรมในมังคลัตถทีปนีเพื่อการดำเนินชีวิตเมื่อเผชิญกับโลกธรรม จากการศึกษาพบว่า ในมังคลัตถทีปนี หลักธรรมที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตเมื่อเผชิญกับโลกธรรม ปรากฎอย่างเด่นชัด 3 หลักธรรม คือ 1) ขันติธรรม 2) โยนิโสมนสิการ และ 3) ไตรลักษณ์ ในการอธิบายมงคลข้อที่ว่าด้วยขันติ และมงคลข้อที่ว่าด้วยอโสกจิต พระสิริมังคลาจารย์ได้พรรณนาขันติธรรมโดยยกนิทานเรื่องขันติวาทีดาบสมาประกอบการอธิบาย ส่วนในเรื่องของโยนิโสมนสิการ ท่านได้อธิบายโดยยกเรื่องพระเจ้าฆตราช มาเป็นนิทานอุทาหรณ์ และในเรื่องไตรลักษณ์ ท่านได้นำเรื่องของชนทั้ง 5 ที่สามารถใช้เป็นตัวอย่างในการพิจารณาไตรลักษณ์มาประกอบการอธิบาย</p> <p>กล่าวโดยสรุป การเผชิญกับโลกธรรม 8 ประการ ตามแนวสารัตถะของมังคลัตถทีปนี ควรใช้หลักธรรม 3 ประการ คือ ขันติธรรม ความอดทนอดกลั้น โยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยอุบายวิธีที่แยบคาย และการพิจารณาไตรลักษณ์ มองเห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่<br /><br />ตัวตน โดยนำโยนิโสมนสิการมาประยุกต์ใช้ในการรับมือกับโลกธรรมฝ่ายดี คือ มีลาภ มียศ สุข สรรเสริญ และการนำขันติธรรมและการพิจารณาไตรลักษณ์มาประยุกต์ใช้ในการรับมือกับโลกธรรมฝ่ายเสื่อม คือ หมดลาภ หมดยศ ทุกข์ และนินทา ซึ่งจะสามารถช่วยให้เผชิญหน้ากับโลกธรรมทั้งฝ่ายดีและฝ่ายเสื่อมอได้ย่างมีสติและดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุข</p> พระมหาธีระวัฒน์ ธิติโชติ (กมลวิบูลย์) จุมพล สุยะต๊ะ พระมหาภากร สิริภทฺโท (ศิริสวัสดิลก) ทิวา สุขุม Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 198 213 องค์กรแห่งความสุขในยุคดิจิทัล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JSSMBU/article/view/273491 <p>การดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกคนต่างก็มีความสุขเป็นจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิต เพราะฉะนั้นการพัฒนาความสุขจึงเป็นการพัฒนาคนและสังคมที่รวมถึงด้านจิตใจและปัญญาด้วย กล่าวได้ว่าความสุขเป็น ตัวชี้วัดทางสังคมหนึ่งที่จะสะท้อนให้เห็นว่าประเทศใดมีมวลรวมความสุขของประชาชนมาก ย่อมแสดงถึงภูมิปัญญาของคนในประเทศนั้น ๆ ซึ่งปัจจุบันการพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นปัจจัยที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตและการปฏิบัติงานมีความสะดวกมากขึ้น หากมีการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ ความสามารถหรือทักษะต่าง ๆ ก้าวทันโลกของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ก็จะทำให้ลดภาระงานบางอย่างและเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการปฏิบัติงานได้ บทความวิชาการเรื่องนี้ ผู้เขียนมุ่งศึกษาและนำเสนอเรื่ององค์กรแห่งความสุขในยุคดิจิทัล จากผลการศึกษาพบว่า องค์กรแห่งความสุขในยุคดิจิทัล หมายถึงองค์กรที่มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งเสริมความสุข ความพึงพอใจ และความผูกพันของพนักงานในสภาพแวดล้อมที่เทคโนโลยีและการสื่อสารดิจิทัลมีบทบาทสำคัญ</p> <p>สรุปผลการศึกษา คุณลักษณะหลักขององค์กรแห่งความสุขในยุคดิจิทัล มีดังนี้ 1. การสื่อสารและการเชื่อมต่อ 2. ความยืดหยุ่น ในการทำงาน 3. การพัฒนาทักษะและการเรียนรู้ <br />4. สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี 5. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี 6. การยอมรับและการให้รางวัล 7. การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งองค์กรแห่งความสุขในยุคดิจิทัลจึงไม่เพียงแต่จะช่วยให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน แต่ยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้กับองค์กรเอง</p> วีรภัทร รุ่งโรจน์นภาดล ชัยวัฒน์ ประสงค์สร้าง สุวิทย์ ภาณุจารี Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2024-12-14 2024-12-14 7 2 159 174