วารสารกระบวนการยุติธรรม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS <div style="color: #000;"> <p><strong>ความเป็นมา</strong></p> <p> วารสารกระบวนการยุติธรรม (Journal of Thai Justice System) เป็นวารสารวิชาการที่จัดทำขึ้นตามภารกิจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ภายใต้พระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2549 ซึ่งมีหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการบริหารงานยุติธรรม ดังนั้น สำนักงานกิจการยุติธรรม ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ จึงได้จัดทำวารสารกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นวารสารราย 4 เดือนขึ้น โดยเริ่มดำเนินการตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2551 เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และเผยแพร่ผลงานวิชาการและงานวิจัยของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ ตลอดจนนิสิต นักศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป และส่งเสริมให้เกิดการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ค้นหาองค์ความรู้ใหม่ๆ และพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้เดิมเพื่อพัฒนางานด้านกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ในด้านการบริหารงานยุติธรรม ด้านกฎหมาย ด้านการบริหารจัดการองค์กรในกระบวนการยุติธรรม หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ผู้สนใจหรือสาธารณชนได้รับรู้อีกด้วย ที่ผ่านมา วารสารกระบวนการยุติธรรมได้จัดพิมพ์บทความวิชาการ บทความวิจัยด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยมีกองบรรณาธิการประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิ อาจารย์ นักวิชาการในสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องพิจารณากลั่นกรองบทความ และได้ดำเนินการเผยแพร่สู่สถาบันการศึกษา หน่วยงาน ตลอดจน สาธารณชนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน</p> <p> วารสารกระบวนการยุติธรรม ได้เสนอเข้ารับการประเมินคุณภาพวารสารจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) ในปี 2556 โดย TCI ได้ประกาศผลการประเมินคุณภาพ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2556 ให้อยู่ในฐานข้อมูล TCI สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยเป็นวารสารวิชาการระดับชาติที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับ มีการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (peer reviewer) จำนวน 3 ท่าน ในแบบ Double–blind peer review ซึ่งเป็นไปตามประกาศ ก.พ.อ. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ (ฉบับที่4) พ.ศ. ๒๕๖๔ ในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ</p> </div> Office of Justice Affairs th-TH วารสารกระบวนการยุติธรรม 2985-2595 <p>ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารกระบวนการยุติธรรม แต่ความคิดเห็นที่ปรากฏในเนื้อหาของบทความในวารสารกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว</p> แนวทางที่เหมาะสมในการจัดการความขัดแย้งตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์สำหรับงานยุติธรรมชุมชนในเขตเทศบาลเมือง/นครของประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/272181 <p>ถึงแม้ว่ากระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ขับเคลื่อน งานยุติธรรมชุมชนตามแนวทาง การจัดการความขัดแย้งตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง แต่กลับพบว่าไม่เป็นที่นิยมในเขตเมือง ชาวเมืองส่วนใหญ่ยังพึ่งพากระบวนการยุติธรรมกระแสหลักเพื่อจัดการ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น การวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งศึกษาถึงช่องว่างการดำเนินงานยุติธรรมชุมชนเชิงสมานฉันท์ในเขตเมืองเพื่อนำเสนอแนวทางในการลดช่องว่าง และแนวทางที่เหมาะสมในการจัดการความขัดแย้งสำหรับงานยุติธรรมชุมชนในเขตเทศบาลเมือง/นครของประเทศไทย โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญและการสัมมนาอิงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ผลการศึกษาพบช่องว่างระหว่างเป้าหมายและการจัดการความขัดแย้งในเขตชุมชนเมือง กล่าวคือขาดการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง ไม่มีกฎหมายบังคับให้คู่พิพาทเข้าร่วมกระบวนการไกล่เกลี่ยตามนัดหมาย ขาดมาตรฐานการดำเนินการของแต่ละศูนย์ไกล่เกลี่ย ไม่มีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการติดตามผลการไกล่เกลี่ย ขาดแนวทางสำหรับการขับเคลื่อนงานยุติธรรมชุมชนในเขตเมือง ขาดแนวทางในการสร้างเครือข่าย บุคลากรไม่เพียงพอ และขาดงบประมาณสำหรับดำเนินการยกระดับมาตรฐานการดำเนินการ จากผลการศึกษาดังกล่าวนำมาสู่ข้อเสนอแนวทางในการลดช่องว่าง กล่าวคือ ควรพัฒนาระบบให้บริการที่สะดวกและรวดเร็ว ควรกำหนดข้อบังคับเพื่อให้คู่พิพาทเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยควรพัฒนาช่องทางการประชาสัมพันธ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายประชาชนในเขตเมือง ควรกำหนดรูปแบบประเมินผลที่เป็นเป็นมาตรฐาน และควรแสวงหาความร่วมมือเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรในด้านอื่นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับแนวทางที่เหมาะสมในการจัดการความขัดแย้งตามกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในเขตชุมชนเมือง ประกอบด้วย การจัดทำแนวทางการดำเนินการไกล่เกลี่ยที่เป็นมาตรฐาน การพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยโดยสะดวกและลดขั้นตอนทางเอกสารให้แก่เจ้าหน้าที่ การส่งเสริมให้ประชาชนในเขตเมืองเข้ามามีส่วนร่วมในการคัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อขึ้นบัญชีเป็นผู้ไกล่เกลี่ย การพัฒนาหลักสูตรเพื่อยกระดับทักษะการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทให้แก่ผู้ไกล่เกลี่ย การพัฒนาแฟลตฟอร์มสำหรับการติดตามผลตามข้อตกลง ตลอดจนการพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลจัดทำข้อมูลเชิงสถิติ และการถอดบทเรียน โดยข้อเสนอแนะนี้ได้รับการยอมรับและยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง</p> <p> </p> ณพวรรณ ปัญญา โสรัตน์ กลับวิลา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 1 20 ปัญหาการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในคดีอาญา ศึกษาพื้นที่ ตำบลพังเคน อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/276933 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาแนวคิด หลักการการกำหนดความผิดทางอาญาและไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท ความผิดทางอาญาอันยอมความได้ รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องและศึกษาปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในทางอาญา วิเคราะห์และเสนอแนะแนวทางการพัฒนากฎหมายอาญาและการ ไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในทางอาญาในพื้นที่ตำบลพังเคน อําเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานีให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยใช้เครื่องมือศึกษาวิจิยเชิงคุณภาพเป็นหลัก (1) การศึกษาจากวรรณกรรม (2) การสัมภาษณ์ แบบมีโครงสร้างแบบเจาะจงตัวบุคคล จำนวน 18 คน และ (3) การจัดประชุมระดมสมองผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ จำนวน 11 คน จากการศึกษา พบว่า มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทหลายฉบับในพื้นที่ส่งผลต่อการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางอาญา ได้แก่ (1) ความสับสนในขอบเขตอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและความซ้ำซ้อนของหน่วยงาน (2) ปัญหาการบ่ายเบี่ยงไม่ดำเนินการตามกฎหมาย เนื่องจากมีหลายภาคส่วนใน การดำเนินการ และ (3) ปัญหาในการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายโดยเฉพาะประชาชน เกิดความสับสนและความไม่ชัดเจนในการปฏิบัติตามและประการสำคัญจากการวิเคราะห์ปัญหาการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในคดีอาญาในตำบลพังเคน อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลราชธานี พบว่า ประชาชนในพื้นที่ ต.พังเคน อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี ขาดความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกระบวนการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทในทางอาญา โดยเฉพาะลักษณะความผิดทางอาญาที่สามารถเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยได้ และประเด็นเกี่ยวเนื่องกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เช่น คุณสมบัติของผู้ไกล่เกลี่ยต้องมี ความเป็น กลาง ได้รับการยอมรับจากคู่กรณี การรักษาความลับข้อเท็จจริงในเรื่องพิพาท ความน่าเชื่อถือของบุคลากรและหน่วยงาน รวมถึงความเข้าใจถึงขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาทได้ ดังนั้น จึงมีข้อเสนอแนะ ดังนี้ การส่งเสริมระบบนิเวศเรียนรู้ทางกฎหมาย (Legal Learning Ecosystem: LLE) ให้เกิดขึ้นในชุมชน ผู้ชุมชน ประชาชาชน เห็นความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายและเข้าใจกฎหมายและกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท และการพิจารณาปรับปรุง แก้ไขหรือยกเลิกกฎหมาย ข้อบังคับ ระเบียบให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562</p> อภินันท์ ศรีศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 21 42 การพัฒนากฎหมายคุ้มครองแรงงานสูงอายุเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/277204 <p> งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาสภาพปัญหาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายไทยในการจ้างแรงงานสูงอายุ และ (2) ศึกษาและวิเคราะห์กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายต่างประเทศเพื่อหาแนวทางการพัฒนากฎหมายการจ้างแรงงานสูงอายุของไทยโดยใช้วิธีศึกษาจากเอกสาร จากการศึกษาปัญหาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายของประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกาและไทย พบว่า สังคมสูงวัยของทุกประเทศต่างประสบปัญหาการเลือกปฏิบัติจากการหางานของผู้สูงวัยที่ยังต้องการทำงานเพื่อหารายได้ ส่วนกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายประเทศที่ศึกษาต่างกำหนดหลักการไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งอายุ และกำหนดช่วงเกษียณอายุที่แตกต่างกันไป รวมทั้งมีมาตรการส่งเสริมการจ้างงาน ส่วนกฎหมายไทยยังไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และยังแตกต่างจากกฎหมายของประเทศดังกล่าว แต่มีมาตรการและแนวทางการส่งเสริมการจ้างงาน ผู้สูงอายุเหมือนกัน ดังนั้น แนวทางพัฒนากฎหมายคุ้มครองแรงงานสูงอายุของไทยจึงต้องปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายคุ้มครองโดยการขยายอายุเกษียณ และกำหนดความหมาย “แรงงานสูงอายุ” ไว้เป็นการเฉพาะควบคู่กัน และรับรองหลักการไม่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งอายุให้ชัดเจน รวมทั้งมีมาตรการที่เป็นแนวทางให้นายจ้างปฏิบัติต่อแรงงานสูงอายุตามข้อจำกัดที่มีเพื่อรองรับโครงสร้างสังคมสูงวัย</p> จันทราทิพย์ สุขุม กรรณภัทร ชิตวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 43 70 การป้องกันอาชญากรรมและการคุ้มครองการถูกละเมิดสิทธิของผู้สูงอายุ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/277421 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการเกิดอาชญากรรมและสถานการณ์การถูกละเมิดสิทธิกับผู้สูงอายุ ศึกษากรณีตำบลเหล่าแดง อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานยุติธรรมจังหวัดอุบลราชธานี เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ผู้นำชุมชน ผู้สูงอายุ และอาสาสมัครชุมชน การสนทนากลุ่มสมาชิกชุมชน จากการเลือกแบบลูกโซ่ (Snowball sampling) จำนวน 20 คน การสังเกต และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาอาชญากรรมต่อผู้สูงอายุ ได้แก่ การฉ้อโกง การทำร้ายร่างกาย การข่มขู่ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการถูกละเมิดสิทธิผู้สูงอายุ คือ การถูกทอดทิ้ง การขาดรายได้ และปัญหาเร่ร่อน สาเหตุเกิดจากสภาพเศรษฐกิจ ความเปราะบางด้านสุขภาพ และการขาดการสนับสนุนจากระบบสังคม ผู้สูงอายุ ในพื้นที่ประสบกับความเสี่ยงอาชญากรรมและการถูกละเมิดสิทธิจากบุคคลใกล้ชิดที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แนวทางการป้องกัน ได้แก่ การส่งเสริมความเข้มแข็งให้แก่ผู้สูงอายุและสมาชิกในชุมชน และการสร้างระบบสนับสนุนผู้สูงอายุในระดับท้องถิ่น ได้แก่ การตั้งกลุ่มบ้านผู้สูงอายุ (Elderly Home Groups) และการแต่งตั้งผู้จัดการกรณี (Case Manager) พร้อมทั้งการพัฒนาช่องทางการรายงานและการเข้าถึงบริการสนับสนุนทางกฎหมาย ข้อเสนอแนะ คือ ควรมีการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้สูงอายุจากการทารุณกรรม และร่างพระราชบัญญัติความยุติธรรมสำหรับผู้สูงอายุ ควบคู่กับการจัดตั้งกองทุนเพื่อความยุติธรรมสำหรับผู้สูงอายุ และควรมีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชน ด้านงบประมาณ และบุคลากรในการดำเนินงานเพื่อเป็นเครือข่ายในป้องกันอาชญากรรมและการถูกละเมิดสิทธิสำหรับผู้สูงอายุให้มีความเหมาะสมและยั่งยืน</p> เลอพร ศุภสร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 71 88 แนวทางปฏิบัติต่อผู้เข้าร่วมโครงการสร้างงาน สร้างอาชีพ ฝึกทักษะการทำงานในภาคอุตสาหกรรม (โครงการพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษ) กรณีศึกษาเรือนจำกลางสมุทรปราการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/279813 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ ปัญหาและอุปสรรค ปัจจัยความสำเร็จ ในการดำเนินการโครงการสร้างงาน สร้างอาชีพ ฝึกทักษะการทำงานในภาคอุตสาหกรรม (โครงการพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษ) กรณีศึกษาเรือนจำกลางสมุทรปราการ โครงการฯ และข้อเสนอเชิงนโยบายแนวทางปฏิบัติต่อผู้เข้าร่วมโครงการฯ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง 23 ราย และการสนทนากลุ่ม 10 ราย ผลการศึกษาพบว่า โครงการสามารถบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านผลผลิต (Outputs) ผลลัพธ์ (Outcomes) และความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ โครงการ "สมุทรปราการโมเดล" ได้ประยุกต์ใช้นโยบายการพักโทษร่วมกับการฝึกวิชาชีพในสถานประกอบการจริง โดยมีการควบคุมผู้ต้องขังผ่านกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ซึ่งช่วยลดภาระของเรือนจำ เสริมสร้างทักษะอาชีพให้ผู้ต้องขัง และเตรียมความพร้อมก่อนกลับคืนสู่สังคม ภาครัฐได้รับประโยชน์จากการลดค่าใช้จ่ายและเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กร ส่วนภาคเอกชนได้รับแรงงานฝีมือที่ช่วยลดต้นทุนการฝึกอบรม ผู้ต้องขังสามารถสร้างรายได้ ส่งเงินช่วยเหลือครอบครัว และได้รับการยอมรับจากสังคมมากขึ้น โครงการนี้จึงเป็นต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทางเลือกใหม่ให้แก่ระบบราชทัณฑ์ไทยอย่างยั่งยืน</p> สุดา สุวรรณรักษ์ ธรรมวิทย์ เทอดอุดมธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 89 126 มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองนักศึกษาฝึกงานในประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/277272 <p>บทความวิจัยเชิงคุณภาพนี้ เป็นการวิจัยเอกสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานและสวัสดิการของนักศึกษาฝึกงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงศึกษาความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างนายจ้างกับนักศึกษาฝึกงาน เพื่อหามาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมในการคุ้มครองสวัสดิการนักศึกษาฝึกงาน ผลการศึกษาพบว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 ในปัจจุบันยังไม่คุ้มครองถึงนักศึกษาฝึกงาน ทำให้บางครั้งนักศึกษาฝึกงานถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง เช่น ทำงานโดยไม่มีค่าจ้าง ทำงานโดยไม่มีระยะเวลา วันหยุด วันลา ตามกฎหมาย นอกจากนี้ หากประสบอุบัติเหตุ หรือได้รับอันตรายจากการทำงานในทางการที่จ้าง ก็ไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายเหมือนลูกจ้างปกติ ขณะที่ต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ สหรัฐอเมริกา (มลรัฐแคลิฟอร์เนีย) สาธารณรัฐสิงคโปร์ ได้ให้นิยามสัญญาจ้างแรงงานครอบคลุมไปถึงการฝึกงาน ทำให้นักศึกษาฝึกงานที่อยู่ภายใต้สัญญาจ้างแรงงานและได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานด้วย ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงความสัมพันธ์พิเศษที่เกิดขึ้นระหว่างนายจ้างและนักศึกษาฝึกงานทั้งประเด็นการร่วมรับผิดในทางละเมิด ประเด็นการใช้อำนาจควบคุมดูแลการทำงานของนายจ้างที่มีต่อนักศึกษาฝึกงาน พบว่า นักศึกษาฝึกงานมีสถานะแทบไม่แตกต่างไปจากลูกจ้างตามกฎหมาย ดังนั้น กฎหมายทั้งสองฉบับจึงควรแก้ไขปรับปรุงให้นักศึกษาฝึกงานได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานเช่นเดียวกันกับลูกจ้างทั่วไป</p> กันตพงศ์ แสงพวง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 127 142 การจัดการปัญหาสิทธิการได้สัญชาติไทย: กรณีศึกษานักศึกษาไร้สัญชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/276928 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจและศึกษาถึงสภาพปัญหาเบื้องต้นของนักศึกษาไร้สัญชาติมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ในการเข้าถึงสิทธิการได้สัญชาติไทยและเพื่อศึกษาถึงแนวทาง ในการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายให้แก่นักศึกษาไร้สัญชาติให้สามารถเข้าถึงสิทธิการได้สัญชาติไทย เป็นการวิจัยเพื่อแสวงหาความรู้ทางข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย โดยศึกษาความเป็นไปได้ทางกฎหมายเพื่อการจัดการปัญหาสิทธิการได้สัญชาติไทย และให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายในการเข้าถึงสิทธิการได้สัญชาติไทย พบประเด็นปัญหาสำคัญในการเข้าถึงสิทธิในสัญชาติไทย 3 ประเด็น ได้แก่ (1) แนวทางปฏิบัติตามหลักกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิการได้สัญชาติไทยมีหลายขั้นตอนและมีค่าใช้จ่ายที่สูง (2) กลุ่มนักศึกษาไร้สัญชาติขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิการได้สัญชาติไทยตามกฎหมายหมายและหลักเกณฑ์ของทางราชการ และ (3) เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องกับสิทธิการได้สัญชาติไทยยังไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างถูกต้อง จากผลการวิจัย เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับสัญชาติไทยและแนวทางการดำเนินงานบังคับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากล รวมถึงการพัฒนาความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิการได้สัญชาติไทยให้แก่กลุ่มนักศึกษาไร้สัญชาติและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้สามารถแยกประเภทของกลุ่มนักศึกษาไร้สัญชาติเพื่อการยื่นขอสัญชาติไทยตามกฎหมายให้ถูกต้องและเป็นธรรม</p> ณฐ นารินทร์ อัญนลินต์ กมลนันธกิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 143 168 แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของคนพิการในการตรากฎหมายภายใต้มาตรา 77 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/280703 <p>การวิจัยเรื่องแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมของคนพิการในการตรากฎหมายภายใต้มาตรา 77 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 นี้มีวัตถุประสงค์ (1) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคต่อการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นของคนพิการในการจัดทำร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (2) ศึกษารูปแบบ วิธีการ ระยะเวลาและระดับการมีส่วนร่วมของคนพิการโดยพิจารณาประเด็นทั้งด้านกฎหมายและช่องทางในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประชาชน และ (3) เสนอแนวทางพัฒนาการรับฟังความคิดเห็นของคนพิการในการออกกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร และการวิจัยภาคสนามด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก การระดมความคิดเห็นด้วยการสนทนากลุ่มเจาะจง การมีส่วนร่วมออกแบบ-ร่วมออกแบบ และการระดมรับฟังความคิดเห็น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า แม้ว่าโดยหลักการแล้วคนพิการสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายได้ก็ตาม แต่ด้วยข้อจำกัดทางร่างกายทั้งที่สามารถมองเห็นได้โดยประจักษ์และที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยประจักษ์ ทำให้คนพิการไม่อาจอุปโภคสิทธิดังกล่าวได้อย่างเสมอภาคและทัดเทียมกับบุคคลทั่วไป ประกอบกับการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายยังไม่เอื้อต่อการเข้าถึง ของคนพิการแต่ละประเภท ดังนั้น เพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายได้อย่างเสมอภาคและทัดเทียมกับบุคคลทั่วไป จึงจำเป็นต้องบูรณาการประเด็นความพิการเข้าไปในทุกขั้นตอนของกระบวนการรับฟังความคิดเห็น รวมทั้งการจัดเตรียมรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย การใช้เทคโนโลยีที่รองรับการเข้าถึงของคนพิการ และการจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมกับความต้องการจำเป็นพิเศษของแต่ละประเภทความพิการ</p> อานนท์ ศรีบุญโรจน์ หทัยกาญจน์ กำเหนิดเพชร จิดาภา พรยิ่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 169 190 ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่อาชีพและความเสี่ยงการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมของอาชีพเอนเตอร์เทนเนอร์ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/JTJS/article/view/280658 <p>อาชีพเอนเตอร์เทนเนอร์ เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ทางสังคมที่ทำให้มีการตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรง การทำร้าย และการข่มขู่บังคับ การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่อาชีพเอนเตอร์เทนเนอร์ ในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาความเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมของผู้ประกอบอาชีพเอนเตอร์เทนเนอร์ และเพื่อเสนอแนะแนวทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมของผู้ประกอบอาชีพเอนเตอร์เทนเนอร์ งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่เลือกโดยใช้วิธีเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 12 คน ซึ่งประกอบด้วย 1) กลุ่มเจ้าของสถานประกอบการ จำนวน 2 คน 2) กลุ่มหนุ่มสาวเอนเตอร์เทนเนอร์ จำนวน 8 คน และ 3) กลุ่มนักอาชญาวิทยาและเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำนวน 2 คน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่อาชีพนี้ประกอบด้วย ปัจจัยทางสังคม ครอบครัว เศรษฐกิจ บุคลิกภาพ และภาระงาน นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ประกอบอาชีพนี้มีความเสี่ยงสูงต่อการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ทั้งในด้านสถานที่ทำงาน ด้านการเดินทาง ด้านการขาดสติจากการดื่มหรือใช้สารเสพติด ด้านการปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าที่หลากหลาย และด้านความไม่ชัดเจนของมาตรการทางกฎหมาย โดยมีแนวทางการป้องกันและแก้ไขในหลายมิติ อาทิ การเพิ่มมาตรการความปลอดภัยในสถานประกอบการ การส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับกฎหมายให้แก่ผู้ประกอบอาชีพ การอบรมทักษะเอาตัวรอด และการผลักดันนโยบายหรือกฎหมายเฉพาะที่ครอบคลุมการคุ้มครองสิทธิของแรงงานในสายงานนี้ ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนานโยบาย สร้างความปลอดภัย และลดความเสี่ยงต่อการคุกคามทางเพศของผู้ที่ประกอบอาชีพเอนเตอร์เทนเนอร์อย่างเป็นรูปธรรม</p> <p> </p> นิธิตรา เชาว์พยัคฆ์ เสกสัณ เครือคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารกระบวนการยุติธรรม https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-08-29 2025-08-29 18 2 191 210