วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB
<table border="0" cellspacing="0" cellpadding="0" align="center"> <tbody> <tr> <td width="500" height="263"><img src="http://journal.bus.ku.ac.th/images/banners/b3Co.jpg" alt="b3Co" width="500" height="263" /></td> <td> </td> <td> <p> “วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์ (Kasetsart Applied Business Journal: KAB Journal)” เรามุ่งเน้นเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับสาขาบริหารธุรกิจ โดยมีขอบเขตและเป้าหมายในการตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการ ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาด้านการเงิน การจัดการ การจัดการการผลิต การตลาด การบัญชี และสาขาอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ และยังเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิชาการอย่างเป็นรูปธรรม </p> <span lang="TH"><br /></span></td> </tr> <tr> <td colspan="3"> <p> ในสาขาบริหารธุรกิจทั่วประเทศ ได้มีแหล่งนำเสนอบทความและผลงานวิชาการ วิทยานิพนธ์ให้เผยแพร่สู่ชุมชนวิชาการอย่างเป็นรูปธรรม โดยได้จัดทำฉบับพิมพ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ได้เริ่มเผยแพร่ฉบับพิมพ์ตั้งแต่ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2550) </p> <p> และในปี พ.ศ. 2560 คณะทำงานฯ ได้เริ่มดำเนินการปรับปรุงวารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์ (Kasetsart Applied Business Journal: KAB Journal) ให้เป็นวารสารฉบับอิเล็กทรอนิกส์ ISSN: 1906-0254 (Print) และ ISSN: 2539-6250 (Online) ซึ่งจะเริ่มในปีที่ 11 ฉบับที่ 14 เดือนมิถุนายน 2560 ควบคู่ไปกับวารสารฉบับพิมพ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการเข้าถึงบทความในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว</p> <p> โดยในปัจจุบันทางวารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์ (Kasetsart Applied Business Journal: KAB Journal) ได้ดำเนินการยกเลิกวารสารฉบับรูปเล่ม เหลือเพียงวารสารฉบับอิเล็กทรอนิกส์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น และดำเนินการเปลี่ยนเลขใหม่ <strong>ISSN: 2985-2277 (Online) ซึ่งจะเริ่มใช้เลข ISSN ดังกล่าวนี้ ในปีที่ 17 ฉบับที่ 27 เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2566 เป็นต้นไป</strong></p> <p> กองบรรณาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความต่างๆที่ปรากฏในวารสารจะส่งผลประโยชน์ทางวิชาการแก่ท่านตามสมควร และหากท่านมีความประสงค์จะติชมหรือให้คำแนะนำ กองบรรณาธิการยินดีรับฟังท่านด้วยความเต็มใจ โดยท่านสามารถส่งข้อเสนอแนะมาที่ E-mail: <a href="mailto:kabjournal@ku.ac.th">kabjournal@ku.ac.th</a> หรือที่ <a href="https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB/about/contact">https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB</a> เพื่อที่กองบรรณาธิการจะได้รับและนำไปปรับปรุงต่อไป </p> <p>กองบรรณาธิการ</p> <p> </p> </td> </tr> <tr> <td colspan="3"><strong>หลักการและเหตุผล</strong></td> </tr> <tr> <td colspan="3"> <p> ด้วยสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กำหนดหลักเกณฑ์ว่าบัณฑิตที่ศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จะต้องมีการเผยแพร่วิทยานิพนธ์ในวารสารทางวิชาการที่มีคณะกรรมการภายนอกมาร่วมกลั่นกรอง (Peer Review) ก่อนการตีพิมพ์ทั้งนี้เพื่อประกันคุณภาพของผลงานก่อนการเผยแพร่ในระดับชาติ และนานาชาติประกอบกับนโยบายดังกล่าวได้สอดคล้องกับนโยบายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่มุ่งเน้นการเป็นมหาวิทยาลัยวิจัยตลอดจนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการประเมินคุณภาพด้านการเผยแพร่ผลงาน วิชาการภายใต้เกณฑ์มาตรฐานของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) โดยที่มีดัชนีชี้วัดที่ระบุถึงจำนวนวิทยานิพนธ์ ผลงาน งานวิจัยที่พิมพ์เผยแพร่ในระดับชาติและนานาชาติ รวมทั้งการชี้นำสังคมในแนวทางที่ถูกต้องผ่านการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการ</p> <p> </p> </td> </tr> <tr> <td colspan="3"><strong>วัตถุประสงค์ของโครงการ</strong></td> </tr> <tr> <td colspan="3"> <p> 1. เพื่อสนองนโยบายของคณะบริหารธุรกิจ ในการนำเสนอผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ นิสิตปริญญาโท นิสิตปริญญาเอก และบุคคลที่สนใจได้เผยแพร่ผลงานอันจะนำไปสู่งานบริการทางวิชาการระดับนานา ชาติ</p> <p> 2. เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่บทความ ผลงานวิจัย วิทยานิพนธ์</p> <p> 3. เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าให้กับนิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจได้ศึกษาหาความรู้จากบทความ ผลงานวิจัย และบทวิจารณ์หนังสือ</p> <p> </p> </td> </tr> <tr> <td colspan="3"><strong>ขอบเขตและเป้าหมาย</strong></td> </tr> <tr> <td colspan="3"> <p> วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์เป็นวารสารที่มีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองและประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากหลากหลายสถาบัน ในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่าน โดยวิธีการประเมินเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งสองฝ่าย (Double-Blind Peer Review) ตามสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยมีขอบเขตและเป้าหมายในการตีพิมพ์บทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทั้งบทความวิจัย (Research Article) บทความวิชาการ (Academic Article) ซึ่งครอบคลุมเนื้อหา ได้แก่</p> <ul> <li><strong>ด้านการเงิน</strong> เช่น การเงินธุรกิจ การลงทุน ตลาดการเงิน อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน นวัตกรรมทางการเงิน การบริหารความเสี่ยง และประสิทธิภาพของนโยบายทางการเงิน</li> <li><strong>ด้านการจัดการ </strong>เช่น การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การบริหารองค์การ การพัฒนาธุรกิจ การจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ การจัดการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการวิเคราะห์ข้อมูล</li> <li><strong>ด้านการจัดการเทคโนโลยีและการปฏิบัติการ</strong> เช่น กลยุทธ์การปฏิบัติการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ การจัดการด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน การบริหารคุณภาพ การบริหารโครงการ การบริหารเทคโนโลยีและนวัตกรรม การคาดการณ์และนโยบายด้านเทคโนโลยี การประยุกต์เทคโนโลยี ผลกระทบของเทคโนโลยีต่อองค์กร แพลตฟอร์ม และระบบนิเวศทางธุรกิจ</li> <li><strong>ด้านการตลาด</strong> เช่น กลยุทธ์การตลาดทั้งในส่วนของ B2B และ B2C การตลาดออนไลน์ พฤติกรรมผู้บริโภค การสื่อสารทางการตลาด กลยุทธ์ตราสินค้า การตลาดเพื่อสังคม การตลาดบริการ และการตลาดกีฬา</li> <li><strong>ด้านการบัญชี</strong> เช่น บัญชีการเงิน บัญชีบริหาร การสอบบัญชี การควบคุมภายใน สารสนเทศทางการบัญชี การเปิดเผยข้อมูลของกิจการ (Firm Disclosure) และบัญชีภาษีอากร</li> <li><strong>และสาขาอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องหรือมีการบูรณาการกับศาสตร์ทางด้านบริหารธุรกิจ</strong></li> </ul> <p> </p> </td> </tr> <tr> <td colspan="3"><strong>กำหนดออก</strong></td> </tr> <tr> <td colspan="3"> วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์ (Kasetsart Applied Business Journal: KAB Journal) เป็นวารสารราย 6 เดือน (1 ปี มี 2 ฉบับ) กำหนดออก<br /> <p><strong>- ฉบับที่หนึ่ง</strong> เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน<br /><strong>- ฉบับที่สอง</strong> เดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคมของทุกปี</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p><br /><br /></p>
คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
th-TH
วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์
2985-2277
<p><em><span style="font-weight: 400;">Journal of TCI is licensed under a Creative Commons </span></em><a href="https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/"><em><span style="font-weight: 400;">Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)</span></em></a><em><span style="font-weight: 400;"> licence, unless otherwise stated. Please read our Policies page for more information...</span></em></p>
-
ผลกระทบของความเครียดทางเทคโนโลยีและความขัดแย้งภายในองค์กรต่อสภาวะหมดไฟในการทำงานของพนักงานและผู้ประกอบการในประเทศไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB/article/view/271874
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดทางเทคโนโลยี (Technostress) ที่มีองค์ประกอบทั้งหมด 5 ด้าน และความขัดแย้งภายในองค์กรที่มีองค์ประกอบทั้งหมด 3 ด้าน ส่งผลต่อการเกิดสภาวะหมดไฟในการทำงาน (Job Burnout) ของพนักงานในองค์กรและผู้ประกอบการภายในประเทศไทยอย่างไร หลาย ๆ องค์การได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยการนำเอาเทคโนโลยีอื่น ๆ มาใช้กับทุกภาคส่วนในองค์กร การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้และส่งเสริมให้พนักงานนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการทำงานเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ แต่ในทางกลับกันก็ก่อให้เกิดความเครียดทางเทคโนโลยี (Technostress) แก่บุคลากรในองค์กรและผู้ประกอบการ ในแง่ของภาระงานหลากหลายและเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งในปัจจุบันสังคมไทยกำลังประสบปัญหาความขัดแย้ง การแตกแยก และแบ่งฝ่ายอย่างรุนแรงและยืดเยื้อต่อเนื่องระหว่างคนไทยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และมีแนวโน้มว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นในสังคมไทยส่งต่อถึงความขัดแย้งภายในองค์กร <br />(Intra-organization Conflict) ซึ่งส่วนหนึ่งของการทำงานโดยเฉพาะเมื่อพนักงานในองค์กรและผู้ประกอบการเมื่อต้องอยู่ร่วมกัน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาความเครียดที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีและความขัดแย้งภายในองค์กรที่นำไปสู่การเกิดสภาวะหมดไฟในการทำงาน เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและความขัดแย้งภายในองค์กร ผลการศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่า ความเครียดทางเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกต่อสภาวะหมดไฟในการทำงาน และองค์ประกอบของความเครียดทางเทคโนโลยีที่ส่งผลให้เกิดสภาวะหมดไฟในการทำงาน คือ ด้านการรุกล้ำความเป็นส่วนตัว ด้านความรู้สึกไม่มั่นคงในงาน และด้านความไม่แน่นอนของเทคโนโลยี อีกทั้งยังพบว่า ปัจจัยความขัดแย้งในองค์กรส่งผลให้เกิดสภาวะหมดไฟในการทำงาน คือ ความขัดแย้งด้านเป้าหมายของงานและความขัดแย้งในความสัมพันธ์</p>
จุล ธนศรีวนิชชัย
กรองทอง ทองมาก
ธนวรรณ โทรสัมพันธ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
19 30
1
25
10.14456/kab.2025.1
-
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพกำไรกับราคาตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB/article/view/272783
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพกำไรและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพกำไรกับราคาตลาดหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิงบการเงินปี พ.ศ. 2562 - 2564 จำนวน 261 ตัวอย่าง ใช้สถิติวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา<br />คือ ค่าเฉลี่ย ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด และร้อยละ และใช้สถิติเชิงอนุมาน คือ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์พหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพกำไรโดยพิจารณาจากรายการคงค้างจากดุลยพินิจของผู้บริหาร (DAC) <br />มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาตลาดของหลักทรัพย์ (SP) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ตัวแปรควบคุม ได้แก่ ขนาดของกิจการ (SIZE) มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาคาตลาดของหลักทรัพย์ (SP) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และความเสี่ยงทางการเงิน (LEV) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับราคาตลาดของหลักทรัพย์ (SP) อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ส่วนตัวแปรควบคุมอื่น ได้แก่ สำนักงานสอบบัญชีขนาดใหญ่ (AUDIT FIRM) อัตราการเติบโตของกิจการ (GROWTH) และอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ไม่มีความความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับราคาตลาดของหลักทรัพย์ (SP)</p>
ปานฉัตร อาการักษ์
วิชชกานต์ เมธาวิริยะกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
19 30
26
42
10.14456/kab.2025.2
-
ปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB/article/view/274190
<p>บทความวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบการตัดสินใจเลือกใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตามลักษณะส่วนบุคคลของผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล และศึกษาอิทธิพลของปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่มีต่อการตัดสินใจเลือกใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในจังหวัดนครราชสีมา กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง 400 ราย และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.861 นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการทดสอบที (t-test) ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way Analysis of Variance) สถิติวิเคราะห์สัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณ (Multiple linear Regression) และสถิติสหสัมพันธ์ (Correlation) ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ส่งผลต่อ<br />การตัดสินใจเลือกใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวม ไม่แตกต่างกัน และปัจจัยทางการตลาด ประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ <br />ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านกระบวนการ และด้านลักษณะทางกายภาพมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเลือกใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวม โดยปัจจัยทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและสามารถพยากรณ์ได้ 3 ด้าน คือ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านกระบวนการ และด้านลักษณะทางกายภาพ ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญในปัจจัยทางการตลาด เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ</p>
อัจฉราพรรณ ตั้งจาตุรโสภณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
19 30
43
58
10.14456/kab.2025.3
-
อิทธิพลของภาพลักษณ์ตราสินค้า อัตลักษณ์ตราสินค้า การรับรู้คุณค่า และความรักในตราสินค้าต่อการเป็นสาวกตราสินค้าสมาร์ทโฟนในประเทศไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB/article/view/274304
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นสาวกตราสินค้าสมาร์ทโฟน โดยทำการศึกษาใน <br />4 ปัจจัย ได้แก่ ภาพลักษณ์ตราสินค้า อัตลักษณ์ตราสินค้า การรับรู้คุณค่า และความรักในตราสินค้า โดยกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริโภคที่ใช้สมาร์ทโฟนไอโฟนและซัมซุงมาเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน จำนวน 800 คน งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ และใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีตามสะดวก และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์สมการถดถอยในการทดสอบสมมติฐาน ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยด้านภาพลักษณ์ตราสินค้า อัตลักษณ์ตราสินค้า การรับรู้คุณค่า และความรักในตราสินค้ามีอิทธิพลต่อการเป็นสาวกตราสินค้าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.00 โดยผลการวิจัยในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดและการสื่อสารตราสินค้าไปยังผู้บริโภคเพื่อให้เกิดสาวกตราสินค้า ซึ่งจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับตราสินค้าและทำให้ตราสินค้ามีความได้เปรียบทางการแข่งขันต่อไป</p>
วันวิสาข์ เพชรบุรี
ศศิวิมล สุขบท
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
19 30
59
77
10.14456/kab.2025.4
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (โชห่วย) กรณีศึกษาจังหวัดชลบุรี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB/article/view/274545
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับคุณลักษณะของผู้ประกอบการ กลยุทธ์การปรับตัว การสืบทอดธุรกิจครอบครัว และความอยู่รอดของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (โชห่วย) และเพื่อศึกษาถึงคุณลักษณะของผู้ประกอบการ กลยุทธ์การปรับตัว และการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ที่มีผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (โชห่วย) กรณีศึกษาจังหวัดชลบุรี โดยศึกษาในรูปแบบงานวิจัยเชิงปริมาณและใช้เครื่องมือแบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจโชห่วย จำนวน 390 ตัวอย่าง ในจังหวัดชลบุรี ประกอบไปด้วย อำเภอเมืองชลบุรี อำเภอศรีราชา และอำเภอบางละมุง โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบกำหนดโควต้า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณแบบขั้นตอน และการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย ผลการศึกษา พบว่าคุณลักษณะของผู้ประกอบการ กลยุทธ์การปรับตัว และการสืบทอดธุรกิจครอบครัว ส่งผลต่อความอยู่รอดของธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (โชห่วย) กรณีศึกษาจังหวัดชลบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
ณัฐพร ทิพย์มณี
นิภา นิรุตติกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
19 30
78
99
10.14456/kab.2025.5
-
แบบจําลองสมการเชิงโครงสร้างแรงจูงใจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการธุรกิจสปาในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/KAB/article/view/275223
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบจําลองสมการเชิงโครงสร้างแรงจูงใจที่ส่งผลต่อการใช้บริการธุรกิจสปาในอำเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น เพื่อยืนยันแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้างแรงจูงใจที่ส่งผลต่อการใช้บริการธุรกิจ สปาในอำเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น และเพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบแรงจูงใจที่ส่งผลต่อการใช้บริการธุรกิจสปาในอำเภอเมืองจังหวัดขอนแก่น ระหว่างกลุ่มผู้ใช้บริการสปาที่ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวกับกลุ่มผู้ใช้บริการสปาที่เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณด้วยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้บริการสปาจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ผลด้วยสถิติโดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis: CFA) ประกอบกับการวิเคราะห์แบบจําลองสมการเชิงโครงสร้าง (Structural Equation Model Analysis: SEM) ผลการศึกษาพบว่า อาชีพที่ต่างกันส่งผลต่อแรงจูงใจที่มีอิทธิพลต่อการใช้บริการแตกต่างกัน สำหรับอาชีพธุรกิจส่วนตัว แรงจูงใจด้านส่วนผสมทางการตลาด คือ ช่องทางการจัดจําหน่ายออนไลน์และการจัดโปรโมชัน แรงจูงใจด้านภาพลักษณ์และความมีชื่อเสียงของร้าน ความต้องการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการและความพึงพอใจโดยอยากกลับมาใช้บริการซ้ำ ส่วนกลุ่มนักเรียนนักศึกษา แรงจูงใจด้านการยอมรับทางสังคม และการเข้าสังคม ส่งผลให้เกิดการตัดสินใจใช้บริการและเกิดความพึงพอใจและอยากบอกต่อในเชิงบวก</p>
จินณพัษ โดมินิค
ณัฐสินี จรัสธนิตศักดิ์
รชตวรรณ อินทะวงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
19 30
100
121
10.14456/kab.2025.6