วารสารนานาชาติ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์

การวิเคราะห์เปรียบเทียบการรับมือโรคโควิด-19 (กรณีศึกษาการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติในสิงคโปร์และอินโดนีเซีย)

Mirda Marendra — 2025-07-03

This study aims to describe and analyze a comparative analysis of the implementation of public policies handling COVID-19 in Indonesia and Singapore in 2020 – 2022 through a research focus. The type of research in this study is qualitative descriptive which aims to describe the comparative analysis of the implementation of COVID-19 handling policies between Singapore and Indonesia. This study took data secondarily, namely data obtained from written reports, regulations used in the research, and other documents and archives relevant to the problems studied in Indonesia and Singapore from January 2020 to October 2022. The results showed that policy is a strategy to achieve goals in several ways. In the case of handling COVID-19 between Indonesia and Singapore, there are similarities and differences. The similarity can be seen with implementing policies in activity restriction policies, namely Restrictions towards community activities/Pembatasan Kegiatan Masyarakat (PPKM) in Indonesia and Phase 1 – 3 in Singapore. The implementation of policies between these countries has different results because the country's population and area affect the policy's outcome the implementation of COVID-19 handling policies can be used as a reference for Indonesia to find the right policy formulation for policy implementation according to the conditions and situation of the population in the territory of Indonesia.

Academic administration of educational institution administrators Mueang Ranong District Under the jurisdiction of the Secondary Educational Service Area Office, Phang Nga, Phuket, Ranong.

ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ — 2025-07-03

research article topic Academic administration of educational institution administrators Mueang Ranong District, under the Secondary Educational Service Area Office, Phang Nga, Phuket, Ranong, has the objective of 1. Study the academic administration of educational institution administrators. Mueang Ranong District Under the jurisdiction of the Secondary Educational Service Area Office, Phang Nga, Phuket, Ranong. 2. To compare the academic administration of educational institution administrators. Mueang Ranong District Under the jurisdiction of the Secondary Educational Service Area Office, Phang Nga, Phuket, Ranong, classified according to educational level and work experience. It is a survey research. There are research tools, including questionnaires. The population is Teachers in educational institutions in Mueang Ranong District Under the jurisdiction of the Secondary Educational Service Area Office, Phang Nga, Phuket, Ranong, academic year 2022, numbering 132 people. The sample group was determined using a sample comparison table. And in this research, proportional stratified random sampling was used. The data collected from the questionnaire was then analyzed using descriptive statistics consisting of percentage, mean, and standard deviation. and compared by t - test , it was found that

1) Academic administration of educational institution administrators Mueang Ranong District Under the jurisdiction of the Secondary Educational Service Area Office, Phang Nga, Phuket, Ranong, the overall level is at a high level. When considering each aspect, it was found that every aspect was at a high level in every aspect. The aspect with the highest average is the development of the learning process. And the side with the least average is Media development Innovation and technology for education

2) Comparative results of the evaluation of academic administration by school administrators. Mueang Ranong District Under the jurisdiction of the Secondary Educational Service Area Office, Phang Nga, Phuket, Ranong, classified by educational level. and classified according to work experience Overall, it was found that no different Statistically significant at the .05 level.

Enhancing Lecturers’ English Proficiency according to Common European Framework of Reference for Languages (CEFR) for English Test

Praepan Eiadkaew — 2025-07-03

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลการสอบภาษาอังกฤษในภาพรวมระหว่างก่อนและหลังการเข้าร่วมอบรมภาษาอังกฤษตามกรอบอ้างอิงสมรรถนะด้านภาษาแห่งสหภาพยุโรป (CEFR) และ 2) เปรียบเทียบผลการทดสอบภาษาอังกฤษเป็นรายด้านระหว่างก่อนและหลังการเข้าร่วมอบรมภาษาอังกฤษตามกรอบอ้างอิงสมรรถนะด้านภาษาแห่งสหภาพยุโรป (CEFR) รูปแบบการวิจัยในการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยวิธีการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) ดำเนินการทดลองตามแบบแผนการวิจัย One Group Pretest-Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการเรียนรู้จำนวน 10 บท เป็นเวลา 20 ชั่วโมง โดยเนื้อหาอ้างอิงจากกรอบอ้างอิงสมรรถนะด้านภาษาแห่งสหภาพยุโรป (CEFR) ในระดับขั้น A1 ถึง B1 เท่านั้น ซึ่งแผนการเรียนรู้แต่ละชุดประกอบด้วยทั้งภาษาอังกฤษด้านการฟัง การอ่าน คำศัพท์ และไวยากรณ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือผู้สอนทุกสาขาวิชาของคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีความสามารถภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานจำนวน 30 คน จากการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือการทดสอบค่าทีโดยการเปรียบเทียบคะแนนภายในกลุ่ม Paired-sample T Test โดยวิเคราะห์จากแบบทดสอบก่อนและหลังการอบรม ผลการศึกษาในภาพรวมพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีผลคะแนนทดสอบภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05** ซึ่งแสดงว่าการจัดอบรมภาษาอังกฤษด้วยแผนการเรียนรู้ตามกรอบอ้างอิงสมรรถนะด้านภาษาแห่งสหภาพยุโรป (CEFR) จำนวน 20 ชั่วโมงสามารถพัฒนาระดับความสามารถภาษาอังกฤษได้ดี โดยค่าเฉลี่ยหลังอบรมเพิ่มขึ้นจากก่อนอบรม (ก่อนอบรม x̅ = 16.00, หลังอบรม x̅ = 37.13) จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านคำศัพท์และสนทนาเป็นด้านที่มีผลคะแนนการทดสอบภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้น (ก่อนอบรม x̅ = 9.53, หลังอบรม x̅ = 17.13) มากกว่าด้านอื่นๆ (การอ่าน การฟัง และไวยากรณ์) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05** ในขณะที่ด้านการฟังเป็นด้านที่มีผลคะแนนทดสอบภาษาอังกฤษน้อยที่สุดทั้งก่อนและหลังการอบรม (ก่อนอบรม x̅ = 0.23, หลังอบรม x̅ = 5.76)

ทัศนคติที่มีต่อภาษาเวียดนามและการเลือกภาษาเวียดนามตามแวดวงการใช้ภาษาของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม 3 กลุ่มอายุ ในอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม

Natthaphon Chareerak — 2025-07-03

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติที่มีต่อภาษาเวียดนามและการเลือกภาษาเวียดนามตามแวดวงการใช้ภาษาของคนไทยเชื้อสายเวียดนาม 3 กลุ่มอายุในอำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถาม จำนวน 1 ชุด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ คนไทยเชื้อสายเวียดนามซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 90 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ ได้แก่ กลุ่มอายุต่ำว่า 25 ปี, กลุ่มอายุ 30 – 55 ปี และกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ f-test และสถิติทดสอบ Chi-square

ผลการศึกษาพบว่า 1) คนไทยเชื้อสายเวียดเวียดนามกลุ่มอายุต่ำกว่า 25 ปี และกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไปมีทัศนคติต่อภาษาเวียดนามทั้งจากคำถามเชิงลบและคำถามเชิงบวกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) อายุของคนไทยเชื้อสายเวียดนามสัมพันธ์กับการเลือกใช้ภาษาเวียดนามโดยมีความสัมพันธ์ระดับค่อนข้างต่ำจนถึงระดับค่อนข้างสูง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชาติพันธุ์ของผู้ร่วมสนทนา และเมื่อพิจารณาแนวโน้มการเลือกใช้ภาษาก็พบว่าทุกกลุ่มอายุแทบจะไม่เลือกใช้ภาษาเวียดนาม ถ้าเลือกใช้ภาษาเวียดนามก็จะใช้ปนกับภาษาลาวอีสาน ปนกับภาษาไทย หรือใช้ปนกันทั้ง 3 ภาษา นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าทุกกลุ่มอายุจะเลือกใช้ภาษาไทยมากขึ้นด้วย

การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แบบออนไลน์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์

กีรติ นันทพงษ์ — 2025-07-03

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แบบออนไลน์ เพื่อพัฒนาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 2) ศึกษาความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาวิชาชีพครู หลังจากการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แบบออนไลน์ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครู หลังจากการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แบบออนไลน์ โดยเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi – Experimental Research) มีการทดลองแบบศึกษากลุ่มเดียววัดเฉพาะหลังการทดลอง (one-group posttest only design) ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลจาก นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 30 คน ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ปีการศึกษา 2564 ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster sampling) โดยใช้ห้องเรียนซึ่งเป็นลักษณะของสาขาวิชาเป็นหน่วยสุ่ม ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ รูปแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แบบออนไลน์ แบบประเมินความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการร่วมกิจกรรม โดยสถิติที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ ค่าดัชนีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence: IOC) ค่าร้อยละ (Percent) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)

ผลการวิจัยพบว่า

1. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แบบออนไลน์ ประกอบด้วย 3 ระยะ รวมเวลา 16 ชั่วโมง ได้แก่ ระยะที่ 1 ความรู้เกี่ยวกับการเขียนเชิงสร้างสรรค์ (4 ชั่วโมง) ระยะที่ 2 ปฏิบัติการเขียนเชิงสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการ GPAS 5 Steps (10 ชั่วโมง) และระยะที่ 3 สรุปบทเรียน (2 ชั่วโมง) ค่าดัชนีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (IOC) เท่ากับ 1.00

2. ความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาวิชาชีพครูหลังจากการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แบบออนไลน์ พบว่าผู้เรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 56 มีระดับความสามารถในการเขียนเชิงสร้างสรรค์อยู่ที่ระดับดี รองลงมาคือร้อยละ 30 อยู่ในระดับดีมาก และร้อยละ 13.33 อยู่ในระดับปานกลาง

3. ความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครู หลังจากการร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ GPAS 5 Steps แบบออนไลน์ พบว่าความพึงพอใจในภาพรวมที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก (M= 4.01, S.D.= 0.85) โดยมีความพึงพอใจรายด้าน ในด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อยู่ในระดับที่มีความพึงพอใจมากที่สุด (M= 4.51, S.D.= 0.86) รองลงมาคือด้านบรรยากาศการเรียนรู้มีระดับความพึงพอใจมาก (M= 3.82, S.D.= 0.72) และด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้มีระดับความพึงพอใจมาก (M= 3.82, S.D.= 0.72) ตามลำดับ

Students’ Perceptions of the use of ChatGPT during a Writing Activity Based on the Computational Thinking Process: A Thematic Analysis

Jaime Paster — 2025-07-03

This study adopts thematic analysis to systematically analyze qualitative data, focusing on students’ perceptions regarding the use of ChatGPT during a narrative short story writing activity following the Computational Thinking (CT) process as a problem-solving approach. The study involved 27 third-year English Education majors from a public university in Thailand, who voluntarily participated in a post-activity survey with open-ended questions. The analysis revealed both favorable and unfavorable experiences with the Computational Thinking (CT) process used in the writing activity. Positive feedback highlighted clarity and educational value, while negative feedback pointed to time consumption and complexity. As for the use of ChatGPT in the writing process, students appreciated its
efficiency and educational support but expressed concerns about its impact on creativity and originality, as well as technical and access issues. This study’s findings provide valuable insights into EFL students’ perceptions of
using ChatGPT in narrative writing activities. However, caution should be exercised when generalizing these findings beyond the specific context of the study participants, in relation to the wide spectrum of linguistic competencies among EFL students. Overall, the study underscores the potential benefits and challenges of incorporating generative-AI tools like ChatGPT in
educational settings, highlighting the need for responsible integration to ensure student learning while fostering creativity and critical thinking.

The Impact of Women's Leadership on Teachers' Feelings of Trust in Administration in Higher Education Institutions: Universities in Liaoning Province

ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ — 2025-07-03

This research aimed to: 1. describe the general conditions and factors affecting teachers' performance in higher education institutions in Liaoning Province; and 2. compare the relationship between these factors and teachers' perceptions of trust in administration, differentiated by gender. Employing a quantitative research design, data were collected using questionnaires distributed to a sample of 250 faculty members from the Faculty of Humanities and Social Sciences in public and private universities in Liaoning Province, China. The sample was selected using cluster random sampling. The questionnaire's content validity was assessed with an Index of Item-Objective Congruence (IOC) of 0.85. Data analysis involved descriptive statistics (percentage, mean, standard deviation), and Structural Equation Modeling (SEM) using AMOS. The findings revealed that the majority of social science teachers in Liaoning Province were female. Furthermore, the analysis indicated a significant positive relationship between specific dimensions of women's leadership (namely, responsibility, humility, admiration and gratitude, team unity, and perceived completeness) and teachers' feelings of trust in administration. Additionally, the study found no significant differences in this relationship based on the gender of the teachers.