https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/issue/feed
วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
2023-08-29T23:08:54+07:00
ผศ.ดร.สุทธิพร สายทอง
Suttiporn.sai@mcu.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง </strong></p> <p> ถือเป็นแหล่งรวบรวมผลงานทางวิชาการ และองค์ความรู้ที่สำคัญเนื่องจากเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนา ความคิดที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนความเคลื่อนไหวในแง่มุมต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัย</p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/265314
การพัฒนารูปแบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงาน ในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ
2023-07-03T12:18:04+07:00
ณภัทรมณ พลาพล
mon31032518@gmail.com
ธีรวัช บุณยโสภณ
palapol46@hotmail.com
สุภัททา ปิณฑะแพทย์
palapol46@hotmail.com
<p>การวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาองค์ประกอบของการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ (2) สร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ และ (3) จัดทำคู่มือแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ โดยการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ประชากรกลุ่มตัวอย่างใช้การเลือกแบบเจาะจงเป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่างให้ตรงตามจุดมุ่งหมายของการวิจัยประกอบด้วย (1) ผู้เชี่ยวชาญในการสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 22 คน (2) ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 427 คน (3) ผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่มย่อยเพื่อประเมินร่างรูปแบบการการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ และร่างคู่มือแนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ จำนวน 14 คน และ (4) ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคู่มือแนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ จำนวน 5 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1.รูปแบบการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ ได้แก่</span></p> <p>1.1) มิติที่ 1 ด้านผู้เกษียณอายุ มี 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. คุณลักษณะส่วนตน 2. มนุษยสัมพันธ์ และ 3.จรรยาบรรณ</p> <p>1.2) มิติที่ 2 ด้านองค์กร มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. การพิจารณาผู้เกษียณอายุงาน 2. การจัดวางตำแหน่งงาน 3. การพัฒนาศักยภาพ 4. การจัดการความรู้องค์กร 5. การบริหารสัญญา/ค่าตอบแทน และ 6. การจัดระบบงาน</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2.คู่มือแนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและบริการแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 แนะนำคู่มือ และส่วนที่ 2 แนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและบริการ ได้รับความเห็นชอบจากผู้ทรงคุณวุฒิด้วยฉันทามติคู่มือแนวทางได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญว่ามีความเหมาะสม และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการบริหารทรัพยากรมนุษย์สำหรับผู้เกษียณอายุงานในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการได้</span></p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/265429
แม่: ภาพสะท้อนความเป็นแม่ ที่สื่อผ่านภาษาและมโนทัศน์ของคนไทย
2023-07-13T11:56:05+07:00
ศุภิสรา เทียนสว่างชัย
supisara.th@northbkk.ac.th
นพรัตน์ น้อยเจริญ
supisara.th@northbkk.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการใช้อุปลักษณ์เพื่อสื่อถึงความเป็นแม่ ที่ปรากฏอยู่ในการใช้ภาษาเชิงความเปรียบ โดยเก็บกลุ่มตัวอย่างจากนิตยสารเกี่ยวกับแม่และลูก ซึ่งเป็นนิตยสารเฉพาะกลุ่มที่มีเนื้อหาที่สื่อถึงความเป็นแม่ที่สะท้อนระบบมโนทัศน์ หรือ “มโนอุปลักษณ์” (Conceptual metaphor) และความคาดหวังของสังคมต่อผู้เป็นแม่ ที่แตกต่างไปจากสังคมสมัยก่อน ผ่านการใช้อุปลักษณ์ โดยใช้กรอบแนวคิดมุมมองอุปลักษณ์ตามแนวภาษาศาสตร์ปริชาน ของ เลคอฟและจอนสัน เพื่อศึกษาถ้อยคำอุปลักษณ์ และมโนอุปลักษณ์ ที่สะท้อนกรอบแนวคิดของการเป็นแม่ยุคใหม่ ผลการศึกษาพบว่า อุปลักษณ์ของแม่ ที่กล่าวถึงในนิตยสารเกี่ยวกับแม่และเด็ก ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของแม่ในสังคมร่วมสมัย ที่ถูกคาดหวังให้เป็นทั้งผู้หญิงที่ทำงานเก่งทั้งนอกบ้านและในบ้าน โดยใช้บทบาทของการทำงานในฐานะต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกับบทบาทของแม่ที่ต้องรับผิดชอบจัดการงานภายในบ้าน มโนอุปลักษณ์ที่เกี่ยวกับแม่ที่ปรากฏจึงไม่เพียงสะท้อนบทบาทแม่ของผู้หญิงยุคใหม่ แต่ยังแสดงให้เห็นการผลิตซ้ำวาทกรรมความคาดหวังต่อผู้หญิงที่ยังวนเวียนอยู่ในมิติเดิม</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/265678
ความพึงพอใจของลูกค้าเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์ดอกไม้ประดิษฐ์จากกระดาษสาของชุมชนบ้านโทกหัวดง อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
2023-07-07T15:18:32+07:00
จินตนา จันเรือน
jintanajun2520@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายที่มีต่อผลิตภัณฑ์ดอกไม้ประดิษฐ์จากกระดาษสาของชุมชนบ้านโทกหัวดง อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง เป็นวิจัยเชิงสำรวจ โดยการใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 105 คน ได้แก่ กลุ่มลูกค้าปลีก จำนวน 100 คน และลูกค้าส่ง จำนวน 5 คน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แบบพหุคูณและการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 41-50 ปี สถานภาพสมรส การศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. มีอาชีพค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว มีรายได้ระหว่าง 10,001-20,000 บาท ส่วนพฤติกรรมในการตัดสินใจซื้อดอกไม้ประดิษฐ์ มีเหตุผลในการซื้อเพื่อในงานพิธี เหตุผลด้านผลิตภัณฑ์ซื้อเพื่อทดแทนดอกไม้จริง เหตุผลด้านราคาเพราะราคาเหมาะสม เหตุผลด้านช่องทางการจัดจำหน่าย เพราะการหาซื้อง่าย สะดวกเดินทาง และเหตุผลด้านการส่งเสริมการตลาด ต้องมีโปรโมชั่นถูกใจ ส่วนความพึงพอใจ พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.92 โดย ด้านผลิตภัณฑ์ อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.58 ด้านราคา อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.95 ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย อยู่ในระดับน้อย โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.49 ด้านการส่งเสริมการตลาด อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.67</p> <p>การเปรียบเทียบพฤติกรรมในการตัดสินใจซื้อที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภค พบว่า พฤติกรรมเกี่ยวกับ เหตุผลในการซื้อ เหตุผลด้านผลิตภัณฑ์ และเหตุผลด้านราคาที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ดอกไม้ประดิษฐ์ที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/265828
การศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดสู่มาตรฐานของโรงเรียนดอนชัยวิทยา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
2023-07-07T09:44:22+07:00
กันธิชา วงศ์ษา
tangtang_401@hotmail.com
สำเนา หมื่นแจ่ม
gunticha.tang@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดสู่มาตรฐานของโรงเรียนดอนชัยวิทยา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยศึกษาจากผู้ให้ข้อมูลจำนวนทั้งสิ้น 16 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวข้างต้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการศึกษาสรุปได้ ดังนี้ ในการศึกษาสภาพการดำเนินงานห้องสมุดของโรงเรียนดอนชัยวิทยา ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีช่วงอายุระหว่าง 30-40 ปี ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ มีสภาพการดำเนินงานห้องสมุดของโรงเรียนดอนชัยวิทยา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้แก่ มาตรฐานด้านอาคารสถานที่และวัสดุครุภัณฑ์ มาตรฐานด้านนักเรียน มาตรฐานด้านผู้บริหารสถานศึกษา มาตรฐานด้านครูหรือบุคลากรทำหน้าที่บรรณารักษ์ และมาตรฐานด้านทรัพยากรสารสนเทศ ตามลำดับ</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/265868
ปัจจัยการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าในการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19
2023-07-05T13:52:01+07:00
มาลาวรรน จันทวงสิน
m.chanthavongsin@nuol.edu.la
เฉลิมชัย ปัญญาดี
m.chanthavongsin@nuol.edu.la
วินิจ ผาเจริญ
winit.phacharuen@gmail.com
อัคราชัย เสมมณี
m.chanthavongsin@nuol.edu.la
<p>การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยในการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าในการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยเป็นการศึกษาเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาจากสองคณะวิชา คือ คณะวิทยาศาตร์สังคมศาสตร์และคณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว จำนวน 363 คน ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า</p> <p>ปัจจัยการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าในการเรียน-การสอนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในภาพรวมของทั้ง 2 คณะวิชาโดยรวมแล้วทุกปัจจัยอยู่ในระดับหลายทังสองคณะวิชา ชึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับหลาย ( =3.70, S. D=0.95) ในคณะวิทยาศาตร์สังคมศาสตร์และมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับหลาย ( =3.54, S D=(0.97) ในคณะเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจ ซึ่งเมื่อพิจารณาเป็นรายปัจจัยที่เรียงตามลำดับ ได้แก่ คือ ปัจจัยด้านความสามารถในการเข้าถึงการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ปัจจัยด้านงบประมาณ ปัจจัยด้านเครื่องมือ อุปกรณ์และปัจจัยสุดท้ายได้แก่ ปัจจัยทางเทคนิคของการรับและส่งข้อมูล เพาะปัจจัยเหล่านี้ จึ่งทำให้การใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าในการเรียน-การสอนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในบางวิชาและนักเรียนบางกลุ่มโดยเฉพาะนักเรียนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและชนนบท ไม่สามารถเข้าถึงการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เข้าในการเรียนการสอนได้ จึ่งทำให้ในปีการศึกษาที่ผ่านมามีนักเรียนออกกลางคันจำนวนมากกว่าปีที่ผ่านมา</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/266573
การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษา กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้เลี้ยงโคเนื้อ ตำบลวอแก้ว อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง
2023-07-06T09:55:06+07:00
ณัฐพงษ์ ศรีใจวงศ์
mibcm86@gmail.com
ภูดิส เหล็งพั้ง
mibcm86@gmail.com
พิมพร เทพปินตา
mibcm86@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาแนวทางการดำเนินงานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสามารถนำองค์ความรู้ด้านกลยุทธ์ทางการตลาดไปใช้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ บุคคลที่ตัดสินใจเลือกซื้อโคเนื้อ จำนวน 100 คน เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการวิจัยเป็นแบบสอบถาม โดยนำมาวิเคราะห์และใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์ความแปรปรวน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุ 51 ปีขึ้นไป มีสถานภาพสมรส มีอาชีพธุรกิจส่วนตัว และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ส่วนปัจจัยส่วนประสมการตลาดที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อโคเนื้อ ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้เลี้ยงโคเนื้อ พบว่าอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.41) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านผลิตภัณฑ์ ( =4.34) ด้านราคา ( =3.97) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ( =2.81) และด้านการส่งเสริมทางการตลาด ( =2.53) ตามลำดับ</p> <p>การเปรียบเทียบพฤติกรรมการเลือกซื้อโคเนื้อมีความสัมพันธ์กับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการเลือกซื้อโคเนื้อ ในด้านผลิตภัณฑ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมทางการตลาด ไม่มีความสัมพันธ์กันกับพฤติกรรมการเลือกซื้อ และอิทธิพลของพฤติกรรมการเลือกซื้อโคเนื้อส่งผลต่อปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการเลือกซื้อโคเนื้อ ในด้านผลิตภัณฑ์ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/265829
รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของพนักงานในอุตสาหกรรมยานยนต์
2023-07-12T08:52:47+07:00
นิจปัณฑ์นีร์ ชาวบ้านเกาะ
nijnicha459@gmail.com
สุภัททา ปิณฑะแพทย์
nijnicha459@gmail.com
ชัยวิชิต เชียรชนะ
nijnicha459@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน 2) ศึกษารูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และ 3) จัดทำคู่มือการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานจากผลการวิจัย</p> <p>การวิจัยใช้วิธีการทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างกำหนดคุณสมบัติและคัดเลือกให้ตรงตามจุดมุ่งหมาย ประกอบด้วย (1) ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแบบจำลองสมการโครงสร้างในการสนทนากลุ่ม 7 คน (2) ผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือในการวิจัย 5 คน (3) ผู้ตอบแบบสอบถาม 460 คน (4) ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินร่างรูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและร่างคู่มือแนวการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานในการสนทนากลุ่ม 13 คน และ (5) ผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินคู่มือแนวการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานจำนวน 7 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยสรุปเนื้อหาในการสนทนากลุ่ม และ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตลอดจน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ AMOS</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1.องค์ประกอบของปัจจัยที่ส่งผลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนโครงสร้าง และ ความสมดุลการทำงานและชีวิต ทั้ง 3 องค์ประกอบร่วมกันทำนายการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ได้ร้อยละ 50.80 นอกจากนี้ ทุนมนุษย์ และ ทุนโครงสร้าง ส่งผลทางตรงเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานผ่านความสมดุลการทำงานและชีวิต ทั้ง 2 องค์ประกอบร่วมกันทำนายการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบความสมดุลการทำงานและชีวิต ได้ร้อยละ 27.80 แบบจำลองสมการโครงสร้างจากการพัฒนามีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 และมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2.รูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุมีปัจจัยขององค์ประกอบที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ดังนี้ ทุนมนุษย์ ได้แก่ เจตคติในการปฏิบัติงาน อัตมโนทัศน์ในการปฏิบัติงาน ทักษะการบริหาร และ ทักษะในการปฏิบัติงาน ทุนโครงสร้าง ได้แก่ การจัดการองค์ความรู้ การปรับตัวเชิงพลวัต การบริหารทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ์ ความสัมพันธ์ลูกค้า และ ความสัมพันธ์ชุมชน ความสมดุลการทำงานและชีวิต ได้แก่ ครอบครัว ลักษณะงาน และ เวลา ส่วนประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ได้แก่ คุณภาพงาน ปริมาณงาน ระยะเวลาการส่งมอบงาน และ พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3.คู่มือพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ แนะนำแนวทางโดยแบ่งเป็น 3 มิติ ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนโครงสร้าง และ ความสมดุลการทำงานและชีวิต โดยได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิว่ามีเนื้อหาและความเป็นไปได้ในระดับดีมากในการนำไปใช้เป็นแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน</span></p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/266323
การจัดการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของวัดและชุมชน ในตำบลพระบาทตามแนวพระพุทธศาสนา
2023-08-08T19:30:32+07:00
จีรศักดิ์ ปันลำ
Jeerasak2505pl@gmail.com
กตัญญู เรือนตุ่น
Jeerasak2505pl@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของวัดและชุมชนในตำบลพระบาท 2) เพื่อศึกษาการสร้างธรรมนูญชุมชนเสริมความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ของวัดและชุมชนในตำบล และ 3) เพื่อศึกษาวิเคราะห์และนำเสนอรูปแบบการจัดการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของวัดและชุมชนในตำบลพระบาทตามแนวพระพุทธศาสนา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธีทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ กลุ่มตัวผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ ผู้นำครอบครัวในตำบลพระบาท จำนวน 262 คน กลุ่มเสวนา ได้แก่ พระภิกษุ และคฤหัสถ์ ผู้ทรงคุณวุฒิในตำบลพระบาท จำนวน 14 รูป/คน และกลุ่มผู้ให้สัมภาษณ์ ได้แก่ พระสังฆาธิการ และประธานชุมชน ในตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง จำนวน 12 รูป/คน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของวัดและชุมชน ได้แก่ การทะเลาะวิวาทและการประทุษร้ายกันในหมู่วัยรุ่น การหลอกลวงขายสินค้าโดยผู้ขายแสดงข้อความเท็จ การเล่นการพนันด้วยวิธีการโกงเพื่อชนะและรับเงิน, ปัญหายาเสพติดทำลายความสุขในบ้าน และคนเมาสุรา กระทำผิดศีลธรรมและกฎหมายในวัดและชุมชน ด้านการจัดการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ได้แก่ วัดและชุมชน ควรร่วมกันโดยรวมตัวกันจัดตั้งเป็นองค์กรป้องกันภัยในระดับชุมชน เพื่อสอดส่องป้องกันภัยให้แก่สมาชิกชุมชนอย่างต่อเนื่อง ครอบครัวควรสร้างบรรยากาศภายในบ้าน ให้ทุกคนในบ้านรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ด้านการสร้างธรรมนูญชุมชนเสริมความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์ของวัดและชุมชน ได้แก่ ผู้นำชุมชนควรใช้ความเสียสละเป็นฐานจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับความปลอดภัย และให้คนในชุมชนรู้จักปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ประชาชนควรพิจารณาอย่างรอบคอบในการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและนอกบ้านเพื่ออำนวยความสะดวกในการป้องกันการก่ออาชญากรรม ดังนั้น รูปแบบการจัดการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของวัดและชุมชนในตำบลพระบาทตามแนวพระพุทธศาสนา คือ ประชาชนควรใช้โยนิโสมนสิการเป็นฐานในการพิจารณาการรู้จักยั้งคิด ยับยั้งตนไม่ให้เกิดเภทภัย เรียนรู้อุปกรณ์เครื่องป้องกันการโจรกรรม และเรียนรู้<br />การเอาชนะใจตนเองที่จะไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขทุกประเภท ด้านผู้นำชุมชนควรอุทิศตนสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/266659
เส้นทางการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและความผิดทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดของผู้ต้องขังเรือนจำกลางจังหวัดนครปฐม
2023-07-07T14:40:55+07:00
อลินพิชา นพทวีวัฒน์
d.alinpicha@gmail.com
โสรัตน์ กลับวิลา
d.alinpicha@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจการเข้าสู่เส้นทางการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและความผิดทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดและเพื่อเป็นแนวทางในการป้องกัน โดยการศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้ต้องขังเรือนจำกลาง จ.นครปฐม และครอบครัวหรือผู้ใกล้ชิดกับผู้ต้องขัง รวมทั้งสิ้น 16 คน ผลการวิจัย ที่สำคัญคือรูปแบบเส้นทางชีวิตของกรณีศึกษามีรูปแบบที่คล้ายกันเริ่มต้นจากสภาพครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ พ่อแม่มีการหย่าร้างหรือพ่อแม่มีพฤติกรรมเสพและขายยาเสพติด อยู่อาศัยในชุมชนที่เต็มไปด้วยยาเสพติด การโดนจับครั้งแรกและถูกลงโทษไม่สามารถทำให้กรณีศึกษาเข็ดหลาบจากการลงโทษได้ มีการกลับมา กระทำผิดซ้ำอีก มีปัญหาเรื่องเงิน ขาดโอกาสทางการศึกษา สาเหตุที่ตัดสินใจกระทำความผิดคือผู้ต้องขังที่เสพยาเสพติดเป็นกลุ่มที่มีปัญหายุ่งเหยิงในชีวิต ปัจจัยที่มีผลต่อการกระทำผิดส่วนใหญ่คือการถูกชักชวน ปัญหานี้มักจะเกิดกับเด็กที่มีปัญหาทางครอบครัวขาดความอบอุ่นใจแต่เอาเพื่อนเป็นที่พึ่ง ส่วนใหญ่ผู้ต้องขังมีการรับรู้เกี่ยวกับโทษมาก่อนรับรู้และเข้าใจว่าผิดกฎหมายแต่ยังตั้งใจทำเพื่อผลประโยชน์ในหลายด้าน ปัจจุบันการกฎหมายอ่อน ไม่ปราบปรามจริงจัง และผลการศึกษาแนวทางการป้องกันคือต้องมีจิตใจเข้มแข็ง ต้องสร้างคุณค่าให้ตัวเอง รู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์หรือทำงานที่สุจริต ควรมีมาตรการร่วมกันจากฝ่ายต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดและผู้สนับสนุนควรร่วมกันในการวางแผนปฏิบัติการอย่างเป็นระบบ กวาดล้างปราบปรามแหล่งมั่วสุมอย่างจริงจัง สถาบันครอบครัวต้องมีความเข้าใจกัน ควรบัญญัติบทลงโทษผู้กระทำผิดตามลักษณะดังกล่าวให้หนักกว่าฐานความผิดเดิมใน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/266662
แนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร สถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม
2023-07-07T14:42:42+07:00
ชานนท์ สารพล
csarapol@gmail.com
เสกสัณ เครือคำ
Csarapol@gmail.com
<p>งานจราจรเป็นสายงานของตำรวจที่มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมเป็นประจำ เนื่องจากเป็นงานที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตประวันของประชาชน ดังนั้นการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความคิดเห็นและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม และเพื่อเสนอแนะแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร โดยเป็นการวิจัยแบบผสมระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างประชาชน จำนวน 400 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสถานีตำรวจนครบาลท่าข้าม ในภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 2) ประชาชนที่มีรายได้ที่แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสถานีตำรวจนครบาลท่าข้ามแตกต่างกัน 3) แนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร นครบาลท่าข้าม ประกอบด้วย 3.1) ด้านฝึกอบรม ควรอบรมเชิงวิชาการให้แก่เจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย 3.2) ด้านการบริการ ควรมีส่วนร่วมกับประชาชนในการแก้ปัญหาจราจร การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านการประชาสัมพันธ์ และการทำงานด้านการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุ 3.3) ด้านสวัสดิการ ในด้านสวัสดิการไม่ควรมุ่งเน้นในเรื่องของส่วนแบ่งเงินรางวัล จากเงินค่าปรับ ข้อเสนอแนะควรให้สวัสดิการผู้ปฏิบัติงานจราจรมีเงินประจำตำแหน่งที่แน่นอน 3.4) ด้านการบริหาร ควรมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ช่วยในการทำงาน</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/267291
แรงจูงใจการศึกษาหลักสูตรโปรแกรมภาษาอังกฤษ: พัฒนาการศึกษาของ โรงเรียนวัฒนานุศาสน์
2023-08-15T22:05:17+07:00
โสภณ ลือดัง
chayapon@go.buu.ac.th
ชยาภรณ์ จตุรพรประสิทธิ์
chayapon@go.buu.ac.th
<p>การวิจัยเรื่อง แรงจูงใจในการศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษ: พัฒนาการศึกษาของโรงเรียนวัฒนานุศาสน์ มีวัตถุประสงค์ ได้แก่ เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการเลือกเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น ของนักเรียนโรงเรียนวัฒนานุศาสน์ และเพื่อหาข้อเสนอแนะในการในการเลือกเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น ของนักเรียนโรงเรียนวัฒนานุศาสน์ เป็นวิจัยผสมผสาน โดยวิธีเชิงปริมาณศึกษากลุ่มนักเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ ของนักเรียนโรงเรียนวัฒนานุศาสน์ จังหวัดชลบุรี เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ด้วยแบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณา ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t – Test F – Test (ANOVA) และเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์นักเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษแบบเข้มข้น จำนวน 5 คน ครูโรงเรียนวัฒนานุศาสน์ จำนวน 3 คน และผู้บริหารโรงเรียนจำนวน 1 คน ผลการวิจัย พบว่า ประเด็นที่หนึ่ง แรงจูงใจด้านสถานศึกษา พบว่า นักเรียนมีแรงจูงใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.01 , S.D.= .99) ประเด็นที่สอง แรงจูงใจด้านสังคม พบว่า นักเรียนมีแรงจูงใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.25 , S.D.= .86) ประเด็นที่สาม แรงจูงใจด้านครอบครัว พบว่า นักเรียนมีแรงจูงใจภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.39 , S.D.= .79) ประเด็นสุดท้าย แรงจูงใจด้านปัจจัยภายในของนักเรียน พบว่า แรงจูงใจในการเลือกเรียนหลักสูตร IEP โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 3.91 , S.D.= 1.0) ทั้งนี้ งานวิจัยให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย การนำไปปฎิบัติ และการวิจัยในอนาคต</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/267341
ความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
2023-08-15T10:07:37+07:00
ยุภาพรรณ หีตอักษร
supraneet@buu.ac.th
สุปราณี ธรรมพิทักษ์
supraneet@buu.ac.th
อนุรัตน์ อนันทนาธร
supraneet@buu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำแนกตาม เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้คือ ประชาชนผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3 ตำบล จำนวน ทั้งสิ้น 348 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว กรณีพบความแตกต่างใช้วิธีทดสอบรายคู่เวยวิธีของเชฟเฟ่ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า โดยภาพรวมประชาชนมีความคิดเห็นต่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง ทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานีทั้ง 4 ด้านอยู่ในระดับดี (= 3.94) โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการให้ความรู้ และด้านการใช้กฎหมาย ประชาชนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับดี (= 3.95) รองลงมาเป็นด้านการเฝ้าระวังและฟื้นฟู (= 3.94) และสุดท้ายคือ ด้านการส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากร (= 3.93) ผลการ เปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัด สุราษฎร์ธานีจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ประชาชนที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน ต่างกันมีความคิดเห็นต่อการจัดการทรัพยากร ชายฝั่งทะเลอ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานีไม่แตกต่างกัน</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/267347
การศึกษาแนวทางการเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวต่างชาติของพระนิสิต วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย
2023-08-15T13:01:32+07:00
พระสมุห์เกียรติกร กิตฺติเวที
bonnsurface@gmail.com
ศุภกร ณ พิกุล
arterr_1@hotmail.com
<p>บทความวิจัยเรื่อง การศึกษาแนวทางการเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวต่างชาติของพระนิสิตวิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการเผยแผ่ธรรมะและนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวต่างชาติของพระนิสิตวิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย การศึกษาวิจัยนี้เป็นงานวิจัยในเชิงคุณภาพ โดยผู้วิจัยได้กำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นพระนิสิตวิทยาลัยสงฆ์เชียงรายจำนวน 27 รูป และใช้เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ และสอบถามแบบมีโครงสร้าง (Structured Interview)</p> <p>ผลการวิจัยจากวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 การศึกษาแนวทางการเผยแผ่ธรรมะของพระนิสิตวิทยาลัยสงฆ์เชียงราย พบว่า พระนิสิตมีความสำคัญต่อการเผยแผ่พระธรรมมะอย่างมาก เพราะเป็นกำลังของพระพุทธศาสนา พระนิสิตมีแนวทางการเผยแผ่ธรรมะที่แตกต่างและหลากหลาย เช่น การจัดรูปแบบกิจกรรม การใช้ภาษาและการสื่อสาร ตลอดจนเทคนิคและวิธีการต่างๆ อย่างเหมาะสม และผลการวิจัยจากวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 เพื่อนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวต่างชาติ พบว่า มีองค์ประกอบสำคัญในการเผยแผ่ธรรมะแก่ชาวต่างชาติ คือ 1) บุคคล 2) หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา 3) ภาษาและการสื่อสาร 4) การจัดกิจกรรม และ 5) เทคนิคต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับ พุทธวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า ที่ประกอบด้วย 1) สันทัสสนา 2) สมาปทา 3) สมุตเตชนา และ 4) สัมปหังสนา</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/267348
ความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรเทศบาลนครแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
2023-08-15T13:07:02+07:00
ธีระ กุลสวัสดิ์
teera@buu.ac.th
ภัสนันท์ พ่วงเถื่อน
passanan@buu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรในเทศบาลนครแหลมฉบัง และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรในเทศบาลนครแหลมฉบัง กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรที่ปฏิบัติงานในเทศบาลนครแหลมฉบัง จำนวน 301 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ</p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1)ระดับความผูกพันต่อองค์การ ด้านความเชื่อมั่นและการยอมรับเป้าหมายขององค์การ ด้านความทุ่มเทเพื่อความสำเร็จขององค์การ และด้านความตั้งใจที่จะคงความเป็นสมาชิกขององค์การ อยู่ในระดับมาก 2)ตัวแบบความความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี ค่า Relative Chi-square เท่ากับ 1.48 Goodness of Fit Index: GFI) เท่ากับ .97 Adjusted Goodness of Fit Index: AGFI เท่ากับ .96 Comparative Fit Index: CFI เท่ากับ .99 Root Mean Square Error of Approximation: RMSEA เท่ากับ .04 ตัวแปร คุณภาพชีวิตในการทำงาน และความพึงพอใจในการทำงาน สามารถอธิบายความผูกพันต่อองค์การได้ร้อยละ 67</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/267345
ผลกระทบจากการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ต่อประชาชนในพื้นที่ ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง
2023-08-15T12:59:01+07:00
รักชนก มหาศักดิ์สวัสดิ์
ausanakorn@buu.ac.th
อุษณากร ทาวะรมย์
ausanakorn@buu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบจากโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ที่มีต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง และเพื่อวิเคราะห์ปัญหา ข้อจำกัด และข้อเสนอแนะของการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบตามเป้าหมายของโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญทั้งหมด จำนวน 15 คน แบ่งออกเป็น เก็บรวบรวมด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 7 คน ประกอบด้วย ผู้นำท้องที่ หน่วยงานหรือส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานหรือองค์กรอิสระที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมในพื้นที่ และการจัดสนทนากลุ่ม จำนวน 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ตั้งแต่ก่อนมีการพัฒนาโครงการฯ และเคยทำงานกับโครงการฯ จำนวน 4 คน และ กลุ่มประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ตั้งแต่ก่อนมีการพัฒนาโครงการฯ และไม่เคยทำงานกับโครงการฯ จำนวน 4 คน นอกจากนี้ มีการสังเกตการณ์เพื่อเก็บข้อมูลด้วย สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล มีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ด้วยการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า (Triangulation) ด้านข้อมูล และด้านวิธีการรวบรวมข้อมูล ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้</p> <p>(1) ผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบจากโครงการพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ที่มีต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง พบว่า เกิดผลกระทบเชิงบวก จำนวน 6 ด้าน ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนโดยรอบได้รับการพัฒนา ด้านรายได้ของประชาชาชนในชุมชนโดยรอบเพิ่มขึ้น ด้านอาชีพ เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น ด้านค่านิยมและวัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมของชุมชนได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ด้านบทบาทของกลุ่มอำนาจที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินโครงการฯ ผู้นำระดับท้องที่มีความเข้มแข็ง มีการรวมกลุ่มของภาคประชาชนเพื่อติดตามการดำเนินการของโครงการฯ และด้านการจัดสรรผลประโยชน์สาธารณะ เกิดการประสานงาน การเจรจาต่อรอง เพื่อแก้ปัญหาสาธารณะร่วมกัน ระหว่างผู้นำระดับท้องที่และเจ้าหน้าที่โครงการฯ ส่วนผลกระทบเชิงลบ มีจำนวน 1 ด้าน คือ ด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ปัญหา<br>ด้านการจัดการขยะ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ คุณภาพของน้ำ</p> <p>(2) ปัญหา ข้อจำกัด ของการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบฯ ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนยังไม่ครอบคลุมทั้งตำบลป่ายุบใน และการประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าการดำเนินโครงการฯ ยังไม่ทั่วถึง และมีข้อเสนอแนะในการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบ ได้แก่ การสนับสนุนด้านการศึกษา สนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตร เพิ่มการจ้างงานประชาชนในพื้นที่ ประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าการดำเนินงานของโครงการฯ และรับฟังความคิดเห็นให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านในตำบลป่ายุบใน และบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/267369
พุทธวิธีบริหารจากวรรณกรรมสามก๊ก
2023-08-18T13:18:21+07:00
กริชชัย ธรรมสอน
arterr_1@hotmail.com
อานุรักษ์ สาแก้ว
krichchaimy@gmail.com
<p>บทความวิจัยเรื่อง “พุทธวิธีบริหารจากวรรณกรรมสามก๊ก” มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะของผู้นำในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก และ 2) เพื่อวิเคราะห์คุณลักษณะของผู้นำในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 3 คน ได้แก่ เล่าปี่ โจโฉ และ ซุนกวน เป็นตัวละครหลักในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์โดยใช้แนวการวิเคราะห์จากหนังสือสามก๊กฉบับผู้บริหารของก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ในการศึกษาครั้งนี้</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า จากการศึกษาตัวละครนำจากวรรณกรรมเรื่องสามก๊กทั้ง 3 คน คือ โจโฉ เล่าปี่ และ ซุนกวน มีลักษณะเด่นทั้งด้านความเหมือนและความแตกต่างในการเป็นผู้นำ ทั้งนี้คุณลักษณะต่างๆ นั้น ยังมีข้อควรแก้ไขปรับปรุงในตัวละครทั้ง 3 เพื่อใช้เป็นกรณีศึกษาและเป็นแนวทางที่สามารถนำมาปรับใช้ในการพัฒนาภาวะความเป็นผู้นำ ผลจากการวิเคราะห์คุณลักษณะของผู้นำในวรรณกรรมเรื่องสามก๊กด้วยพุทธวิธีทางพระพุทธศาสนา พบว่า โจโฉ เล่าปี่ และ ซุนกวน มีภาวะผู้นำตามหลักทศพิธราชธรรม 10 ประการ และ พรหมวิหาร 4 ซึ่งผู้วิจัยได้นำเอาลักษณะเด่นของตัวละครทั้ง 3 คนนี้ มาเสนอเป็นแนวทางพุทธบูรณาการ ในการพัฒนาตนเอง และการพัฒนาองค์กรในลักษณะของการเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะภาวะผู้นำตามพุทธวิธีบริหาร</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/267363
อัตลักษณ์ด้านประเพณีที่สำคัญของเมืองพะเยา
2023-08-21T22:23:59+07:00
พระครูวรวรรณวิฑูรย์
phongmcu@gmail.com
พงษ์ประภากรณ์ สุระรินทร์
phongmcu@gmail.com
สุเทพ สารบรรณ
phongmcu@gmail.com
ชูชาติ สุทธะ
phongmcu@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อรวบรวมข้อมูลอัตลักษณ์ด้านประเพณีที่สำคัญของเมืองพะเยา 2) เพื่อจัดทำฐานข้อมูลอัตลักษณ์ด้านประเพณีที่สำคัญของเมืองพะเยา เป็นการวิจัยเชิงเอกสารและการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประเพณีสำคัญต่าง ๆ ในจังหวัดพะเยาจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิและแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ รวมถึงการสัมภาษณ์บุคคลผู้ให้ข้อมูลสำคัญด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง ซึ่งประกอบด้วยคำถามปลายปิด และคำถามปลายเปิด</p> <p>กลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวนทั้งสิ้น 24 รูป/คน ประกอบด้วย พระสงฆ์ เจ้าหน้าที่หน่วยงานวัฒนธรรมในจังหวัดพะเยา ประธานคณะกรรมการวัฒนธรรมในจังหวัดพะเยา พ่ออาจารย์วัด (มัคนายก) รวมถึงกลุ่มบุคคลอื่น ๆ เช่น ครูภูมิปัญญาท้องถิ่น นักวิชาการวัฒนธรรม เยาวชนรุ่นใหม่ 9 อำเภอในจังหวัดพะเยา ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอดอกคำใต้ อำเภอเชียงคำ อำเภอเชียงม่วน อำเภอจุน อำเภอภูซาง อำเภอภูกามยาว และอำเภอแม่ใจ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) บริบททั่วไปของเมืองพะเยา พบว่า สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดพะเยาเป็นที่ราบสูงและภูเขา มีแหล่งน้ำธรรมที่สำคัญคือกว๊านพะเยา สภาพธรรมชาติ ประเพณีและวัฒนธรรมของเมืองพะเยาคือมรดกที่มีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ์ ประเพณีและวัฒนธรรมเป็นผลงานของการสั่งสมสิ่งสร้างสรรค์ ภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาของสังคมที่ผู้คนเมืองพะเยาได้ปฏิบัติสืบกันมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งประเพณีประจำเดือน เทศกาล หรือที่ทำในชุมชนต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตแบบพุทธ ความเชื่อ ความศรัทธาในพระเจ้าตนหลวงพระคู่บ้านคู่เมืองพะเยา 2) บริบททางด้านประเพณีของเมืองพะเยา พบว่า เมืองพะเยามีประเพณีประจำเดือนไม่แตกต่างจากของล้านนามากนัก โดยมีประเพณีที่ปรากฏใน 12 เดือน คือ ประเพณีทานหลัวหิงไฟพระเจ้า ประเพณีงานปอยบวชปอยเป๊ก ประเพณีปอยข้าวสังฆ์ ประเพณีสงกรานต์ ประเพณีแปดเป็งไหว้สาปูจาพระเจ้าตนหลวง ประเพณีเลี้ยงผีขุนน้ำ ประเพณีเข้าพรรษา ประเพณีสู่ขวัญควาย ประเพณีทานสลาก ประเพณีทำบุญทอดกฐิน ประเพณีตั้งธรรมหลวง และประเพณีเข้ากรรมรุกขมูล 3) อัตลักษณ์ด้านประเพณีที่สำคัญของเมืองพะเยา พบว่า ประเพณี 8 เป็ง ไหว้สาป๋ารมีพระเจ้าตนหลวง ประเพณีเวียนทียนกลางน้ำ และประเพณีสืบสานตำนานไทลื้อ เป็นประเพณีที่มีความสำคัญและเป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่น เกิดจากความร่วมมือร่วมใจกันของชุมชนบวกกับพลังแห่งความศรัทธาในพระพุทธศาสนา จนสร้างจุดเด่นเป็นอัตลักษณ์ทางด้านประเพณีของเมืองพะเยา</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/265812
ศึกษาวิเคราะห์แนวคิดความสมดุลของเหลาจื้อ
2023-07-05T09:23:33+07:00
พงษ์ประภากรณ์ สุระรินทร์
phongmcu@gmail.com
ธฤตต์วัชร์ ไชยเหมวงศ์
phongmcu@gmail.com
พระครูวรวรรณวิฑูรย์
phongmcu@gmail.com
พระยุทธนา อธิจิตฺโต
phongmcu@gmail.com
<p>เต๋าเป็นแนวคิดเต็มไปด้วยเชิงปรัชญาและมีความหมายหลายนัยยะ การศึกษาวิเคราะห์และตีความคำสอนของเหล่าจื้อนี้เองเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมเต๋าจึงเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจจากอดีตสู่ปัจจุบัน หัวข้อเรื่องความสมดุลเป็นคำสอนที่น่าสนใจอย่างมากในเต๋าเต๋อจิงของเหลาจื้อ การมีชีวิตกลมกลืนระหว่างเต๋าและธรรมชาติเป็นคำสอนของเหลาจื้อ เนื้อหาง่ายแต่ก็ยากที่จะเข้าใจตามความหมาย หลักการนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการขับเคลื่อนมากมาย เพื่อให้เกิดความสันติภาพทางสังคม การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์วิธีการเนื้อหาความสมดุลในเต๋าเต๋อจิงกับธรรมชาติ ผู้วิจัยใช้สำนวนการแปลภาษาไทยของพจนา จันทรสันติ ในการนำมาศึกษาในครั้งนี้ วิธีการที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วยเอกสารหลักฐานและการวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลของการศึกษาพบว่าเหลาจื้อไม่ได้สอนว่าจะต้องประยุกต์คำสอนของตัวเองในเรื่องของความสมดุลอย่างไร เหลาจื้อสอนเพียงแค่เต๋าเต๋อจิงเท่านั้น เต๋าเต๋อจิงเป็นเพียงแค่โศลกสั้นๆ มีเพียงแค่ 81 โศลก และ 5,000 ตัวอักษร การศึกษาครั้งนี้ มีข้อนำเสนอว่า การประยุกต์ใช้คำสอนของเหลาจื้อขึ้นอยู่กับการตีความของผู้ศึกษา เพราะแนวคำสอนของเหลาจื้อเป็นลักษณะเชิงวิเคราะห์และตีความ และคำสอนเอกของเหลา<br />จื้อเองก็ให้ความสำคัญในเรื่องของสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/267353
การประยุกต์ใช้หลักอปริหานิยธรรมในการปฏิบัติงานของผู้ใหญ่บ้าน
2023-08-15T22:10:32+07:00
พระสมุห์กิตติพงษ์ กิตฺติวํโส
6310205001@mcu.ac.th
พัชรีญา ฟองจันตา
6310205001@mcu.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้หลักอปริหานิยธรรมในการปฏิบัติงานของผู้ใหญ่บ้าน ผลการศึกษาพบว่า การปฏิบัติงานของผู้ใหญ่บ้านนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมากในระดับชุมชน เป็นผู้ปฏิบัติงานที่มีความใกล้ชิดกับประชาชน เป็นตัวแทนของหน่วยงานราชการทุกหน่วยงานและมีความเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานของผู้ใหญ่บ้าน เพื่อให้การทำงานร่วมกันกับหน่วยงาน องค์กร และประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ หลักอปริหานิยธรรม ซึ่งประยุกต์เป็นแนวทางได้ 7 ประการ คือ หลักการประชุมแบบสม่ำเสมอ หลักความพร้อมเพรียงของการจัดกิจกรรม หลักการออกกฎระเบียบและกฎหมาย หลักการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หลักการมีส่วนร่วมของสตรี หลักการทำนุบำรุงวัฒนธรรม และหลักการมีส่วนร่วมของผู้นำศาสนา</p>
2023-08-29T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2023 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง