วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ <p><strong>วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง </strong></p> <p> ถือเป็นแหล่งรวบรวมผลงานทางวิชาการ และองค์ความรู้ที่สำคัญเนื่องจากเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนา ความคิดที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนความเคลื่อนไหวในแง่มุมต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัย</p> วิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง th-TH วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง 2350-9953 การขับเคลื่อนการทำงานรูปแบบใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล : ความท้าทายใหม่ของศึกษาธิการจังหวัดในยุคดิจิทัล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277339 <p>บทความนี้เป็นบทความวิชาการที่มุ่งศึกษาการพัฒนาศึกษาธิการจังหวัดในการสร้างแนวทางการขับเคลื่อนการทำงานรูปแบบใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาช่วยในการบริหารการทำงานขององค์การในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย การขับเคลื่อนการทำงานรูปแบบใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล: ความท้าทายใหม่ของศึกษาธิการจังหวัดในยุคดิจิทัล</p> <p>การบริหารงานของผู้นำองค์การในยุคดิจิทัล ควรเป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงมีวิสัยทัศน์กว้างไกลมองเห็นประโยชน์ของการขับเคลื่อนการทำงานรูปแบบใหม่ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้องค์การทันยุคทันสมัยพร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเครื่องมือประกอบการทำงาน ซึ่งเป็นความท้าทายและโอกาสของผู้นำองค์การ คือ ศึกษาธิการจังหวัดในการส่งเสริมให้บุคลากรภายในสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ให้มีความพร้อมสมบูรณ์ครอบคลุมครบถ้วนทุกด้านทุกมิติของสมรรถนะการทำงาน และมีทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลผลิตงานได้รวดเร็ว ทันกาลตรงตามความต้องการของผู้รับบริการ และเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ได้ในยุคดิจิทัลได้อย่างมีคุณภาพ โดยใช้เทคนิคการบริหารกระบวนงานภายใต้องค์กรดิจิทัลที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) ประกอบด้วย 1) หน่วยงานทางการศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 2) หน่วยงานทางการศึกษานอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 3) สถานศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 4) สถานศึกษานอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 5) หน่วยงานราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในจังหวัด</p> กฤษณะ เลิศวิชานันท์ ตระกูล จิตวัฒนากร วิโรชน์ หมื่นเทพ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 262 271 การสื่อสารทางการเมืองกับการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในยุคโลกาภิวัตน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277684 <p> </p> <p>บทความวิชาการนี้มุ่งศึกษาวิธีการสื่อสารทางการเมืองและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และ วิธีการสร้างภาพลักษณ์ การโน้มน้าวใจ และการปรับตัวเจ้ากับยุคสมัยชองการสื่อสารทางการเมืองและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เพื่อให้ประชาชนได้รับความรู้ ความเข้าใจสถานการณ์ และนโยบายต่าง ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน</p> <p>การสื่อสารทางการเมืองที่ยึดหลักธรรมในพุทธศาสนาที่เน้นความจริงและความเมตตา ช่วยลดความขัดแย้ง อคติ และความแตกแยกในสังคม ส่งเสริมให้ผู้นำมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และสร้างคุณธรรมจริยธรรมอันดีงามได้</p> <p>ในยุคที่เทคโนโลยีหรือโลกาภิวัตน์ การสื่อสารทางการเมืองและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจำเป็นต้องปรับตัวอย่างมาก การสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ การโน้มน้าวใจ และการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ที่นักการเมืองควรให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งการแต่งกาย ท่าทาง คำพูด และการใช้ภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย และเข้าถึงประชาชนได้ง่าย ในขณะเดียวกัน ประชาชนเองก็มีบทบาทสำคัญในการรับรู้และมีส่วนร่วมในการสื่อสารทางการเมือง</p> <p>ผลลัพธ์ของการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแผ่ธรรมะและการสื่อสารทางการเมืองในมุมมองพุทธศาสนา มีหลากหลายรูปแบบ เช่น การปาฐกถา/แสดงธรรมออนไลน์ และกิจกรรมทางศาสนาในรูปแบบทันสมัย นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างสังคมสงบสุขด้วยการสื่อสารที่สร้างภาพลักษณ์ โน้มน้าว และปรับตัวตามยุคสมัย โดยเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างสังคมที่ดีงาม</p> พระมหาบวรวิทย์ อายุมั่น พระมหากีรติ วรกิตติ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 272 284 นวัตกรรมและส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการโฮมสเตย์ในเมืองหลิ่วโจว มณฑลกว่างซี ประเทศจีน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/276210 <p><strong> </strong></p> <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นด้านนวัตกรรม ส่วนประสมทางการตลาดบริการ และการตัดสินใจใช้บริการโฮมสเตย์ในเมืองหลิ่วโจว มณฑลกว่างซี ประเทศจีน 2) เพื่อศึกษาปัจจัย<br />ด้านนวัตกรรมและส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการโฮมสเตย์ในเมืองหลิ่วโจว มณฑลกว่างซี ประเทศจีน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวที่เคยใช้บริการโฮมสเตย์ในเมืองหลิ่วโจว มณฑล<br />กว่างซี ประเทศจีน จำนวน 385 คน เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือวิจัยคือ แบบสอบถาม โดยใช้สถิติพรรณนาหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติอนุมานวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบ Enter</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของด้านนวัตกรรมต่อการตัดสินใจใช้บริการโฮมสเตย์<br />ในเมืองหลิ่วโจว มณฑลกว่างซี ประเทศจีน มีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการ มีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุด ตามลำดับ และ 2) ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบ Enter พบว่า ด้านนวัตกรรมมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการโฮมสเตย์ในเมืองหลิ่วโจว มณฑลกว่างซี ประเทศจีน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการโฮมสเตย์ในเมืองหลิ่วโจว มณฑลกว่างซี ประเทศจีน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> Shi Ying ธนกร สิริสุคันธา Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 1 14 การพัฒนานวัตกรรมการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค Creative and Innovative Learning สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ในโรงเรียนเครือข่ายพัฒนาคณะครุศาสตร์ ในเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277227 <p>การวิจัยเรื่อง การพัฒนานวัตกรรมการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค Creative and Innovative Learning สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ในโรงเรียนเครือข่ายพัฒนาคณะครุศาสตร์ ในเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัตถุประสงค์การวิจัย 1) เพื่อศึกษากระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Creative and Innovative Learning ที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีร่วมกับโรงเรียนเครือข่ายพัฒนาครุศาสตร์ 2) เพื่อศึกษานวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ โดยใช้เทคนิค Creative and Innovative Learning ร่วมกับโรงเรียนเครือข่ายพัฒนาครุศาสตร์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย ในเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คณะผู้วิจัยได้ดำเนินการศึกษา แนวคิด ทฤษฎีการจัดการศึกษา เพื่อการพัฒนานวัตกรรมการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้ Creative and Innovative Learning สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยกระบวนการคิดขั้นสูง กล่าวคือ ผู้เรียนมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากสิ่งที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2) ด้านนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ได้แผนการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้เทคนิค Creative and Innovative Learning จึงได้ผลิตแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผนการเรียนรู้ โดยแบ่งเนื้อหาบทเรียน เป็นหน่วยการเรียนรู้ จำนวน 3 หน่วยด้วยกัน ได้แก่ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 Where Are You from? หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 Nouns? หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 Tourism and Services โดยการจัดการเรียนรู้ดังกล่าวนั้น ใช้กระบวนการคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ ซึ่งสามารถจำแนกกระบวนการคิดสร้างสรรค์ได้เป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้ ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน การค้นหาข้อเท็จจริง ขั้นที่ 2 การค้นพบปัญหา ขั้นที่ 3 การค้นพบแนวคิด ขั้นที่ 4 การค้นพบคำตอบ ขั้นที่ 5 การยอมรับผลที่ได้จากการค้นพบ ขั้นที่ 6 การย้อนกลับข้อมูล เป็นนวัตกรรมการสอนภาษาอังกฤษที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีร่วมกันของโรงเรียนเครือข่ายพัฒนาครุศาสตร์ เพื่อให้เกิดกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ</p> พระมหาบัณฑิต ปญฺฑิตเมธี ญาศุมินท์ อินทร์กรุงเก่า พระมหาปัญญา ปญฺญาสิริ พระมหาชำนาญ มหาชาโน อนันต์ อุปสอด Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 15 27 การพัฒนาระบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตามพุทธวิธี เพื่อการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277232 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เพื่อการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี</p> <ol start="2"> <li>เพื่อศึกษาระบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตามพุทธวิธี เพื่อการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี 3. เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาระบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตามพุทธวิธี เพื่อการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี</li> </ol> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาระบบการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตามพุทธวิธี เพื่อการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุพรรณบุรี 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านหลักสูตร ทางโรงเรียนต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูมีความเข้าใจหลักสูตร ศึกษาให้ครบถ้วนแล้วนำมาสร้างเป็นหลักสูตรสถานศึกษาและของกลุ่มสาระ 2) ด้านการจัดการเรียนการสอน โรงเรียนต้องจัดเวลาการเรียนการสอนให้เพียงพอ โดยเน้นกระบวนการกลุ่ม เน้นกระบวนการคิด เพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้อย่างเต็มที่ จัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาสังคมที่ผู้เรียนจะนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ 3) ด้านการใช้สื่อการเรียนการสอน สื่อที่จะนำมาใช้นั้นครูผู้สอนต้องเป็นผู้คัดเลือกซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้ครูผู้สอน ต้องเลือกใช้สื่อที่ความเหมาะกับชั้นเรียนและวัยของผู้เรียน 4) ด้านการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โรงเรียนต้องเน้นการจัดการเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันทั้งผู้เรียนกับผู้เรียนเอง ผู้เรียนกับครูผู้สอนด้วย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมและไม่จำกัดอยู่แต่ในชั้นเรียนเท่านั้น 5) ด้านการวัดและการประเมินผล การวัดผลการเรียนรู้ใช้แบบวัดพฤติกรรมผู้เรียนตามสถานการณ์เป็นเครื่องมือการวัดผลที่ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถตรวจสอบได้ว่า พฤติกรรมของผู้เรียนแต่ละบุคคลนั้นพัฒนาไปอย่างไร และการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ต้องประเมินผลตามสภาพจริง ประเมินผลจากมุมมองของผู้เรียนที่แสดงออกมา ประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนจากการเข้าร่วมกิจกรรมว่าสิ่งที่ครูผู้สอนได้จัดการเรียนรู้ไปนั้นผู้เรียนสามารถบรรลุจุดประสงค์ได้มากน้อยเพียงใด</p> ว่าที่ร้อยตรีสนธยา สิทธิเกรียงไกร Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 28 42 ท้าวทั้ง 4 ฤาษีทั้ง 6 : การศึกษาแนวคิด การได้มาและการใช้อำนาจและ กระบวนการเรียนรู้สู่วิถีปฏิบัติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277240 <p>รายงานการวิจัยเรื่อง "ท้าวทั้ง 4 ฤาษีทั้ง 6 : การศึกษาแนวคิด การได้มาและการใช้อำนาจ และกระบวนการเรียนรู้สู่วิถีปฏิบัติ" มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับท้าวทั้ง 4 ฤาษีทั้ง 6 2) เพื่อวิเคราะห์กระบวนการได้มาและการใช้อำนาจของท้าวทั้ง 4 ฤาษีทั้ง 6 และ 3) เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดดังกล่าว งานวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เป็นหลัก</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ท้าวทั้ง 4 ฤาษีทั้ง 6 เป็นแนวคิดที่สะท้อนความเชื่อของชาวล้านนา ซึ่งมีพัฒนาการเชิงแนวคิดและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีการผสมผสานแนวคิดทางพระพุทธศาสนาเข้ากับความเชื่อท้องถิ่นอย่างสอดคล้องและกลมกลืน ในบริบทของชาวลำปาง ความเชื่อเกี่ยวกับฤาษีทั้ง 6 มีรากฐานมาจากการรับรู้ว่าฤาษีเป็นพระภิกษุที่ปลีกวิเวกและพำนักอยู่ในป่าเขาภาคเหนือ อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในสังคมและการปกครองบ้านเมืองในอดีต</p> <p>กระบวนการได้มาซึ่งอำนาจของท้าวทั้ง 4 ฤาษีทั้ง 6 ในแนวคิดของชาวล้านนาเกิดขึ้นจากการบูชาและศรัทธาของประชาชน รวมถึงบทบาทของบุคคลเหล่านี้ในการปกป้องและคุ้มครองชุมชนให้เกิดความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ แนวคิดเกี่ยวกับท้าวทั้ง 4 ฤาษีทั้ง 6 ยังส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่นำไปสู่การเข้าถึงพระรัตนตรัยด้วยจิตศรัทธา ซึ่งส่งผลต่อมิติต่าง ๆ ของชีวิต ได้แก่ มิติทางจิตใจ ความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน สุขภาพ วัฒนธรรมและประเพณี การดำเนินชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว</p> พระมหากีรติ วรกิตติ พระมหาบวรวิทย์ รตนโชโต Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 43 56 บทบาทคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านเปาปม – ดงยาง ตำบลนาพูน อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ในการวางแผนการจัดการป่าชุมชน ภายใต้ พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277610 <p>บทความวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทคณะกรรมการป่าชุมชนบ้านเปาปม - ดงยาง หมู่ที่ 7 ตำบลนาพูน อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ในการวางแผนการจัดการป่าชุมชน ภายใต้พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 ผลการศึกษา พบว่า 1) บทบาทของคณะกรรมการป่าชุมชนในระดับชุมชน เป็นกลไกที่มีความสำคัญในวางแผนรวมถึงขับเคลื่อนรูปธรรมแผนการจัดการป่าชุมชน 2) บทบาทของคณะกรรมการป่าชุมชนตั้งอยู่บนความหลากหลายและพลังของกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำชุมชน กลุ่มปราชญ์ชุมชน กลุ่มผู้หญิง รวมถึงกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามาเป็นพลังที่สำคัญในการทำงาน 3) กระบวนการวางแผนการจัดการป่าชุมชนของคณะกรรมการป่าชุมชนในระดับชุมชน ได้เชื่อมประสานการทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานด้านป่าไม้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคณะกรรมการป่าชุมชนในระดับจังหวัด ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพป่า การจัดการป้องกันไฟป่า รวมไปถึงการวางแผนการใช้ประโยชน์จากป่ารวมถึงผลผลิตจากป่า</p> ธนพล สุทธคุณ โอฬาร อ่องฬะ ธนกร ลัทธิ์ถีระสุวรรณ ปิยะพิศ ขอนแก่น Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 57 68 ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277704 <p> </p> <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนเอกชน 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาจากครูผู้สอน จำแนกตามเพศ 3) เพื่อศึกษาแนวทางในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ<strong> </strong>ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูผู้สอน โรงเรียนเอกชน อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร ปีการศึกษา 2566 จำนวน 5 โรงเรียน ซึ่งประกอบด้วย ครูผู้สอน จำนวน 202 คน โดยมีเครื่องมือ คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ โดยสนทนากลุ่ม จากผู้บริหารโรงเรียน 5 ท่าน และหัวหน้ากลุ่มวิชาการ 5 ท่าน รวม 10 ท่าน เพื่อหาแนวทางในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนเอกชน สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน นำเสนอแบบบรรยาย</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<em>μ</em> =4.15, σ = 0.47) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ 1.ด้านการใช้อำนาจส่วนบุคคล (<em>μ</em> =4.21, σ = 0.52) 2.ด้านการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา (<em>μ</em> =4.17, σ = 0.57) 3. ด้านการสื่อสารด้วยความมั่นใจ (<em>μ</em> =4.16, σ = 0.57) 4. ด้านใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (<em>μ</em> =4.13, σ = 0.55) 5.ด้านผู้บริหารมีความกล้าเสี่ยง (<em>μ</em> =4.12, σ = 0.43) และ 6. ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย พันธกิจ (<em>μ</em> =4.08, σ = 0.44) ตามลำดับ การเปรียบเทียบภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ โดยรวมเพศชาย ค่าเฉลี่ยมากกว่าเพศหญิง แนวทางในการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนเอกชน คือ 1.ด้านอุดมการณ์ ผู้บริหารควรมีการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยแสดงให้เห็นถึงการมีวิสัยทัศน์อย่างชัดเจน มีการส่งเสริมให้ครูมีความมั่นใจในการปฏิบัติงาน 2. ด้านแรงจูงใจ ผู้บริหารควรให้กำลังใจแก่ครูอย่างต่อเนื่อง โดยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือในการปฏิบัติงาน 3. ด้านกระบวนการการทำงาน ผู้บริหารควรนำเสนอแนวทางให้แก่ครูสามารถปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบและสนับสนุนให้ครูมีความคิดสร้างสรรค์ ข้อเสนอแนะในการวิจัย ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย พันธกิจ ผู้บริหารควรมีการกำหนดเป้าหมายของสถานศึกษามีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน</p> วรพร นุชสมบูรณ์ พนิดา สินสุวรรณ วราลักษณ์ ศรีกันทา Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 69 82 รูปแบบการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277765 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข ของโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยมีวิธีดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1) ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข 1.1) การศึกษาองค์ประกอบการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 333 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามมาตราประมาณค่า 5 ระดับ และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน 1.2) การศึกษาแนวทางการบริการสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข โดยวิธีการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน จากแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา 2) สร้างรูปแบบการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข ดำเนินการยกร่างรูปแบบและประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 13 คน และ 3) ประเมินรูปแบบการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมศึกษา จำนวน 333 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผลการสร้างรูปแบบการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุขของโรงเรียนมัธยมศึกษา ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการ วัตถุประสงค์ กระบวนการบริหารสู่การเป็นองค์กรแห่งความสุข และเงื่อนไขความสำเร็จ และแนวทางการบริหารโดยการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม มีผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบโดยผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินความเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ของรูปแบบ มีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นประโยชน์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ณัฐกมล ฝีปากเพราะ โสภา อำนวยรัตน์ สันติ บูรณะชาติ น้ำฝน กันมา Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 83 98 การสร้างระบบจัดการข้อมูลระบบผลิตน้ำสะอาด ของสำนักงานทรัพยากรน้ำ ที่ 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277803 <p> </p> <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบระบบฐานข้อมูลที่เหมาะสมในการจัดเก็บข้อมูลโครงการระบบผลิตน้ำสะอาด และเพื่อออกแบบระบบการแจ้งชำรุดและสถานะความพร้อมในการใช้งานของโครงการระบบผลิตน้ำสะอาดของสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 เป็นวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีวิธีการวิจัยตามหลักการคิดเชิงออกแบบ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก คัดเลือกแบบเจาะจง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ภาคสนามของสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลระบบของสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 และเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลระบบผลิตน้ำสะอาด จำนวน 11 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า จากการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยได้จัดทำแบบฟอร์มสำหรับจัดเก็บข้อมูลจำนวน 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบฟอร์มบันทึกข้อมูลรายละเอียดโครงการระบบผลิตน้ำสะอาด แบบฟอร์มบันทึกข้อมูลการนิเทศติดตามผลบำรุงรักษาโครงการระบบผลิตน้ำสะอาด และระบบแจ้งชำรุดและแสดงสถานะการใช้งานของระบบผลิตน้ำสะอาด มีส่วนช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลและการแจ้งการชำรุดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เกิดความเป็นระบบระเบียบ ลดข้อผิดพลาดในการดำเนินงาน อีกทั้งผู้ใช้งานมีความพึงพอใจในระดับดีมาก นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาแดชบอร์ด Dashboard ข้อมูลระบบผลิตน้ำสะอาด เพื่อให้ผู้บริหารสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การบริหารจัดการโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1</p> แพรวนภา วังวน พจนา พิชิตปัจจา Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 99 115 การพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมประเพณีแห่ช้างผ้า ชุมชนบ้านเมาะหลวง อำเภอ แม่เมาะ จังหวัดลำปาง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277855 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรส่งเสริมประเพณีแห่ช้างผ้า</p> <p>ชุมชนบ้านเมาะหลวง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง และ 2) ศึกษาผลการใช้หลักสูตรส่งเสริมประเพณีแห่ช้างผ้า ชุมชนบ้านเมาะหลวง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยเทคนิค กฟผ.แม่เมาะ จำนวน 15 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ หลักสูตรฯ เอกสารประกอบการใช้หลักสูตรฯ แบบประเมินภาคปฏิบัติการทำช้างผ้า และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ประเพณี แห่ช้างผ้า ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี ความสอดคล้อง</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <p> 1) หลักสูตรส่งเสริมประเพณีแห่ช้างผ้า ชุมชนบ้านเมาะหลวง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ความเป็นมาและความสำคัญของหลักสูตร 2) หลักการของหลักสูตร 3) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 4) โครงสร้างของหลักสูตร ประกอบด้วย 1 หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง ประเพณีแห่ช้างผ้า จำนวน 3 แผนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เปิดตำนานประเพณีแห่ช้างผ้า แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรียนรู้ ภูมิปัญญางานศิลป์คนเมืองเมาะ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 บ่มเพาะปราชญ์แห่งภูมิปัญญา 5) เนื้อหาสาระ 6) การจัดการเรียนการสอน 7) สื่อและแหล่งการเรียนรู้ 8) การวัดและประเมินผล มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมของหลักสูตรฯ อยู่ในระดับมาก และเอกสารประกอบหลักสูตรฯ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก </p> <p> 2) กลุ่มเป้าหมายที่เรียนด้วยหลักสูตรฯ มีผลคะแนนการประเมินการทำช้างผ้าอยู่ในเกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ระดับ 4 (ดีมาก) และมีคะแนนการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ประเพณีแห่ช้างผ้า มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 24.40 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 81.33 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนหลังเรียนกับเกณฑ์ พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 </p> วราภรณ์ ยศสมสาย เกษทิพย์ ศิริชัยศิลป์ ปณิสรา จันทร์ปาละ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 116 129 แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษกิจพอเพียงในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาป่าตึง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277963 <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) ศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3) เสนอแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาป่าตึง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 ซึ่งการวิจัยครั้งใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารครูและบุคลากรโรงเรียนในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาป่าตึง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 โดยเลือกใช้สูตรสำเร็จรูปของ Taro Yamane (1967) ที่ระดับความคลาดเคลื่อน 5% ได้จำนวน 112 คน โดยเลือกวิธีการแบบการสุ่มตัวอย่างแบบโดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ(Stratified sampling) ตามอัตราส่วน จำแนกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา 8 คน และครูและบุคลากรทางการศึกษา 104 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ประเด็นการสนทนากลุ่มและแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> จากการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาป่าตึง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.40, S.D. = 0.16) 2) แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีทั้งหมด 5 ด้าน ดังนี้ ด้านความพอประมาณ ด้านความมีเหตุผล ด้านการมีภูมิคุ้มกัน ด้านเงื่อนไขความรู้ และด้านเงื่อนไขคุณธรรม 3)ได้เสนอแนวการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได้แนวทาง 5 ด้าน 28 แนวทาง คือ1) ด้านความพอประมาณ 6 แนวทาง 2)ด้านความมีเหตุผล 5 แนวทาง 3)ด้านการมีภูมิคุ้มกัน 5 แนวทาง 4)ด้านเงื่อนไขความรู้ 6 แนวทาง และ 5)ด้านเงื่อนไขคุณธรรม 6 แนวทาง</p> คฑาวุธ ธนะวงศ์ ไพรภ รัตนชูวงศ์ สมเกียรติ ตุ่นแก้ว Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 130 142 การพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/277979 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยศึกษาผลของการเรียนการสอนตามหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ <br />1) เพื่อสร้างและประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีนโดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมวิทยา อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดย<br />การสุ่มแบบกลุ่ม (Custer random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ หลักสูตรส่งเสริมความสามารถ<br />ในการเขียนอักษรจีนโดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เอกสารประกอบหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีนโดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และแบบทดสอบวัดความสามารถในการเขียนอักษรจีนหลังการใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม <br />สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า T-Test</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า 1) พบว่า การพิจารณาความเหมาะสมของหลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า <br />ความเหมาะสมรวมทั้ง 7 ด้าน มีค่าเฉลี่ยความเหมาะสมของหลักสูตรฯ อยู่ในระดับมาก ( = 4.40 , S.D. = 0.51) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านการวัดและประเมินผล ( = 4.60 , S.D. = 0.55) มีคุณภาพของหลักสูตรฯมากที่สุด ผลการพิจารณาความเหมาะสมของเอกสารประกอบหลักสูตรส่งเสริมความสามารถ<br />ในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ค่าเฉลี่ยความเหมาะสมของเอกสารประกอบหลักสูตรฯ อยู่ในระดับมาก ( = 4.47 , S.D. = 0.69) <br />เมื่อพิจารณาในแต่ละด้านมีระดับความเหมาะสมมากที่สุด 2 ด้านได้แก่ ด้านคำชี้แจงการใช้หลักสูตรและ <br />แผนการดำเนินการใช้หลักสูตรตามโครงสร้างเนื้อหาหลักสูตร ( = 4.60 , S.D. = 0.50) 2) คะแนนการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้หลักสูตรส่งเสริมความสามารถในการเขียนอักษรจีน โดยใช้เทคนิคทีจีทีร่วมกับบอร์ดเกม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.57 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 76.16 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและคะแนนหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมาย พบว่า คะแนนความสามารถในการเขียนอักษรจีนหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 30 คน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> นายปรัชวรชัย เอกบุตร เกษทิพย์ ศิริชัยศิลป์ ปณิสรา จันทร์ปาละ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 143 155 การพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านการอ่านด้วยเทคนิคบันได 6 ขั้น ร่วมกับการสะท้อนคิด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/278007 <p> </p> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและหาค่าดัชนีประสิทธิผลของหลักสูตรส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านการอ่านด้วยเทคนิคบันได 6 ขั้นร่วมกับการสะท้อนคิด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านการอ่านด้วยเทคนิคบันได 6 ขั้นร่วมกับการสะท้อนคิด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนเสริมงามวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาลำปาง ลำพูน จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านการอ่านด้วยเทคนิคบันได 6 ขั้นร่วมกับการสะท้อนคิด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เอกสารประกอบการใช้หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านการอ่านด้วยเทคนิคบันได 6 ขั้นร่วมกับการสะท้อนคิด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 3) แบบทดสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละพัฒนาการสัมพัทธ์ และค่าทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) การสร้างและหาค่าดัชนีประสิทธิผลของหลักสูตรส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านการอ่านด้วยเทคนิคบันได 6 ขั้นร่วมกับการสะท้อนคิด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ความเป็นมาและความสำคัญของหลักสูตร 2) หลักการของหลักสูตร 3) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 4)โครงสร้างและเนื้อหาสาระของหลักสูตร ประกอบด้วย 2 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องอ่านเรื่องเพื่อสร้างคุณค่า และหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เพิ่มปัญญาด้วยความรู้ 5) การจัดการเรียนรู้ของหลักสูตร 6) สื่อและแหล่งเรียนรู้ของหลักสูตร 7) การวัดและประเมินผลของหลักสูตร ความเหมาะสมของหลักสูตรฯ ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ความเหมาะสมของเอกสารประกอบการใช้หลักสูตรในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และการหาค่าดัชนีประสิทธิผลของหลักสูตรฯ อยู่ที่ 0.6163</p> <p>2) ผลการใช้หลักสูตรส่งเสริมความฉลาดรู้ด้านการอ่านด้วยเทคนิคบันได 6 ขั้นร่วมกับการสะท้อนคิด สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนมีคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ภาพรวมอยู่ในระดับสูงโดยคิดเป็นร้อยละ 62.69 และมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ภัทรพงศ์ จำปาวัน เกษทิพย์ ศิริชัยศิลป์ ปณิสรา จันทร์ปาละ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 156 171 รูปแบบการรักษาอุโบสถศีลของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไต อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/278065 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดหลักการรักษาอุโบสถศีลในพระพุทธศาสนาและของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไต อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 2) เพื่อวิเคราะห์การรักษาอุโบสถศีลของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไต อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการรักษาอุโบสถศีลของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไต อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การจัดเวทีสนทนากลุ่ม กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ) และการสังเกตแบบมีส่วนร่วมพบว่า</p> <p>ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 หลักการรักษาอุโบสถศีลในพระพุทธศาสนา พบว่า ปรากฏในพระวินัยปิฎก มหาวรรค อุโบสถขันธกะ พบว่า มีจุดเริ่มต้นจากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ประชุมแสดงธรรมในวันสำคัญทางจันทรคติ คือ วันขึ้นและแรม 8 ค่ำ, 14 ค่ำ และ 15 ค่ำ ของทุกปักษ์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากในสมัยนั้น พวกปริพาชกและนักบวชศาสนาอื่นได้มีการประชุมกล่าวธรรมในวันดังกล่าว ทำให้ประชาชนเข้าไปฟังและเกิดความเลื่อมใส พระเจ้าพิมพิสารทรงเห็นว่าหากพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ามีการประชุมแสดงธรรมเช่นนี้บ้าง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา</p> <p>ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 วิเคราะห์การรักษาอุโบสถศีลของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไต พบว่า ชาวไทใหญ่นับถือศาสนาพุทธร่วมกับการนับถือเทพและเจ้าเมือง โดยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ในชุมชนจึงมีทั้งวัดเป็นศาสนสถานและหอเจ้าเมืองและใจบ้าน อีกทั้งชาวไทใหญ่มีประเพณี 12 เดือน ที่ในแต่ละเดือนจะมีประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวัดทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่าชาวไทใหญ่เป็นผู้นับถือศรัทธาศาสนาพุทธอย่างแนบแน่น นอกจากนั้นชาวไทใหญ่ยังมีความเชื่อในเรื่องของโลกหน้าอีกด้วย ชาวไทใหญ่จะนิยมการทำบุญ ทำทาน และให้ความสำคัญกับประเพณีทางศาสนาอย่างมาก เชื่อเมื่อตายไปแล้วจะได้อยู่บนสวรรค์ </p> <p>ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 พัฒนารูปแบบการรักษาอุโบสถศีลของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไต พบว่า การรักษาศีลกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไตจะปฏิบัติในช่วงเข้าพรรษาจะมีการรักษาศีลแปด เรียกว่า "ปกติอุโบสถ" เป็นเวลา 1 วัน ในช่วงเวลา 1 วัน กับ 1 คืน โดยมากรักษากันในวันขึ้นหรือแรม 8 ค่ำ 15 ค่ำ หรือแรม 14 ค่ำ ในเดือนคี่ คือ รักษากันในวันพระนั่นเอง ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างอุโบสถศีลกับศีล 8 คือ (1) อุโบสถศีล กับ ศีล 8 มีข้องดเว้น 8 ข้อเหมือนกัน (2) คำอาราธนา (ขอศีล) แตกต่างกัน (3) อุโบสถศีล มีวันพระเป็นแดนเกิด สมาทานรักษาได้เฉพาะวันพระเท่านั้น ส่วนศีล 8 สมาทานรักษาได้ทุกวัน (4) อุโบสถศีล มีอายุ 24 ชั่วโมง (วันหนึ่งคืนหนึ่ง) ส่วนศีล 8 ไม่มีกำหนดอายุในการรักษา กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไต ผู้ที่รักษาอุโบสถศีลนี้ จะถูกเรียกชื่อว่า พ่อศีล แม่</p> พระมหาวัฒนา กวิวํโส พระครูสิริปริยัตยานุศาสก์ พิสิฏฐ์ โคตรสุโพธิ์ วิโรจน์ วิชัย Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 172 182 การส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรที่ทำการปกครองอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน โดยประยุกต์ตามหลักพุทธธรรม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/278126 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรที่ทำการปกครองอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน 2) ความสัมพันธ์ระหว่างหลักพุทธธรรมกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรที่ทำการปกครองอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน 3) นำเสนอการส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรที่ทำการปกครองอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน โดยประยุกต์ตามหลักพุทธธรรม โดยการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 114 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน โดยใช้แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรที่ทำการปกครองอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่าง หลักอิทธิบาท 4 กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรที่ทำการปกครองอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในทิศทางเดียวกันอยู่ในระดับสูงมาก</li> <li>การส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรที่ทำการปกครองอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน โดยประยุกต์ตามหลักพุทธธรรม พบว่า 1) ฉันทะ คือ มีการกำหนดเป้าหมาย วิธีการ และแนวทางปฏิบัติงานที่ชัดเจนในองค์กร 2) วิริยะ คือ มีการจัดระบบการทำงานให้สอดคล้องกับระเบียบ นโยบาย ตัวชี้วัด และเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การบริหารจัดการงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น 3) จิตตะ คือ มีการวางแผนและการกำหนดขั้นตอนในการทำงาน การวางแผนที่ดีจะช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมของงาน สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม 4) วิมังสา คือ ผู้บริหารและบุคลากรให้ความสำคัญในการวางแผนและประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง</li> </ol> <p> </p> พัชริดา สัตยวงศ์ ธีรทัศน์ โรจน์กิจจากุลม ธิติวุฒิ หมั่นมี Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 183 195 การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการฐานข้อมูลสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ Decision Support Systems: DSS ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/278170 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาในการบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และ 2) พัฒนาแนวทางการออกแบบและปรับปรุงฐานข้อมูลสารสนเทศสำหรับการรายงานผลการปฏิบัติราชการแบบออนไลน์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรของสำนักงาน จำนวน 90 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ฐานข้อมูลสารสนเทศของสำนักงานอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล การตรวจสอบ และการนำเสนอสารสนเทศ สำหรับแนวทางการพัฒนาฐานข้อมูลประกอบด้วย 5 ด้านหลัก ได้แก่ การรวบรวม ตรวจสอบ ประมวลผล นำเสนอ และจัดเก็บข้อมูล โดยมุ่งเน้นความชัดเจนของเป้าหมาย ความร่วมมือภายในองค์กร การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล</li> <li>แนวทางการออกแบบและปรับปรุงฐานข้อมูลสารสนเทศสำหรับการรายงานผลการปฏิบัติราชการแบบออนไลน์ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา แบ่งออกเป็น 5 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การรวบรวมข้อมูล กำหนดเป้าหมายชัดเจน ใช้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และส่งเสริมความร่วมมือภายในหน่วยงาน (2) การตรวจสอบข้อมูล ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลเก่าและใหม่ โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (3) การประมวลผลข้อมูล จัดโครงสร้างความสัมพันธ์ของข้อมูล มีผู้รับผิดชอบชัดเจน และใช้เครื่องมือที่ทันสมัย (4) การนำเสนอข้อมูล ใช้ข้อมูลพัฒนาบุคลากร ประสานงานระหว่างหน่วยงาน แสดงผลผ่าน Dashboard (Google Data Studio) และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และ (5) การจัดเก็บข้อมูล จัดเก็บอย่างเป็นระบบ มีการสำรองข้อมูล และระบบรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม</li> </ol> พงศ์ศธร พิมพะนิตย์ ชัยวัฒน์ อุทัยแสน วรวิทย์ นิเทศศิลป์ พิศาระวี วีระพงศ์พร โสภิต ฉายะสถิตย์ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 196 206 ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/278187 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา กรุงเทพมหานคร และ (2) ศึกษาแนวทางที่มีผลต่อขวัญกำลังใจใน<br />การปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา กรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็น<br />การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ ข้าราชการตำรวจ ชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวน สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา กรุงเทพมหานคร จำนวน 156 นาย กลุ่มตัวอย่าง มีจำนวน 154 นาย โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา กรุงเทพมหานคร ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.63) เมื่อพิจารณารายด้านสามารถเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ ด้านโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ ( = 4.31) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ( = 4.12) ด้านการเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงาน ( = 3<strong>.</strong>86<strong>) </strong>ด้านความเหมาะสม ด้านความรู้ ความสามารถในตำแหน่งงานที่ปฏิบัติ ( = 3.72) ด้านความเพียงพอของเงินเดือนและรายได้พิเศษ <br />( = 3.53) ด้านความมั่นคงในงาน ( = 3.52) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา ( = 3.48) ด้านสวัสดิการของหน่วยงาน ( = 3.44) และด้านลักษณะงาน ( = 2.73) ตามลำดับ และ (2) แนวทางที่มีผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา กรุงเทพมหานคร พบว่า ความเพียงพอของเงินเดือนและรายได้พิเศษ สวัสดิการของหน่วยงาน และโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจในสถานีตำรวจนครบาลยานนาวา กรุงเทพมหานคร มากที่สุด ใน 3 อันดับแรก <strong> </strong></p> วิชิต บุญสนอง เรวดี มาลัยศรี กันตินันท์ จิตรละออน ฉัตรชัย วณิชธนานันต์ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 207 218 การประเมินการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/278188 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ (2) เปรียบเทียบการดำเนินงานตามหลัก<br />ธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยจำแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ศึกษา คือ ประชาชนในพื้นที่เขต<br />เทศบาลตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 10,214 คน กลุ่มตัวอย่าง<br />ถูกกำหนดโดยการสุ่มตัวอย่างตามสูตรของทาโร่ ยามาเน่ ได้จำนวนตัวอย่างทั้งหมด 390 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า <br />t-Test และ F-Test รวมถึงการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) และการทดสอบ<br />ความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี Fisher’s Least Significant Difference (LSD) โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ .05<br /> ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.85 <br />สำหรับผลการพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และ (2) การเปรียบเทียบการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลของเทศบาลตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา <br />โดยจำแนกตามสถานภาพส่วนบุคคล ด้านเพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และระดับรายได้ พบว่า โดยภาพรวม<br />ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05</p> จุมพล โพธิสุวรรณ อดุลย์ เลาหพล บุตรี จารุจินดา ศักดิ์ดา ศิริภัทรโสภณ Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 219 235 ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในสำนักงานเขตบางกะปิ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/278190 <p> </p> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในสำนักงานเขตบางกะปิ และ (2) เปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในสำนักงานเขตบางกะปิ ตามปัจจัยส่วนบุคคล การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ศึกษา คือ บุคลากรในสำนักงานเขตบางกะปิ จำนวน 422 คน กลุ่มตัวอย่างเป็นบุคลากรในสำนักงานเขตบางกะปิ ประกอบด้วย ข้าราชการ และลูกจ้าง จำนวน 200 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ การหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>การทดสอบค่า T- test และ F - test </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในสำนักงานเขตบางกะปิ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน สามารถเรียงลำดับด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด<br />ไปต่ำสุดได้ดังนี้ ด้านความสำเร็จของงาน ( = 4.43) ด้านความก้าวหน้า ( = 4.25) ด้านลักษณะงาน( = 3.89) ด้านการยอมรับนับถือ ( = 3.65) และด้านความรับผิดชอบ ( = 3.58) ตามลำดับ และ(2) ผลการเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในสำนักงานเขตบางกะปิตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และประเภทบุคลากรที่ต่างกัน ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรในสำนักงานเขตบางกะปิต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ .05</p> สมภพ ศรีสัมพันธ์ ธวัชชัย แสวงทรัพย์ อนงค์วรรณ เทพสุทิน เกศริน เอกธวัชกุล Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 236 248 การพัฒนาหลักสูตรการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/278192 <p><a name="_Toc190272728"></a>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ (2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น แบบแผนที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้ คือแบบกลุ่มเดียว ทดสอบก่อนหลังกลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนประชาวิทย์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 23 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ หลักสูตร คู่มือการใช้หลักสูตร แบบทดสอบวัดความสามารถการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p> <a name="_Toc190272729"></a>ผลการวิจัยพบว่า<a name="_Toc190272730"></a></p> <ol> <li>หลักสูตรการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีองค์ประกอบ 6 ประกอบ ได้แก่ 1) ความเป็นมาและความสำคัญของหลักสูตร 2) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 3) โครงสร้างเนื้อหาของหลักสูตรประกอบด้วย 4 หน่วย ได้แก่ หน่วยที่ 1 โจทย์ปัญหารูปสามเหลี่ยม หน่วยที่ 2 โจทย์ปัญหารูปหลายเหลี่ยม หน่วยที่ 3 โจทย์ปัญหาวงกลม และหน่วยที่ 4 โจทย์ปัญหารูปเรขาคณิตสามมิติ 4) แนวทางการจัดการเรียนรู้ 5) สื่อ / แหล่งเรียนรู้ และ 6) การวัดและการประเมินผล หลักสูตรมีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ ในระดับมากที่สุด คู่มือหลักสูตรมีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ ในระดับมากที่สุด</li> <li><a name="_Toc190272731"></a> นักเรียนที่เรียนด้วยหลักสูตรการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์โดยใช้กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด 4 สหาย มีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5</li> </ol> ศุภวิชญ์ แตงทองคำ ปริญญภาษ สีทอง Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 14 1 249 261