วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ
<p><strong>วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง </strong></p> <p> ถือเป็นแหล่งรวบรวมผลงานทางวิชาการ และองค์ความรู้ที่สำคัญเนื่องจากเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้ทางพระพุทธศาสนา ความคิดที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า ตลอดจนความเคลื่อนไหวในแง่มุมต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัย</p>
วิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
th-TH
วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
2350-9953
-
แนวทางการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นบ้านร้องขุ่น ตำบลสันปูเลย อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/279522
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาบริบทและสถานการณ์การมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่น (2) เพื่อพัฒนากิจกรรมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นของเยาวชน และ (3) แนวทางการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่น การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึก แบบมีโครงสร้าง และไม่มีโครงสร้าง รวมถึงการสนทนากลุ่มกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 24 รูป/คน ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>บริบทและสถานการณ์การมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่น พบว่า เยาวชนมีส่วนร่วมในประเพณีที่ได้รับความนิยม เช่น สงกรานต์ ก๋วยสลาก และยี่เป็ง แต่ขาดความเข้าใจในพิธีกรรม เนื่องจากอิทธิพลของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ลดทอนความสนใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น การใช้สื่อและเทคโนโลยีจึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดเยาวชนให้กลับมามีส่วนร่วมและตระหนักถึงคุณค่าของประเพณีดั้งเดิม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอนุรักษ์อัตลักษณ์และพัฒนาชุมชน</li> <li>กิจกรรมการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์หลากหลาย เช่น การทำโคมลอย การประกวดฟ้อนรำพื้นเมือง และการแข่งขันทำอาหารพื้นบ้านในงานประเพณียี่เป็ง กิจกรรมเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกด้านศิลปวัฒนธรรม และส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับชุมชน</li> <li>แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเยาวชนในการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่น โดยเน้นการสนับสนุนจากภาครัฐ ภาคเอกชน วัด และสถานศึกษา ผ่านการจัดสรรทรัพยากรเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนมีบทบาทเช่น เป็นอาสาสมัคร พิธีกร หรือผู้แสดงศิลปะพื้นบ้าน และร่วมเตรียมงานประเพณี เช่น การทำกระทงและการจัดดอกไม้ รวมถึงบูรณาการวัฒนธรรมเข้ากับหลักสูตร และการจัดอบรมทักษะ ผลการศึกษาระบุว่า การส่งเสริมอย่างต่อเนื่องจะทำให้เยาวชนเป็นพลังสำคัญในการอนุรักษ์และพัฒนาประเพณีท้องถิ่นอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งพัฒนาทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ และความรับผิดชอบต่อชุมชนอย่างมีคุณค่า</li> </ol>
พระครูสมุห์อุเทน ถิรจิตฺโต
พระสุธีวัชรบัณฑิต
ทิพาภรณ์ เยสุวรรณ์
ปรีชา วงค์ทิพย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
1
12
-
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/279510
<p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและผู้บริหารในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 ปี การศึกษา 2567 จำนวน 322 ซึ่งได้จากการสุ่มขนาดกลุ่มตัวอย่างในตารางกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างของเครซี่และมอร์แกน และการสุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ภาพรวมอยู่ในระดับอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ด้านการสร้างแรงจูงใจ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการคิดสร้างสรรค์ แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชียงรายเขต 3 ทั้งหมด 8 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการมีวิสัยทัศน์สู่การเปลี่ยนแปลง 2) ด้านการทำงานเป็นทีม <strong> </strong>3) ด้านการคิดสร้างสรรค์ 4) ด้านการสร้างบรรยากาศขององค์กร 5) ร่างการสร้างแรงจูงใจ 6) ความกล้าเสี่ยงกล้าตัดสินใจ 7) ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 8) ด้านการตัดสินใจและแก้ปัญหา</p>
บุณยาพร สุฤทธิ์
วัชระ จตุพร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
13
31
-
ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/279619
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 และ2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในอำเภอลอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 จำนวน 167 คน โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p> 1) ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็นในด้านวิสัยทัศน์ทางดิจิทัล เป็นลำดับที่หนึ่ง (PNI <sub>modified</sub> = 0.463) ด้านการรู้ดิจิทัล เป็นลำดับที่สอง (PNI <sub>modified</sub> = 0.452) ด้านการสื่อสารดิจิทัล เป็นลำดับที่สาม (PNI <sub>modified</sub> = 0.441) และด้านวัฒนธรรมการเรียนรู้ดิจิทัล เป็นลำดับที่สี่ (PNI <sub>modified</sub> = 0.425) </p> <p> 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 2 มีทั้งสิ้น 24 แนวทาง แบ่งเป็น ด้านวิสัยทัศน์ทางดิจิทัล ด้านการรู้ดิจิทัล ด้านการสื่อสารดิจิทัล และด้านวัฒนธรรมการเรียนรู้ดิจิทัล ด้านละ<br /> 6 แนวทาง</p>
วิภาดา นาระเดช
ปณตนนท์ เถียรประภากุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
32
46
-
การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลผาสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/279657
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสัปปุริสธรรมกับภาวะผู้นำของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 3) เพื่อนำเสนอการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดยการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ประกอบด้วย การวิจัยเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 378 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน โดยใช้แบบสัมภาษณ์และวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ระดับภาวะผู้นำของกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในตำบลผาสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสัปปุริสธรรมกับภาวะผู้นำของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลผาสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน การทดสอบสมมติฐาน พบว่า โดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในทิศทางเดียวกันอยู่ในระดับมาก</li> <li>การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในตำบลผาสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน พบว่า การบูรณาการหลักสัปปุริสธรรม มีลักษณะดังนี้ 1) ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ ได้แก่ ส่งเสริมผู้นำให้มีกระบวนความคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ ให้ใช้เหตุผลมาก่อนเสมอและรู้จักการวิเคราะห์สาเหตุแห่งปัญหา 2) อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักผล ได้แก่ ส่งเสริมผู้นำให้มีการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ ได้เรียนรู้จากการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรม และรู้จักการใช้ เหตุผลที่เหมาะสม 3) อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน ได้แก่ ส่งเสริมผู้นำให้ได้เรียนรู้ฝึกวิเคราะห์โครงการ มีความรับผิดชอบสูง และนำความสามารถมาใช้อย่างเต็มที่ 4) มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ ได้แก่ ส่งเสริมผู้นำให้สามารถกำหนดกิจกรรมที่เหมาะสม เป็นผู้้รู้จักความเหมาะสม กาลเทศะ เข้าใจในศักยภาพตัวเอง และสามารถดึงศักยภาพตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ 5) กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล ได้แก่ ส่งเสริมผู้นำให้วางแผนกำหนดการที่เหมาะสม คำนึงถึงความเหมาะสมของเวลาในการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ และให้รู้จักการตรงต่อเวลา 6) ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักชุมชน ได้แก่ ส่งเสริมผู้นำให้มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนในชุมชน มีกิจกรรมเพื่อสร้างเครือข่าย ให้รู้ในเรื่องของชุมชนของตน และมีความสำนึกรักในความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน 7) ปุคคลัญญุตา เป็นผู้รู้ จักบุคคล ได้แก่ ส่งเสริมผู้นำให้รู้จักบุคคลที่เกี่ยวข้องในชุมชนเป็นอย่างดี สร้างความเป็นผู้นำใน การทำงาน พัฒนาฝึกอบรมและทำกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์</li> </ol>
สุนิสา จิตต์บรรจง
ธีรทัศน์ โรจน์กิจจากุล
ธิติวุฒิ หมั่นมี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
47
60
-
ภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่21ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/279682
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 ซึ่งได้จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากตาราง Krejcie, and Morgan (1970) และสุ่มอย่างง่าย (Simple Sampling) โดยใช้วิธีการจับฉลาก แบ่งเป็นครู จำนวน 234 คน และผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 42 คน รวมกลุ่มตัวอย่างขั้นต่ำ จำนวนทั้งสิ้น 276 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามระดับภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 2) ประเด็นการสนทนากลุ่ม และ 3) แบบสอบถามเพื่อยืนยันความเหมาะสมของแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 ใน ภาพรวมอยู่ในระดับ มาก(= 4.17, = 0.77) 2) แนวทางในการพัฒนาระดับภาวะผู้นำทางวิชาการในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 ประกอบด้วย 1) ด้านมนุษยสัมพันธ์ จำนวน 6 แนวทาง 2) ด้านความร่วมมือจำนวน 5 แนวทาง 3) ด้านการคิดวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์ จำนวน 6 แนวทาง และ 4)ด้านการใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารและการบริหารจัดการ จำนวน 6 แนวทาง</p>
จุฬามณี ปันวัง
ปณตนนท์ เถียรประภากุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
61
75
-
การส่งเสริมการมีงานทำในยุคดิจิทัลสำหรับนักเรียนกลุ่มเครือข่ายโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/279737
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการส่งเสริมการมีงานทำในยุคดิจิทัลของนักเรียนในกลุ่มเครือข่ายโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่ม 6 2) วิเคราะห์ปัญหาที่เกี่ยวข้อง และ 3) เสนอแนวทางพัฒนาการส่งเสริมดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารและครูระดับมัธยมศึกษา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 241 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า การส่งเสริมการมีงานทำในยุคดิจิทัลอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่ได้รับคะแนนสูงสุดคือการพัฒนาทักษะและความสามารถ รองลงมาคือ การสร้างโอกาสในการทำงาน การส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง และการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน/ตลาดแรงงาน ตามลำดับ </p> <p> <strong>ปัญหาที่พบ</strong> ได้แก่ 1) นักเรียนมีพฤติกรรมติดเกม ขาดทัศนคติและทักษะที่เหมาะสมต่อการประกอบอาชีพ 2) ครอบครัวและสิ่งแวดล้อมจำกัดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี 3) อุปกรณ์และเทคโนโลยีไม่เพียงพอ ระบบอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล 4) ครูขาดความรู้ด้านเทคโนโลยีและการแนะแนวอาชีพในยุคดิจิทัล 5) งบประมาณมีข้อจำกัด ไม่เพียงพอในการพัฒนาเครื่องมือและบุคลากร และ6) การประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนและเครือข่ายยังไม่ทั่วถึง </p> <p><strong>แนวทางการพัฒนา</strong> ควรวางแผนสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อนำองค์ความรู้และประสบการณ์มาใช้ในการพัฒนาผู้เรียน ปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน โดยเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับ AI และ Blockchain ในรายวิชาคอมพิวเตอร์ ใช้เทคโนโลยีจริงภายในห้องเรียน เช่น การประยุกต์ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน และนำ Blockchain มาใช้จัดเก็บข้อมูลผลการเรียนอย่างปลอดภัยและโปร่งใส</p> <p> </p>
อัญชลีพร คำเด่นเหล็ก
สังวาร วังแจ่ม
สมมาต คำวัจนัง
มานะ ครุธาโรจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
76
93
-
การพัฒนานวัตกรรมระบบสารสนเทศด้านกฎหมายอาชีวอนามัย และความปลอดภัยของประเทศไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/279758
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพปัญหา และความต้องการของผู้ใช้งาน 2) พัฒนานวัตกรรมระบบสารสนเทศที่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งาน 3) ทดลองใช้นวัตกรรมระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้น และ 4) ประเมินผลการใช้นวัตกรรมระบบสารสนเทศ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีการเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพตามขั้นตอนของกระบวนการวิจัย โดยใช้เครื่องมือ เช่น แบบสอบถาม สัมภาษณ์ แบบประเมินระบบ และรายงานการใช้งานจริง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>1. การศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพปัญหา และความต้องการของผู้ใช้งาน โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 310 คน และสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 18 คน พบว่า ระบบสารสนเทศเดิมมีข้อจำกัดด้านความซับซ้อนของการใช้งาน ไม่มีระบบแจ้งเตือน ผู้ใช้งานต้องการระบบที่ใช้งานง่าย เสถียร <br />อัพเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ</li> <li>2. ระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบสำคัญ 7 ด้าน ได้แก่ ความง่ายในการใช้งาน ประโยชน์จากการใช้งาน คุณภาพของระบบ คุณภาพของข้อมูล คุณภาพของการให้บริการ ความพึงพอใจของผู้ใช้งาน และความเชื่อมั่นในระบบ ผลการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 12 คน อยู่ในระดับมาก</li> <li>3. ผลการทดลองใช้นวัตกรรมระบบสารสนเทศ ผู้วิจัยดำเนินการอบรมเชิงปฏิบัติการและทดลองใช้ระบบสารสนเทศกับกลุ่มเป้าหมาย 26 คน โดยให้ทดลองใช้งานในสถานการณ์จำลอง พร้อมสังเกตการณ์และติดตามบันทึกการใช้งาน ผลการทดลองพบว่า ระบบสารสนเทศช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างชัดเจน ลดระยะเวลาในการค้นหากฎหมาย และลดความซับซ้อนในกระบวนการประเมินความสอดคล้องของกฎหมายเมื่อเทียบกับวิธีเดิม</li> <li>4. ผลการประเมินการใช้นวัตกรรมระบบสารสนเทศ พบว่า 1) ระบบสามารถช่วยลดเวลาในการค้นหาข้อมูลเฉลี่ยได้ 3.00 นาทีในกลุ่มผู้ไม่มีประสบการณ์ และ 1.60 นาทีในกลุ่มผู้มีประสบการณ์ จากกลุ่มเป้าหมาย 6 คน, 2) กลุ่มเป้าหมายที่มีประสบการณ์ใช้งาน 20 คน มีความพึงพอใจต่อระบบในระดับมาก (𝑥̄ = 4.41, S.D. = 0.418), 3) ระบบสามารถสร้างผู้สมัครใช้งานจริงสะสมได้ 455 คน คิดเป็นร้อยละ 91 ของเป้าหมาย 500 คน</li> </ol> <p><strong> </strong></p>
วิทยา ธาตุบุรมย์
ตระกูล จิตวัฒนากร
เกียรติ บุญยโพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
94
107
-
การมีส่วนร่วมการดำเนินงานพัฒนาพลังงานชีวมวล เสริมรายได้ประชาชนของชุมชนในจังหวัดลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/279775
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาพลังงานชีวมวลเพื่อส่งเสริมรายได้ของประชาชน <br />2) ศึกษาวิธีการปฏิบัติในการพัฒนาพลังงานชีวมวลอย่างสร้างสรรค์ และ 3) เสนอรูปแบบการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านพลังงานชีวมวลเพื่อส่งเสริมรายได้ของประชาชน การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม จำนวน <br />146 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 24 รูป/คน รูปแบบวิธีการวิจัย ใช้ระเบียบวิธีวิจัยด้วยกัน 4 แบบ คือ 1) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) 2) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) 3) การสัมภาษณ์ (Interview) และ 4) การสังเกตการณ์ (observation)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1.การพัฒนาพลังงานชีวมวลเพื่อเสริมสร้างรายได้แก่ประชาชน ประชาชนให้ความสนใจในกระบวนการผลิตพลังงานชีวมวลในเชิงปฏิบัติ เช่น การเก็บวัสดุเหลือใช้ในพื้นที่ การทำผลิตภัณฑ์จากไม้ และการปรับปรุงเตาพลังงานชีวมวล มีความรู้ ความเข้าใจ </p> <p>2.การพัฒนาพลังงานชีวมวลที่มีประสิทธิภาพควรเริ่มจากการสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่เข้าถึงง่าย มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ชุมชนควรได้รับความรู้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานของชีวมวล ความเข้าใจในแหล่งเชื้อเพลิง วิธีการเผาไหม้ และข้อดีข้อจำกัดของเตาชีวมวล รวมถึงการมีส่วนร่วมของชุมชนในการออกแบบ ผลิต ทดลอง </p> <p>3.รูปแบบการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านพลังงานชีวมวล ได้พัฒนารูปแบบเตาอบชีวมวลอเนกประสงค์ และแปรรูปวัสดุเหลือใช้ให้เป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ เช่น การผลิตถ่านชีวมวล น้ำส้มควันไม้ และปุ๋ยหมัก โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอน </p>
พระครูสุตชยาภรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
108
119
-
การประเมินความต้องการจำเป็นและแนวทางการบริหารสถานศึกษาปลอดภัย ของผู้บริหารสถานศึกษา โรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/280113
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานสถานศึกษาปลอดภัยของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3 และ 2) ศึกษาแนวทางพัฒนาการดำเนินงานสถานศึกษาปลอดภัยของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.67–1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.965 และแบบสัมภาษณ์ กลุ่มเป้าหมายคือผู้บริหารโรงเรียน 139 คน และครูผู้รับผิดชอบโครงการสถานศึกษาปลอดภัย 139 คน รวมทั้งสิ้น 278 คน โดยใช้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง (Purposive Sampling) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นแบบจำแนกองค์ประกอบ ส่วนข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์วิเคราะห์เชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุดคือภัยจากความรุนแรง รองลงมาคืออุบัติเหตุและผลกระทบทางสุขภาวะ ส่วนที่ต่ำสุดคือการละเมิดสิทธิ 2) แนวทางการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยประกอบด้วย การจัดการความรุนแรงด้วยมาตรการชัดเจนและการคัดกรองนักเรียน การป้องกันอุบัติเหตุผ่านการอบรมและตรวจสอบจุดเสี่ยง การคุ้มครองสิทธิด้วยระบบร้องเรียนและพัฒนาทักษะป้องกันตนเอง และการดูแลสุขภาวะด้วยการส่งเสริมสุขภาพจิตและระบบส่งต่อผู้เชี่ยวชาญ</p>
ปภังกร ไชยวงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
120
135
-
ประสิทธิภาพการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนในเขตเทศบาลตำบล จังหวัดเชียงใหม่
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/280723
<p>การศึกษา เรื่อง “ประสิทธิภาพการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนในเขตเทศบาลตำบล จังหวัดเชียงใหม่” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายประสิทธิภาพ และวิธีการจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลตำบล จังหวัดเชียงใหม่ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ นายกเทศมนตรีตำบล เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการจัดการขยะมูลฝอย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบรายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดของแผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอยชุมชน “จังหวัดสะอาด” จากเทศบาลตำบลภายใต้การคัดเลือกตามเกณฑ์ในการศึกษา จำนวน 10 แห่ง</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า ประสิทธิภาพการจัดการขยะมูลฝอยของเทศบาลตำบลที่ศึกษา โดยแบ่งการอธิบายออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะต้นทาง ระยะกลางทาง และระยะปลายทาง อยู่ในระดับปานกลาง อีกทั้งยังพบว่า เทศบาลตำบลที่ศึกษามีแนวทางการจัดการขยะมูลฝอยที่สอดคล้องกับกรอบแนวทางของแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565 – 2570) ซึ่งให้ความสำคัญกับการคัดแยกขยะมูลฝอย ณ ต้นทาง ลดอัตราการเกิดขยะมูลฝอยเพื่อให้เหลือขยะที่ต้องกำจัดน้อยที่สุด อย่างไรก็ตามแนววิธีการจัดการขยะของเทศบาลตำบลแต่ละแห่งมีความแตกต่างกันในบางประเด็น เช่น รูปแบบของการให้ความรู้ และสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชน การจัดกิจกรรมคัดแยกขยะมูลฝอย และรูปแบบการเก็บ ขนขยะมูลฝอยไปกำจัด ซึ่งเป็นไปตามบริบทด้านการบริหารจัดการ การมีส่วนร่วมของชุมชน และความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่</p>
วรัญญา สุเตนันท์
อุดมโชค อาษาวิมลกิจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
136
149
-
ความท้าทายการนำปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ มาใช้ในการบริหารจัดการสถานศึกษาระดับประถมศึกษาของผู้อำนวยการสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/280765
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาความท้าทาย และความพร้อมในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และจริยธรรม (AI) ในการบริหารสถานศึกษา (2) เปรียบเทียบความท้าทาย ความพร้อมในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และจริยธรรม AI ในการบริหารสถานศึกษา ตามวิทยฐานะ เจเนอเรชัน และขนาดสถานศึกษา การวิจัยครั้งนี้ศึกษาจากกลุ่มประชากร คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษา และรองผู้อำนวยการสถานศึกษาของสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ทั้งหมด จำนวน 101 คน ใช้แบบสอบถามที่มีค่าความตรง เชิงเนื้อหา (IOC) 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.85 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย (µ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (σ)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า <strong>1)</strong> <strong>ความท้าทายในการใช้ </strong><strong>AI</strong> ในภาพรวมมีความท้าทายอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.32, σ = 0.68) โดยด้านการส่งเสริมการใช้งาน AI เป็นความท้าทายมากที่สุด (µ = 4.50, σ = 0.67) ขณะที่ด้านความรู้ความเข้าใจ AI ของผู้อำนวยการสถานศึกษามีความท้าทายน้อยที่สุดเป็นลำดับสุดท้าย (µ = 4.06, σ = 0.72) ส่วน<strong>ความท้าทายการใช้จริยธรรม </strong><strong>AI </strong>ในภาพรวมมีความท้าทายอยู่ในระดับมากที่สุด (µ = 4.27, σ = 0.69) โดยด้านการมุ่งเน้นการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยไม่ให้ขัดต่อกฏหมาย ระเบียบ นโยบาย และส่งผลกระทบด้านลบต่อผู้อื่น มีความท้าทายมากที่สุด (µ = 4.52, σ = 0.64) ขณะที่การรู้และเข้าใจถึงความรับผิดชอบต่อการ ใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีความท้าทายน้อยที่สุดเป็นลำดับสุดท้าย (µ = 4.01, σ = 0.71) <strong>ความพร้อมในการใช้ </strong><strong>AI และจริยธรรม AI </strong>พบว่าในภาพรวมมีความพร้อมอยู่ในระดับมาก (µ = 4.03, σ = 0.73) โดยด้านบุคลากรมีความพร้อมมากที่สุดเป็นลำดับแรก (µ = 4.22, σ = 0.65) ขณะที่ด้านวัสดุอุปกรณ์ มีความพร้อมอยู่ในระดับน้อยที่สุดเป็นลำดับสุดท้าย (µ=3.89,σ =0.82) <strong>(</strong><strong>2)</strong> <strong>ผลการเปรียบเทียบความท้าทาย และความพร้อมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (</strong><strong>AI)</strong><strong> และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (</strong><strong>AI)</strong> จำแนกตามวิทยฐานะและเจเนอเรชั่นในภาพรวมมีความท้าทายการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) อยู่ในระดับมากที่สุดเช่นเดียวกัน แต่จำแนกตามขนาดสถานศึกษา สถานศึกษาขนาดเล็ก และขนาดใหญ่มีความท้าทายอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนสถานศึกษาขนาดกลาง และขนาดใหญ่พิเศษ มีความท้าทายอยู่ในระดับมาก <strong>ในด้านความพร้อม</strong> จำแนกตามวิทยฐานะ เจเนอเรชั่น และขนาดสถานศึกษา ในภาพรวมมีความพร้อมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) อยู่ในระดับมาก เช่นเดียวกัน</p>
จารุวิทย์ ใจกล้า
สุชาดา นันทะไชย
วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง
รัชพล วิทยานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
150
169
-
การประเมินผลสำเร็จในการนำพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติในจังหวัดชลบุรี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281088
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการประเมินผลสำเร็จในการนำพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติในจังหวัดชลบุรี (2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการนำพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติในจังหวัดชลบุรี และ (3) เสนอแนวทางการปรับปรุงการนำพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติในจังหวัดชลบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัย<br />เชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญมี 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการภาคเอกชน และประชาชนผู้ที่จ่ายภาษี จำนวน 24 คน <br />โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง โดยพิจารณาจากประสบการณ์และความเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การสรุปความแบบพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) การประเมินผลสำเร็จในการนำพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติในจังหวัดชลบุรี ได้แก่ การบังคับใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการปฏิรูประบบภาษีท้องถิ่นของไทย โดยสามารถลดความเหลื่อมล้ำและเพิ่มรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ แต่ยังมีบางประเด็นที่ควรได้รับการแก้ไข อาทิ การตีความกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน ความซับซ้อนของขั้นตอนประเมินภาษี การขาดแคลนบุคลากรเฉพาะทาง ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี การประชาสัมพันธ์ที่ยังไม่ทั่วถึง และความไม่เข้าใจของประชาชนในรายละเอียดของกฎหมาย (2) ปัญหาและอุปสรรคในการนำพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติในจังหวัดชลบุรี ได้แก่ ความคลาดเคลื่อนของฐานข้อมูลกรรมสิทธิ์ที่ดิน ความเหลื่อมล้ำด้านศักยภาพระหว่าง อปท. การใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ที่ยังไม่มีมาตรฐานกลาง รวมถึงกลไกการสื่อสารที่ไม่สอดคล้องกับบริบทของชุมชน นำไปสู่ความไม่เป็นธรรมและประสิทธิภาพที่ไม่ทั่วถึงในการจัดเก็บภาษี และ (3) แนวทางการปรับปรุงการนำพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ไปปฏิบัติในจังหวัดชลบุรี ได้แก่ การกำหนดอัตราภาษีที่จูงใจการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสม การพัฒนาระบบประเมินและยื่นภาษีออนไลน์ การเพิ่มบุคลากรและพัฒนาเครือข่ายเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อเพิ่มความโปร่งใส และการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงทุกกลุ่มประชาชน ควบคู่ไปกับการสร้างแรงจูงใจในการชำระภาษี<br />อย่างสมัครใจ</p>
สุธาสินี รังสิมานุรักษ์
สถิตย์ นิยมญาติ
กมลพร กัลยาณมิตร
ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
170
187
-
รูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281223
<p>การวิจัยเรื่อง “รูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษา” เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ภายใต้รูปแบบการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ 1) <strong>เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษา</strong> โดยการสังเคราะห์เอกสารเกี่ยวกับองค์ประกอบการบริหาร และการสัมมนาเชิงวิชาการร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน 2) <strong>เพื่อสร้างและตรวจสอบรูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษา</strong> โดยอาศัยข้อมูลจากการสังเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ และการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของสถานศึกษา จากนั้นจึงดำเนินการตรวจสอบรูปแบบกับผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 คน และ 3) <strong>เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษา</strong> โดยการสำรวจความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวน 133 คน และประเมินความเหมาะสมโดยตรงจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 38 คน การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความจำเป็น (PNI Modified)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong> รูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษาที่พัฒนาขึ้นเป็นรูปแบบที่มีประสิทธิภาพ ใช้ได้จริง มีความถูกต้อง เป็นไปได้ เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและชุมชนได้อย่างเหมาะสม โดยรูปแบบการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษาประกอบด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 1) หลักการบริหาร 2) วัตถุประสงค์ของการบริหา 3) กระบวนการบริหาร 4) แนวทางการประเมินผลการบริหาร และ 5) ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงเรียนคุณภาพระดับมัธยมศึกษาการตรวจสอบรูปแบบดำเนินการผ่านการสนทนากลุ่มกับผู้ทรงคุณวุฒิ และการประเมินความถูกต้องและความเป็นไปได้ของรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ผลการประเมินโดยรวมพบว่า <strong>มีความถูกต้องในระดับมากที่สุด</strong> ( = 4.63, S.D. = 0.46) และ <strong>มีความเป็นไปได้ในระดับมาก</strong> ( =4.44, S.D. = 0.48) ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบจากความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พบว่า <strong>มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด</strong> ( =4.67) และ <strong>มีความเป็นประโยชน์ในระดับมากที่สุด</strong> ( = 4.68)</p>
สุทัศน์ ขันแก้ว
สุวดี อุปปินใจ
ประเวศ เวชชะ
ไพรภ รัตนชูวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
188
203
-
การปกครองท้องถิ่นโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281087
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการปกครองท้องถิ่นโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี (2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการปกครองท้องถิ่นโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี และ (3) ศึกษาแนวทางการปกครองท้องถิ่นโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 8 คน นักวิชาการ 4 คน และประชาชน 8 คน รวม 20 คน ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานียังมีข้อจำกัดในหลายด้าน ด้านการกำหนดนโยบาย พบว่าประชาชนยังขาดความเข้าใจ การมีส่วนร่วมจำกัดอยู่ในกลุ่มเดิม ด้านการบริหาร มีการเปิดรับความคิดเห็นและร่วมดำเนินโครงการแต่ยังขาดการมีส่วนร่วมในระดับวางแผนและตัดสินใจ ด้านการติดตามข่าวสาร มีช่องว่างการสื่อสารในกลุ่มผู้สูงอายุและพื้นที่ห่างไกล ด้าน<br />การแสดงความคิดเห็น ขาดระบบสะท้อนผลกลับ ด้านการจัดทำประชาคม ขาดการสื่อสารเชิงรุกและข้อจำกัดด้านเวลา สถานที่ และด้านการตรวจสอบ ประชาชนยังมองว่าเป็นหน้าที่ของรัฐ การตรวจสอบมักเป็นแบบไม่เป็นทางการ 2) ปัญหาและอุปสรรค ได้แก่ ขาดความรู้ ความเชื่อมั่น ช่องทางสื่อสาร และข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ และ 3) แนวทางพัฒนาควรปรับระบบบริหาร เพิ่มช่องทางสื่อสาร พัฒนาศักยภาพประชาชน ส่งเสริมจิตสำนึกประชาธิปไตย และพัฒนาเครื่องมือดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วม</p> <p>ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการบริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างทั่วถึง โปร่งใส และยั่งยืนในระดับพื้นที่</p>
พิมพ์รตา อาบูจาฟาร์
กมลพร กัลยาณมิตร
สถิตย์ นิยมญาติ
ชูชีพ เบียดนอก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
204
219
-
การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงพยาบาลเถิน จังหวัดลำปาง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281265
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงพยาบาลเถิน จังหวัดลำปาง 2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคคลากรต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงพยาบาลเถิน จังหวัดลำปาง โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3. เพื่อนำเสนอการประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงพยาบาลเถิน จังหวัดลำปาง การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน โดยในส่วนของการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 167 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .852 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ในส่วนของการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุดในด้านการสร้างวิสัยทัศน์ รองลงมาคือด้านการสร้างแรงจูงใจ และด้านความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่น สำหรับผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของบุคลากร พบว่า เพศและระดับการศึกษาไม่มีผลต่อความแตกต่างของความคิดเห็นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ อายุและประสบการณ์การทำงานมีผลต่อความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ จึงยอมรับสมมติฐานบางข้อของการวิจัย นอกจากนี้ การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อเสริมสร้างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารพบว่า ผู้บริหารควรพัฒนาตนเองให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล (จักขุมา) มีความเชี่ยวชาญและรับผิดชอบในหน้าที่ (วิธูโร) และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี มีทักษะในการสื่อสาร (นิสสยสัมปันโน) เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ การยอมรับ และความผูกพันจากบุคลากรในองค์กร อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง.</p>
จิรภัทร สมฤทธิ์
พระครูศรีปวรบัณฑิต (อายุมั่น)
ศิลาวัฒน์ ชัยวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
220
235
-
กลยุทธ์การพัฒนาการบริหารจัดการน้ำด้วยอินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่งของลำน้ำปิงในเขตจังหวัดเชียงใหม่
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281532
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาในการบริหารจัดการน้ำในลำน้ำปิงในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และ 2) เพื่อเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำในลำน้ำปิงในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่โดยการใช้ระบบเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่ง การศึกษาใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ตัวแทนกลุ่มภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแล 5 คน ตัวแทนกลุ่มตัวแทนผู้ใช้น้ำ จำนวน 6 คน และตัวแทนกลุ่มผู้สนับสนุนและอนุรักษ์ จำนวน 4 คน โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ด้วยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาในการบริหารจัดการน้ำในลำน้ำปิงในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่เกิดจาก 1) สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง 2) ลำน้ำตื้นเขินมีวัชพืชกีดขวางทางน้ำและการรุกล้ำพื้นที่ลำน้ำ 3) โครงสร้างพื้นฐานเก่าและชำรุด 4) ความขัดแย้งระหว่างผู้ใช้น้ำ มีข้อโต้แย้งระหว่างเกษตรกรต้นน้ำและปลายน้ำ 5) ไม่มีข้อมูลหรือแจ้งเตือนล่วงหน้าประชาชนในพื้นที่ไม่ได้รับข้อมูลล่วงหน้าเรื่องการปิดเปิดประตูน้ำ 6) การไม่มีระบบสนับสนุนเทคโนโลยีประหยัดน้ำ และ 7) ปัญหาเชิงข้อมูลและเทคโนโลยี และแนวทางในการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำในลำน้ำปิงในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่โดยการใช้พัฒนาระบบการควบคุมประตูน้ำในลำน้ำปิง ด้วยระบบเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตประสานสรรพสิ่ง สามารถดำเนินการโดยการวางระบบเซ็นเซอร์ตรวจวัดระดับน้ำอัจฉริยะ เพื่อควบคุมบานประตูด้วยระบบอัตโนมัติ เชื่อมต่อข้อมูลสู่ศูนย์กลาง เพื่อแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้าต่อไป</p>
นวพล อาชญาทา
พนม กุณาวงค์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
236
251
-
ภาวะผู้นำท้องถิ่นต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานของ กลุ่มเทศบาลเมือง ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281680
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์ภาวะผู้นำท้องถิ่นต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานของกลุ่มเทศบาลเมือง ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี (2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคของผู้นำท้องถิ่นต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานของกลุ่มเทศบาลเมือง ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และ (3) เสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำท้องถิ่นต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงานของกลุ่มเทศบาลเมือง ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ นายกเทศมนตรี/รองนายกเทศมนตรี 10 คน และพนักงาน/เจ้าหน้าที่ของเทศบาล 10 คน รวม 20 คน จากเทศบาลเมือง 10 แห่งในจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ เทศบาลเมืองปทุมธานี บางคูวัด บางกะดี ท่าโขลง คลองหลวง บึงยี่โถ สนั่นรักษ์ คูคต ลำสามแก้ว และลาดสวาย โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้การวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การสรุปความแบบพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า (1) ผู้นำท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารงาน โดยมีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เป็นดิจิทัล และสนับสนุนให้บุคลากรมีทักษะในการใช้งานเทคโนโลยี ผู้นำยังมีส่วนสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง (2) ปัญหาและอุปสรรคของผู้นำท้องถิ่นต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารงาน พบอุปสรรคในการนำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น การขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี และข้อจำกัดด้านงบประมาณ และ (3) แนวทางการพัฒนาผู้นำท้องถิ่นควรมุ่งส่งเสริมความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยี สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กร และสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การสนับสนุนจากระดับจังหวัดหรือกระทรวงมหาดไทยในการยกระดับท้องถิ่นเข้าสู่ระบบดิจิทัล เพื่อขยายผลสู่พื้นที่อื่น</p>
กัญญกาญจน์ ซื่อสัตย์
กมลพร กัลยาณมิตร
สถิตย์ นิยมญาติ
ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
252
267
-
การรับรู้กฎหมายและการใช้ประโยชน์ที่ดินของประชาชนใน พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา – แม่แสะ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281858
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาได้แก่ 1) เพื่อศึกษาสภาพเศรษฐกิจ สังคมและข้อมูลทั่วไปของประชาชน 2) เพื่อศึกษาการรับรู้กฎหมายป่าไม้้ของประชาชน และ 3) เพื่อศึกษาการรับรู้กฎหมายป่าไม้้ของประชาชนในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา – แม่แสะ มาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 จำแนกตามสภาพเศรษฐกิจ สังคมและข้อมูลทั่วไปของประชาชน 4) เพื่อศึกษาการใช้ประโยชน์ที่ดินของประชาชนในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา – แม่แสะ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ประชาชนในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา – แม่แสะ จำนวน 328 ราย เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสอบถามทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t-test และสถิติ One Way ANOVA</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นเพศชาย อายุ 41 – 50 ปี สถานภาพสมรส จบประถมศึกษา อาชีพรับจ้างทั่วไป อาชีพรายได้รองส่วนใหญ่อาชีพทำไร่/ทำสวน มีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท อยู่อาศัยมากกว่า 20 ปีขึ้นไป ถือครองพื้นที่น้อยกว่า 5 ไร่ ใช้ทำสวนผลไม้/สมุนไพร ด้านเข้าร่วมกิจกรรมของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา-แม่แสะ ส่วนใหญ่ไม่เคยคิดเป็น 2) ช่องทางการรับข่าวสารเกี่ยวกับกฎหมายป่าไม้ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 3) การรับรู้กฎหมายป่าไม้ของประชาชนในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา-แม่แสะ ในด้านปัจจัยด้านอายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน จำนวนเนื้อที่ที่ ครอบครอง ลักษณะการทำประโยชน์ในพื้นที่ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่แตกต่างกันไม่ส่งผลให้มีระดับการรับรู้กฎหมายป่าไม้ที่แตกต่างกัน และพบว่าช่องทางการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับระเบียบกฎหมายไม่มีความสัมพันธ์กับระดับการรับรู้กฎหมายป่าไม้ของประชาชนที่ระดับนัยสำคัญที่ 0.05 4) พื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่เลา–แม่แสะถูกใช้เพื่อการเกษตร โดยเฉพาะการทำนา รองลงมาคือสวนผลไม้และไร่หมุนเวียน ขณะที่พื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย</p>
บุญฤทธิ์ วิจิตร
ปิยะพิศ ขอนแก่น
รัชนีวรรณ คำตัน
ปัญจพร คำโย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
268
283
-
การจัดการขยะให้เป็นจังหวัดสะอาดตามหลักการประชารัฐของ จังหวัดสมุทรปราการ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281684
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์สภาพการจัดการขยะให้เป็นจังหวัดสะอาดตามหลักการประชารัฐของจังหวัดสมุทรปราการ (2) ประเมินปัญหาและอุปสรรคการจัดการขยะให้เป็นจังหวัดสะอาดตามหลักการประชารัฐของจังหวัดสมุทรปราการ (3) เสนอแนะแนวทางการจัดการขยะให้เป็นจังหวัดสะอาดตามหลักการประชารัฐของจังหวัดสมุทรปราการ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 คน บุคลากรขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 คน ผู้นำหมู่บ้าน 5 คน และประชาชน 5 คน รวม 20 คน ใช้การเลือกแบบเจาะจง ดำเนินการเก็บข้อมูลจากพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ ซึ่งครอบคลุมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครสมุทรปราการ เทศบาลเมืองแพรกษาใหม่ เทศบาลตำบลบางเมือง เทศบาลตำบลบางปู และองค์การบริหารส่วนตำบลบางโปรง เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการสรุปความแบบพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำแผนปฏิบัติการจัดการขยะมูลฝอย “จังหวัดสะอาด” มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ มีการดำเนินการตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกด้านการคัดแยกขยะ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนตามหลัก 3Rs (2) ปัญหาและอุปสรรค พบว่า ประชาชนไม่แยกขยะ ระบบจัดการของท้องถิ่นไม่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนสถานที่กำจัดขยะ งบประมาณและอุปกรณ์ไม่เพียงพอ ขยะเพิ่มจากการขยายตัวของเมือง และกลิ่นเหม็นจากบ่อขยะกระทบสุขภาพ (3) แนวทางที่เสนอ พบว่า ควรสนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชน แก้ปัญหางบประมาณและบุคลากร ส่งเสริมการทำงานเชิงรุกของท้องถิ่น จัดทำฐานข้อมูลเพื่อวางแผนแม่นยำ ปลูกฝังวินัยแยกขยะในเด็ก พัฒนาความรู้แก่ประชาชนและบุคลากร สนับสนุนอาชีพซาเล้งเพื่อเพิ่มการแยกขยะ เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนร่วมบริหารจัดการ และควบคุมมลพิษจากการกำจัดขยะ</p>
กันตพัฒน์ พงศ์พรพรต
สถิตย์ นิยมญาติ
กมลพร กัลยาณมิตร
ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
284
299
-
การประเมินขีดความสามารถในการรองรับด้านนันทนาการ เพื่อการจัดการพื้นที่ลานกางเต็นท์เอื้องเงิน ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281859
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาได้แก่ 1. เพื่อประเมินขีดความสามารถในการรองรับด้านนันทนาการในพื้นที่ลานกางเต็นท์เอื้องเงิน อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง 2. เพื่อการวางแผนการจัดการในพื้นที่ลานกางเต็นท์เอื้องเงิน อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง โดยวิเคราะห์ขีดความสามารถในด้านกายภาพ (PCC) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (FCC) ในพื้นที่ลานกางเต็นท์ ลานจอดรถ และห้องน้ำ-ห้องสุขา ด้านชีวภาพหรือนิเวศวิทยา (ECC) และด้านสังคมจิตวิทยา (SPCC) เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวจำนวน 396 คน และวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) จากผลการประเมินขีดความสามารถในการรองรับด้านนันทนาการของลานกางเต็นท์เอื้องเงิน อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง พบว่าในด้านกายภาพ (PCC) พื้นที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้สูงสุดประมาณ 2,466 คนต่อวัน หรือ 175,086 คนต่อปี โดยในช่วงปี 2564–2566 มีระดับการใช้งานต่ำกว่าร้อยละ 50 จัดอยู่ในระดับผลกระทบต่ำ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก (FCC) พบว่าสิ่งอำนวยความสะดวกสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราการใช้งานไม่เกินร้อยละ 3 จัดอยู่ในระดับผลกระทบต่ำเช่นกัน ด้านชีวภาพหรือนิเวศวิทยา (ECC) พบว่า มีเพียงพันธุ์ไม้โคลงเคลงที่ได้รับผลกระทบปานกลาง ส่วนชนิดอื่นไม่มีผลกระทบ ด้านประสบการณ์นักท่องเที่ยว (VEC) พบว่าทุกคนพึงพอใจและไม่รู้สึกแออัด 2) การวางแผนการจัดการในพื้นที่ลานกางเต็นท์เอื้องเงิน อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง ประกอบด้วย 1. การจัดพื้นที่ (zoning) 2. การบริหารจัดการนักท่องเที่ยว 3. การจัดการสิ่งแวดล้อม 4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน 5. การมีส่วนร่วมของชุมชน 6. การประชาสัมพันธ์และสร้างความตระหนักรู้ และ 7. การติดตามและประเมินผล</p>
สายทอง สมแก้ว
ปิยะพิศ ขอนแก่น
รัชนีวรรณ คำตัน
ปัญจพร คำโย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
300
315
-
บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในจังหวัดนนทบุรี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NBJ/article/view/281687
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อวิเคราะห์บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในจังหวัดนนทบุรี (2) เพื่อประเมินสภาพปัญหาและอุปสรรคของบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในจังหวัดนนทบุรี และ (3) เสนอแนวทางใน<br />การพัฒนาบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในจังหวัดนนทบุรี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 คน เจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 คน ตัวแทนผู้ปกครองหรือผู้พิการ 8 คน รวม 20 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การสรุปความแบบพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ การส่งเสริมดูแลสุขภาพ การให้การศึกษา การจ่ายเบี้ยความพิการ การส่งเสริมอาชีพและรายได้ และการจัดสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้เอื้อต่อการดำรงชีวิต (2) สภาพปัญหาและอุปสรรคบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในจังหวัดนนทบุรี พบปัญหาด้านงบประมาณ ด้านผู้ปฏิบัติงาน ด้านอำนาจหน้าที่ การมีส่วนร่วมของคนพิการ และอาคาร สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการ และ (3) แนวทางในการพัฒนา พบว่า ควรบูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ควรกำหนดนโยบายในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการที่ชัดเจน สร้างทัศนคติที่ดีต่อคนพิการ การปรับปรุงอาคาร สถานที่ และจัดการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้เอื้อต่อการให้บริการ สร้างและขยายเครือข่ายคนพิการ และส่งเสริมความรู้ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่</p>
ธณัฐ มั่งคั่ง
สถิตย์ นิยมญาติ
กมลพร กัลยาณมิตร
ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-11-11
2025-11-11
14 3
316
329