วารสารชุมชนวิจัยและพัฒนาสังคม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU <p><strong>เกี่ยวกับวารสาร [About the Journal] : </strong>วารสารชุมชนวิจัยและพัฒนาสังคม (ชื่อเดิม วารสารชุมชนวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา) เริ่มดำเนินการและจัดทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 - ปัจจุบัน โดยกลุ่มงานเผยแพร่และบริการการวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ในชื่อ "วารสารชุมชนวิจัย มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (NRRU Community Research Journal)" จนถึงปี 2566 ต่อมาปี 2567 เปลี่ยนเป็นชื่อ "วารสารชุมชนวิจัยและพัฒนาสังคม (Research Community and Social Development Journal)" จนถึงปัจจุบัน ซึ่งจัดอยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Centre) TCI กลุ่มที่ 1 ด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560-2562 และต่อเนื่อง 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563-2567</p> th-TH [email protected] (Dr. Rujira Rikharom) [email protected] (Mr. Witsawamart Bhaktikul) Wed, 28 Feb 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 The Development of Informal Education of Opportunity Foundation, Nangrong District, Buriram Province https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/268936 <p> </p> <p>การให้การสนับสนุนและปรับปรุงการเรียนรู้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการตามคุณลักษณะพิเศษของนักเรียนแต่ละคนจำเป็นต้องมีหลักการและวิธีการที่สำคัญอย่างหลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการพัฒนา ศึกษาแนวทางการพัฒนา และศึกษาผลการพัฒนา การจัดการศึกษาตามอัธยาศัยของมูลนิธิเพื่อให้โอกาส อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ กำหนดกลุ่มเป้าหมายโดยไม่อาศัยความน่าจะเป็นด้วยวิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย กลุ่มผู้ร่วมพัฒนาและจิตอาสา 18 คน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 4 คน กลุ่มผู้เรียน 15 คน รวมทั้งสิ้น 37 คน โดยใช้เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามสภาพปัญหา แบบประเมินความรู้ความเข้าใจ แบบประเมินผลการพัฒนา แบบสังเกตการมีส่วนร่วม และแบบสัมภาษณ์ ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ทุกฉบับ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 4 ขั้นตอน คือ ขั้นวินิจฉัยและขั้นดำเนินการโดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ขั้นวัดผลโดยร่วมกันดำเนินการ สังเกตการณ์ ประเมินผลโครงการ กิจกรรม และขั้นสะท้อนผล โดยการจัดสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาในรูปแบบเชิงบรรยายและใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) เด็กในมูลนิธิยังขาดทักษะและควรมีการปรับปรุงและพัฒนา 2) กลุ่มผู้ร่วมวิจัยและจิตอาสามีความรู้ความเข้าใจการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยในระดับมากที่สุด 3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ประกอบด้วย ปัจจัยภายใน คือ จุดแข็ง มีจำนวน 18 ข้อ จุดอ่อน มีจำนวน 15 ข้อ และปัจจัยภายนอก คือ โอกาส มีจำนวน 13 ข้อ และความท้าทาย มีจำนวน 8 ข้อ 4) แนวทางการพัฒนาสามารถกำหนดโครงการพัฒนาทักษะได้ 6 โครงการ รวม 72 ดัชนีชี้วัด 5) ภาพรวมผลการดำเนินงานพัฒนาอยู่ในระดับมาก และ 6) ภาพรวมของการพัฒนาอยู่ในระดับมาก โดยมีโครงการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในระดับมากเป็นอันดับแรก ส่วนโครงการพัฒนาทักษะการอ่านออก เขียนได้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีข้อเสนอแนะคือ ควรมีการนำไปบรรจุเป็นนโยบายขององค์กรเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการไปสู่ความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่อง</p> ปพิชญา ซิมพ์สัน, ไชยา ภาวะบุตร, สุรัตน์ ดวงชาทม Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/268936 Wed, 28 Feb 2024 00:00:00 +0700 ต้นทุนและผลตอบแทนจากการผลิตผลิตภัณฑ์สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่นอนปิกนิกของชุมชนบ้านหนองยารักษ์ ตำบลพุดซา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/270109 <p> </p> <p>การมีส่วนร่วมในการช่วยให้ผู้ประกอบการได้ทราบถึงการดำเนินงาน สามารถบริหารจัดการมูลค่าเพิ่มและความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม นำมาสู่การวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาต้นทุนการผลิต 2) ศึกษาผลตอบแทนจากการผลิต และ 3) วิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนในการผลิต ผลิตภัณฑ์สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่นอนปิกนิกขนาด 3.5 ฟุต 5 ฟุต และ 6 ฟุต ของชุมชนบ้านหนองยารักษ์ ตำบลพุดซา อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง 11 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างประเด็นคำถามกับวัตถุประสงค์การวิจัย อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการลงพื้นที่ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกเป็นรายบุคคลและจัดประชุมเชิงปฏิบัติการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทน จัดทำงบกำไรขาดทุน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา สรุปคำและประโยคจากการสัมภาษณ์ ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการหาจำนวน ค่าร้อยละ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และอัตราส่วนทางการเงินข้อมูลต้นทุนและผลตอบแทน</p> <p> ผลการวิจัยในภาพรวมพบว่า 1) ต้นทุนการผลิต รวม 2,138,576 บาทต่อปี โดยมีค่าวัตถุดิบทางตรง คือ ค่าผ้าโพลี ค่าใยสังเคราะห์ ค่าด้ายและเข็ม รวม 910,000 บาทต่อปี ค่าแรงงานทางตรง คือ ค่าแรงจากการเย็บและตัด ค่าใส่ใยสังเคราะห์ และค่ากัดตาที่นอน รวม 455,000 บาทต่อปี ค่าใช้จ่ายการผลิต คือ ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า และค่าน้ำมัน รวม 618,310 บาทต่อปี และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน คือ ค่าถุงแพ็ค และค่าสติกเกอร์ รวม 58,600 บาทต่อปี 2) ผลตอบแทนจากการผลิต พบว่า มีรายได้จากการขาย 2,600,000 บาทต่อปี เฉลี่ย 1,850 บาทต่อหลังต่อปี 3) กำไรขั้นต้น 520,024 บาทต่อปี อัตรากำไรขั้นต้น ร้อยละ 20.00 กำไรสุทธิ 461,424 บาทต่อปี อัตรากำไรสุทธิร้อยละ 17.75 อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ร้อยละ 599.25 และอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ร้อยละ 76.90 ดังนั้น จึงสามารถนำมาใช้เป็นกระบวนการสำคัญที่กิจการจำเป็นต้องรับรู้เพื่อใช้ในการบริหารจัดการทรัพยากรให้เหมาะสมกับกิจการ และสร้างรายงาน แสดงสถานะทางการเงิน การทำกำไรที่ชัดเจนและเชื่อถือได้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป</p> ลินนภัสร์ วุฒิกนกกัญจน์, นลินี อัศวธิติสกุล, ณิชฎา กีรติอุไร Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/270109 Wed, 28 Feb 2024 00:00:00 +0700 ภาพลักษณ์ของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตามโครงสร้างหลักจริยธรรมทางธุรกิจในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269878 <p> วิธีดำเนินการของธุรกิจที่มีความถูกต้องทางทัศนศาสตร์ ความสุภาพ และเชื่อมั่น เป็นการปฏิบัติตามหลักและกฎเกณฑ์ที่ดีในสังคม นำมาสู่การวิจัยเชิงปริมาณที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะสวนบุคคล ที่มีผลตอภาพลักษณ์ตามโครงสร้างหลักจริยธรรมทางธุรกิจ และศึกษาอิทธิพลและความสัมพันธของโครงสร้างหลักจริยธรรมทางธุรกิจที่มีต่อภาพลักษณโดยรวมของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประเทศไทย กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง 400 ราย และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างหลายขั้นตอน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.963 ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้รับการตอบกลับคืน 150 ราย คิดเป็นร้อยละ 37.50 นำข้อมูลที่ได้ มาวิเคราะห์ทางสถิติเพื่อหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติการทดสอบที (t-test) ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way Analysis of Variance) สถิติวิเคราะห์สัมประสิทธิ์การถดถอยพหุคูณ (Multiple linear Regression) และสถิติสหสัมพันธ์ (Correlation) ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ ระดับอายุ ประเภทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และระยะเวลาการประกอบการ ส่งผลต่อภาพลักษณ์โดยรวม ไม่แตกต่างกัน และโครงสร้างหลักจริยธรรมทางธุรกิจ ประกอบด้วย ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ด้านการตลาด ด้านการบริหาร และด้านสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับภาพลักษณ์โดยรวมในระดับปานกลางถึงมากที่สุด (r=0.577-0.861) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยโครงสร้างหลักจริยธรรมทางธุรกิจที่มีอิทธิพลต่อภาพลักษณ์โดยรวมและสามารถพยากรณ์ได้ 2 ด้าน คือ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มขึ้น 1 หน่วย จะส่งผลให้ภาพลักษณ์โดยรวมเพิ่มขึ้น 0.295 หน่วย และด้านการตลาดเพิ่มขึ้น 1 หน่วย จะส่งผลให้ภาพลักษณ์โดยรวมเพิ่มขึ้น 0.266 หน่วย ดังนั้น เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องให้ความตระหนักในการนำหลักจริยธรรมทางธุรกิจไปใช้ในการดำเนินกิจการเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความไว้วางใจ เป็นพันธมิตรที่ดีต่อธุรกิจ ลูกค้า และชุมชน</p> นรรัฐ รื่นกวี, นิลุบล วิโรจน์ฐิติยวงศ์ Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269878 Fri, 01 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการอ่านโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับเทคนิค SQ4R สำหรับนักศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษ ปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269997 <p> </p> <p>การเสริมสร้างพื้นฐานทางภาษาอังกฤษเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายามส่งเสริมโดยใช้กลวิธีทางการสอนเพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับทักษะการอ่านที่ดี ดังนั้น งานวิจัยนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการอ่าน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลัง และ 3) ศึกษาความพึงพอใจ ที่มีต่อการพัฒนาทักษะการอ่านโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับเทคนิค SQ4R ของนักศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษ ปีที่ 2 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา โดยประยุกต์ใช้การวิจัยเชิงเอกสารร่วมกับแบบแผนการทดลองเบื้องต้นแบบกลุ่มเดียว กำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่มเดียว จำนวน 68 คน โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ 3 แผน แบบทดสอบ และแบบสอบถาม ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้อง เท่ากับ 0.80, 0.90, 0.87, 0.83 และอยู่ระหว่าง 0.79-0.93 ตามลำดับ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามแบบแผนการทดลองแบบการทดสอบก่อน หลัง และประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา การหาค่าสถิติ ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (One Sample t-test)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า การใช้รูปแบบ Active Learning ร่วมกับเทคนิค SQ4R สามารถพัฒนาทักษะการอ่านได้ 4 ด้าน รวม 10 ข้อ ประกอบด้วย 1) การแตกประเด็นสามัญ (Disrupting the commonplace) จำนวน 3 ข้อ 2) การเสาะหามุมมองที่หลากหลาย (Interrogating multiple views point) จำนวน 3 ข้อ 3) การเน้นประเด็นทางสังคม (Focusing on sociopolitical issues) จำนวน 2 ข้อ 4) ปฏิบัติการเพื่อการเปลี่ยนแปลง (Taking Action) จำนวน 2 ข้อ โดยมีผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังการเรียนรู้แตกต่างกัน (หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผู้เรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทุกด้าน ทั้งนี้เนื่องจากการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้มีการผสมผสานวิธีการและดำเนินตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบและเหมาะสมกับผู้เรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้มีการขยายกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่ขึ้นและครอบคลุมประชากร พร้อมให้มีการประเมินหรือเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ต่อการนำรูปแบบและเทคนิคไปใช้พัฒนาทักษะการอ่านทางภาษาอังกฤษได้เหมาะสมอย่างแท้จริงต่อไป</p> ธนัญญา วิริยะปัญญานนท์ Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269997 Fri, 01 Mar 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยคุณภาพบริการที่ทำให้ผู้ใช้บริการพึงพอใจต่องานบริการขนส่งสินค้าในประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/268632 <p> การวัดคุณภาพบริการของผู้ให้บริการขนส่งสินค้า ในบทความวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยคุณภาพบริการที่ทำให้ผู้ใช้บริการพึงพอใจต่องานบริการขนส่งสินค้า และ 2) เพื่อกำหนดแนวทาง การพัฒนาคุณภาพในการบริการลูกค้า รูปแบบวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสานโดยใช้วิธีการเชิงปริมาณเป็นหลัก กำหนดขนาดตัวอย่าง 20 เท่าของตัวแปรสังเกตได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันค่าผิดปกติของข้อมูล จึงใช้กลุ่มตัวอย่าง 400 ตัวอย่างที่มีอัตราการตอบกลับ 91.25% และกำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง 5 ตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นในภาพรวม 0.873 กับหน่วยในเขตพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างที่ปรับข้อคำถามให้สอดรับกับข้อมูลเชิงปริมาณทำการสัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสมการถดถอยเชิงพหุคูณเพื่อทดสอบขนาดอิทธิพลของตัวแปร ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาในการกำหนดค่าน้ำหนักความสำคัญและเพื่อสนับสนุนปัจจัยที่สำคัญของคุณภาพในการบริการลูกค้า ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยคุณภาพที่ทำให้ผู้ใช้บริการพึงพอใจต่องานบริการขนส่งเพิ่มขึ้นอันดับแรก คือ ด้านการเอาใจใส่ต่อลูกค้า รองลงมาคือ ด้านความน่าเชื่อถือ และด้านการตอบสนองต่อลูกค้า แม้ว่าด้านรูปลักษณ์ทางกายภาพกับด้านการสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า จะทำให้ระดับความพึงพอใจของลูกค้าไม่เปลี่ยนแปลง และ 2) ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าควรนำปัจจัยคุณภาพบริการทั้ง 5 มิติ มาใช้เป็นแนวทางสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองที่สมบูรณ์ โดยเน้นความต้องการและความคาดหวังที่ลูกค้าแต่ละรายจะได้รับบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นจุดที่ช่วยสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าให้กลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจบริการในระยะยาว</p> เพ็ญพร ปุกหุต, เสาวลักษณ์ จิตต์น้อม, ณัฐพันธ์ ปัญญโรจน์, พรทิพย์ ปุกหุต Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/268632 Thu, 07 Mar 2024 00:00:00 +0700 สัญญาณเตือนภัยทางการเงินที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการทำกำไรของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269326 <p> สัญญาณเตือนภัยทางการเงินของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสุขภาพทางการเงินของสหกรณ์การเกษตรเพื่อให้รับมือได้ทันต่อวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้น งานวิจัยในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย 2) ศึกษาอิทธิพลของอัตราส่วนสัญญาณการเตือนภัยทางการเงินที่มีต่อความสามารถในการทำกำไรของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจงเป็นสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. 2562 - 2564 จำนวน 4,853 สหกรณ์ โดยกำหนดตัวแปรอิสระ ประกอบด้วย อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน อัตราส่วนทุนสำรองต่อสินทรัพย์ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ อัตราค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดำเนินงาน และอัตราหมุนเวียนของสินค้า และตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการทำกำไร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบบันทึกข้อมูลที่ผ่านการรับรองคุณภาพจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน มหาวิทยาลัยรังสิต สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลจากระบบบริการข้อมูลสารสนเทศทางการเงินของสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ประกอบด้วย ค่าความถี่ของข้อมูล ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุดรวมถึงการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัย พบว่า ฐานะการเงินของสหกรณ์การเกษตรมีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ แต่ด้านผลการดำเนินงาน พบว่า แนวโน้มของรายได้และค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลงจากปี พ.ศ. 2562 ด้านอิทธิพลของอัตราส่วนสัญญาณการเตือนภัยทางการเงินที่มีต่อความสามารถในการทำกำไรของสหกรณ์การเกษตร พบว่า หากสหกรณ์การเกษตรมีทุนสำรองต่อสินทรัพย์และผลตอบแทนต่อสินทรัพย์มากขึ้น จะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น ในทางตรงข้ามหากสหกรณ์การเกษตรมีอัตราค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูง จะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของสหกรณ์ลดลง แต่อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน และอัตราหมุนเวียนของสินค้าไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของสหกรณ์การเกษตร ดังนั้น ข้อมูลที่ได้ครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางการเฝ้าระวังวิกฤตทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นได้กับสหกรณ์ ตลอดจนส่งเสริมการดำเนินงานด้านการบริหารเงินทุน สินทรัพย์ รายได้และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในสหกรณ์เพื่อให้เกิดกำไรสูงสุด และทำให้สหกรณ์การเกษตรคงอยู่ได้อย่างยั่งยืน</p> เพชรอำไพ สุขารมณ์, ศศิประภา สมัครเขตการพล Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269326 Mon, 18 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนานวัตกรรมและสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยใช้การจัดการเรียนรู้โครงงานเป็นฐานบูรณาการกับแหล่งการเรียนรู้ท้องถิ่นในชุมชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/268323 <p> การให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์และถือเป็นโอกาสสำหรับการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในชีวิตจริงของผู้เรียน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยที่ใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาครูและนักศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ 2) ออกแบบการจัดการเรียนรู้ และ 3) พัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของนักเรียน เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรสมการอย่างง่าย คือ นักเรียน จำนวน 447 คน และใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง คือ ครูผู้สอนคณิตศาสตร์และครูพี่เลี้ยง จำนวน 17 คน นักศึกษา จำนวน 59 คน สังกัดคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบประเมินองค์ความรู้ ความเข้าใจ (ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.83) 2) แบบประเมินกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก และ 3) แบบประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.85) เก็บรวบรวมข้อมูลโดยจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ 2 ครั้ง พร้อมการทดสอบก่อนแลหลังการพัฒนา และวัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย การทดสอบที ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภายหลังการพัฒนาครูผู้สอน ครูพี่เลี้ยงและนักศึกษา มีการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนา 2) ได้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานบูรณาการกับแหล่งการเรียนรู้ท้องถิ่นในชุมชน จำนวน 17 เรื่อง และ 3) นักเรียนมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับมาก แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานกับแหล่งการเรียนรู้ท้องถิ่นในชุมชน สามารถพัฒนาผู้สอนและผู้เรียนให้มีทักษะ ความรู้ และความเชี่ยวชาญการเรียนรู้ตลอดชีวิต</p> วิภา ชัยสวัสดิ์, ทิพวรรณ วรรณภักดี ภูมิพันธ์ Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/268323 Mon, 18 Mar 2024 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลการปฏิบัติสหกิจศึกษาของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต (การจัดการรัฐกิจ) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269710 <p> </p> <p>สหกิจศึกษาคือการจัดการศึกษาเชิงบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงานเพื่อให้นักศึกษาได้รับประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน ที่สามารถพัฒนาศักยภาพให้เป็นบัณฑิตคุณภาพสูงตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานได้ จึงนำมาสู่การวิจัยเชิงปริมาณที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับประสิทธิผลการปฏิบัติสหกิจศึกษาของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต (การจัดการรัฐกิจ) มหาวิทยาลัยสงขลา นครินทร์ วิทยาเขตตรัง 2) เปรียบเทียบประสิทธิผลการปฏิบัติสหกิจศึกษาของนักศึกษาที่ปฏิบัติงานในประเภทของหน่วยงานที่แตกต่างกัน และ 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต (การจัดการรัฐกิจ) ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจงพนักงานที่ปรึกษาที่ได้รับมอบหมายจากสถานประกอบการให้ดูแลและเป็นที่ปรึกษานักศึกษาของหลักสูตรขณะปฏิบัติสหกิจศึกษาในปีการศึกษา 2565 จำนวน 78 คน และใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.85 เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการรับ-ส่ง ผ่านช่องทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งได้รับกลับคืนร้อยละ 100 และวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติเพื่อการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่ ร้อยละ และวิเคราะห์คำตอบจากข้อเสนอแนะด้วยการจัดกลุ่ม จำแนกประเด็นเป็นรายด้าน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิผลการปฏิบัติสหกิจศึกษาของนักศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับสูงกว่ามาตรฐาน (µ=4.68, <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" />=0.832) 2) นักศึกษาที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานภาครัฐ (µ=4.71, <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" />=0.375) มีประสิทธิผลการปฏิบัติสหกิจศึกษาสูงกว่านักศึกษาที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานภาคเอกชน (µ=4.55, <img title="\sigma" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\sigma" />=0.395) และ 3) แนวทางการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาใน 4 ด้าน คือ (1) ด้านคุณลักษณะส่วนบุคคล ร้อยละ 36.36 โดยปรับปรุงความมีระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา และปฏิบัติตามวัฒนธรรมองค์กรอย่างเคร่งครัด (2) ด้านความสำเร็จของงาน ร้อยละ 25.00 โดยปฏิบัติงานด้วยความละเอียดรอบคอบ ตรวจสอบชิ้นงานของตนเอง และมีความรวดเร็ว (3) ด้านความรู้ความสามารถ ร้อยละ 22.73 โดยการพัฒนาทักษะดิจิทัล และ (4) ด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ร้อยละ 15.91 โดยการทำงานเชิงรุก และมีความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นแนวทางที่จำเป็นและมีความสำคัญต่อรายวิชาเตรียมสหกิจศึกษาทางรัฐประศาสนศาสตร์สำหรับการเรียนการสอนเพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การทำงานในสถานประกอบการได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ</p> สุชานุช พันธนียะ, พฤฒ ยวนแหล Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269710 Mon, 25 Mar 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการขนส่งระบบรางของผลไม้ตามฤดูกาล โดยใช้ศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้-ทุ่งสง เพื่อสร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืนของเกษตรกร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269394 <p> </p> <p>ประสิทธิภาพการจัดการระบบและควบคุมการขนส่งมีผลต่อการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิผลของระบบการขนส่งทั้งหมด ดังนั้น งานวิจัยนี้ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยสนับสนุนเกษตรกรที่ปลูกผลไม้ตามฤดูกาลในการเลือกใช้ระบบการขนส่งสินค้าทางราง และศึกษาปัจจัยในการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้ ทุ่งสง ในการรองรับการขนส่งระบบรางของผลไม้ตามฤดูกาล เป็นการวิจัยแบบผสม กลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะปลูกผลไม้ตามฤดูกาล จำนวน 250 คนโดยใช้การสุ่มแบบบังเอิญ ทำการเก็บข้อมูลในพื้นที่ตำบลถ้ำใหญ่ด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเที่ยงตรงอยู่ระหว่าง 0.60-1.00 และใช้สถิติเชิงพรรณนาในวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่เลือกแบบเจาะจง จำนวน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนกลางทางการตลาด 6 คน และกลุ่มผู้ดำเนินงานภายในศูนย์กระจายสินค้า 3 คน โดยนำแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องเป็นรายข้อมากกว่า 0.50 ไปเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล และใช้การวิเคราะห์เนื้อหาข้อมูลการสัมภาษณ์</p> <p> ผลวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยสนับสนุน คือ ด้านการไหลทางการเงินมากที่สุด โดยเห็นว่าความคุ้มค่าจะเกิดขึ้นจากต้นทุนผันแปร การขนส่งระยะสั้นที่ใช้รถบรรทุก การกระจายสินค้าด้วยการขนส่งและมีเส้นทางที่หลากหลาย ขั้นต้อนไม่ซับซ้อน การขายในระยะสั้นและราคาสูงกว่าท้องตลาด และแจ้งราคาล่วงหน้าผ่านชองทางออนไลน์ สำหรับการพัฒนาที่จำเป็นเพื่อรองรับการขนส่งระบบรางที่สำคัญ 4 ประเด็น คือ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ (โครงสร้างภายใน การขนส่งสินค้าระบบรางและคลังสินค้า และเทคโนโลยีสารสนเทศ) 2) การพัฒนาประสิทธิภาพด้านการสื่อสาร 3) การพัฒนาความสามารถผู้ใช้บริการด้วยรูปแบบบริการผู้รับจ้างช่วง และ 4) การสร้างระบบรางคู่เพื่อการขนย้ายสินค้าทางราง เช่นนี้จึงถือว่าเป็นการนำปัจจัยที่เกี่ยวข้องมาพัฒนาการขนส่งระบบรางสำหรับศูนย์กระจายสินค้าภาคใต้-ทุ่งสง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและผู้บริโภคให้เกิดคุณภาพสูงสุด</p> อรปวีณ์ โภคาวัฒนา Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/269394 Tue, 26 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความสามารถทางดิจิทัลสำหรับนวัตกรสังคมเพื่อพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/270268 <p> ความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้สร้างสภาพแวดล้อมใหม่ต่อสังคมมนุษย์ การใช้ประโยชน์จากสารสนเทศและความรู้กลายเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพของประชาชนไปจนถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานในทุกภาคส่วน รวมถึงแทรกซึมเข้ามาในวิถีชีวิต การดำรงชีพ การดำเนินงาน รวมถึงการเรียนรู้ของผู้คนอย่างลึกซึ้ง ส่งผลต่อการให้ความสำคัญด้านความสามารถทางดิจิทัล ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากความสามารถทางดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินงานด้านนวัตกรรมทางสังคม โดยเฉพาะการช่วยให้คน ชุมชน หน่วยงานหรือองค์กรเพื่อสังคม สามารถปรับตัวเข้ากับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งความสามารถทางดิจิทัลเป็นความรู้ ทักษะที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลและสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยให้ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมหรือองค์กรเพื่อสังคมสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสังคมในเชิงบวกอย่างยั่งยืนภายใต้สภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนไป บทความฉบับนี้ จึงมุ่งศึกษาเพื่อให้ได้แนวคิดและองค์ความรู้เกี่ยวกับความสามารถทางดิจิทัลสำหรับนวัตกรสังคมเพื่อพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 ส่วน คือ 1) แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมทางสังคม แสดงถึงวิวัฒนาการของนวัตกรรมทางสังคมและแนวคิดที่มีอิทธิพลต่อนวัตกรรมทางสังคม 2) ความสำคัญของความสามารถทางดิจิทัลและนวัตกรรมทางสังคม แสดงถึงความสำคัญของความสามารถทางดิจิทัลที่มีต่อนวัตกรรมสังคม 3) ความสามารถทางดิจิทัลสำหรับนวัตกรสังคม แสดงถึงความสำคัญของทักษะความรู้ ความสามารถทางดิจิทัลของนวัตกรสังคม 4) ความสามารถทางดิจิทัลสำหรับนวัตกรสังคมเพื่อการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ และ 5) กรณีศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ความสามารถทางดิจิทัลเพื่อพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนวัตกร หน่วยงาน องค์กรเพื่อสังคม ผู้ทำหน้าที่สร้างสรรค์นวัตกรรมทางสังคม นักวิชาการ นักวิจัย ตลอดจนผู้ที่สนใจนำไปใช้เป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าต่อไป</p> จันทร์จิรา เหลาราช Copyright (c) 2024 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/NRRU/article/view/270268 Fri, 01 Mar 2024 00:00:00 +0700