Journal of Public Policy and Public Affairs https://so04.tci-thaijo.org/index.php/PPPA <p><strong>วารสารนโยบายและกิจการสาธารณะมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์ นโยบายสาธารณะ กิจการสาธารณะ และประเด็นทางสังคมศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง </strong></p> สาขาวิชาวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช en-US Journal of Public Policy and Public Affairs 3057-0328 รัฐบาลดิจิทัลต้นแบบ: บทเรียนความสำเร็จของเอสโตเนียและเกาหลีใต้ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/PPPA/article/view/283229 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพัฒนาการ ลักษณะสำคัญ และปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาประเทศไปสู่การเป็นประเทศต้นแบบด้านการเป็นรัฐบาลดิจิทัลในระดับโลก ของประเทศเอสโตเนียและประเทศเกาหลีใต้ และ 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลผ่านกรณีศึกษาของสองประเทศ วิธีการวิจัยใช้การเลือกประเทศแบบเจาะจง คือ ประเทศเอสโตเนีย และประเทศเกาหลีใต้ มาใช้เป็นกรณีศึกษาของประเทศต้นแบบนั้น เนื่องจากทั้งสองประเทศเปรียบเสมือนตัวแทนของสองเส้นทางสู่ความสำเร็จของเป็นรัฐบาลดิจิทัลต้นแบบในระดับโลกที่แตกต่างกัน โดยประเทศเอสโตเนียจะมีจุดเด่นในมิติของการสร้างโครงสร้างหลังบ้านของการเป็นประเทศดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ซึ่งจากผลการประเมินในปี ค.ศ. 2024 จากองค์การสหประชาชาติ โดยได้ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศลำดับที่ 2 ของโลก ได้คะแนน 0.9727 &nbsp;ส่วนประเทศเกาหลีใต้จะมีจุดเด่นในมิติของการสร้างบริการหน้าบ้าน (Front-end) ที่ทันสมัยให้แก่ประชาชนในการใช้บริการ ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นลำดับที่ 4 ของโลก จากผลการประเมินในปี 2024 จากองค์การสหประชาชาติ โดยได้คะแนน 0.9679 โดยทั้งหมดใช้การวิจัยจากเอกสาร การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การจำแนกและจัดระบบข้อมูล และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า สถาปัตยกรรมและหลักการพื้นฐานของ e-Estonia ประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐาน X-Road หรือถนนข้อมูลแห่งชาติ &nbsp;การยึดถือหลักการ Once-Only หรือถามครั้งเดียวพอ &nbsp;การมีระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล (e-ID) และลายมือชื่อดิจิทัล และการให้ความสำคัญต่อความเป็นเจ้าของข้อมูลของพลเมือง โดยความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นรัฐดิจิทัลของเอสโตเนีย มาจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ 1) การมีวิสัยทัศน์ทางการเมืองที่ชัดเจนและต่อเนื่อง 2) กรอบกฎหมายที่ก้าวหน้าและเอื้ออำนวย 3) การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและเอกชน 4) การออกแบบเพื่อสร้างความไว้วางใจ ส่วนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเกาหลีใต้ มาจากเสาหลักที่สำคัญประกอบด้วย การมีแพลตฟอร์มบริการแบบเบ็ดเสร็จ การขับเคลื่อนจากบนลงล่างและยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุม และการส่งเสริมการแข่งขันผ่านการประเมินผล โดยความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นรัฐดิจิทัลของเกาหลีใต้มาจากปัจจัยที่สำคัญ คือ 1) การผลักดันจากผู้นำสูงสุดของประเทศ 2) สังคมที่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และวัฒนธรรม “พัลลี-พัลลี” 3) การลงทุนเพื่อลดช่องว่างทางดิจิทัล 4) ระบบการจัดการภาคีเครือข่ายที่เข้มแข็งระหว่างรัฐกับภาคเอกชน 5) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อความโปร่งใสและการต่อต้านการทุจริต และ 6) ความสามารถในการพัฒนาและปรับตัวอย่างรวดเร็ว</p> เทพศักดิ์ บุณยรัตพันธุ์ Copyright (c) 2025 Journal of Public Policy and Public Affairs 2025-09-04 2025-09-04 4 1 1 23 ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับสมรรถนะการทำงาน กรณีศึกษาบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so04.tci-thaijo.org/index.php/PPPA/article/view/280868 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความคิดเห็นต่อกิจกรรมพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2) ศึกษาระดับสมรรถนะในการทำงาน ของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับสมรรถนะการทำงาน ของบุคคลากรสายสนับสนุนวิชาการมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (4) ศึกษาและเสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อยกระดับสมรรถนะการทำงาน ของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชการศึกษานี้ เป็นการศึกษาเชิงสำรวจ ประชากรที่ศึกษาคือ บุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่มีสถานภาพเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย จำนวน 503 คน กลุ่มตัวอย่าง 223 คน คำนวณด้วยสูตรทาโรยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า (1) ระดับการรับรู้ต่อกิจกรรมพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อยู่ในระดับมาก (2) ระดับสมรรถนะการทำงานของบุคลากรสายสนับสนุนวิชาการมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อยู่ในระดับมาก (3) ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับสมรรถนะการทำงานของบุคคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช มีความสัมพันธ์เชิงบวก ในระดับปานกลาง (4) ข้อเสนอแนะที่สำคัญจากการค้นคว้า ได้แก่ องค์การควรจัดหลักสูตรฝึกอบรมที่เน้นทักษะที่ใช้ได้จริงในงานประจำ จัดสรรทุนการศึกษาในระดับสูงให้แก่บุคลากรสายสนับสนุนวิชาการ มีหลักสูตรที่ครอบคลุมทักษะและความรู้ที่หลากหลาย สำรวจความรู้ ทักษะและความสนใจของบุคลากรก่อนจัดกิจกรรมพัฒนา ผู้บริหารควรมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรักและความผูกพันในองค์กรระหว่างบุคลากรทุกระดับ</p> วิจิตรา มานะเวช สุปัญญดา สุนทรนนธ์ ณัฐนรินทร์ เนียมประดิษฐ์ Copyright (c) 2025 Journal of Public Policy and Public Affairs 2025-09-04 2025-09-04 4 1 24 40 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนเทศบาลเมืองเบตงจังหวัดยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/PPPA/article/view/281658 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชน เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชน เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา และ (3) ปัญหาและข้อเสนอแนะของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชน เทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา</p> <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ 1) การวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษาจากประชาชนในแต่ละชุมชนในเทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา จำนวน 394 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจงแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ และ 2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ศึกษาจากผู้นำชุมชนของชุมชนในเทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า (1) การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนเทศบาลเมืองเบตง จังหวัดยะลา อยู่ในระดับปานกลาง (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ ปัจจัยความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย และปัจจัยแรงจูงใจและการสนับสนุนจากชุมชน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 และ (3) ปัญหาที่สำคัญคือ การขาดความรู้และสิ่งจูงใจ การสนับสนุนและการประชาสัมพันธ์จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ข้อเสนอแนะ ได้แก่ การเพิ่มความรู้โดยการจัดการอบรม การสนับสนุนทรัพยากรและการประชาสัมพันธ์ รวมถึงการสร้างสิ่งจูงใจผ่านโครงการธนาคารขยะให้กับประชาชน เป็นต้น</p> ณัชชา ปริเปรมกุล จิรวัฒน์ เมธาสุทธิรัตน์ Copyright (c) 2025 Journal of Public Policy and Public Affairs 2025-09-04 2025-09-04 4 1 41 62 สภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาบุคลากรศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ตามหลักธรรมาภิบาล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/PPPA/article/view/280869 <p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาการพัฒนาบุคลากรศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลตำบลบาเจาะ ตามหลักธรรมาภิบาล และ 2) เสนอแนวทางการพัฒนาบุคลากรศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดเทศบาลตำบลบาเจาะ ตามหลักธรรมาภิบาล เป็นการการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ บุคลากรศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลบาเจาะ ผู้บริหาร และผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบุคลากรศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โดยเลือกแบบเจาะจงจำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการวิเคราะห์เนื้อหาโดยวิธีการสรุปอุปนัย</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า (1) สภาพปัญหาการพัฒนาบุคลากรศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดเทศบาลตำบลบาเจาะ ตามหลักธรรมาภิบาล ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายที่ใช้ในการปฏิบัติงาน การจัดทำหลักสูตรของสถานศึกษา การจัดแผน ทักษะเกี่ยวกับการบริหารจัดการในระบบช่วยเหลือนักเรียน ขาดการนิเทศติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง ทักษะการใช้เทคโนโลยี การควบคุมและประเมินปริมาณสารอาหารเกี่ยวกับโภชนาการของเด็ก การปรับตัวในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ๆ ภาระรายงานที่มีมาก ส่วน (2) แนวทางการพัฒนาบุคลากรศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดเทศบาลตำบลบาเจาะ ตามหลักธรรมาภิบาล ได้แก่ ปลูกฝังวัฒนธรรมธรรมาภิบาลในองค์กร สร้างจิตสำนึกยึดมั่นในความถูกต้องและมีจรรยาบรรณในหน้าที่ รักองค์กร รักชุมชนของตนเอง มีทัศนคติที่ดีในการพัฒนาคุณภาพของงานร่วมกัน จัดทำแผนพัฒนาบุคลากรโดยมีเป้าหมายและกลยุทธ์ที่ชัดเจน กำหนดให้มีแผนการพัฒนาบุคลากรรายบุคคลและมีการติดตามประเมินอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม มีมาตรการและกลไกที่ช่วยให้บุคลากรเกิดการพัฒนาตนเอง สนับสนุนการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมการพัฒนา จัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม จัดกิจกรรมฝึกอบรมหรืออบรมเชิงปฏิบัติการที่มุ่งเน้นการเพิ่มทักษะอบรมและดูแลเด็ก มีแผนการนิเทศติดตาม ประเมินผลด้วยวิธีต่าง ๆ พิจารณาหมุนเวียนภาระงานตามบทบาทหน้าที่และความเหมาะสม ปรับปรุงจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เหมาะสม</p> ฮูไซมะห์ กือเด็ง กิตติพงษ์ เกียรติวัชรชัย เทพศักดิ์ บุณยรัตพันธุ์ Copyright (c) 2025 Journal of Public Policy and Public Affairs 2025-09-04 2025-09-04 4 1 63 78