https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/issue/feed วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา 2025-06-30T21:46:55+07:00 ผศ.ดร.อภิชาติ พยัคฆิน editor_education@pnru.ac.th Open Journal Systems <p> วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เป็นวารสารราย 6 เดือน เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานในลักษณะบทความวิชาการ (Academic Article) บทความวิจัย (Research Article) และบทความปริทัศน์ (Review Article) แก่นักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ</p> <p><strong>ขอบเขตของผลงานที่ตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พิจารณาเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย ที่มีสาระเกี่ยวเนื่องกับ</p> <p>- การศึกษาในสาขาวิชาต่าง ๆ ด้านศึกษาศาสตร์และครุศาสตร์ (Education)</p> <p>- นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา (Innovation and Technology in Education)</p> <p>- การบริหารการศึกษา (Educational Administration)</p> <p>- หลักสูตร (Curriculum)</p> <p>- การจัดการเรียนการสอน (Classroom Management, Instruction)</p> <p>- การเรียนรู้ (Learning)</p> <p>- การศึกษาปฐมวัย (Early Childhood, Kindergarten, Pre-school Education)</p> <p>- ประถมศึกษา (Elementary Education)</p> <p>- มัธยมศึกษา (Secondary Education)</p> <p>- การวิจัยทางการศึกษา (Educational Research)</p> <p>- การวัดผลและประเมินผล (Assessment and Evaluation)</p> <p>- สถิติทางการศึกษา (Educational Statistics)</p> <p>- ปรัชญาและศาสนาการศึกษา (Educational Philosophy and Religion) </p> <p>- จิตวิทยาการศึกษา (Psychology)</p> <p>- การแนะแนว (Guidance)</p> <p>- การศึกษาพิเศษ (Special Education)</p> <p>- การประกันคุณภาพการศึกษา (Quality Assurance in Education)</p> <p>- การพัฒนาวิชาชีพครู (Teacher Professional Education)</p> <p>- การฝึกอบรมและการศึกษาผู้ใหญ่ (Training and Adult Education)</p> <p>- การศึกษาสำหรับการพัฒนาชุมชนและสังคม (Education for Community and Social Development)</p> <p>- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)</p> <p>- สาขาวิชาอื่น ๆ ในสหวิทยาการด้านครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ (Others involving educational integration)</p> <p> </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้จะได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) อย่างน้อย 3 ท่าน โดยผู้เขียนและผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความจะไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน (Double-blind Peer Review)</p> <p> </p> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์</strong></p> <ol> <li class="show">บทความวิชาการ (Academic Article)</li> </ol> <p>งานเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นความรู้ใหม่ กล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา วัตถุประสงค์ แนวทางการแก้ไขปัญหา มีการใช้แนวคิดทฤษฎี ผลงานวิจัยจากแหล่งข้อมูล เช่น หนังสือ วารสารวิชาการ อินเทอร์เน็ตประกอบการวิเคราะห์วิจารณ์ เสนอแนวทางแก้ไข</p> <ol start="2"> <li class="show">บทความวิจัย (Research Article)</li> </ol> <p>เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยอย่างเป็นระบบ กล่าวถึงความเป็นมา และความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การดำเนินการวิจัย</p> <ol start="3"> <li class="show">บทความปริทัศน์ (Review Article)</li> </ol> <p>งานวิชาการที่ประเมินสถานะล่าสุดทางวิชาการ (State of the art) เฉพาะทางที่มีการศึกษาค้นคว้า มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ทั้งทางกว้าง และทางลึกอย่างทันสมัย โดยให้ข้อพิพากษ์ที่ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่ควรศึกษาและพัฒนาต่อไป</p> <p> </p> <p><strong>หลักเกณฑ์ในการส่งบทความ</strong></p> <ol> <li class="show">บทความที่ผู้เขียนส่งมาเพื่อตีพิมพ์จะต้องเป็นบทความที่ยังไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่หรืออยู่ระหว่างการเสนอขอตีพิมพ์จากวารสารอื่น ๆ</li> <li class="show">เนื้อหาในบทความต้องไม่คัดลอก ลอกเลียน หรือไม่ตัดทอนจากบทความอื่นโดยเด็ดขาด (การละเมินลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนเท่านั้น)</li> <li class="show">ผู้เขียนต้องเขียนบทความตามรูปแบบที่กำหนดไว้ในระเบียบการส่งบทความของ วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร</li> <li class="show">การพิจารณาบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จะพิจารณาเฉพาะบทความที่ได้รับการประเมินให้ตีพิมพ์เผยแพร่จากผู้ทรงคุณวุฒิเท่านั้น</li> <li class="show">กรณีข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เขียนต้องปรับแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ และชี้แจงการแก้ไขต้นฉบับดังกล่าว มายังกองบรรณาธิการ</li> </ol> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/278094 การศึกษาความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหา ตามแนวทางการประเมินของ PISA ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ถึง มัธยมศึกษาปีที่ 3 2025-05-04T15:36:54+07:00 ธิษณะ จงเจษฎ์ chongchet_t@hotmail.com เกริกเกียรติ กุลจรัสอนันต์ chongchet_t@hotmail.com สมปอง สุวรรณโสภา chongchet_t@hotmail.com <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางในการวัดและประเมินผลความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ในการแก้ปัญหาตามแนวทางการประเมินของ โปรแกรมประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment) หรือ PISA ของนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 และ มัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 โดยได้ทำการสร้างแบบทดสอบเพื่อวัดและประเมิน แบ่งเป็น 3 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 การอ่านจับใจความจากสถานการณ์ปัญหา ตอนที่ 2 การแก้ปัญหาโดยการประยุกต์ใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์เบื้องต้น และ ตอนที่ 3 การเขียนแสดงวิธีทำอธิบายกระบวนการคิดที่ใช้ในการแก้ปัญหา</p> <p> ผลการศึกษาจากนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 และระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 พบว่า ตอนที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็น 68.03% ของคะแนนเต็ม และ 82.77% ของคะแนนเต็ม ตามลำดับ ตอนที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็น 41.05% ของคะแนนเต็ม และ 53.80% ของคะแนนเต็ม ตามลำดับ และ ตอนที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็น 13.20% ของคะแนนเต็ม 29.04% ของคะแนนเต็ม ตามลำดับ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/273199 คุณลักษณะของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทยที่มีอิทธิพลต่อ ความทุ่มเทในการทํางานของบุคลากรยุคการศึกษาดิจิทัล 2024-09-16T09:12:48+07:00 พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ pp2552@hotmail.com ศักดิ์ดา สุภาพ phongsak.pha@rmutr.ac.th ณัฐชยา สมมาศเดชสกุล phongsak.pha@rmutr.ac.th ทรงสิทธิ์ วงค์สุขะ phongsak.pha@rmutr.ac.th สุจรรยา สมบัติธีระ phongsak.pha@rmutr.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทย 2) ศึกษาระดับความทุ่มเทในการทํางานของบุคลากรภายในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทยยุคการศึกษาดิจิทัล 3) หาความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารและความทุ่มเทในการทํางานของบุคลากรภายในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทยยุคการศึกษาดิจิทัล และ 4) ระบุคุณลักษณะของผู้บริหารที่มีอิทธิพลต่อความทุ่มเทในการทํางานของบุคลากรภายในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทยยุคการศึกษาดิจิทัล แล้วนําผลที่ได้มาสร้างสมการพยากรณ์ความทุ่มเทในการทํางานเพื่อกำหนดคุณลักษณะของผู้บริหารที่มีสมรรถนะสูงภายใต้ยุคการศึกษาดิจิทัล การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพโดยมีประชากรศึกษาเป็นอาจารย์และบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทย เครื่องมือในการวิจัยเชิงปริมาณเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และเชิงคุณภาพเป็นแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูปทางสถิติโดยการแจกแจงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณโดยวิธีสเตปไวซ์ ส่วนเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าคุณลักษณะของผู้บริหารและความทุ่มเทในการทํางานของบุคลากรภายในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทยยุคการศึกษาดิจิทัลอยู่ในระดับมาก ความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะของผู้บริหารและความทุ่มเทในการทํางานของบุคลากรภายในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทยมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลาง ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้พัฒนาคุณลักษณะของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนไทยเพื่อสร้างผู้บริหารมืออาชีพที่เหมาะสมและมีคุณภาพสำหรับการบริหารจัดการสถาบันอุดมศึกษาไทยท่ามกลางยุคแห่งการศึกษาดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/271179 ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐานที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์ และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2024-03-18T09:22:23+07:00 กฤตพงศ์ พ่วงประสงค์ jack.ktppps@gmail.com พิชาติ แก้วพวง jack.ktppps@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน และเปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัยนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนครนายกวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 12 ห้อง จำนวน 480 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/12 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนนครนายกวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก โดยใช้การสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) กำหนดเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 41 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฏการณ์เป็นฐาน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์ และแบบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภูมิศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปรากฎการณ์เป็นฐาน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/277810 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการแต่งประโยคภาษาอังกฤษโดยใช้คำศัพท์ในบทเรียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2025-04-10T13:48:22+07:00 อนุฌิฎา กล้าหาญ kasidit@pnru.ac.th กษิดิศ วัชรพรรณ kasidit@pnru.ac.th ศิรดา เทียนขาว kasidit@pnru.ac.th สราวุธ ณ พัทลุง kasidit@pnru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการแต่งประโยคภาษาอังกฤษโดยใช้คำศัพท์ในบทเรียน 2) ศึกษาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการแต่งประโยคภาษาอังกฤษโดยใช้คำศัพท์ในบทเรียน และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ห้อง 2 โรงเรียนประชาภิบาล เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร จำนวน 34 คนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 คัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 4 แผน แบบทดสอบอัตนัย จำนวน 4 ชุด ชุดละ 5 ข้อซึ่งมีดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .96 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้พัฒนามาจากแนวคิดและทฤษฎีการออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับ การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเรียนรู้เชิงรุก 2) แผนการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะในการแต่งประโยคโดยใช้คำศัพท์ในบทเรียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนประชาภิบาล มีค่าประสิทธิภาพ E1/E2 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ 80.88/80.58 และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/278557 การบริหารจัดการศึกษาพิเศษของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร 2025-05-03T23:10:41+07:00 นงนุช ล้ำเลิศ 6651751602206@pnru.ac.th ศิริรัตน์ ทองมีศรี 6651751602206@pnru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการบริหารจัดการศึกษาพิเศษของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร และ 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการบริหารจัดการศึกษาพิเศษ จำแนกตามคุณวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของโรงเรียน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ <br />มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครูจำนวน 198 คน ที่คัดเลือกโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน แล้วนำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามมาทำการวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารจัดการศึกษาพิเศษของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านกระบวนการบริหารและการจัดการมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 4.60) รองลงมา คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการเรียนรวม (= 4.57) และด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน (= 4.56) ส่วนด้านคุณภาพผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (= 4.49) และ 2) การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการบริหารจัดการศึกษาพิเศษ จำแนกตามคุณวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และขนาดของโรงเรียน พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/278853 แนวทางการพัฒนาขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 2025-06-04T16:09:24+07:00 กิติยารัตน์ การิก 6651751602204@pnru.ac.th เบญจวรรณ ศรีมารุต 6651751602204@pnru.ac.th <p>การค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู 2) แนวทางการพัฒนาขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตบางเขน กรุงเทพมหานคร จำนวน 161 คน ได้มาจากการเทียบตารางของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ .94 และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (= 4.24 , S.D.=0.70) โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน รองลงมาคือ ความก้าวหน้าในอาชีพ รายได้และสวัสดิการ สภาพการปฏิบัติงาน และความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู พบว่า ผู้บริหารควรลดภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน จัดสรรเจ้าหน้าที่ช่วยงานด้านธุรการ มอบหมายงานตามความสามารถของครู ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี รวมถึงเปิดโอกาสให้ครูแสดงความคิดเห็น รับฟังปัญหา ยอมรับและให้เกียรติซึ่งกันและกันในองค์กร มีระบบให้รางวัลที่เป็นธรรม และจัดสวัสดิการที่เหมาะสม</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/279352 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจำนวนจริง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2025-05-04T14:07:43+07:00 รุจิรา ประดับมุข rujira.pr@ksu.ac.th ปวีณา ขันธ์ศิลา paweena.kh@ksu.ac.th ประภาพร หนองหารพิทักษ์ prapaporn.no@ksu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับจำนวนจริง กับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน และ 3) ศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 จำนวน 35 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน จำนวน 5 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบปรนัย จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน จำนวน 10 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 22.77 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 75.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานอยู่ในระดับมาก ( = 4.04 , S.D. = 0.83)</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/275809 บทวิจารณ์หนังสือ (BOOK REVIEW) การออกแบบวิจัยเชิงคุณภาพ DESIGNING QUALITATIVE RESEARCH 2024-10-30T11:40:05+07:00 ศรัณย์ ขนอม sarun.k@rumail.ru.ac.th ชลธิดา ดวงงามยิ่ง chontida@esdc.go.th <p>-</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/275854 บทวิจารณ์หนังสือ (BOOK REVIEW) ANGKOR AND THE KHMER CIVILIZATION 2024-10-30T11:55:43+07:00 ยงยุทธ ขำคง yongyut.k@pnru.ac.th <p>-</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา