วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION <p> วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เป็นวารสารราย 6 เดือน เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ผลงานในลักษณะบทความวิชาการ (Academic Article) บทความวิจัย (Research Article) และบทความปริทัศน์ (Review Article) แก่นักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปที่สนใจ</p> <p><strong>ขอบเขตของผลงานที่ตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร พิจารณาเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัย ที่มีสาระเกี่ยวเนื่องกับ</p> <p>- การศึกษาในสาขาวิชาต่าง ๆ ด้านศึกษาศาสตร์และครุศาสตร์ (Education)</p> <p>- นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษา (Innovation and Technology in Education)</p> <p>- การบริหารการศึกษา (Educational Administration)</p> <p>- หลักสูตร (Curriculum)</p> <p>- การจัดการเรียนการสอน (Classroom Management, Instruction)</p> <p>- การเรียนรู้ (Learning)</p> <p>- การศึกษาปฐมวัย (Early Childhood, Kindergarten, Pre-school Education)</p> <p>- ประถมศึกษา (Elementary Education)</p> <p>- มัธยมศึกษา (Secondary Education)</p> <p>- การวิจัยทางการศึกษา (Educational Research)</p> <p>- การวัดผลและประเมินผล (Assessment and Evaluation)</p> <p>- สถิติทางการศึกษา (Educational Statistics)</p> <p>- ปรัชญาและศาสนาการศึกษา (Educational Philosophy and Religion) </p> <p>- จิตวิทยาการศึกษา (Psychology)</p> <p>- การแนะแนว (Guidance)</p> <p>- การศึกษาพิเศษ (Special Education)</p> <p>- การประกันคุณภาพการศึกษา (Quality Assurance in Education)</p> <p>- การพัฒนาวิชาชีพครู (Teacher Professional Education)</p> <p>- การฝึกอบรมและการศึกษาผู้ใหญ่ (Training and Adult Education)</p> <p>- การศึกษาสำหรับการพัฒนาชุมชนและสังคม (Education for Community and Social Development)</p> <p>- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development)</p> <p>- สาขาวิชาอื่น ๆ ในสหวิทยาการด้านครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ (Others involving educational integration)</p> <p> </p> <p><strong>การพิจารณาบทความ</strong></p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้จะได้รับการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง (Peer Review) อย่างน้อย 3 ท่าน โดยผู้เขียนและผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความจะไม่ทราบชื่อซึ่งกันและกัน (Double-blind Peer Review)</p> <p> </p> <p><strong>ประเภทของบทความที่รับตีพิมพ์</strong></p> <ol> <li class="show">บทความวิชาการ (Academic Article)</li> </ol> <p>งานเขียน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นความรู้ใหม่ กล่าวถึงความเป็นมาของปัญหา วัตถุประสงค์ แนวทางการแก้ไขปัญหา มีการใช้แนวคิดทฤษฎี ผลงานวิจัยจากแหล่งข้อมูล เช่น หนังสือ วารสารวิชาการ อินเทอร์เน็ตประกอบการวิเคราะห์วิจารณ์ เสนอแนวทางแก้ไข</p> <ol start="2"> <li class="show">บทความวิจัย (Research Article)</li> </ol> <p>เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยอย่างเป็นระบบ กล่าวถึงความเป็นมา และความสำคัญของปัญหา วัตถุประสงค์ การดำเนินการวิจัย</p> <ol start="3"> <li class="show">บทความปริทัศน์ (Review Article)</li> </ol> <p>งานวิชาการที่ประเมินสถานะล่าสุดทางวิชาการ (State of the art) เฉพาะทางที่มีการศึกษาค้นคว้า มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้ทั้งทางกว้าง และทางลึกอย่างทันสมัย โดยให้ข้อพิพากษ์ที่ชี้ให้เห็นแนวโน้มที่ควรศึกษาและพัฒนาต่อไป</p> <p> </p> <p><strong>หลักเกณฑ์ในการส่งบทความ</strong></p> <ol> <li class="show">บทความที่ผู้เขียนส่งมาเพื่อตีพิมพ์จะต้องเป็นบทความที่ยังไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่หรืออยู่ระหว่างการเสนอขอตีพิมพ์จากวารสารอื่น ๆ</li> <li class="show">เนื้อหาในบทความต้องไม่คัดลอก ลอกเลียน หรือไม่ตัดทอนจากบทความอื่นโดยเด็ดขาด (การละเมินลิขสิทธิ์ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนเท่านั้น)</li> <li class="show">ผู้เขียนต้องเขียนบทความตามรูปแบบที่กำหนดไว้ในระเบียบการส่งบทความของ วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร</li> <li class="show">การพิจารณาบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร จะพิจารณาเฉพาะบทความที่ได้รับการประเมินให้ตีพิมพ์เผยแพร่จากผู้ทรงคุณวุฒิเท่านั้น</li> <li class="show">กรณีข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เขียนต้องปรับแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ และชี้แจงการแก้ไขต้นฉบับดังกล่าว มายังกองบรรณาธิการ</li> </ol> สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร th-TH วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา 2774-0706 บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) 1Q84 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/265913 <p>นวนิยายเรื่อง 1Q84 เป็นผลงานการประพันธ์ของ Haruki Murakami ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ในปี 2011 1Q84 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Man Asian Literary Prize ในปีเดียวกัน หนังสือขายดีเป็นอันดับ 2 ของ Amazon.com จากยอดขายตลอดทั้งปี 1Q84 ได้รับรางวัล Goodreads Choice Award ในหมวดนวนิยาย และในปี 2019 The Asahi Shimbun ได้โหวตให้หนังสือ 1Q84 เป็น “The Best Book in the Heisei Era 1989-1929” หนังสือ 1Q84 มีความยาว 1,320 หน้า จัดพิมพ์มาแล้วหลายครั้ง ฉบับที่นำมาวิจารณ์นี้เป็นฉบับภาษาอังกฤษ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Vintage ในปี 2012 ISBN 9780099578079 แปลจากภาษาญี่ปุ่นโดย Jay Rubin และ Philip Gabriel หนังสือขายหมดภายในวันเดียวที่ออกจำหน่าย และมียอดขาย 1 ล้านเล่มภายใน 1 เดือน ปัจจุบันมีฉบับแปลเป็นไทยแล้ว ใช้ชื่อเรื่องว่า <em>หนึ่งคิวแปดสี่</em> แปลโดย มุทิตา พานิช และคณะ</p> ยงยุทธ ขำคง Copyright (c) 2023 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา 2023-12-20 2023-12-20 3 2 71 76 การพัฒนาความสามารถในการแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับ แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/267857 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแบบฝึกการแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับ แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับ แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/10 จำนวน 37 คน ได้มาโดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ 2) แบบฝึกทักษะ เรื่อง การแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ 3) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ 4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับ แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกการแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีค่าประสิทธิภาพ E<sub>1</sub> = 81.04 / E<sub>2</sub> = 90.74 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2. ความสามารถด้านการแต่งคำประพันธ์ประเภทฉันท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับแบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3. ความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ต่อกระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ร่วมกับ แบบฝึกทักษะการแต่งคำประพันธ์ ในภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด</p> ธัญธร เวทย์วีระพงศ์ Copyright (c) 2023 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา 2023-12-20 2023-12-20 3 2 1 14 กลวิธีการสื่อสารภาษาอังกฤษของพนักงานบริษัทในกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/267938 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเภทของกลวิธีการสื่อสารภาษาอังกฤษที่พนักงานบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งโดยสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามและการสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์เชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหาตามแนวคิดของ Nakatani (2006) ผลการวิจัยพบว่า พนักงานบริษัทใช้กลวิธีการสื่อสารประเภทกลวิธีการทำให้สำเร็จหรือชดเชย (Achievement or Compensatory Strategies) มากที่สุด โดยเลือกใช้กลวิธีย่อยคือการใช้คำสั้นๆและง่ายๆ ในการสื่อสารภาษาอังกฤษมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 4.42) ตามด้วยกลวิธีการไม่ใช้คำพูด (Non-linguistic Strategies) และกลวิธีที่ใช้น้อยที่สุดคือกลวิธีการหลีกเลี่ยงหรือตัดทอน (Avoidance or Reduction Strategies)</p> พนิดา ศรีวิเศษ Copyright (c) 2023 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา 2023-12-20 2023-12-20 3 2 15 24 ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/268302 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาระดับกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานคร 3) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานคร และ 4) นำเสนอกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 390 คน โดยใช้การเทียบสัดส่วนและวิธีการสุ่มอย่างง่าย และผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 15 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงตามคุณสมบัติที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ แบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง และแบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยวิธีการทางสถิติโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอนและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงอุปนัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับปัจจัยการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานครโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร การบริหารการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยง นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา ธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วม และการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ตามลำดับ 2) ระดับกระบวนการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานครโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การกำหนดกลยุทธ์ การปฏิบัติตามกลยุทธ์ การกำหนดทิศทางขององค์กร การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และการควบคุมและประเมินผลกลยุทธ์ ตามลำดับ และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการบริหารเชิง กลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหาร การบริหารการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยง นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา ธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วม และการจัดการทรัพยากรมนุษย์ 4) กลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานครประกอบด้วย 9 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) การพัฒนาองค์กรและระบบการบริหารจัดการคุณภาพโดยรวม 2) การพัฒนาสถานศึกษาทั้งระบบ 3) การพัฒนาครูและบุคลากรในสถานศึกษา 4) การพัฒนาหลักสูตรและกระบวนการจัดการเรียนการสอน 5) การพัฒนาคุณภาพและโอกาสทางการศึกษาของผู้เรียน 6) การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา 7) การทำงานเป็นทีมเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ 8) การพัฒนาระบบประกันคุณภาพการศึกษา และ 9) การพัฒนาการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชน</p> พงษ์ศักดิ์ ผกามาศ ปรางทิพย์ เสยกระโทก Copyright (c) 2023 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา 2023-12-20 2023-12-20 3 2 25 44 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/265526 <p>การวิจัยนี้มุ่งศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ของนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1<strong>. </strong>เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) สำหรับนักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 2 และ 2. เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) เพื่อพัฒนาความรู้ เรื่อง หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กลุ่มตัวอย่างที่ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่ 2 แผนกวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ จำนวน 14 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชา 20204-2004 หลักการเขียนโปรแกรม เรื่อง หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) จำนวน 1 แผน รวม 6 ชั่วโมง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 2. แบบทดสอบเรื่องหลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นแบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 15 ข้อ ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแสะหาคำดัชนีความสอดคล้อง (IOC) สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. นักเรียนจำนวน 14 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเฉลี่ยเท่ากับ 14.64 และ 25.50 ตามลำดับ มีค่าเบี่ยงเบนมาตราฐาน เท่ากับ 2.32 และ 1.55 ตามลำดับ จากคะแนน เต็ม 30 คะแนน และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p>2. ความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 7 ขั้น (7E) เพื่อพัฒนาความรู้ เรื่อง หลักการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อยู่ในระดับมาก</p> มณีวรรณ ตาดำ Copyright (c) 2023 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา 2023-12-20 2023-12-20 3 2 45 56 การมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ครู และนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย ในการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพของเด็กอนุบาลโดยใช้ชุดสื่อเด็กไทยสุขภาพดี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/RESEARCH_INNOVTION_IN_EDUCATION/article/view/268500 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความรอบรู้ด้านสุขภาพของเด็กอนุบาลก่อนและหลังการใช้ชุดสื่อเด็กไทยสุขภาพดี 2) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครอง ครู และนักศึกษาที่มีต่อชุดสื่อเด็กไทยสุขภาพดี และ 3) พัฒนาสื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับเด็กอนุบาลในยุคปกติใหม่ กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย 1) เด็กอนุบาล 1 – 3 ปีการศึกษา 2565 ในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี 218 คน 2) ผู้ปกครอง 47 คน 3) ครู 12 คน และ 4) นักศึกษา 74 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) ชุดสื่อเด็กไทยสุขภาพดี 2) แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพของเด็กอนุบาล และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจการใช้ชุดสื่อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ความรอบรู้ด้านสุขภาพของเด็กอนุบาลหลังการใช้ชุดสื่อสูงกว่าก่อนการใช้ชุดสื่อเด็กไทยสุขภาพดีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p> <p>2) ความพึงพอใจต่อชุดสื่อเด็กไทยสุขภาพดีของผู้ปกครอง ครู และนักศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ย 4.53 4.41 และ 4.38 ตามลำดับ ยกเว้นด้านความเหมาะสมกับลักษณะของผู้เรียนที่มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก</p> <p>3) สื่อส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพสำหรับเด็กอนุบาลในยุคปกติใหม่ที่พัฒนาขึ้น ได้แก่ โครงการด้านโภชนาการ ละครสร้างสรรค์ ศูนย์การเรียน และ นิทาน</p> พัชราภรณ์ พุทธิกุล สิตารมณ์ บุญรอด ปรตา หวังดุล ชุลีกร เลิศประเสริฐ ภาวิกา หงส์สุวงศ์ Copyright (c) 2023 วิจัยและนวัตกรรมทางการศึกษา 2023-12-20 2023-12-20 3 2 57 70