https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/issue/feed
วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2024-12-31T22:08:47+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐณภรณ์ เอกนราจินดาวัฒน์
Touch_life@outlook.co.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา</strong> เป็นวารสารสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ที่มีการเผยแพร่ผลงานวิชาการครอบคลุมเนื้อหาด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ด้านรัฐศาสตร์ ด้านบริหารการศึกษา ด้านบริหารธุรกิจ ด้านการจัดการ ด้านศิลปศาสตร์ ด้านสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ด้านการเงิน การบัญชี และธนาคาร ด้านการท่องเที่ยว ด้านโลจิสติกส์ สำหรับกระบวนการพิจารณาบทความเพื่อตีพิมพ์ ทุกบทความจะต้องได้รับการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewer) จำนวน 3 ท่าน ในลักษณะปกปิด แบบไม่เห็นชื่อผู้เขียนและผู้ประเมิน (Double-blinded review) </p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/267100
การพัฒนาการจัดการทรัพย์สินเพื่อให้เกิดรายได้ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ
2024-08-19T10:46:44+07:00
พิมรักษ์ บุญกล่ำ
pimrak.b@rmutr.ac.th
ฐิติมา โห้ลำยอง
pim_auirak@hotmail.com
เชาว์ฤทธิ์ เชาว์แสงรัตน์
pim_auirak@hotmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอภาพรวมของการพัฒนาการจัดการทรัพย์สินเพื่อให้เกิดรายได้ของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ โดยอ้างถึงแนวคิดการออกนอกระบบของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ การจัดการทรัพย์สินของมหาวิทยาลัย และการพัฒนาการจัดการทรัพย์สินเพื่อให้เกิดรายได้ในมหาวิทยาลัยกำกับของรัฐ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยสามารถปรับการบริหารจัดการให้มีความคล่องตัว ทั้งนี้ การจัดการข้อมูลที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยทั้งในรูปแบบเอกสาร และในระบบฐานข้อมูลในระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถยึดเป็นหลักในการวางแผนการตัดสินใจได้</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/274106
การจัดทำบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีคุณภาพ ตามแนวทางการจัดการบริการสาธารณะแนวใหม่ (New Public Service: NPS)
2024-11-06T15:16:33+07:00
กันต์อเนก ภู่จินดา
kankanek.poochinda@gmail.com
วิจิตรา ศรีสอน
kankanek.poochinda@gmail.com
<p>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองได้เองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นโดยใช้หลักการคำนึงถึงเจตนารมณ์ ความสามารถในการปกครองตนเองด้านรายได้ จำนวนความหนาแน่นประชากร และพื้นที่รับผิดชอบ ประกอบกัน การจัดทำบริการสาธารณะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีคุณภาพ จึงเป็นหน้าที่หลักสำคัญในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่เป็นตัวแทนผู้ใช้อำนาจและขับเคลื่อนกลไกนโยบายสาธารณะไปสู่การปฏิบัติ ในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนท้องถิ่น โดยนำหลักการจัดทำบริการสาธารณะแนวใหม่ ที่ประกอบไปด้วยหลักการขั้นพื้นฐานทางรัฐประศาสนศาสตร์ทั้ง 4 อย่าง ได้แก่ 1. ทฤษฎีประชาธิปไตยพลเมือง 2. ตัวแบบชุมชนและประชาสังคม 3. มนุษย์นิยมองค์การและรัฐประศาสนศาสตร์แนวใหม่ 4. รัฐประศาสนศาสตร์หลังสมัยใหม่ โดยมีขอบข่ายที่ใช้เป็นแนวทางในการบริหาร 7 ประการ ได้แก่ 1. การบริการรับใช้พลเมืองไม่ใช่ลูกค้า 2. การค้นหาผลประโยชน์สาธารณะ 3. เน้นคุณค่าความเป็นพลเมืองมากกว่าการเป็นผู้ประกอบการ 4. การคิดเชิงกลยุทธ์ปฏิบัติแบบประชาธิปไตย 5. การตระหนักในความสามารถรับผิดชอบได้ไม่ใช่เรื่องง่าย 6. การให้บริการมากกว่าการกำกับทิศทาง 7. การให้คุณค่ากับคนไม่ใช่แค่ผลิตภาพ มาใช้เป็นแนวทางในการจัดทำบริการสาธารณะ ที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างระบบการมีส่วนร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คนในชุมชน รวมถึงหน่วยงานภาคเอกชน ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นในการจัดทำนโยบายสาธารณะที่มีคุณภาพ สามารถตอบสนองความต้องการของคนในท้องถิ่นส่วนรวมให้ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงเท่าเทียมและยุติธรรม</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275508
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้องค์กร การจัดการความรู้ และนวัตกรรมองค์กรที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจ สื่อโฆษณาในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-12-25T15:04:18+07:00
ดรุณี บุญสุทธิ์
darunee.b047@outlook.com
สุพัตรา ปราณี
darunee.b047@outlook.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้องค์กรการจัดการความรู้ นวัตกรรมองค์กร และความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสื่อโฆษณาในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้องค์กร การจัดการความรู้ นวัตกรรมองค์กร ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสื่อโฆษณาในเขตกรุงเทพมหานครและ 3) เพื่อสร้างแบบจำลองความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสื่อโฆษณาในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ประกอบการองค์กรธุรกิจในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 380 คน ใช้การคัดเลือกแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ประกอบการธุรกิจสื่อโฆษณาในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน20 คน เลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศไทย การเรียนรู้องค์กรนวัตกรรมองค์กร การจัดการความรู้ และภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง อยู่ในระดับมากทุกด้าน ตามลำดับ 2)อิทธิพลของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้องค์กร การจัดการความรู้ นวัตกรรมองค์กร ที่ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสื่อโฆษณาในเขตกรุงเทพมหานคร ผลเป็นไปตามสมมติฐานทุกข้อ 3)แบบจำลองชื่อว่า “T O K O S Model” สามารถนำไปใช้ในสร้างความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศไทย สู่องค์กรที่มีสมรรถนะสูงผ่านการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ด้วยการคำนึงถึงปัจจัย ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้องค์กร การจัดการความรู้ นวัตกรรมองค์กร รูปแบบแนวคิดและวิธีการส่งเสริมสมรรถนะหลักของธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศไทย เพื่อองค์กรธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศไทยยั่งยืน</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275869
ระบบการสอนอิงพุทธวิธีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อสร้างบัณฑิตที่พึงประสงค์
2024-12-11T10:57:24+07:00
พรภิรมย์ ยอดบุญ
pornpirom.yod@mcu.ac.th
สมชัย ศรีนอก
kuru.2007@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ความรู้ทั่วไปของระบบการสอนอิงพุทธวิธี เพื่อพัฒนาระบบการสอนอิงพุทธวิธี เพื่อประเมินระบบการสอนอิงพุทธวิธี และเพื่อนำเสนอระบบการสอนอิงพุทธวิธีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเพื่อสร้างบัณฑิตที่พึงประสงค์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นิสิตชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จำนวน 169 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม และสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) จำนวน 10 คน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ความรู้ทั่วไปของระบบการสอนอิงพุทธวิธีเพื่อสร้างบัณฑิตที่พึงประสงค์ พบว่า (1) วิธีการจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยว่าด้วยการศึกษาระดับปริญญาตรี พ.ศ. 2566 (2) วิธีสอนของอาจารย์ (3) ระบบการสอนอิงพุทธวิธีเพื่อสร้างบัณฑิตที่พึงประสงค์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างบัณฑิตที่มีความรู้ดี มีคุณธรรม และสามารถนำสันติสุขมาสู่สังคมได้ 2) การพัฒนาระบบการสอนอิงพุทธวิธีเพื่อสร้างบัณฑิตที่พึงประสงค์ พบว่า ระบบต้นแบบมีองค์ประกอบ 5 ส่วน คือ อาจารย์สอน ปัจจัยนำเข้า กระบวนการสอน ผลลัพธ์ และผลย้อนกลับ 3) การประเมินระบบการสอนอิงพุทธวิธีเพื่อสร้างบัณฑิตที่พึงประสงค์ พบว่า ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยภาพรวม และรายด้าน อยู่ในระดับมากที่สุด 4) การนำเสนอระบบการสอนอิงพุทธวิธีเพื่อสร้างบัณฑิตที่พึงประสงค์ มี 3 ประการ คือ (1) หลักการสอนเพื่อให้บัณฑิตมีความรู้ (2) หลักการสอนเพื่อให้บัณฑิตมีคุณธรรม และ (3) หลักการสอนให้บัณฑิตเป็นผู้นำสันติสุข</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/273084
ปัจจัยจูงใจ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ทางอินเทอร์เน็ต และการยอมรับเทคโนโลยีที่มีผลต่อประสิทธิภาพการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1
2024-12-06T14:51:00+07:00
นันท์นลิน โสภาแปง
nannarin.sopp@gmail.com
ประเวศ เพ็ญวุฒิกุล
nannarin.sopp@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยจูงใจที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1. 2) การยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางอินเทอร์เน็ตที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้านตรงกำหนดเวลา และด้านข้อมูลถูกต้องครบถ้วนในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 และ 3) การยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 จำนวน 400 คน โดยการคำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของ Yamane (1973) วิเคราะห์โดยใช้สถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยจูงใจ ด้านความรู้และความเข้าใจ ด้านการบริการ และด้านการประชาสัมพันธ์ ส่งผลทางบวกต่อประสิทธิภาพการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้านตรงกำหนดเวลา ด้านข้อมูลถูกต้องครบถ้วน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05. 2) การยื่นแบบแสดงรายการภาษีทางอินเทอร์เน็ต ด้านการรับรู้ความเสี่ยงและด้านความไว้วางใจของผู้ใช้งานส่งผลเชิงบวกต่อประสิทธิภาพการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้านตรงกำหนดเวลา ด้านข้อมูลถูกต้องครบถ้วน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ปัจจัยการยอมรับเทคโนโลยี ด้านสภาพแวดล้อมที่สนับสนุน ด้านการคาดหวังการใช้งานง่ายและด้านการรับรู้ว่ามีประโยชน์ ส่งผลทางบวกต่อประสิทธิภาพการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้านตรงกำหนดเวลา ด้านข้อมูลถูกต้องครบถ้วน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/272528
อิทธิพลของบรรยากาศองค์กรต่อความผูกพันองค์กรของผู้ปฏิบัติงานที่ทำงานเป็นกะ ฝ่ายสถานีสูบจ่ายน้ำ การประปานครหลวง
2024-12-12T15:49:22+07:00
พงศกร แก้วเสมา
pongsakorn.kaews@ku.th
ณัฐพล พันธุ์ภักดี
pongsakorn.kaews@ku.th
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลด้านลักษณะส่วนบุคคลต่อความผูกพันองค์กรของผู้ปฏิบัติงานที่ทำงานเป็นกะ 2) ศึกษาอิทธิพลของบรรยากาศองค์กรต่อความผูกพันองค์กรของผู้ปฏิบัติงานที่ทำงานเป็นกะ กลุ่มประชากรในการศึกษาครั้งนี้คือ ผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่ทำงานเป็นกะ ฝ่ายสถานีสูบจ่ายน้ำ การประปานครหลวง จำนวน 70 คน การศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนและการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ </p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) ผู้ปฏิบัติงานที่มีสถานภาพสมรส ระดับการศึกษาสูงสุดและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกัน มีระดับความผูกพันองค์กรแตกต่างกัน 2) บรรยากาศองค์กรในด้านมิติความยึดมั่นผูกพันมีผลทางตรงเชิงบวกต่อความผูกพันองค์การและสามารถพยากรณ์ความผูกพันองค์การได้ร้อยละ 60.8</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/273251
ผลกระทบของกระบวนการตรวจสอบและจรรยาบรรณทางวิชาชีพที่มีผลต่อการใช้ทรัพยากรในการสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-12-06T14:38:08+07:00
อารีรัตน์ ปรางค์ประยูร
areerutjoy@gmail.com
จิรพงษ์ จันทร์งาม
areerutjoy@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลกระทบของกระบวนการตรวจสอบที่มีผลต่อการใช้ทรัพยากรในการสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาผลกระทบของจรรยาบรรณทางวิชาชีพที่มีผลต่อการใช้ทรัพยากรในการสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร ในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ผู้สอบบัญชีภาษีอากร ผู้ช่วยผู้สอบบัญชี และผู้ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพบัญชี จำนวน 300 คน ที่มาจากการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตร ทาโร่ ยามาเน่ ณ ระดับความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 0.05 จากวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการตรวจสอบ ส่งผลเชิงบวกต่อการใช้ทรัพยากรในการสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 2) จรรยาบรรณทางวิชาชีพ ส่งผลเชิงบวกต่อการใช้ทรัพยากรในการสอบบัญชีของสำนักงานสอบบัญชีในเขตกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นการใช้ทรัพยากรในการสอบบัญชี มีความสำคัญต่องานสอบบัญชี สามารถนำไปใช้ในการวางแผนการบริหารจัดการของสำนักงานสอบบัญชีให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถลดต้นทุนในการสอบบัญชี เพื่อช่วยให้บรรลุผลสำเร็จในการตรวจสอบของสำนักงานสอบบัญชีและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการสอบบัญชี เพิ่มคุณภาพที่ดีในการทำงานของผู้สอบบัญชีให้เป็นไปตามที่ได้วางแผนไว้</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275510
ปัจจัยทางเศรษฐกิจและอัตราส่วนทางการเงินที่มีอิทธิพลต่อผลตอบแทนของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงการแพร่ระบาดและหลังการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) กรณีศึกษา หลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ
2024-12-06T14:43:05+07:00
วรวงศ์ รอดเกลี้ยง
worawong.r048@outlook.com
ประเวศ เพ็ญวุฒิกุล
worawong.r048@outlook.com
<p> การวิจัยครังนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจและอัตราส่วนทางการเงินที่ส่งผลต่อผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมบริการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจและอัตราส่วนทางการเงินที่ส่งผลต่อราคาของหุ้นกลุ่ม อุตสาหกรรมบริการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความเหมือนและแตกต่างของปัจจัยทางเศรษฐกิจอัตราส่วนทางการเงินที่ส่งผลต่อผลตอบแทนและราคาของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงการแพร่ระบาดและช่วงหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ จำนวน 108 บริษัท เป็นรายไตรมาส ระหว่างปีพ.ศ.2563 – 2566 รวมทั้งสิ้น 16 ไตรมาส สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ จำนวน ค่าเฉลี่ย ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติการถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) อัตราดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น อัตราหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นและอัตราส่วนมูลค่าทางบัญชีส่งผลต่อผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมบริการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) อัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ อัตราผลตอบแทนของส่วน ผู้ถือหุ้น และอัตราส่วนมูลค่าทางบัญชีส่งผลต่อราคาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมบริการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 3) อัตราส่วนมูลค่าทางบัญชี ส่งผลต่อผลตอบแทนของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างการแพร่ระบาดโควิด 19 และในส่วนของอัตราผลตอบแทนของส่วนผู้ถือหุ้น อัตราหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น อัตราส่วนมูลค่าทางบัญชี ส่งผลต่อผลตอบแทนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ระหว่างและหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เหมือนกัน ส่วนอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ อัตราส่วนของผู้ถือหุ้น ส่งผลต่อราคาของหุ้นแค่ในช่วงการแพร่ระบาด และอัตราส่วนมูลค่าทางบัญชีส่งผลต่อราคาของหุ้นระหว่างการแพร่ระบาดและหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/269165
รัฐประศาสนศาสตร์กับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ภาคเอกชน
2024-12-24T09:49:29+07:00
ฉัฐวัฒน์ ชัชณฐาภัฏฐ์
chattawat.sh@western.ac.th
บุญทัน ดอกไธสง
chattawat.sh@western.ac.th
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทำความเข้าใจและวิเคราะห์แนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในภาคเอกชน และ 2) เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเพิ่มประสิทธิภาพของภาคเอกชน โดยใช้วิธีการศึกษาเอกสาร โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากรายงานการศึกษาวิจัยและเอกสารเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับรัฐประศาสนศาสตร์และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในภาคเอกชน จากนั้น นำข้อมูลมาวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในภาคเอกชนเน้นองค์กรยืดหยุ่นและวัฒนธรรมสร้างสรรค์เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภายนอกและภายใน โดยบทบาทสำคัญคือการสร้างความยืดหยุ่นในเศรษฐกิจและสังคมผ่านการร่วมมือระหว่างภาคเอกชนและรัฐประศาสนศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะและความรู้ของบุคลากรและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศในทางที่มีประสิทธิภาพ และ 2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเพิ่มประสิทธิภาพในภาคเอกชนเป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืนขององค์กร โดยเน้นทักษะและความรู้ผ่านการส่งเสริมการเรียนรู้ที่เข้ากันกับความต้องการของภาคเอกชน การอบรมทักษะทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ การใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่ยืดหยุ่น การสนับสนุนนวัตกรรมทางธุรกิจ และการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาคเอกชน นับถือแนวทางการศึกษารัฐประศาสนศาสตร์และการบริหารทรัพยากรมนุษย์เพื่อสร้างองค์กรที่สามารถปรับตัวและมีผลการดำเนินงานที่ยั่งยืนในระยะยาว</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/273573
ปัจจัยการเรียนรู้มาตรฐานรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (ปรับปรุง 2565) และทักษะทางวิชาชีพบัญชีของผู้ทำบัญชีมีผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงิน ในเขตกรุงเทพมหานคร
2024-12-06T14:45:32+07:00
กันฑรัตน์ การิยา
isocare.taew@gmail.com
พรทิวา แสงเขียว
isocare.taew@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการเรียนรู้มาตรฐานรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (ปรับปรุง 2565) และ 2) เพื่อศึกษาทักษะทางวิชาชีพบัญชีของผู้ทำบัญชีมีผลต่อคุณภาพรายงานทางการเงิน ในเขตกรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ช่วยผู้ทำบัญชี ผู้ทำบัญชี ผู้ช่วยผู้สอบบัญชี ผู้สอบบัญชีภาษีอากร (TA) จำนวน 335 คน โดยเลือกตัวอย่างอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยคำนวณหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 และ 0.05</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยการเรียนรู้มาตรฐานรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (ปรับปรุง 2565) ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยด้านความจำ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.11 ด้านความรู้ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.91 ด้านความเข้าใจ ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.60 ตามลำดับ และ 2) ทักษะทางวิชาชีพบัญชีในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยด้านการจัดการค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.38 ด้านการจัดการองค์กร ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.32 ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการสื่อสาร ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19 และด้านปัญญา ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.16 ตามลำดับ ผลทดสอบสมมติฐาน พบว่า สนับสนุนสมมติฐานทุกข้อ</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275464
แนวทางการแก้ไขปัญหาความล่าช้าการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการของสำนักงานแห่งหนึ่งจังหวัดขอนแก่น
2024-12-26T20:43:52+07:00
ไก่รุ่ง ประชากูล
kairung.p@kkumail.com
อมรวรรณ รังกูล
kairung.p@kkumail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สถานการณ์ปัจจุบัน สาเหตุของปัญหาความล่าช้าการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการของสำนักงานแห่งหนึ่งจังหวัดขอนแก่น และ 2) แนวทางการแก้ปัญหาความล่าช้าในการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการ เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการระดมสมองกลุ่มเป้าหมายเจ้าหน้าที่การเงิน จำนวน 37 คน ที่เป็นผู้อยู่ในกระบวนการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการ แล้วรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการระดมสมองและการสัมภาษณ์เชิงลึกมาวิเคราะห์หาสาเหตุหลัก และสาเหตุย่อยด้วยแผนผังสาเหตุ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) สถานการณ์ปัจจุบันการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการมีความล่าช้า เนื่องจากใช้เวลาดำเนินการมากกว่า 20 วันทำการ โดยสาเหตุหลักของปัญหา คือ (1) การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน (2) กระบวนการอนุมัติที่ยาว (3) รอการตัดสินใจจากผู้บริหาร และ 2) แนวทางการแก้ไขปัญหาโดยจัดทำโครงการ จำนวน 3 โครงการ คือ โครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาข้าราชการธุรการของสำนักงาน “หลักสูตรพัฒนาการปฏิบัติงานด้านการเงินและการบัญชี” (2) โครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาข้าราชการฝ่ายสำนักงาน “การใช้สิทธิในการเบิกเงินสวัสดิการและการจัดทำเอกสารขอเบิกเงินสวัสดิการ” และ (3) โครงการตรวจติดตามผลการดำเนินงาน หลังจากการดำเนินการโครงการทั้ง 3 โครงการ พบว่าทำให้ระยะเวลาในการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการรวมลดลงจาก 29,145 นาที (ประมาณ 20 วัน) เป็น 14,565 นาที (ประมาณ 10 วัน) สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในกระบวนการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการ ทำให้ลดระยะเวลาปฏิบัติงานลงในภาพรวมที่ร้อยละ 50</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/273574
การศึกษาเทคโนโลยียุคดิจิทัลและสมรรถนะนักบัญชีในยุคดิจิทัลที่มีผลต่อความสำเร็จของงานบัญชีของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2024-12-06T14:48:20+07:00
พิลาพร กลุ่มกลาง
philaporn.k@gmail.com
พรทิวา แสงเขียว
philaporn.k@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเทคโนโลยียุคดิจิทัลและสมรรถนะนักบัญชีในยุคดิจิทัลที่มีผลต่อความสำเร็จของงานบัญชีของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษารวมทั้งสิ้น 350 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูล ทำการวิเคราะห์ผลทางสถิติ โดยใช้การวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า เทคโนโลยียุคดิจิทัลที่มีผลต่อความสำเร็จของงานบัญชีของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ การใช้งานการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) การใช้งานระบบคลาวด์ (Cloud Computing) และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) สมรรถนะนักบัญชีในยุคดิจิทัล ได้แก่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ทักษะด้านภาษา และทักษะด้านวิชาชีพมีผลต่อความสำเร็จของงานบัญชีของผู้ทำบัญชีในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 จากการศึกษาจึงสามารถสรุปได้ว่า ความสำเร็จของงานบัญชีของผู้ทำบัญชีนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆ ปัจจัย ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลทางบัญชีในยุคปัจจุบัน ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานบัญชี ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ทำบัญชี เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันช่วยเพิ่มความสะดวกในการทำงาน รวมถึงสมรรถนะของผู้ทำบัญชีที่ต้องมีการประยุต์ใช้เทคโนโลยี มีทักษะด้านภาษา และที่สำคัญที่สุดต้องมีทักษะด้านวิชาชีพ</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/272104
คุณลักษณะของผู้ประกอบการ ส่วนประสมทางการตลาด คุณภาพการบริการ การจัดการนวัตกรรมที่มีผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
2024-12-11T10:24:07+07:00
สุกัญญา รวมภักดีกุล
s63484945095@ssru.ac.th
ณธกร คุ้มเพชร
nathakorn.ku@ssru.ac.th
ธนพล ก่อฐานะ
tanapol.ko@ssru.ac.th
บัณฑิต ผังนิรันดร์
bundit.pu@ssru.ac.th
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับคุณลักษณะของผู้ประกอบการ ส่วนประสมทางการตลาด คุณภาพการบริการ การจัดการนวัตกรรมและความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2) อิทธิพลของคุณลักษณะของผู้ประกอบการ ส่วนประสมทางการตลาด คุณภาพการบริการและการจัดการนวัตกรรมที่มีผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 3) พัฒนารูปแบบความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การวิจัยนี้ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี ในการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี - 60 ปี ขึ้นไป ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จำนวน 440 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบแบบเจาะลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือ ผู้ประกอบการที่เป็นผู้จำหน่ายสินค้าเสริมอาหารที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดนครปฐม จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 18 คน ใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย 1) คุณลักษณะของผู้ประกอบการ ส่วนประสมทางการตลาด คุณภาพการบริการ การจัดการนวัตกรรมและความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยู่ในระดับมาก 2) คุณลักษณะของผู้ประกอบการ ส่วนประสมทางการตลาด คุณภาพการบริการ และการจัดการนวัตกรรมมีผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 3) รูปแบบความสำเร็จ ผู้ประกอบการต้องนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง สร้างสินค้าดีราคาที่สมเหตุสมผลโดยผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณภาพ ระดับมาตรฐานเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสูงสุด</p> <p><strong> </strong></p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275827
บทบาทพระสังฆาธิการในการบริหารกิจการของคณะสงฆ์ไทย กรณีศึกษา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)
2024-12-04T16:55:51+07:00
ปรีชา สาเส็ง
preechasaseng@gmail.com
<p> การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบาทพระสังฆาธิการในการบริหารกิจการของคณะสงฆ์ไทย กรณีศึกษา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) และ 2) เพื่อศึกษาแนวคิด และภาวะผู้นำต่อบทบาทพระสังฆาธิการในการบริหารกิจการของคณะสงฆ์ไทย กรณีศึกษา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ บทบาทพระสังฆาธิการไทยทั้ง 6 ด้าน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย พระสังฆาธิการผู้ปกครองระดับระดับต่าง ๆ ได้แก่ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เลขานุการเจ้าคณะใหญ่ เลขานุการภาค เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด เจ้าหน้าที่สำนักงานกองเลขานุการเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และประชาชนทั่วไป รวมจำนวน 10 รูป/คน ใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือคือ การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก และใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา <br /> ผลการวิจัย พบว่า 1) บทบาทภาวะผู้นำของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่ (1) การปกครองที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในด้านการบริหาร (2) การเปิดโอกาสการศึกษาสำหรับพระภิกษุและสามเณร ทั้งทางโลกและทางธรรม (3) การสนับสนุนการศึกษาตามแนววิถีพุทธและโรงเรียนวิถีพุทธ เพื่อให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการศึกษาพระพุทธศาสนา (4) การสนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในและต่างประเทศ (5) การใช้พื้นที่วัดต่าง ๆ เป็นศูนย์กลางการพัฒนาชุมชน และ (6) การส่งเสริมโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน 2) บทบาทสำคัญของสมเด็จพระพุฒาจารย์ในการเป็นผู้นำที่สร้างสรรค์และมีวิสัยทัศน์ ส่งผลต่อการบริหารกิจการของคณะสงฆ์ไทยอย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาในการพัฒนาตนเองและองค์กรอย่างต่อเนื่อง</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275301
การศึกษาความพึงพอใจของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร SWAG ตําบลไรรา อําเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด
2024-12-25T15:05:22+07:00
รัชดาวรรณ วงศ์คำจันทร์
ratchadawan.w@kkumail.com
นิติพล ภูตะโชติ
ratchadawan.w@kkumail.com
<p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจในปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของผู้ใช้บริการร้านอาหาร SWAG ตำบลไรรา อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของผู้ใช้บริการร้านอาหาร SWAG ตำบลไรรา อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด ที่มี เพศ อายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง เป็นลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร SWAG จำนวน 400 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test F-test และทดสอบความแปรปรวนรายคู่ทางสถิติด้วยวิธี LSD</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ลูกค้ามีความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาดบริการของร้านอาหาร SWAG ในระดับมากที่สุด 6 ด้าน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด บุคคล ลักษณะทางกายภาพ และมีความพึงพอใจระดับมากในด้านกระบวนการ ตามลำดับ 2) ผลการวิเคราะห์ทางสถิติแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญระหว่างปัจจัยประชากรศาสตร์กับความพึงพอใจในแต่ละด้านของส่วนประสมการตลาดบริการ เช่น เพศหญิงมีความพึงพอใจในด้านราคามากกว่าเพศชาย และลูกค้าที่มีรายได้สูงมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์มากกว่า ผลสรุปชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการปรับปรุงการบริการและการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มเพื่อเพิ่มความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีในการใช้บริการ</p> <p><strong> </strong></p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275656
การพัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมประเภทการค้าปลีกในกรุงเทพมหานคร
2024-12-12T15:43:52+07:00
เปรม ธนไตรภพ
phenphak.sa@ssru.ac.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาโมเดลเชิงสาเหตุของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภาคอุตสาหกรรม การค้าปลีก 2) ศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมการตลาด การจัดการเชิงกลยุทธ์และการจัดการองค์ความรู้ที่มีผลต่อผลการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภาคอุตสาหกรรมการค้าปลีก และ 3) นำเสนอแนวทางการวางแผนกลยุทธ์และการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมการค้าปลีก การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการหรือผู้บริหารวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม จำนวน 400 ราย ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย และการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 17 ท่าน ได้แก่ ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการ กลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เจ้าหน้าที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) โมเดลเชิงสาเหตุของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมภาคอุตสาหกรรม การค้าปลีก ได้แก่ ด้านส่วนประสมการตลาด ด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์ ด้านการจัดการความรู้ และผลการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจ 2) อิทธิพลของส่วนประสมการตลาด การจัดการเชิงกลยุทธ์และการจัดการองค์ความรู้ที่มีผลต่อผลการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ภาคอุตสาหกรรมการค้าปลีก มีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อความสำเร็จขององค์กรธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโรงพยาบาลในประเทศไทย ซึ่งค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องของโมเดล และ 3) แนวทางการวางแผนกลยุทธ์และการดำเนินงานของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมการค้าปลีก พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแฝงเชิงสาเหตุ มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจตัวแปรทั้งหมด</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/272971
ศักยภาพในการแข่งขัน ผู้ประกอบการ นวัตกรรมการจัดการ และการฟื้นตัว ที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาในประเทศไทย
2024-12-25T15:03:40+07:00
สุภกร ตันวราวุฒิชัย
s.54127325054@gmail.com
ชัยธนัตถ์กร ภวิศพิริยะกฤติ
supakorn.tu@ssru.ac.th
สิทธิ์ ธีรสรณ์
supakorn.tu@ssru.ac.th
ปิยะพันธุ์ ชะบา
supakorn.tu@ssru.ac.th
<p> งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ศักยภาพในการแข่งขัน ผู้ประกอบการ นวัตกรรมการจัดการ และการฟื้นตัว ที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาในประเทศไทย ในการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการธุรกิจการขายปลีกเครื่องกีฬาในร้านค้าเฉพาะในประเทศไทย จำนวน 300 คน สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย โดยการใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ตัวแบบปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาในประเทศไทย พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาในประเทศไทย มีดังนี้ ศักยภาพในการแข่งขัน ผู้ประกอบการ และการฟื้นตัว โดยสามารถอธิบายถึงความสำเร็จของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาในประเทศไทย ได้ร้อยละ 78.7 เมื่อนำองค์ประกอบทั้งหมดมาทำการสังเคราะห์ผลการวิจัยจะเกิดเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาในประเทศไทย ซึ่งให้ความสำคัญกับตัวแปรศักยภาพในการแข่งขันมากที่สุด ประกอบด้วย สินค้ามีคุณภาพ ภาพลักษณ์ที่ดีจากลูกค้า และอำนาจทางการตลาด สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวแปร การฟื้นตัว ผู้ประกอบการ และนวัตกรรมการจัดการ ในการส่งเสริมความสำเร็จของธุรกิจอุปกรณ์กีฬาในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong> </strong></p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/276185
ความพึงพอใจของประชาชนในการรับชมรายการทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
2024-12-25T15:02:14+07:00
รุ่งรัตนา เจริญจิตต์
roongrattana.j032@outlook.com
ดำเกิง อัศวสุนทรางกูร
roongrattana.09@gmail.com
ปรีชา สาเส็ง
roongrattana.09@gmail.com
<p> วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของประชาชนในการรับชมรายการทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานเพื่อผลิตรายการของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและประชาชนในกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน 400 ราย กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ ทาโร ยามาเน่ ใช้วิธีการเลือกแบบมีสัดส่วนเครื่องมือในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารและบุคลากรจากองค์กรภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติ บุคลากรผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรเอกชนและสถาบันการศึกษา และตัวแทนผู้รับชมรายการทีวีของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมจำนวน 5 ราย โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง และใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ความพึงพอใจในการรับชมรายการของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยพึงพอใจรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ และรายการทั่วไปของสถานีโทรทัศน์ ตามลำดับ และ 2) มีแนวทาง 2 ด้าน ประกอบด้วย (1) แนวทางเพิ่มความพึงพอใจในการรับชมรายการ ได้แก่ ด้านช่วงเวลา ด้านประเภทและรูปแบบรายการข่าว และด้านเทคโนโลยี และ (2) แนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารรายการโทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ</p> <p> </p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275839
แนวทางการพัฒนาธุรกิจชะลอวัยตามมาตรฐานสากลของผู้ประกอบการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2024-12-11T10:20:46+07:00
วีร์กวิน ศิริคุรุรัตน์
vekawin.s051@outlook.com
ทวี แจ่มจำรัส
vekawin.s051@outlook.com
ศมานันทร์ รัตนศิริวิไล
vekawin.s051@outlook.com
ไปรพร แสงจันทร์
vekawin.s051@outlook.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับการพัฒนาธุรกิจชะลอวัยตามมาตรฐานสากลของผู้ประกอบการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล คุณสมบัติของพนักงาน คุณสมบัติของผู้ประกอบการเทคโนโลยี และคุณภาพการให้บริการ 2) ปัจจัยเชิงสาเหตุของคุณสมบัติของพนักงาน คุณสมบัติของผู้ประกอบการ เทคโนโลยี และคุณภาพการให้บริการที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาธุรกิจชะลอวัยตามมาตรฐานสากล และ 3) แนวทางการพัฒนาธุรกิจชะลอวัยตามมาตรฐานสากลของผู้ประกอบการ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสม การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ประกอบการธุรกิจคลินิกสุขภาพชะลอวัย ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ได้รับใบอนุญาต จำนวน 400 ตัวอย่าง สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นเครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง การวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้คือสัมภาษณ์เจาะลึก ได้แก่ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุข ผู้ประกอบการคลินิกสุขภาพชะลอวัยในกรุงเทพมหานคร ผู้ประกอบการคลินิกสุขภาพชะลอวัยในปริมณฑล และ ผู้ใช้บริการคลินิกสุขภาพชะลอวัยรวมทั้งสิ้น 17 คนและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพการให้บริการ คุณสมบัติของพนักงาน การพัฒนาธุรกิจชะลอวัยของผู้ประกอบการ อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนคุณสมบัติของผู้ประกอบประกอบการ และเทคโนโลยี อยู่ในระดับมาก 2) คุณสมบัติของผุ้ประกอบการมีอิทธิพลเชิงสาเหตุรวมต่อการพัฒนาธุรกิจชะลอวัยของผู้ประกอบการมากที่สุด รองลงมาได้แก่ คุณสมบัติของพนักงาน เทคโนโลยี และ คุณภาพการให้บริการตามลำดับ และ 3) แนวทางการพัฒนาธุรกิจชะลอวัยตามมาตรฐานสากลของผู้ประกอบการ ประกอบด้วย การใช้บริการซ้ำโดยบอกต่อ การได้รับมาตรฐานสากล การบริหารการเงิน และการเพิ่มพูนมูลค่าทางเศรษฐกิจ ผลการวิจัยมีประโยชน์ต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุขใช้เป็นแนวทางกำหนดนโยบายในการกำกับดูแลธุรกิจคลินิกชะลอวัยตามมาตรฐานสากลของผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/276484
ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสเงินสด และการกำกับดูแลกิจการที่ส่งผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
2024-12-06T14:53:44+07:00
รุจิรดา ศรีสมบัติ
rujirada.sri@spumail.net
จิรพงษ์ จันทร์งาม
rujirada.sri@spumail.net
<p> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของกระแสเงินสดที่ส่งผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของการกำกับดูแลกิจการที่ส่งผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร การวิจัยนี้เป็นวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากงบการเงินประจำปีและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี ที่มีข้อมูลครบถ้วน จำนวน 54 บริษัท ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2565 ใช้การคัดเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์สถิติ ได้แก่ ค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของตัวแปร และวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐาน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า 1) สัดส่วนการถือหุ้นของกรรมการบริหารของบริษัท (MOWN) ส่งผลกระทบทางบวก ต่อมูลค่าราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 2) ขนาดของคณะกรรมการบริษัท (BSIZE) ส่งผลกระทบทางบวกต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (MC) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/275112
แนวทางการยกระดับทักษะแรงงานในภาคธุรกิจค้าปลีก กรณีศึกษา บริษัทตรีไทยมาร์เก็ต ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น
2024-12-12T15:50:17+07:00
ณัฐนิชาพร ลีพฤติ
nutnichapornl@kkumail.com
อมรวรรณ รังกูล
Nutnichapornl@kkumail.com
<p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประเด็นปัญหาและสาเหตุของปัญหาด้านทักษะแรงงานในภาคธุรกิจค้าปลีก บริษัทตรีไทยมาร์เก็ต ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น และเพื่อเสนอแนวทางการยกระดับทักษะแรงงานในภาคธุรกิจค้าปลีก บริษัท ตรีไทยมาร์เก็ต ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น โดยประยุกต์ใช้แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ คุณลักษณะของแรงงาน การเรียนรู้ของ Kolb และการฝึกอบรม เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูล จำนวน 15 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและความถี่</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ประเด็นปัญหาด้านทักษะแรงงานในภาคธุรกิจค้าปลีก ของบริษัทตรีไทยมาร์เก็ต ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น ที่สำคัญ ได้แก่ 1) ขาดทักษะการจัดการความเครียด 2) ขาดการแก้ไขปัญหาและข้อร้องเรียนให้กับลูกค้า 3) ขาดการบริหารการจัดการสินค้าคงคลัง 4) ขาดความรู้เกี่ยวกับสินค้าและโปรโมชั่น 5) ขาดทักษะด้านเทคโนโลยี และ 6) ขาดทักษะการนำเสนอขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ และได้ทำการเสนอแนวทางการยกระดับทักษะแรงงานในภาคธุรกิจค้าปลีก บริษัท ตรีไทยมาร์เก็ต ในเขตเทศบาลเมืองขอนแก่น ได้แก่ โครงการฝึกอบรมเพื่อยกระดับทักษะแรงงาน หลังจากดำเนินโครงการไปแล้ว 1 เดือน พบว่า พนักงานมีทักษะการทำงานเพิ่มขึ้น ดังนี้ ทักษะด้านการสื่อสารและการบริการลูกค้า เพิ่มขึ้น ร้อยละ 137.50 ทักษะด้านการขาย เพิ่มขึ้น ร้อยละ 150.00 ทักษะด้านการจัดการ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 157.14 ทักษะการบริหารจัดการร้าน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 120.00</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/276505
ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีภาษีอากร
2024-12-06T14:40:29+07:00
มนตรา บุดดีคำ
montra.budde1@outlook.com
ฐิตาภรณ์ สินจรูญศักดิ์
montra.budde1@outlook.com
<p> งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา1) ปัจจัยด้านความรู้ที่ส่งผลต่อคุณภาพการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีภาษีอากร 2) ปัจจัยด้านประสบการณ์จากการทำงานที่ส่งผลต่อคุณภาพการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีภาษีอากร และ 3) ปัจจัยด้านจรรยาบรรณในวิชาชีพที่ส่งผลต่อคุณภาพการสอบบัญชีของผู้สอบบัญชีภาษีอากร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้สอบบัญชีภาษีอากร จำนวน 366 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ใช้สูตรของ ทาโร ยามาเน่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ค่า Tolerance ค่า VIF (Variance Inflation Factor) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ความรู้ที่ส่งผลต่อคุณภาพการสอบบัญชี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ประสบการณ์จากการทำงานที่ส่งผลต่อคุณภาพการสอบบัญชี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) จรรยาบรรณของผู้สอบภาษีอากรที่ส่งผลต่อคุณภาพการสอบบัญชี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ความรู้ ประสบการณ์จากการทำงาน และจรรยาบรรณในวิชาชีพ มีความสัมพันธ์ต่อคุณภาพการสอบบัญชี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีความสัมพันธ์กันไปในทิศทางบวก</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/272105
Entrepreneurship Course, Absorption Capacity, Personal willing, Affecting the Entrepreneurial Ability of Vocational College Students Yunnan in The People's Republic of China: Moderating the Effects of Social Experiences
2024-12-11T10:26:18+07:00
Yongrui Chen
kesorn.ch@ssru.ac.th
Tanapol Kortana
s62484945016@ssru.ac.th
Bundit Pungnirund
s62484945016@ssru.ac.th
Nattapong Techarattanased
s62484945016@ssru.ac.th
Chutima Klaysung
s62484945016@ssru.ac.th
<p> This paper aims 1) to study the level of satisfaction in marketing mix factors among The research objectives are 1) To study the level of Entrepreneurship Courses, Absorption Capacity, Personal Willingness, and Entrepreneurial ability of Yunnan Vocational College, People's Republic of China 2) To study the level of influence of Entrepreneurship Courses, Absorption Capacity, Personal Willingness that affects Entrepreneurial Ability and 3) To create a causal model of variables that have a causal influence on Entrepreneurship Ability of students of Yunnan Vocational College, People's Republic of China. The sample group is 380 entrepreneurs who were students at the Yunnan Provincial Vocational College<strong>. </strong>This research uses a combined research method between quantitative research and qualitative research.<strong> </strong>in quantitative research. The sample group is entrepreneurs who were students at the Yunnan Provincial Vocational College Number of samples: 380. The sample size was determined using a criterion of 20 times the observed variables. A multi-stage random sampling method was used and a questionnaire was used to collect data. Data were analyzed using structural equation modeling. The qualitative research used in-depth interviews. The main group of informants is Entrepreneurial ability of vocational college students Yunnan Number of 20 people.</p> <p> The research results found that 1) Entrepreneurship Courses, Absorption Capacity, Personal Willingness and Entrepreneurial Ability of Yunnan Vocational College, People's Republic of China at a high level. 2) Entrepreneurship Course, Absorption Capacity, Personal Willingness that affects Entrepreneurial Ability of students of Yunnan Vocational College, People's Republic of China Statistically and 3). Causal models of variables that have a causal influence on Entrepreneurship Ability of Yunnan Vocational College Students, People's Republic of China The researcher developed the name EPAE Model (E- Entrepreneurship Courses, P = Persona willing, A= Absorption Capacity, E= Entrepreneurial Ability)</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/SSRUJPD/article/view/264380
การพัฒนาทุนทางสังคม: สมุนไพรเเช่เท้าสำเร็จรูป เพื่อลดระดับอาการชาในผู้ป่วยเบาหวานในชุมชนบ้านหนองโอน อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี
2023-12-14T10:05:20+07:00
วัธชัย บุญเสนอ
pongtheboy003@gmail.com
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ ปัญหาและความต้องการผลิตภัณฑ์สมุนไพรแช่เท้าลดอาการชาเท้าในผู้ป่ายเบาหวาน 2.เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรแช่เท้าสำเร็จรูปลดอาการชาเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน 3.เพื่อเปรียบเทียบระดับอาการชาเท้าในผู้ป่วยเบาหวาน 4.เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้ป่วยเบาหวาน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-Experimental Research) กลุ่มการศึกษาครั้งนี้คือผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีอาการชาเท้าที่มารับบริการที่โรงเรียนการแพทย์แผนไทยอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี จำนวน 30 คน ซึ่งมีเกณฑ์การคัดกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง โดยเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2565 - กุมภาพันธ์ 2566 จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( x̅ ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ Paired Samples T-test</p> <p> เมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการทดลองใช้ผลิตภัณฑ์แสดงให้เห็นว่าระดับอาการชาเท้าหลังการแช่เท้า (วันที่60 ) ระดับอาการชาเท้าทั้งซ้ายและขวาลดลงเมื่อเทียบกับก่อนการแช่เท้า (วันที่30 ) ซึ่งจากการวิเคราะห์ทางสถิติพบว่าระดับอาการชาเท้าทั้ง 2 ข้างก่อนและหลังการแช่เท้าพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับดีมากที่สุด (x̅ = 4.82) เมื่อพิจารณารายข้อพบว่าระดับความพึงพอใจต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ลำดับที่ 1 คือผลิตภัณฑ์สมุนไพรแช่เท้าสำเร็จรูปมีความสะดวกต่อการใช้งานได้มีระดับความพึงพอใจต่อการใช้ผลิตภัณฑ์มากที่สุด (x̅ =4.90)</p> <p> การวิจัยในครั้งนี้จะได้นำเอาการนำเอาต้นทุนทางธรรมชาติมีอยู่ในชุมชนได้แก่ ขมิ้น ตะไคร้ ผิวมะกรูด ข่า ว่านนางคำ เถาเอ็นอ่อน ไพล เกลือ สารส้ม พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรแช่เท้าสำเร็จรูปที่มีประสิทธิภาพลดอาการชาในผู้ป่ายเบาหวาน และเป็นแนวทางในพัฒนาต้นทุนทางสังคมสร้างผลิตภัณฑ์สมุนไพรแช่เท้าสำเร็จรูปในการช่วยลดอาการชาในผู้ป่ายเบาหวานเพื่อคุณประโยชน์ของคนในชุมชน</p>
2024-12-31T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา