https://so04.tci-thaijo.org/index.php/THlanglit/issue/feed
วารสารภาษาและวรรณคดีไทย
2024-12-27T17:12:59+07:00
Thaneerat Jatuthasri
THlanglitjournal@gmail.com
Open Journal Systems
<p><em> วารสารภาษาและวรรณคดีไทย</em> เป็นวารสารวิชาการด้านมนุษยศาสตร์ของศูนย์วิจัยภาษาและวรรณคดีไทย ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกตีพิมพ์เผยแพร่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านภาษาไทย วรรณคดีไทย วรรณกรรมไทย คติชนวิทยา รวมทั้งศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาษาศาสตร์ มานุษยวิทยา การเรียนการสอนภาษาไทย และภาษาต่างประเทศที่สัมพันธ์กับภาษาไทย</p> <p><em> วารสารภาษาและวรรณคดีไทย</em> อยู่ใน TCI กลุ่มที่ 2 (ปี 2565-2567) เป็นวารสารราย 6 เดือน เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม) <em>กองบรรณาธิการวารสารภาษาและวรรณคดีไทย</em> ยินดีรับพิจารณาต้นฉบับผลงานวิชาการในศาสตร์สาขาดังกล่าวข้างต้น ที่เป็นบทความวิจัย บทความวิชาการ บทความปริทัศน์ และบทปริทัศน์หนังสือ ซึ่งเขียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ผลงานที่ส่งมาให้วารสารพิจารณาตีพิมพ์ต้องไม่เคยพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการฉบับใดมาก่อน และต้องไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารอื่น </p> <p> บทความที่ส่งมาให้<em>วารสารภาษาและวรรณคดีไทย</em>พิจารณาตีพิมพ์ จะได้รับการกลั่นกรองคุณภาพแบบไม่เปิดเผยตัวตนสองทาง (double-blind peer review) โดยผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 3 คน ซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขานั้นหรือสาขาที่เกี่ยวข้อง ผลการพิจารณาจากกองบรรณาธิการถือเป็นที่สุด</p> <p> <strong><em>วารสารภาษาและวรรณคดีไทย</em>ไม่มีนโยบายเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ จากผู้เขียนบทความในทุกขั้นตอนของกระบวนการพิจารณาและตีพิมพ์เผยแพร่</strong><br /><br /> ทั้งนี้ ตั้งแต่ปีที่ 38 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2564) วารสารภาษาและวรรณคดีไทยได้ยกเลิกการจัดพิมพ์รูปเล่มและดำเนินการเผยแพร่ในรูปแบบออนไลน์เท่านั้น<br /><br /> ISSN 0857 - 037X (Print)<br /> ISSN 2773 - 9872 (Online)</p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/THlanglit/article/view/276975
บทบรรณาธิการ
2024-12-27T14:05:33+07:00
ชัยรัตน์ พลมุข
chairat.polmuk@yahoo.com
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารภาษาและวรรณคดีไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/THlanglit/article/view/277004
คอลัมน์ประจำฉบับ
2024-12-27T16:42:06+07:00
ชัยรัตน์ พลมุข
chairat.polmuk@yahoo.com
อัสนี พูลรักษ์
Assanee.P@chula.ac.th
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารภาษาและวรรณคดีไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/THlanglit/article/view/268921
เรื่องสุบินกุมาร (រឿងសុបិនកុមារ ): การศึกษาในมุมมองพุทธศาสนาแบบพื้นถิ่น
2023-11-18T12:34:51+07:00
ณัฐวุฒิ แสงพันธ์
ire.nattawut@gmail.com
ใกล้รุ่ง อามระดิษ
aklairung@hotmail.com
<p>บทความนี้มุ่งศึกษา <em>เรื่องสุบินกุมาร</em> (រឿងសុបិនកុមារ) ฉบับของพุทธศาสน-บัณฑิตย์ ประเทศกัมพูชา ในแง่แนวคิดเรื่องอานิสงส์บวชกับความเป็นพุทธศาสนาแบบพื้นถิ่น (vernacular religion) โดยนำแนวคิดเรื่อง “อานิสงส์” และ “อัตถะ” มาวิเคราะห์ร่วมกับองค์ประกอบทางวรรณคดี ผลการศึกษามีข้อเสนอว่า<em>เรื่องสุบินกุมาร </em>นำเสนอแนวคิดสำคัญเรื่องอานิสงส์บวชว่าสามารถช่วยพ่อแม่ให้พ้นจากนรก แล้วไปเกิดบนสวรรค์ได้ ผ่านกลวิธีสำคัญ ได้แก่ การสร้างเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากความขัดแย้งเรื่องการบวชระหว่างแม่กับลูก การพรรณนาฉากสวรรค์ และบทพูดยืนยันของพ่อแม่ภายหลังได้รับประโยชน์จากการบวชของลูก พร้อมทั้งยังนำเสนอแนวคิดรองเรื่องการบวชเป็นประโยชน์สูงสุด ผ่านการใช้สัญลักษณ์อันสื่อถึงคติธรรมและบทคร่ำครวญของตัวละครแม่ ผลการศึกษายังพบอีกว่า <em>เรื่องสุบินกุมาร</em> มีกระบวนการปรับให้เป็นวรรณกรรมพุทธศาสนาแบบพื้นถิ่นใน 3 กระบวนการสำคัญ ได้แก่ <br />1) การประมวลองค์ประกอบจากวรรณคดีพุทธศาสนาและเรื่องเล่าในท้องถิ่น <br />2) การตีความเรื่องการบวชว่าเป็นบุญและการเชื่อมโยงเรื่องกรรมกับระบบครอบครัว และ 3) การสร้างความน่าเชื่อถือและโน้มน้าวใจโดยใช้กลวิธีการประพันธ์แบบวรรณคดีพุทธศาสนา <em>เรื่องสุบินกุมาร</em> สะท้อนลักษณะความเป็นวรรณกรรมเฉพาะถิ่นในการให้คุณค่าเกี่ยวกับการบวชว่าเป็นหนทางในการได้รับการศึกษาและตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ตลอดจน <em>เรื่องสุบินกุมาร</em> ยังได้รับการจัดเป็นแบบอย่างความประพฤติสำหรับสามเณรในสังคมวัฒนธรรมเขมร</p>
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารภาษาและวรรณคดีไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/THlanglit/article/view/270095
อนุกรมวิธานพื้นบ้านเกี่ยวกับ “ว่านไสยเวช” กับความเชื่อและพิธีกรรมในสังคมอีสานร่วมสมัย
2024-02-03T00:55:11+07:00
ชวพันธุ์ เพชรไกร
feducpp@ku.ac.th
ปรมินท์ จารุวร
poramin_jaruworn@yahoo.com
<p>บทความวิจัยนี้มุ่งศึกษาวิธีคิดในการจัดอนุกรมวิธานพื้นบ้านเกี่ยวกับ “ว่านไสยเวช” ในสังคมอีสาน และวิเคราะห์การสืบทอดความเชื่อและพิธีกรรม รวมทั้งบทบาทของว่านดังกล่าว ด้วยกรอบแนวคิดทางคติชนวิทยา เก็บข้อมูลภาคสนามระหว่างปี 2564-2566 ผลการศึกษาพบว่าหมอพื้นบ้านและนักสะสมว่านในอีสานมีวิธีคิดในการจัดประเภท “ว่านไสยเวช” อย่างเป็นระบบในฐานะที่เป็น “ยา” และ “อาคม” โดยใช้ความรู้เชิงประจักษ์ในการสร้างความหมายและจัดลำดับชั้นของว่านชนิดต่าง ๆ ซึ่งองค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดประเภท “ว่านไสยเวช” สัมพันธ์กับการสืบทอดความเชื่อและพิธีกรรม ทั้งพิธีกรรมการหาว่าน พิธีกรรมที่ใช้ว่านรักษาความเจ็บป่วย และพิธีกรรมที่นำว่านมาทำเป็นวัตถุมงคล อนุกรมวิธานพื้นบ้านรวมทั้งความเชื่อและพิธีกรรมเหล่านี้มีบทบาทในการรักษา<br />ความเจ็บป่วย เป็นที่พึ่งทางจิตใจ เป็นแบบแผนควบคุมพฤติกรรมของคนอีสาน ช่วยสร้างเครือข่ายความรู้ของผู้ปลูกว่าน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบทบาทในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ธุรกิจความเชื่อในบริบทเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การศึกษานี้จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางในการศึกษาเกี่ยวกับคติชนพืช (Plant Lore) ได้ต่อไปในอนาคต</p>
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารภาษาและวรรณคดีไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/THlanglit/article/view/273490
สารัตถะของกาพย์เห่เรือ
2024-08-01T16:04:05+07:00
ธีรพัฒน์ พูลทอง
tirapat.poolthong@gmail.com
<p>กาพย์เห่เรือเป็นวรรณคดีที่ได้รับการสร้างสรรค์และพัฒนาสืบทอดมายาวนาน ปรากฏหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ สารัตถะของกาพย์เห่เรือเปลี่ยนแปลงไปตามจุดมุ่งหมายของกวีในแต่ละบริบทกับช่วงเวลา การสร้างสรรค์บทเห่ในระยะแรก คือ ตั้งแต่พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรมาจนถึงพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นในทำนองบทนิราศ เพื่อสำเริงอารมณ์ การนำกาพย์เห่มาประยุกต์ใช้กับเรือพระราชพิธีเพื่อจุดประสงค์ ทางพิธีกรรม เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การพระราชพิธีลอยพระประทีป โดยได้นำพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรมาใช้ ขณะทรงบูชาพระรัตนตรัยและจุดพระประทีป ต่อมาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จึงได้จัดให้มีการเห่เรือพระราชพิธีเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ เผยแพร่สู่สายตาประชาชนเป็นครั้งแรกในงานพระบรมราชาภิเษกสมโภช พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นับแต่นั้นมา สารัตถะของกาพย์เห่เรือ จึงได้พัฒนามาเป็นบทสรรเสริญพระเกียรติพระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์ สืบเนื่องมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยมุ่งนำเสนอพระราโชบายด้านการปกครอง ซึ่งมีมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การเชิดชูชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันหลักของชาติไทยสืบมาจนถึงปัจจุบัน </p>
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารภาษาและวรรณคดีไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/THlanglit/article/view/276098
“หอมดอกราตรี แม้ไม่สดสี หอมดีน่าดม”
2024-12-20T13:22:06+07:00
อธิพร ประเทืองเศรษฐ์
athiporn23@gmail.com
<p>ราตรีประดับดาวเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ของ ว.วินิจฉัยกุล ที่มีตัวละครเอกเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การนำเสนอแนวคิด “กุลสตรี” อันเป็นแนวคิดหลักของนวนิยายเรื่องนี้ การวิเคราะห์องค์ประกอบวรรณกรรมของนวนิยายเรื่องนี้สรุปได้ว่า “กุลสตรี” ในนวนิยายเรื่องนี้ หมายถึง ผู้หญิงที่ไม่ต้องมีชาติตระกูลดี แต่ต้องเป็นผู้หญิงที่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีความประพฤติดี สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ว.วินิจฉัยกุล นำเสนอแนวคิดดังกล่าวด้วยกลวิธีสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ 1. การสร้างตัวละครคู่เปรียบ ระหว่างเกดผู้เป็นนางเอก และเนื้อทองผู้เป็นนางร้าย และ 2. การสร้างปมปัญหาและการคลี่คลายปมปัญหา ซึ่งปมปัญหาสำคัญของเรื่องมี 2 เหตุการณ์หลัก คือ การนอกใจของสามีเกด และการตัดสินใจทางการเมืองในเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่ทำให้นาถสามีของเกดตัดสินใจได้ว่าใครคือผู้หญิงที่เขาควรใช้ชีวิตอยู่ด้วย ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ในแง่หนึ่ง ลักษณะ “กุลสตรี” ที่นำเสนอในนวนิยายเรื่องราตรีประดับดาว เป็นแนวคิดที่แตกต่างจากแนวคิดกุลสตรีในอดีต เนื่องจากผู้ประพันธ์ไม่ได้นิยามว่าผู้หญิงดีจะต้องมีชาติตระกูลที่ดีจึงจะได้ชื่อว่าเป็นกุลสตรี เช่นเดียวกับเกด ลูกของชาวบ้านเมืองเพชรบุรีที่ไม่ได้มีชาติตระกูลใหญ่โต แต่หากเป็นผู้หญิงที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครอบครัวและเป็นผู้ประพฤติตนดี ก็ได้ชื่อว่าเป็นกุลสตรีได้ ในขณะเดียวกันการนิยามคำว่า “กุลสตรี” ผ่านนวนิยายเรื่องนี้ก็เป็นการผลิตซ้ำแนวคิดกุลสตรีตามขนบผู้หญิงดีที่ยังคงยึดติดกับจริยธรรมจรรยาบางประการ เช่น ผู้หญิงดีต้องเป็นศรีภรรยาที่ดี ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อสามี เป็นแม่ที่ดีที่ต้องนึกถึงลูกก่อนความรู้สึกของตัวเอง เป็นต้น โดยนัยนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า แนวคิดกุลสตรีในนวนิยายเรื่องราตรีประดับดาวเป็นแนวคิดที่ “ก้าวหน้าอยู่ในกรอบ”</p>
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารภาษาและวรรณคดีไทย