วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ
<p>วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มนุษยศาสตร์และสัมคมศาสตร์ ได้ผ่านการรับรองคุณภาพรอบที่ 5 พ.ศ. 2568 – 2572 จัดอยู่ในฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย TCI 2 กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้จัดทำเป็น 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบตีพิมพ์ (Print) หมายเลข ISSN 3057-1766 (Print) และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ISSN 3057-1855 (Online) ที่พิมพ์เผยแพร่ บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 3 ท่าน หลากหลายสถาบัน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-Blind Review) </p> <p>Published Rate (อัตราค่าตีพิมพ์) 6,000 บาท โดยทางวารสารจะเรียกเก็บเมื่อผ่านการตรวจความซ้ำซ้อน ผ่านกระบวนการพิจารณาจากกองบรรณาธิการ และเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความ</p>
มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
th-TH
วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
3057-1766
-
The Impact of Audiobook Reading at The College in Shanxi Province, China
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282098
<p>This article aimed to explore the current state and impact of audiobook reading among college students in Shanxi Province, China. The objective is to promote the transition from "superficial reading" to "deep reading." A mixed-method research approach was adopted. The data collection was gathered through a total of 803 valid questionnaire responses and in-depth interviews with 16 participants from eight universities in Shanxi Province, China. The results showed that perceived ease of use and subjective norms have a positive impact on college students' audiobook reading behavior, whereas risk perception has a negative effect</p>
Lei Jin
A. K. Mahbubul Hye
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
1
8
-
The Mechanisms of Social Media Influence on Innovation and Entrepreneurship among University Students in Shanxi, China
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/281809
<p>This study aimed to study universities’ students in innovation and entrepreneurship in Shanxi Province, China. As the research objectives to determine the factors that social media should have to improve the innovation and entrepreneurship ability. With analyze the key entrepreneurial and innovation competencies among university students, and also to investigate the effect social media on the promotion of university students' innovation and entrepreneurship ability. The study identified the important influencing factors of social media content that affect university students' innovation and entrepreneurship. Combining theory and interview analysis with mixed research method. Quantitative method which questionnaire surveys 466 valid questionnaires were analyzed for data analysis, and Qualitative method which 25 experts from 5 colleges were collected as dept-interview as well. At the results in qualitative method, domains of interview are the main points supported research objectives clearly in qualitative method that Social Media have to improve the innovation and entrepreneurship ability. And the results in quantitative method, Independent variables as Social Media, Media literacy, and Content usage factors have average value in correlation (r) at p-value <0.05 at high in relate to dependent variable on social usage factors. Finally, this study proposes research suggestions that schools should improve the innovation and entrepreneurship capabilities of Shanxi college students through course education and practical help from the knowledge information, case experience, entrepreneurial resources, personal network, entrepreneurial channels, content-based use, and social-based use of social media. For research in future should to search to factors affecting innovation and entrepreneurial performance will be more worldwide.</p> <p> </p>
Yimin Li
A.K. Mahbubul Hye
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
9
22
-
แนวทางการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษของผู้นำทางการศึกษาในยุคดิจิทัล ในเขตพื้นที่การศึกษาที่กำหนดในภาคเหนือ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282440
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการใช้ทักษะภาษาอังกฤษของผู้นำ ทางการศึกษาในยุคดิจิทัลในเขตพื้นที่ภาคเหนือ 2) ศึกษาความต้องการในการใช้ทักษะภาษาอังกฤษ และ 3) ศึกษาแนวทางพัฒนาทักษะดังกล่าว กลุ่มผู้ให้ข้อมูลคือผู้บริหารสถานศึกษา 10 คน และครูผู้สอนภาษาอังกฤษ 13 คน คัดเลือกแบบเจาะจง ใช้การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการจัดระเบียบและพรรณนาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้บริหารสถานศึกษามีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษจำกัด ส่วนใหญ่ใช้เพื่ออ่านเอกสารหรือข่าวสาร ขณะที่ครูผู้สอนใช้ภาษาในบริบทที่หลากหลายทั้งการสอน และกิจกรรมส่งเสริม 2) ผู้บริหารต้องการพัฒนาทักษะการฟังและการพูดมากที่สุด ส่วนครูผู้สอนต้องการพัฒนาทักษะการพูด 3) แนวทางการพัฒนาควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสถานศึกษาและหน่วยงานต้นสังกัดโดยเน้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและติดตามผลได้ เช่น การจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมของครูอย่างแท้จริง ซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้บริหารระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาในการเสริมทักษะภาษาอังกฤษเพื่อรองรับบริบทการศึกษายุคดิจิทัล</p>
กันตา พันธ์กนกพงศ์
ศิริพร เสริตานนท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
23
36
-
การพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล สำหรับผู้ใหญ่ในชุมชนท่องเที่ยว
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/280110
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์สมรรถนะและตัวชี้วัดการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล และ (2) พัฒนาโปรแกรมส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ (1) ผู้ใหญ่จากชุมชนท่องเที่ยว จำนวน 300 คน (2) ผู้ใหญ่จากชุมชนท่องเที่ยวตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 30 คน (3) ผู้นำชุมชนและผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ จำนวน 7 คน และ (4) ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานรัฐและเอกชน จำนวน 6 คน ใช้สถิติการวิเคราะห์ความต้องการจำเป็น การวิเคราะห์เนื้อหา ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) สมรรถนะการรู้เท่าทันสื่อฯ แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ การเข้าถึง การวิเคราะห์ การประเมินค่า การสร้างสรรค์ และการใช้ประโยชน์ โดยระดับสมรรถนะเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง (𝑋̅=3.33, SD=0.15) ขณะที่ความต้องการทักษะอยู่ในระดับมาก (𝑋̅=3.77, SD=0.58) และ 2) โปรแกรมส่งเสริมการรู้เท่าทันสื่อฯ ที่พัฒนาขึ้น มีกระบวนการหลัก 3 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผน 2) การออกแบบและการนำโปรแกรมไปฏิบัติ 3) การประเมินผล องค์ประกอบของโปรแกรม ประกอบด้วย 1) หลักการและเหตุผล 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหาสาระ 4) ผู้เรียน 5) ผู้สอน 6) วิธีการเรียนรู้ 7) กระบวนการจัดกิจกรรม 8) กิจกรรมการเรียนรู้ 9) สื่อการเรียนรู้ 10) การวัดและการประเมินผล และผลการทดลองใช้โปรแกรม พบว่า หลังการเข้าร่วมโปรแกรมมีคะแนนความรู้สูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p> </p>
จุมพล นันทศิริพล
วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา
สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
37
52
-
ความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับองค์กรภายนอกเพื่อพัฒนาทักษะกำลังคนในประเทศด้านการท่องเที่ยว
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/280682
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันของความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับองค์กรภายนอกเพื่อพัฒนาทักษะกำลังคนในประเทศไทยด้านการท่องเที่ยว และ 2) วิเคราะห์แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับองค์กรภายนอกเพื่อพัฒนาทักษะกำลังคนในประเทศไทยด้านการท่องเที่ยว เป็นการวิจัยเชิงบรรยาย (Descriptive Research) ศึกษาสถาบันอุดมศึกษาในไทยที่สอนด้านการท่องเที่ยว 56 สถาบัน เก็บข้อมูลจากการวิเคราะห์เอกสาร และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกสถาบันที่มีความเป็นเลิศในประเทศไทย 10 สถาบัน และต่างประเทศ 10 สถาบัน ผลการวิจัยพบว่า 1) จำแนกความร่วมมือเป็น 10 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตร การฝึกประสบการณ์วิชาชีพ การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาวิชาชีพและการศึกษาต่อเนื่อง การให้บริการด้านการให้คำปรึกษา นวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ การส่งเสริมการตลาดและการขาย การพัฒนาและบูรณาการเทคโนโลยี ความร่วมมือระหว่างประเทศและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และความร่วมมือด้านผู้นำการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งความร่วมมือเหล่านี้ช่วยพัฒนาทักษะของนักศึกษา และผู้ที่ทำงานในอาชีพนี้ให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว 2) เมื่อวิเคราะห์แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศแล้วพบว่า หลักการความร่วมมือ ควรวางแผน ทำตามแผนที่กำหนด สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรภายในและต่างประเทศ โครงสร้างและกลไกความร่วมมือ ควรตั้งเป้าหมายที่เน้นประโยชน์ของนักศึกษา สถาบัน และประเทศชาติ ทรัพยากรที่ใช้สนับสนุนความร่วมมือ ได้แก่ บุคลากร ทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา เงินสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาชุมชน และสถานที่ให้ลงมือปฏิบัติจริง กระบวนการดำเนินการความร่วมมือควรสร้างเครือข่ายร่วมกับองค์กรต่าง ๆ มีโครงการแลกเปลี่ยนอาจารย์ และนักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ</p>
ณีชรีย์ธร สุวรรณรงค์
อรุณี หงษ์ศิริวัฒน์
วราภรณ์ บวรศิริ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
53
66
-
การกำกับดูแลกิจการส่งผลต่อผลการดำเนินงานและประสิทธิภาพเชิงตลาด ของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากรที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/281082
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกำกับดูแลกิจการที่ส่งผลต่อ (1) ผลการดำเนินงานของบริษัท และ (2) ประสิทธิภาพเชิงตลาดของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากรที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งใช้ข้อมูลทุติยภูมิที่เก็บรวบรวมจากบริษัทจดทะเบียน 52 บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร ครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี ทำให้ได้ข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ทั้งหมด 260 ตัวอย่าง <br />ซึ่งได้มาจากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา เช่น ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ <br />ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่าการกำกับดูแลกิจการมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อผลการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Return on Assets (ROA) และ Net Profit Margin (NPM) นอกจากนี้ การกำกับดูแลกิจการยังมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานทางการตลาด โดยเฉพาะในด้านอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าตามบัญชี (M/B Ratio) อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) และอัตราการเติบโตของรายได้ (Revenue Growth) การค้นพบเหล่านี้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของกลไกการกำกับดูแลกิจการที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างประสิทธิภาพทั้งในด้านการดำเนินงานและการตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร</p>
ณัฐณิชา อินทรธรรม
พรทิวา แสงเขียว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
67
80
-
การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงและการสื่อสารแบบบอกต่อที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือก ดูซีรีส์วายของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/281237
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ปัจจัยการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกดูซีรีส์วาย และ (2) ปัจจัยการสื่อสารแบบบอกต่อที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกดูซีรีส์วายของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในกรุงเทพมหานครที่ดูซีรีส์วาย จำนวน 385 ตัวอย่างใช้วิธีการคำนวณของ Cochran (1977) และใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ที่ 0.67-1.00 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัคอยู่ระหว่าง 0.850-0.942 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลวิจัยเป็นแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณด้วยวิธี Enter ผลการวิจัยพบว่า (1) ปัจจัยการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงด้านความดึงดูดใจ ด้านความไว้วางใจ และด้านความเหมือนกับกลุ่มเป้าหมายมีผลต่อการตัดสินใจเลือกดูซีรีส์วาย แต่การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียงด้านความชำนาญ และด้านความเคารพไม่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกดูซีรีส์วาย มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.437-0.628 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคุณ (R) เท่ากับ 0.654 และมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R<sup>2</sup>) มีอำนาจในการพยากรณ์รวมเท่ากับร้อยละ 0.428 และ (2) ปัจจัยการสื่อสารแบบบอกต่อด้านข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ด้านการให้คำแนะนำ และด้านการบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัวมีผลต่อการตัดสินใจเลือกดูซีรีส์วาย มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.580-0.687 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.792 และมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R<sup>2</sup>) มีอำนาจในการพยากรณ์รวมเท่ากับร้อยละ 0.532</p> <p> </p>
ณัฐมณ โชคเจริญ
วรพหล แสงเทียน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
81
94
-
อัตลักษณ์ในตราสินค้า การรับรู้รสชาติ และความผูกพันในตราสินค้าที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อซ้ำของผู้บริโภค กรณีศึกษาธุรกิจกาแฟของ ร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพมหานคร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282656
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตลักษณ์ในตราสินค้า การรับรู้รสชาติ และความผูกพันในตราสินค้าที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อซ้ำของผู้บริโภค กรณีศึกษาธุรกิจกาแฟของร้านสะดวกซื้อในกรุงเทพมหานคร รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครที่ซื้อกาแฟในร้านสะดวกซื้อ จำนวน 385 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการวิเคราะห์การถดถอยพหุคุณด้วยวิธี Enter ผลการวิจัยพบว่า อัตลักษณ์ในตราสินค้า การรับรู้รสชาติ และความผูกพันในตราสินค้ามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อซ้ำของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาธุรกิจกาแฟในร้านสะดวกซื้อ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.526-0.679 มีค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.685 และมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์รวมเท่ากับร้อยละ 46.90 (R<sup>2</sup>=0.469) ซึ่งจากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า อัตลักษณ์ในตราสินค้าสามารถสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสในพฤติกรรมการซื้อซ้ำและการแนะนำต่อให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้การรับรู้รสชาติและความผูกพันในตราสินค้าที่เป็นปัจจัยในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดก็สามารถนำไปสู่พฤติกรรมการซื้อซ้ำในระดับที่สูงขึ้น</p> <p> </p> <p> </p>
ธัญนันท์ บุญอยู่
สุชารัตน์ บุญอยู่
น้ำผึ้ง ปัถวี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
95
110
-
การตัดสินใจเลือกโฮสเทลในกรุงเทพฯ: อิทธิพลนโยบายของภาครัฐ ความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ ความสามารถทางการตลาด และความสามารถทางบริการ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282295
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาถึง นโยบายภาครัฐ ความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ ความสามารถทางการตลาด ความสามารถทางการบริการ และการตัดสินใจใช้บริการโฮสเทลในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) วิเคราะห์อิทธิพลของนโยบายภาครัฐ ความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ ความสามารถทางการตลาด และความสามารถทางการบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการโฮสเทล ในเขตกรุงเทพมหานคร เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้บริการโฮสเทล จำนวน 385 ราย การสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น ด้วยวิธีแบบเจาะจงการวิเคราะห์ข้อมูล โดยสถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิง ได้แก่ การวิเคราะห์ การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) นโยบายภาครัฐ ความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ ความสามารถทางการตลาด ความสามารถทางการบริการ และการตัดสินใจใช้บริการโฮสเทลในเขตกรุงเทพมหานคร มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และ 2) การตัดสินใจใช้บริการโฮสเทล ในเขตกรุงเทพมหานคร ขึ้นอยู่กับอิทธิพล ความสามารถในการปรับตัวของธุรกิจ ความสามารถทางการบริการ ความสามารถทางการตลาด และนโยบายภาครัฐ ด้วยค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพลมาตรฐานเท่ากับ 0.364, 0.287, 0.152 และ 0.104 ตามลำดับโดยตัวแปรทั้งหมดสามารถร่วมทำนายการตัดสินใจใช้บริการได้ร้อยละ 54.6 (Adjusted R² = 0.546) โดยมีค่า Durbin-Watson เท่ากับ 1.849</p>
นภาภรณ์ อุ่นปรีชาวณิชย์
หรรษา สันติวิไลลักษณ์
ปิยธิดา เปี่ยมงาม
จิรภา งามสุทธิ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
111
126
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีของสถานประกอบการขนาดเล็กในเขตอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282418
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีของสถานประกอบการขนาดเล็กในเขตอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีจำแนกตามประเภท ทุนจดทะเบียน และรายได้ต่อปีของสถานประกอบการขนาดเล็ก ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานประกอบการขนาดเล็กในเขตอำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี จำนวน 400 แห่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า f-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ผลการวิจัย พบว่า 1) ระดับปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีของสถานประกอบการขนาดเล็ก อันดับแรก คือ ด้านความสามารถในการทำงาน ( = 4.52) รองลงมา ด้านลักษณะการใช้งาน ( = 4.35) ด้านความปลอดภัย ( = 4.27) ด้านผู้ขายและการให้บริการหลังการขาย ( = 4.18) และด้านราคา( = 4.15) ตามลำดับ 2) ประเภทของสถานประกอบการขนาดเล็กที่แตกต่างกันมีผลต่อปัจจัยในการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีแตกต่างกันด้านราคา ด้านลักษณะการใช้งาน ด้านความสามารถในการทำงาน และด้านความปลอดภัย ทุนจดทะเบียนของสถานประกอบการขนาดเล็กที่แตกต่างกันไม่มีผลต่อปัจจัยในการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีแตกต่างกันในทุกด้าน และรายได้ของสถานประกอบการขนาดเล็กที่แตกต่างกันมีผลต่อปัจจัยในการเลือกใช้โปรแกรมบัญชีแตกต่างกันด้านราคา ด้านลักษณะการใช้งาน และด้านความสามารถในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong> </strong></p> <p> </p>
นุชษรา พึ่งวิริยะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
127
142
-
อิทธิพลของอัตราส่วนโครงสร้างทางการเงินและอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ส่งผลต่อมูลค่าธุรกิจของกลุ่มบริษัทธุรกิจอุปโภคบริโภค ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/281345
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของอัตราส่วนโครงสร้างทางการเงินและอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ส่งผลต่อมูลค่าธุรกิจของกลุ่มบริษัทธุรกิจอุปโภคบริโภคที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณที่ได้ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นกลุ่มบริษัทธุรกิจอุปโภคบริโภคที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 200 ตัวอย่าง รวบรวมข้อมูลทางการเงินจากบริษัทที่มีการประกอบกิจการในกลุ่มธุรกิจอุปโภคบริโภค ระหว่างปี 2063-2567 การศึกษาครั้งนี้ใช้สถิติโดยวิธีการถดถอย (Regression Analysis) เพื่อตรวจสอบปัจจัยที่เป็นตัวแปรอิสระ ได้แก่ อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (D/E) อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (DTAR) อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (EBIT) อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (OPM) อัตรากำไรสุทธิ (NPM) อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) กับตัวแปรตามที่เป็นตัวบ่งชี้มูลค่าของบริษัท เช่น อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (P/E) อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (P/BV) อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) ผลการศึกษาพบว่า อัตราส่วนโครงสร้างทางการเงินและอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรส่งผลต่อมูลค่าของบริษัทของกลุ่มบริษัทธุรกิจอุปโภคบริโภคที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)</p> <p> </p>
เนติภูมิ อักษรดี
จิรพงษ์ จันทร์งาม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
143
154
-
ความเป็นไปได้ในการพัฒนารัฐสวัสดิการในสังคมไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282442
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยอันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนารัฐสวัสดิการในประเทศไทย วิเคราะห์สาเหตุที่ยังไม่สามารถจัดตั้งระบบรัฐสวัสดิการแบบเต็มรูปแบบได้ รวมทั้งเสนอแนวทางการออกแบบที่เหมาะสม ภายใต้หลักความเสมอภาค ความเป็นธรรม และการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากเอกสารวิชาการ งานวิจัย และนโยบายสาธารณะ พร้อมเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรัฐสวัสดิการเข้มแข็ง คือ สวีเดน เยอรมนี สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ผลการวิจัยชี้ว่า ระบบรัฐสวัสดิการไทยยังมีลักษณะจำกัดอยู่เฉพาะกลุ่มและขาดหลักการถ้วนหน้า ได้แก่ การบริหารแบบรวมศูนย์ ความล้มเหลวของกลไกตลาด ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ งบประมาณจำกัด รวมถึงปัจจัยด้านประชากร การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและเทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แนวทางที่เหมาะสมคือการออกแบบระบบผสมที่ยึดหลักการแบบถ้วนหน้า การกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม และการลงทุนทางสังคม โดยรัฐต้องมีบทบาทเชิงรุกในการจัดสรรบริการพื้นฐานและสนับสนุนครอบครัวและชุมชน ขณะเดียวกันควรส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายและตรวจสอบการดำเนินงาน ผลการวิจัยนี้เป็นการขยายองค์ความรู้เรื่องรัฐสวัสดิการในบริบทของสังคมไทย และกรอบการปฏิรูปที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม และรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและประชากรได้อย่างยั่งยืน</p>
บุญส่ง ชเลธร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
155
166
-
อิทธิพลของทักษะนักบัญชีที่มีต่อคุณภาพงานบัญชี: การพิจารณาบทบาทกำกับของสภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในภาคตะวันออกของประเทศไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/281830
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลของทักษะนักบัญชีที่มีต่อคุณภาพงานบัญชี และ 2) ศึกษาบทบาทกำกับของสภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรที่มีต่ออิทธิพลของทักษะนักบัญชีต่อคุณภาพงานบัญชี โดยศึกษาจากนักบัญชีในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในภาคตะวันออกของประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิดทักษะนักบัญชีและสภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรเป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัยคือ ภาคตะวันออก 7 จังหวัด (ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และ สระแก้ว)กลุ่มตัวอย่างคือนักบัญชีที่ปฏิบัติงานในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในภาคตะวันออก จำนวน 400 คน ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ณ ธันวาคม 2566 ใช้วิธีคัดเลือกตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นตามกรอบแนวคิดการวิจัย มีการทดสอบความตรงและความเที่ยง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะนักบัญชีด้านการสื่อสาร และด้านการแก้ปัญหา (ซึ่งเป็นกลุ่ม Soft Skills) มีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อคุณภาพงานบัญชีทั้งด้านความน่าเชื่อถือของสารสนเทศ ด้านความเข้าถึงได้ของสารสนเทศ และด้านความทันต่อเวลา ในขณะที่ทักษะด้านบัญชี และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (ซึ่งเป็นกลุ่ม Hard Skills) มีอิทธิพลเพียงบางด้านเท่านั้น 2) อิทธิพลทักษะของนักบัญชีต่อคุณภาพงานบัญชีธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เมื่อรวมเอาปัจจัยสภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรเข้ามาด้วย พบว่า สภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรส่งผลต่ออิทธิพลของทักษะนักบัญชีต่อคุณภาพงานบัญชีแต่ละด้านอย่างมีนัยสำคัญ และสภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรบางด้านยังมีอิทธิพลสูงกว่าทักษะของนักบัญชี (ทั้ง Soft Skills และ Hard Skills) ต่อคุณภาพงานบัญชี</p> <p> </p>
ปริศนา อินทรโชติ
ไกรวิทย์ หลีกภัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
167
182
-
ผลกระทบของการรับรู้ความสามารถของตนเอง และบุพปัจจัยต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานธุรกิจไทย ที่ให้บริการซ่อมบำรุงเครื่องจักรของ SMEs ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/281387
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ผลกระทบของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ต่อการฝึกอบรมและการพัฒนา การรับรู้ความสามารถของตนเอง และผลการปฏิบัติงานของพนักงาน (2) เพื่อศึกษาผลกระทบของการฝึกอบรมและการพัฒนา ต่อการรับรู้ความสามารถของตนเอง และผลการปฏิบัติงานของพนักงาน (3) เพื่อศึกษาผลกระทบของการรับรู้ความสามารถของตนเอง ต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ระเบียบวิธิวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสมผสานโดยข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจำนวน 17 ราย และข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามจำนวน 405 รายการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การสร้างแบบจำลองสมการเชิงโครงสร้างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์ ผลการวิจัยพบว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงส่งผลเชิงบวกต่อการฝึกอบรมและการพัฒนา และการรับรู้ความสามารถของตนเองแต่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ส่วนการฝึกอบรมและการพัฒนาส่งผลเชิงบวกต่อการรับรู้ความสามารถของตนเอง แต่ไม่ส่งผลโดยตรงต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน สำหรับการรับรู้ความสามารถของตนเอง ส่งผลเชิงบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน จากผลการศึกษาจะเห็นได้ว่า ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยการจัดโครงการ การฝึกอบรมและการพัฒนา มีความสำคัญต่อการสร้างการรับรู้ความสามารถของตนเองเมื่อพนักงานรับรู้ถึงศักยภาพของตนเองแล้ว จะส่งผลเชิงบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเท่ากับ 4.99, 4.69, 4.55 และ 4.28 ตามลำดับ และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.111, 0.463, 0.559 และ 0.690 ตามลำดับ</p> <p> </p>
ปิยชาติ โชติช่วง
ประยงค์ มีใจซื่อ
นรพล จินันท์เดช
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
183
196
-
การสร้างและพัฒนาชุดฝึกสมรรถนะงานต่อระบบควบคุมมอเตอร์ปั๊มน้ำอาคารสูง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/281522
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดฝึกสมรรถนะต่อระบบควบคุมมอเตอร์ปั๊มน้ำในงานอาคารสูง 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนสมรรถนะของผู้เรียนหลังเรียนรู้กับเกณฑ์ร้อยละ 60 และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่ใช้ชุดฝึกสมรรถนะ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แนวคิด ADDIE Model เป็นกรอบการวิจัย พื้นที่วิจัย คือแผนกวิชาช่างไฟฟ้ากำลัง วิทยาลัยสารพัดช่างสี่พระยา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น รุ่นที่ 214 จำนวน 11 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย1) ชุดฝึกสมรรถนะงานต่อระบบควบคุมมอเตอร์ปั๊มน้ำในงานอาคารสูง 2) แบบประเมินสมรรถนะ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบค่าทีแบบกลุ่มเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพของชุดฝึกสมรรถนะมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.46 และประสิทธิภาพของชุดฝึกสมรรถนะ เท่ากับ 81.45/81.64 2) คะแนนสมรรถนะหลังเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกสมรรถนะสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 81.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 9.14 3) ความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้ชุดฝึกสมรรถนะอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.30 ความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน และนำไปใช้ในการประเมินผลสมรรถนะได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
เลอพงษ์ สุวรรณนันท์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
197
212
-
กลยุทธ์การบริหารเครือข่ายความร่วมมือเพื่อพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก ของกลุ่มนาน้อย 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาน่าน เขต 1
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/280222
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของการบริหารเครือข่ายความร่วมมือ ฯ 2) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหารเครือข่ายความร่วมมือ ฯ และ 3) เพื่อประเมิน ตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของกลยุทธ์การบริหารเครือข่ายความร่วมมือ ฯ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากลุ่ม จำนวน 11 คน เป็นผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชครู บุคลากรทางการศึกษา รวม 204 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้มี 3 ชนิด คือ 1) แบบสอบถาม โดยการหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.87 ค่าความเชื่อมั่นของเครื่องมือสภาพปัจจุบัน 0.978 และสภาพที่พึงประสงค์ 0.965 2) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างสำหรับการสนทนากลุ่ม และ 3) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันมีค่าเฉลี่ยระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์มีค่าเฉลี่ยระดับมาก ความต้องการจำเป็น เท่ากับ 0.140 2) การพัฒนากลยุทธ์ประกอบไปด้วย 6 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) สร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและยั่งยืน โดยเน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิก 2) เสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมของสมาชิกเครือข่าย 3) พัฒนาการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์เชิงแลกเปลี่ยนในการดำเนินงานของเครือข่าย 4) เสริมสร้างศักยภาพผู้นำในการบริหารจัดการและพัฒนาเครือข่าย 5) พัฒนาระบบการสนับสนุนและระดมทรัพยากรของเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ 6) ส่งเสริมการนำผลการ ประเมินผลมาปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานของเครือข่าย และ 3. ผลการประเมิน ตรวจสอบโดยรวมมีความเหมาะสมมากที่สุดและการประเมินความเป็นไปได้ระดับมาก</p> <p> </p>
พิชิตชัย พงษ์สะเดา
ดารณีย์ พยัฆค์กุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
213
226
-
วัฒนธรรมองค์กรและคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ ในการทำงานของพนักงานโรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282563
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานและ (2) คุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโรงเรียนานานาชาติระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในพื้นที่จังหวัดนครปฐม รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานโรงเรียนนานาติระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จำนวน 99 ตัวอย่าง ตามแนวคิดของ Krejcie & Morgan (1970) โดยคัดเลือกวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิและแบบอย่างง่าย มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ที่ 0.67-1.00 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัคอยู่ระหว่าง 0.737-0.890 มีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า (1) วัฒนธรรมองค์กรแบบปรับตัว แบบมุ่งเน้นความสำเร็จ แบบเครือญาติ และราชการที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในพื้นที่จังหวัดนครปฐม มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.729-0.787 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.675 และมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์อยู่ที่ร้อยละ 45.50 และ (2) คุณภาพชีวิตในการทำงานด้านการได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอ โอกาสในการพัฒนาความสามารถ ความมั่นคงในงาน และความสมดุลระหว่างงานกับชีวิตที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโรงเรียนนานาชาติระดับมัธยมศึกษาตอนปลายในพื้นที่จังหวัดนครปฐม มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.704-0.768 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.714 และมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์อยู่ที่ร้อยละ 50.90</p> <p> </p> <p> </p>
รุ้งศนิจพัช เตชรโยธินวงศ์
ธัญนันท์ บุญอยู่
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
227
242
-
การพัฒนาการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อการเป็นเกษตรอัจฉริยะของกลุ่มแปลงใหญ่ เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย จังหวัดสุโขทัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/281042
<p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการและการเป็นเกษตรอัจฉริยะของกลุ่มแปลงใหญ่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย จังหวัดสุโขทัย 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการกับการเป็นเกษตรอัจฉริยะของกลุ่มแปลงใหญ่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย จังหวัดสุโขทัย 3) สร้างสมการพยากรณ์การบริหารจัดการที่ส่งผลต่อการเป็นเกษตรอัจฉริยะของกลุ่มแปลงใหญ่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย จังหวัดสุโขทัย การวิจัยเชิงสำรวจ โดยใช้แบบสอบถามกับเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 375 คน มีค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง 0.80-1.00 และ ค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงแบบอัลฟ่าเท่ากับ 0.982 ผลการวิจัย พบว่า 1) การบริหารจัดการของกลุ่มแปลงใหญ่ และ การเป็นเกษตรอัจฉริยะของกลุ่มแปลงใหญ่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย อยู่ในระดับมาก (= 3.91) โดยมีด้านการใช้พันธุ์อ้อยที่เหมาะสมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 4.01) และมีด้านการจัดการโรคและแมลงศัตรูอ้อย มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด (= 3.79) 2) การบริหารจัดการมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเป็นเกษตรอัจฉริยะของกลุ่มแปลงใหญ่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่าง .663 - .795 และ 3) สมการพยากรณ์การบริหารจัดการที่ส่งผลต่อการเป็นเกษตรอัจฉริยะของกลุ่มแปลงใหญ่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย พบว่า ตัวแปรพยากรณ์การบริหารจัดการที่ส่งผลต่อการเป็นเกษตรอัจฉริยะของกลุ่มแปลงใหญ่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่การบริหารจัดการ (X<sub>7</sub>) การปรับปรุงดินที่ใช้ปลูกอ้อยด้วยอินทรีวัตถุ (X<sub>2</sub>) การควบคุมและกำจัดวัชพืชอย่างมีประสิทธิภาพ (X<sub>3</sub>) และการใช้พันธุ์อ้อยที่เหมาะสม (X<sub>1</sub>) โดยมีค่า Constant (β<sub>0</sub>) =1.454, R = .840, R<sup>2</sup> = 705, Adjusted R Square =.702 , F =221.090**, Durbin-Watson =1.242</p>
ศรีอุดร ศิริลา
สิทธิพร เขาอุ่น
จิรเดช นาคพงษ์
ธนาภรณ์ แสวงทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
243
256
-
สิทธิของผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรม : ศึกษาเชิงเปรียบเทียบระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282516
<p>ในปัจจุบัน แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหายในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เช่น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 แต่กฎหมายเหล่านี้ยังประสบข้อจำกัด หลายประการ อาทิ การขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้ การไม่ครอบคลุมสิทธิด้านจิตใจและสังคม การมีขั้นตอนที่ซับซ้อน รวมทั้งการไม่มีกฎหมายเฉพาะที่รับรองสิทธิผู้เสียหายอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ผู้เสียหายจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสิทธิที่พึงมีได้อย่างแท้จริงบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาทางข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าด้วยสิทธิของผู้เสียหายในประเทศไทย โดยเปรียบเทียบกับสหราชอาณาจักรซึ่งมีการพัฒนากฎหมายและกลไกคุ้มครองผู้เสียหายที่ยึดแนวคิด “ความยุติธรรมที่ยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง” และ “ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์” ผ่านเครื่องมือสำคัญ เช่น Victims’ Code Criminal Injuries Compensation Authority (CICA) และ Victim Personal Statement (VPS) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ระบบไทยยังมีลักษณะมุ่งเน้นกระบวนการทางกฎหมายและการเยียวยาด้านการเงินเป็นหลัก ขณะที่ระบบอังกฤษให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้เสียหายตลอดกระบวนการยุติธรรมและการเยียวยาแบบองค์รวมจากการเปรียบเทียบ บทความเสนอให้ประเทศไทยปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมสิทธิผู้เสียหายในทุกมิติ จัดตั้งหน่วยงานอิสระเพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิ จัดตั้งศูนย์บริการผู้เสียหายแบบเบ็ดเสร็จ และพัฒนาระบบแจ้งเตือนสถานะคดี เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายในประเทศไทยมีความครอบคลุม มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล</p> <p> </p> <p> </p>
จิราพรรณ พิมพ์วรรณวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
257
270
-
การบริหารสถานศึกษาและการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/282869
<p>บทความวิชาการนี้ มีจุดประสงค์ เพื่อศึกษาแนวคิดทฤษฎีการบริหารสถานศึกษาที่เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน วิเคราะห์แนวคิดการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน เสนอแนวทางการบริหารสถานศึกษาที่สนับสนุนการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน และสังเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างการบริหารสถานศึกษากับการพัฒนาภูมิสังคมโดยเป็นการวิเคราะห์สังเคราะห์แนวคิดทฤษฎีและองค์ความรู้ใหม่ ในการบริหารสถานศึกษาเพื่อการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืนผลการศึกษา พบว่า การบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเน้นหลักการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืน เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ภูมิสังคมและการพัฒนาท้องถิ่น การจัดการศึกษาควรตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น โดยแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นคือ การบริหารสถานศึกษาเพื่อการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืนในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ส่งผลให้นักเรียนมีความเข้าใจและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่น มีทักษะการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และสามารถเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาภูมิสังคมอย่างยั่งยืนได้</p> <p> </p>
จิราภรณ์ สุภิสิงห์
ปรมินทร์ นาระทะ
รัชชานนท์ สมบูรณ์ชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-29
2025-08-29
11 2
271
284