วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ <p>วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มนุษยศาสตร์และสัมคมศาสตร์ ได้ผ่านการรับรองคุณภาพรอบที่ 5 พ.ศ. 2568 – 2572 จัดอยู่ในฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย TCI 2 กลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ได้จัดทำเป็น 2 รูปแบบ ทั้งรูปแบบตีพิมพ์ (Print) หมายเลข ISSN 2465-3578 (Print) และรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Online) ISSN 2774-0129 (Online) ที่พิมพ์เผยแพร่ บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p>บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 3 ท่าน หลากหลายสถาบัน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (Double-Blind Review) </p> <p>Published Rate (อัตราค่าตีพิมพ์) 6,000 บาท โดยทางวารสารจะเรียกเก็บเมื่อผ่านการตรวจความซ้ำซ้อน และเข้าสู่กระบวนการประเมินบทความ</p> มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น th-TH วารสารวิจัยมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2465-3578 No One Too Old to Learn: Managing Elder’s Lifelong Learning for Life Quality https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/275836 <p>The context of this research is the discussion in “No One Too Old to Learn” in the content of managing elders’ lifelong learning to pursue the quality of life. Therefore, the research objectives aim to find problems scientifically using analytic and synthetic systemic and modeling skills, apply the knowledge of comprehensive analysis, and show a solid general knowledge of philosophy and scientific research methodology. The goal of the qualitative research methodology, known as the "inductive approach," is to investigate the application of the Critical Discourse Analysis technique by moving from the specific to the general. As a result, most significant contributors agree that the primary similarities between the two are in their approaches to human life education. Furthermore, the primary distinction lies in the global concept for educational sustainability and the personal or principled notion of lifelong learning patterns. Adhere to the same mainstream for both educational types. distinct topics of educational sustainability and lifelong learning that are relevant to older adults' acceptable quality of life.</p> Eksiri Niyomsilp Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 1 8 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการปฏิบัติงานและคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารกรุงเทพ จังหวัดขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/274494 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อเป็นธนาคารดิจิทัล ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน กรณีศึกษาพนักงานธนาคารกรุงเทพ จังหวัดขอนแก่น โดยการศึกษาเรื่อง “การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อเป็นธนาคารดิจิทัลที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตการทำงานและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน กรณีศึกษาพนักงานธนาคารกรุงเทพ จังหวัดขอนแก่น ผลการศึกษา พบว่า ส่วนที่ 1 โดยผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่สำรวจได้ 100 ตัวอย่าง ด้านข้อมูลด้านประชากรศาสตร์เกี่ยวกับผู้ตอบแบบสอบถาม จำแนกตามเพศ พบว่ามีเพศหญิงมากที่สุด ด้านจำแนกตามอายุ พบว่ามีอายุ 31-40 ปี มากที่สุด ด้านจำแนกตามตำแหน่งงานที่ทำ พบว่าตำแหน่งเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการ ด้านระยะเวลาการทำงาน พบว่ามีอายุงาน 6-10 ปี มากที่สุด ส่วนที่ 2 ด้านคุณภาพชีวิตในการทำงานกลยุทธ์ทางการตลาด ทั้ง 2 ด้าน พบว่าด้านคุณภาพชีวิตในการทำงาน พบว่ามีคะแนนโดยรวมมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.24 ซึ่งเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ส่วนที่ 3 การใช้เทคโนโลยีสานสนเทศในการปฏิบัติงาน ทั้ง 2 ด้าน พบว่ามีคะแนนโดยรวม มากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.18ซึ่งเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยดังนี้ สภาพสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้งาน ส่วนที่ 4 ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ทั้ง 2 ด้านพบว่า มีคะแนนโดยรวมมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 4.27 ตามลำดับ</p> กนกวรรณ อ่วมคำ จิราพร คันชั่ง กัญญาณี อำนวยวัฒนกุล ฐกฤต ธนภัทร์ธรรม Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 9 22 การเปรียบเทียบประสิทธิผลการสื่อสารการตลาดดิจิทัลที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมและสร้างการรับรู้ผ่านกูเกิล (Google Ads) กรณีศึกษา ร้านขายถัง หจก. ช.โชควิวัฒน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/272793 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้าง Awareness โดยทำการทดสอบในกลุ่มคีย์เวิร์ดประเภท Pain Point Keyword, Generic Keyword และ Product Keyword วัดผลจากการแสดงผลของโฆษณา (Impression) จำนวนคลิก (Click) 2) เพื่อศึกษาการใช้รูปแบบของประเภทของคีย์เวิร์ดที่มีผลต่อกลุ่มเป้าหมายเพื่อดูแนวโน้มของรูปแบบคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิผลต่อการมีส่วนร่วม และสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภคมากที่สุด เพื่อช่วยในการวางแผนทางการตลาดออนไลน์ให้มีธุรกิจมีประสิทธิภาพ ผลวิจัยพบว่า การใช้แพลตฟอร์ม Google Ads ในการทดสอบในครั้งนี้สามารถเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ได้มากขึ้น โดยกลุ่มคีย์เวิร์ดประเภท Generic Keyword เป็นคีย์เวิร์ดในหมวดหมู่สินค้าประเภท “ถัง” ที่มีผู้ค้นหาจำนวนการมองเห็นและจำนวนคลิกมากกว่ากลุ่มคำอื่นมีปริมาณการค้นหาและเห็นโฆษณาสูงเมื่อเทียบกับอีก 2 กลุ่มในงานวิจัย แสดงให้เห็นว่า ถัง และ ถัง 1000 ลิตร ราคา เป็นกลุ่มคีย์เวิร์ดที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดในธุรกิจร้านขายถัง หจก. ช.โชควิวัฒน์ และคีย์เวิร์ดคำว่า “ราคา ถัง”, “ถัง IBC”, “ถัง 1000 ลิตรราคา”, “ใส่น้ำ” มีปริมาณการคลิกมากกว่าคีย์เวิร์ดอื่น ๆ ทำให้พิจารณาได้ว่าในการซื้อคีย์เวิร์ดครั้งต่อไปในอนาคตต้องทราบถึงคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับธุรกิจมากที่สุด เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเป็นการสร้างโอกาสให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างมาก</p> กัญญาณัฐ โนราช มนฑิรา ธาดาอำนวยชัย Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 23 34 ปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ศึกษากรณี การลำเลียงหรือขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276315 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวกับปัญหาและการบังคับใช้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กรณีการลำเลียงหรือขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมถึงศึกษาวิเคราะห์และเปรียบเทียบกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กรณีการลำเลียงหรือขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินของประเทศไทยกับต่างประเทศ เพื่อวิเคราะห์ปัญหากฎหมาย และเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 กรณีการลำเลียงหรือขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการวิจัยเอกสารโดยอาศัยการค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากตํารากฎหมาย บทความทางวิชาการ วารสาร ผลงานวิจัย วิทยานิพนธ์ พระราชบัญญัติ รวมทั้งเว็บไซต์ที่สามารถเข้าถึงได้โดยง่ายและเป็นแหล่งข้อมูล ที่น่าเชื่อถือ ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยได้บัญญัตินิยามคำว่า “รถฉุกเฉิน” ไว้อย่างกว้าง ซึ่งทำให้ครอบคลุมรถ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุฉุกเฉิน และมีอัตราโทษสำหรับกรณีผู้ขับขี่ที่กีดขวางรถฉุกเฉิน แต่เป็นอัตราโทษที่ไม่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับต่างประเทศ อีกทั้งประเทศไทยไม่มีการกำหนดใบอนุญาตขับขี่สำหรับรถฉุกเฉินโดยเฉพาะ ซึ่งอาจส่งผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงมีมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการลำเลียงหรือขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินที่ยังไม่ชัดเจน เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีการกำหนดมาตรฐานเป็นการเฉพาะ ดังนั้นจึงควรแก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ในคำนิยาม และการกำหนดโทษ รวมไปถึงการเพิ่มใบอนุญาตขับขี่รถฉุกเฉิน และการกำหนดมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการลำเลียงหรือขนส่งผู้ป่วยฉุกเฉินให้เหมาะสม</p> ณัฐณิชา จันทร์บรรจง เอกพงษ์ สารน้อย Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 35 48 มาตรการทางกฎหมายในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/273474 <p>บทความนี้นี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาแนวคิดทฤษฎี ผลงานวิจัย ประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงและประเด็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางกฎหมายของประเทศไทยของต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางกฎหมายในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ เพื่อนำมาเป็นข้อเสนอแนะแก้ไขกฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มาตรการทางกฎหมายในการจ้างแรงงานผู้สูงอายุ ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาการใช้แรงงานยังไม่มีกฎหมายบัญญัตินิยามคำว่า “แรงงานสูงอายุ” ทำให้ไม่อาจทราบได้ว่าแรงงานสูงอายุหมายความว่าอย่างไรไม่มีกฎหมายคุ้มครองการกำหนดลักษณะงานหรือวันทำงานทำให้เกิดปัญหาการใช้แรงงานสูงอายุในแต่ละช่วงอายุหรือสภาพทางกายภาพหรือจิตใจหรือเพศของแรงงานสูงอายุ ดังนั้นจึงขอเสนอแนะว่าควรที่จะต้องดำเนินการเปลี่ยนชื่อกฎหมายจากพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 เป็น ร่างพระราชบัญญัติผู้สูงอายุและบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ พ.ศ. รวมทั้งกำหนดนิยามคำว่า “แรงงานสูงอายุ” ไว้ให้ชัดเจน</p> ณัฏฐ์พิชา วโรดมอธิพัฒน์ ณัฐวิน อัศวภูวดล ณัฐวัตร ตันศิริเสถียร ณัฐนันณ์ สุวรรณมณี Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 49 56 ปัญหาการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐกับการลงโทษทางอาญาที่เหมาะสม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/275341 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กับการลงโทษทางอาญาที่เหมาะสม ตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา 2) เพื่อศึกษาปัญหาเกี่ยวกับการลงโทษทางอาญาที่เหมาะสมกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนวทางในการพัฒนากฎหมายของประเทศไทย และแนวทางการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการลงโทษทางอาญาที่เหมาะสมกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การลงโทษกับนิติบุคคลที่กระทำความผิดการดำเนินการเกี่ยวกับการกระทำความผิดในรูปแบบองค์กร เครือข่ายต่างๆ รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพจากการศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากหนังสือ วิทยานิพนธ์ วารสาร บทบัญญัติของกฎหมาย บทความ และคำพิพากษาของศาล รวมทั้งข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตที่น่าเชื่อถือ แล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้จากเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มาวิเคราะห์แบบเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า (1) ปัญหาเกี่ยวกับมาตรการลงโทษทางกฎหมายอาญาที่เหมาะสมกับติบุคคลที่กระทำความผิดในการเสนอราคา กฎหมายของประเทศไทยไม่มีกำหนดไว้ (2) ปัญหาเกี่ยวกับการลงโทษทางอาญาสำหรับความผิดในการเสนอราคาที่กระทำเป็นองค์กร ของประเทศไทยไม่มีระบุไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดในการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 (3) ปัญหาเกี่ยวกับการลงโทษทางอาญาสำหรับความผิดเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเสนอราคาของหน่วยงานรัฐ พ.ศ.2542 เกี่ยวกับโทษปรับทางอาญา งานวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการเสนอราคาของหน่วยงานภาครัฐให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน</p> ทรงพล อัชวากุล วรรณวิภา เมืองถ้ำ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 57 70 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานโรงงานรีไซเคิล ของเสียอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276555 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความผูกพันในงาน และประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานโรงงานรีไซเคิลของเสียอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร และ 2) เพื่อศึกษาความผูกพันในงานเป็นปัจจัยคั่นกลางที่เชื่อมโยงการรับรู้ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสู่ประสิทธิภาพ ในการทำงานของพนักงานโรงงานรีไซเคิลของเสียอุตสาหกรรม การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณจากประชากรที่เป็นพนักงานโรงงานรีไซเคิลของเสียอุตสาหกรรมทั้งหมดจำนวน 1,228 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 200 คน ตามแนวคิดของ Hair et al. (2006) เก็บตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการโครงสร้างด้วยโปรแกรม Smart PLS ผลการวิจัยพบว่า ระดับการรับรู้ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความผูกพันในงาน และประสิทธิภาพในการทำงาน ของพนักงานโรงงานดังกล่าว มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากมีค่าเท่ากับ 4.435, 4.427 และ 4.262 ตามลำดับ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.729, 0.743 และ 0.746 ตามลำดับ และความผูกพันในงานเป็นปัจจัยคั่นกลางที่เชื่อมโยงการรับรู้ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงสู่ประสิทธิภาพในการทำงานมีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงาน โดยมีค่าเท่ากับ 0.436, 0.665 และ 0.478 ตามลำดับ ผลการศึกษาพบว่าอิทธิพลทางอ้อมของผู้นำการเปลี่ยนแปลงต่อประสิทธิภาพในการทำงานนั้นมีค่าไม่น้อยเลยทีเดียว โดยมีค่าเท่ากับ 0.313</p> เทิด ทองดี สุมาลี รามนัฏ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 71 84 การบริหารกิจการนักเรียนเพื่อป้องกันปัญหาพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพรเขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/275655 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรุนแรงของพฤติกรรมการกลั่นแกล้ง สภาพการบริหารกิจการนักเรียน และแนวทางป้องกันปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1 โดยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหาร ครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา รวม 43 โรงเรียน ใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1.)พฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียนอยู่ในระดับปานกลาง โดยพบมากที่สุดคือการกลั่นแกล้งด้านสังคมรองลงมาคือด้านร่างกาย ด้านวาจา และด้านโลกไซเบอร์ซึ่งพบน้อยที่สุด 2.)ปัญหาสำคัญที่บุคลากรมองเห็น คือการกลั่นแกล้งทางวาจา โดยมีข้อเสนอให้เพิ่มกิจกรรมแนะแนวเพื่อแก้ไข 3.)แนวทางป้องกันและแก้ไข ได้แก่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียน การสร้างนโยบายที่ชัดเจน และการให้ความรู้เกี่ยวกับผลกระทบจากการกลั่นแกล้ง</p> พศวีร์ อินทะโร Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 85 98 อิทธิพลของปัจจัยการตลาดออนไลน์ต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276254 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยการตลาดออนไลน์ต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นศึกษา 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความไว้วางใจ (Trust), การรับรู้ด้านราคา (Perceived Price), การรับรู้ด้านประโยชน์ (Perceived Benefits) และคุณภาพการให้บริการ (Service Quality) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีประสบการณ์ในการซื้อสินค้าออนไลน์ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม โดยการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยการตลาดออนไลน์ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ความไว้วางใจ การรับรู้ด้านราคา การรับรู้ด้านประโยชน์ และคุณภาพการให้บริการ ล้วนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยปัจจัยด้านความไว้วางใจมีอิทธิพลมากที่สุด รองลงมาคือ การรับรู้ด้านประโยชน์ คุณภาพการให้บริการ และการรับรู้ด้านราคา ตามลำดับ ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือของร้านค้าออนไลน์ ความสะดวกสบายในการซื้อสินค้า และคุณภาพการให้บริการ ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการสร้างความไว้วางใจ การนำเสนอราคาที่เหมาะสม การพัฒนาแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย และการให้บริการที่เป็นเลิศ เพื่อดึงดูดและรักษาลูกค้าในยุคดิจิทัล</p> พิทยุช ญาณพิทักษ์ ญาณกร วรากุลรักษ์ บำรุง ตั้งสง่า Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 99 110 การศึกษา Soft Skills ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร ในธุรกิจร้านอาหารในเขตกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/275613 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฎิบัติงานของบุคลากรในธุรกิจร้านอาหาร 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อซอฟท์สกิล (Soft Skills) ของบุคลากรในธุรกิจร้านอาหาร และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยซอฟท์สกิล (Soft Skills) ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฎิบัติงานของบุคลากรในธุรกิจร้านอาหาร รูปแบบการวิจัยเป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยเก็บแบบสอบถามจำนวน 200 ชุด และสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 10 คน ใช้วิธีคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง คือ 1)แบบสอบถาม 2)แบบสัมภาษณ์เชิงลึก การวิจัยเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณา การทดสอบ T-test , การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและสมการถดถอยพหุคูณการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหาและวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1)เพศต่างกันมีประสิทธิภาพที่มีผลต่อการปฏิบัติงานโดยรวมและรายด้านไม่ต่างกัน อายุ สถานภาพ ระยะเวลาในการทำงานที่แตกต่างกัน มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานไม่ต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ0.05 2)เพศต่างกัน อายุ สถานภาพ ระยะเวลาในการทำงานและตำแหน่งงานมีซอฟท์สกิล (Soft Skills) โดยรวมและรายด้านไม่ต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ0.05 3)ปัจจัยด้านซอฟท์สกิล (Soft Skills) ด้านทักษะการติดต่อสื่อสารการโน้มน้าวใจ และภาวะผู้นำ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 จริยธรรมในการทำงานส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้มีประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจและฝ่ายบริหารในการคัดเลือกพนักงาน ควรให้ความสำคัญกับซอฟท์สกิล (Soft Skills) ด้านการทำงานร่วมกับผู้อื่น และการทำงานเป็นทีม ควรมีการพัฒนาทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร</p> พีรยา สุขวรรณวิทย์ ประวีณา คาไซ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 111 124 ผลกระทบของกิจกรรมการตลาดบนโซเชียลมีเดียที่มีต่อการสื่อสารแบบปากต่อปาก บนอินเทอร์เน็ตและความตั้งใจซื้อ โดยส่งผ่านการมีส่วนร่วมในตราสินค้าบนโซเชียลมีเดียและคุณค่าของตราสินค้า กรณีศึกษา กลุ่มผู้บริโภคที่ใช้บริการธุรกิจร้านคาเฟ่ในเขตเทศบาลเมืองพิษณุโลก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276236 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์ผลกระทบของกิจกรรมการตลาดบนโซเชียลมีเดียที่มีต่อการสื่อสาร แบบปากต่อปากบนอินเทอร์เน็ตและความตั้งใจซื้อ โดยส่งผ่านการมีส่วนร่วมในตราสินค้าบนโซเชียลมีเดียและคุณค่าของตราสินค้ากรณีศึกษา กลุ่มผู้บริโภคที่ใช้บริการธุรกิจร้านคาเฟ่ในเขตเทศบาลเมืองพิษณุโลก โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้บริการธุรกิจร้านคาเฟ่ในเขตเทศบาลเมืองพิษณุโลก จำนวน 400 ราย ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบโควต้า ทำการวิเคราะห์แบบจำลองของสมการโครงสร้าง ผลการศึกษา พบว่า แบบจำลองเหมาะสมกับข้อมูลมีค่า SRMR เท่ากับ 0.0915 อยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 1 และค่าความเชื่อมั่นความสอดคล้องภายในของอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ ส่วนค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางของพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในตราสินค้าบนโซเชียลมีเดีย การรับรู้คุณค่าของตราสินค้า พฤติกรรมการสื่อสารแบบปากต่อปากบนอินเทอร์เน็ต และพฤติกรรมความตั้งใจซื้อของผู้บริโภค มีค่าเท่ากับร้อยละ 41.42, 23.70, 30.60 และ 31.67 และ ค่าผลกระทบมีค่า 0.0201 ถึง 0.7071 โดยความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งที่สุดมีค่าเท่ากับ 0.7071 ของเส้นทาง SMMAs-&gt;SBE ที่มีผลกระทบสูง ส่วนค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางวิเคราะห์อิทธิพลจำนวน 8 เส้นทาง พบว่า ค่าน้ำหนักที่มีนัยสําคัญ 6 เส้นทาง โดยมีค่าตั้งแต่ 0.174 ถึง 0.644 การวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดบนโซเชียลมีเดียให้มีกิจกรรมที่ตอบสนองกับกลุ่มผู้บริโภคเพื่อส่งผลต่อการเข้ามามีส่วนร่วมกับตราสินค้าที่นำไปสู่การบอกต่อบนโลกอินเตอร์เน็ตและเกิดความตั้งใจมาใช้บริการของธุรกิจร้านคาเฟ่</p> พัสกร ลี้วิศิษฏ์พัฒนา Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 125 138 แนวทางการพัฒนากิจกรรมชมรมผู้สูงอายุ องค์การบริหารส่วนตำบลวัดยม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276383 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลวัดยม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและเพื่อสร้างแนวทางพัฒนากิจกรรมชมรมผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลวัดยม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การศึกษาเอกสารวิชาการ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องร่วมกับการสัมภาษณ์เชิงลึก เครื่องมือวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้จากการเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้บริการและพนักงานองค์การบริหารส่วนตำบลวัดยม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประธานชมรมผู้สูงอายุ รองประธานชมรมผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุในชมรมที่เข้าร่วมโครงการ รวมจำนวน 18 คน วิเคราะห์ ตีความ และสังเคราะห์ อภิปรายถึงข้อเท็จจริงที่ค้นพบตามปรากฏการณ์ และประเด็นสำคัญ เพื่อหาลักษณะร่วมของพัฒนากิจกรรมชมรมผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลวัดยม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผลการวิจัย พบว่า สภาพทั่วไปของกิจกรรมชมรมผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลวัดยม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีรูปแบบการจัดตั้งชมรมอย่างชัดเจน กิจกรรมมีความหลากหลาย ที่เห็นผลชัดเจน คือ กิจกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ผู้สูงอายุได้มาพบปะคนวัยเดียวกัน ไม่ต้องเหงาอยู่ที่บ้าน ผู้สูงอายุมีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพ ของตนเอง ผู้สูงอายุได้ช่วยเหลือผู้สูงอายุกลุ่มอื่นๆ ผู้สูงอายุได้ทำประโยชน์ต่อสังคม รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง ไม่รู้สึกเป็นภาระของชุมชน สำหรับแนวทางพัฒนากิจกรรมชมรมผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลวัดยม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย ด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านอาชีพและรายได้ ด้านที่อยู่/สภาพแวดล้อม ด้านศาสนา ด้านศิลปะ/วัฒนธรรม/ภูมิปัญญา ด้านคุ้มครองสิทธิ และด้านนันทนาการ</p> วิโรชน์ หมื่นเทพ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 139 150 ภาพลักษณ์ตราสินค้าและคุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ รองเท้ากีฬาแบรนด์เนมของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276327 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาพลักษณ์ตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ และ 2) คุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรองเท้ากีฬาแบรนด์เนมของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ซื้อรองเท้ากีฬาแบรนด์เนม จำนวน 385 ตัวอย่าง ตามแนวคิดของ Cochran (1977) โดยใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ที่ 0.67-1.00 และมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบัคอยู่ระหว่าง 0.778-0.926 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาพลักษณ์ตราสินค้าด้านคุณสมบัติ ด้านคุณประโยชน์ ด้านคุณค่า และด้านบุคลิกภาพของผู้ใช้ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรองเท้ากีฬาแบรนด์เนมของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.695-0.843 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.882 และมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R2) มีอำนาจในการพยากรณ์รวมเท่ากับร้อยละ 77.80 และ 2) คุณค่าตราสินค้าด้านการรับรู้ตราสินค้า ด้านคุณภาพที่รับรู้ และด้านการเชื่อมโยงตราสินค้าส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรองเท้ากีฬาแบรนด์เนมของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.565-0.863 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.892 และมีค่าสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R2) มีอำนาจในการพยากรณ์รวมเท่ากับร้อยละ 79.50</p> วีรภัทร ขวัญมงคล ธัญนันท์ บุญอยู่ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 151 162 ความสัมพันธ์ของสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ต่อกำไรต่อหุ้น ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย : กรณีศึกษาธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มแฟชั่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/275318 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ที่มีต่อกำไรต่อหุ้นของธุรกิจ สินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มแฟชั่น 2) เพื่อศึกษาสภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ที่มีส่งผลต่อกำไรต่อหุ้นของธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มแฟชั่นเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1)กำไรต่อหุ้นของกิจการรายไตรมาส 2) สภาพคล่องของบริษัท 3) ความสามารถในการชำระหนี้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 862 บริษัท กลุ่มตัวอย่างสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มแฟชั่น จํานวน 16 บริษัท วิธีการสุ่มตัวอย่างเจาะจงเฉพาะตามลักษณะที่กําหนด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน เพื่อทดสอบค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระ และ การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัยที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ทางด้านสภาพคล่องไม่ส่งผลต่อกำไรต่อหุ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 กล่าวคือ อัตราส่วนสภาพคล่องและอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนเร็วไม่ส่งผลต่อกำไรต่อหุ้นส่วนทางด้านความสามารถในการชำระหนี้ส่งผลต่อกำไรต่อหุ้นในทิศทางตรงกันข้ามอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 กล่าวคือ ความเสี่ยงทางการดำเนินงานและความเสี่ยงทางด้านธุรกิจส่งผลต่อกำไรต่อหุ้น แต่ ความเสี่ยงทางด้านการเงินไม่ส่งผลต่อกำไรต่อหุ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 รวมไปถึงขนาดของสินทรัพย์ส่งผลต่อกำไรต่อหุ้นในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> ศรีกัลญา จงธัญญากร จักรพันธ์ พงษ์เภตรา Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 163 176 คุณภาพการบริการกับการตัดสินใจใช้บริการโรงพยาบาล: อิทธิพลตัวแปรส่งผ่านคุณค่าตราสินค้าที่มีต่อโรงพยาบาลเอกชนในอำเภอเมืองพิษณุโลก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276211 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์อิทธิพลทางตรงและทางอ้อมของตัวแปรที่มีต่อการตัดสินใจใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนในอำเภอเมืองพิษณุโลก เป็นการวิจัยเชิงสำรวจอาศัยแบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้เข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในอำเภอเมืองพิษณุโลก จำนวน 279 ราย โดยการสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัย ความน่าจะเป็น แบบโควต้า ทำการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้างด้วยวิธีกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน (PLS-SEM) ผลการศึกษา พบว่า (1) คุณภาพการบริการของโรงพยาบาลส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนในอำเภอเมืองพิษณุโลกเท่ากับ 0.426 (ร้อยละ 42.60) และคุณค่าตราสินค้าของโรงพยาบาลเอกชนเท่ากับ 0.755 (ร้อยละ 75.50) (2) คุณค่าตราสินค้าของโรงพยาบาลเอกชนส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนในอำเภอเมืองพิษณุโลกเท่ากับ 0.681 (ร้อยละ 68.10) และ (3) คุณภาพการบริการของโรงพยาบาลส่งผลทางอ้อมต่อการตัดสินใจใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนในอำเภอเมืองพิษณุโลกผ่านคุณค่าตราสินค้าของโรงพยาบาลเอกชนเท่ากับ 0.514 (ร้อยละ 51.40) การวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางการในการพัฒนาคุณภาพการบริการของโรงพยาบาลเอกชน เพื่อการรับรู้คุณค่าตราสินค้า ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อการตัดสินใจเข้ารับบริการโรงพยาบาลเอกชนในอำเภอเมืองพิษณุโลก</p> สุปภาดา ภูรีพงศ์ วัลย์ลดา ทองเย็นบุริศร์ รัตน์ชนก พราหมณ์ศิริ ชำนาญ ทองเย็น ธเนศ อุ่นปรีชาวณิชย์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 177 190 แนวทางการบริหารสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเกาะพะงันศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุราษฎร์ธานี ชุมพร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/272986 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสำรวจและรวบรวมองค์ประกอบแนวทางการบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษา 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารสู่ความเป็นเลิศ มีขั้นตอนการวิจัย 2 ขั้นตอน 1) สำรวจรวบรวมองค์ประกอบแนวทางการบริหารสู่ความเป็นเลิศ จากกลุ่มประชากร จำนวน 41 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา 2) การพัฒนาแนวทาง จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษาจากสถานศึกษาที่มีแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ จํานวน 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 6 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ 3) แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางโดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่า องค์ประกอบแนวทางการบริหารสู่ความเป็นเลิศและผลการพัฒนาแนวทางสู่ความเป็นเลิศได้แนวทางทั้งสิ้น 12 ด้าน 26 แนวทาง ได้แก่ 1) ด้านการนำองค์กรอย่างมีวิสัยทัศน์ 5 ข้อ 2) ด้านการบริหารจัดการในการให้ความสำคัญแก่ผู้เรียน 4 ข้อ 3) ด้านความคล่องตัว 3 ข้อ 4) ด้านการมุ่งอนาคต 1 ข้อ 5) ด้านการจัดการเพื่อนวัตกรรม 2 ข้อ 6) ด้านการจัดการโดยใช้ข้อมูลจริง 2 ข้อ 7) ด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของสถานศึกษา 2 ข้อ 8) ด้านการจัดองค์กร 1 ข้อ 9) ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและระดับการพัฒนาของนักเรียน 1 ข้อ 10) ด้านการจัดการเรียนการสอน 22 ข้อ 11) ด้านการให้ความสำคัญกับบุคคลและพันธมิตร 1 ข้อ 12) ด้านมุมมองเชิงระบบ 2 ข้อ โดยมีผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> สุภามาศ ตัญบุญยกิจ จรัญญา เทพพรบัญชากิจ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 191 202 รูปแบบการจัดการเชิงกลยุทธ์ธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกาย ภายใต้สถานการณ์โรคระบาด https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276633 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาความสามารถทางนวัตกรรม การมุ่งเน้นการตลาด และคุณภาพการบริการของธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกายที่มีอิทธิพลต่อการจัดการเชิงกลยุทธ์ภายใต้สถานการณ์โรคระบาด (2) เพื่อศึกษาความสามารถทางนวัตกรรม การมุ่งเน้นการตลาด คุณภาพการบริการและการจัดการธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกายที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์โรคระบาดผ่านการจัดการเชิงกลยุทธ์ และ (3) นำผลการศึกษาที่ได้มาสร้างเป็นรูปแบบการจัดการธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกายเชิงกลยุทธ์ภายใต้สถานการณ์โรคระบาด เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ มีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจำนวน 300 คน เพื่อตอบแบบสอบถามสำหรับการวิจัย และผู้ใช้บริการธุรกิจกีฬาและการออกกำลังกายในประเทศไทย พื้นที่ภาคกลางเช่นเดียวกัน จำนวน 30 คน เพื่อตอบคำถามสัมภาษณ์เชิงลึก เครื่องมือทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์เชิงพรรณนา การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง โดยโปรแกรมสำเร็จรูป และนำผลที่ได้จากการวิเคราะห์เชิงปริมาณมาสรุปเป็นแบบจำลองทางสถิติ และใช้โปรแกรมสำเร็จรูปในการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อยืนยันผลการวิจัย ผลการศึกษาการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า ความสามารถทางนวัตกรรมมีอิทธิพลต่อการจัดการธุรกิจเชิงกลยุทธ์และส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์โรคระบาด การมุ่งเน้นด้านการตลาดมีอิทธิพลต่อการจัดการธุรกิจเชิงกลยุทธ์และส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานภายใต้สถานการณ์โรคระบาด และผลการศึกษาการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า ความสามารถทางนวัตกรรมด้านการบริการ การมุ่งเน้นการตลาดด้านการรวบรวมข้อมูลทางการตลาด</p> ธนันทร์เอก โอชารส ชเนตตี พิพัฒนางกูร อนุพงษ์ แต้ศิลปสาธิต Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 203 216 กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของค่ายรถไฟฟ้าจากประเทศจีนและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/274053 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของค่ายรถไฟฟ้าในประเทศจีน และพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของค่ายรถไฟฟ้าในประเทศจีนและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ในประเทศไทย 3) เพื่อศึกษาการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของค่ายรถไฟฟ้าในประเทศจีนและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยการวิจัยนี้จะใช้วิธีผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่ายจากผู้บริโภคจำนวน 400 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้เชี่ยวชาญ 9 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและมีความถูกต้องในเชิงลึก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลประกอบด้วยแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ โดยใช้สถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของค่ายรถไฟฟ้าในประเทศจีนและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยโดยภาพรวมความต้องการด้านการยอมรับนวัตกรรมอยู่ในเกณฑ์มาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.21 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.47 ด้านพฤติกรรมการตัดสินใจ พบว่า ภาพรวมความต้องการคุณสมบัติในด้านสมรรถนะหลักอยู่ในเกณฑ์มาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51 ภาพรวมความต้องการด้านการตัดสินใจซื้อรถยนต์ อยู่ในเกณฑ์มาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.30 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.55</p> <p> </p> Li Kun Kun ณัฐพงษ์ แต้มแก้ว สุพัฒน์ ธีรเวชเจริญชัย Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 217 228 บทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการส่งเสริมการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน: กรอบแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276215 <p> บทความนี้ศึกษาบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการส่งเสริมการจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน และมุ่งประเด็นในการบูรณาการแนวคิดในการจัดการชุมชนท่องเที่ยวร่วมกับมุมมองในการจัดการภาครัฐแนวใหม่ (A New Public Management: NPM) โดยให้ความสำคัญต่อบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาและสนับสนุนให้ชุมชนมีศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่ของตนให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและสร้างความยั่งยืนตามเป้าประสงค์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2566-2570) เนื่องจาก การท่องเที่ยวในระดับชุมชนในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของภาคอุตสาหกรรมบริการที่สำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาชาติทั้งในมิติชุมชน สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยได้ปรากฏเป็นเป้าหมายทั้งในระดับยุทธศาสตร์และระดับนโยบายของชาติซึ่งหน่วยงานภาครัฐมีหน้าที่ในการจัดทำแผนและโครงการ ทั้งนี้ การส่งเสริมและการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนจึงเป็นภารกิจที่หน่วยงานในระดับท้องถิ่นในพื้นที่จะต้องนำไปปฏิบัติและรับผิดชอบ บทความได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนตามแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ ซึ่งสรุปได้ว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเพื่อยกระดับการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนโดยจำเป็นต้องประยุกต์ใช้และบูรณาการแนวคิดการจัดการการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรมจึงจะทำให้การบริหารจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ของชาติได้</p> <p> </p> ดังนภสร ณ ป้อมเพชร ธีรภัทร กิจจารักษ์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 229 242 การศึกษาการเรียนรู้การดูแลสุขภาพองค์รวมของบุคคล ตามแนวคิดอนุกรมวิธานของบลูม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/WTURJ/article/view/276054 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์การเรียนรู้การดูแลสุขภาพองค์รวม โดยใช้แนวคิดอนุกรมวิธานของบลูมหรือการจำแนกการเรียนรู้ของบลูม ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ผลการวิเคราะห์ พบว่า (1) การดูแลสุขภาพองค์รวมตามแนวทางเชิงพุทธรรม เป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย (2) การดูแลสุขภาพองค์รวมตามแนวทางการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านจิตพิสัย และ (3) การดูแลสุขภาพองค์รวมตามแนวทางการการส่งเสริมสุขภาพเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านทักษะพิสัย จากผลการวิเคราะห์สามารถนำไปเป็นพื้นฐานการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อสร้างแบบจำลองการเรียนรู้การดูแลสุขภาพองค์รวมต่อไป</p> ศิริวรรณ ชอบธรรมสกุล ฐานริณทร์ หาญเกียรติวงศ์ Copyright (c) 2024 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-12-26 2024-12-26 10 3 243 256