วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc <p> วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการเป็นวารสารวิชาการราย 6 เดือน (2 ฉบับต่อปี) คือ</p> <p> - ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - เดือนมิถุนายน</p> <p> - ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม - เดือนธันวาคม</p> <p> คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยกองบรรณาธิการวารสารมนุษยศาสตร์วิชาการจัดพิมพ์วารสารนี้เพื่อส่งเสริมให้คณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้าวิจัยและเผยแพร่ผลงานวิชาการ ตลอดจนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และศาสตร์อื่นที่เกี่ยวข้อง</p> <p> กองบรรณาธิการวารสารมนุษยศาสตร์วิชาการยินดีรับต้นฉบับผลงานวิชาการดังนี้<br /> - บทความวิจัย (Research Articles) <br /> - บทความวิชาการที่ไม่ใช่งานวิจัย (Academic Articles) <br /> - บทความปริทรรศน์ (Review Articles) <br /> - บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) <br /> ซึ่งเขียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ</p> <p> เนื้อหาของบทความต้องเกี่ยวกับสาขาวิชามนุษยศาสตร์หรือสาขาวิชาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาษา ภาษาศาสตร์ การเรียนการสอนภาษา การแปล วรรณคดี คติชนวิทยา ประวัติศาสตร์ ปรัชญาและศาสนา นิเทศศาสตร์ สารสนเทศศาสตร์ ดนตรี ศิลปะการแสดง ทัศนศิลป์และการท่องเที่ยว</p> en-US rattanaphon.c@ku.th (Assistant Professor Rattanaphon Chuenka, Ph.D.) phanita.ch@ku.th (Phanita Chaidirek) Sun, 29 Jun 2025 21:02:20 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 สองทศวรรษแห่งการสื่อสารความพิการในภาพยนตร์เกาหลี: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/276730 <p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารความพิการในภาพยนตร์เกาหลี โดยวิธีการเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาอย่างเป็นระบบจากภาพยนตร์จำนวน 25 เรื่อง ที่ออกฉายระหว่าง ค.ศ. 2002-2021 อันเป็นช่วงที่ประเทศเกาหลีใต้มุ่งเน้นการผลิตภาพยนตร์เพื่อการส่งออกทางวัฒนธรรม (Kim, 2019) กระบวนการวิจัยใช้กระบวนทัศน์เรื่องเล่า แนวคิดเกี่ยวกับความพิการในบริบทสังคมเกาหลี รวมทั้งศึกษาการเปิดรับสื่อและทัศนคติของคนพิการชาวไทย จำนวน 30 คน ด้วยการคัดเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) ที่มีประสบการณ์ในการรับชมภาพยนตร์เหล่านี้อย่างน้อย 1 เรื่อง ด้วยการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (semi-structure interview)</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าความบกพร่องทางสติปัญญา ทางการได้ยิน ทางการเคลื่อนไหว และออทิสติกเป็นความพิการที่ถูกนำเสนอมากที่สุดตามลำดับ โดยภาพแทนของคนพิการที่ปรากฏในภาพยนตร์แบ่งออกเป็น 7 รูปแบบสำคัญ ประกอบด้วย 1) ผู้ถูกเอาเปรียบจากสังคม 2) ผู้ตกเป็นเหยื่อ 3) ผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ 4) ผู้ขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิต 5) ผู้มีความโกรธแค้น 6) ผู้มีความสามารถพิเศษ 7) ผู้ใช้ชีวิตอิสระ ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่าภาพยนตร์ที่อยู่ในขอบเขตของการศึกษาไม่ปรากฏเนื้อหาการนำเสนอความพิการของผู้สูงอายุและประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศ</p> <p> แม้ว่าความพิการยังคงถูกนำเสนอด้วยมุมมองที่ซ้ำซากอยู่บ้าง เช่น ความน่าสงสาร การตกเป็นเหยื่อ หรือการขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิต แต่ทัศนคติของคนพิการชาวไทยมองว่าภาพยนตร์เกาหลีใช้กลวิธีเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์ ทำให้ตัวละครมีความเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ผูกมัดความพิการไว้กับภาพเหมารวมด้านลบ (negative stereotype) ไม่ติดบ่วงแห่งความน่าสงสารหรือการยัดเยียดให้เป็นคนดีแบบ “ทูตสวรรค์” เพียงอย่างเดียว การสร้างคู่เปรียบเทียบความพิการกับความเปราะบางอื่นของสังคม รวมถึงความขัดแย้งหลายมิติในภาพยนตร์กลายเป็นเครื่องมือสื่อที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ตัวตนของคนพิการในชีวิตจริงและทำให้ความพิการเป็นเรื่องสากล</p> ลักษณ์นัยน์ ทรงเสี่ยงไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/276730 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 บทบาทของนิทานมุกตลกเรื่องเพศเกาหลี: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271618 <p> บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์บทบาทและหน้าที่ของนิทานมุกตลกเรื่องเพศเกาหลี โดยศึกษาจากนิทานที่มีตัวละครบุรุษเป็นตัวละครหลัก จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์และพฤติกรรมของตัวละครเพศชายในนิทานมุกตลกเรื่องเพศเกาหลี พบว่าตัวละครบุรุษที่เป็นตัวละครหลักในนิทานประกอบด้วยพระสงฆ์ ขุนนางและชนชั้นสูง บัณฑิต พ่อค้าและชาวบ้านธรรมดา ซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กับตัวละครสตรีหลากหลายชนชั้นในนิทาน และจากการศึกษาบทบาทหน้าที่ของนิทานมุกตลกเรื่องเพศผ่านการศึกษาตัวละครบุรุษที่มาจากหลากหลายชนชั้นสามารถจำแนกบทบาทของนิทานมุกตลกเรื่องเพศออกเป็น 5 บทบาทหลัก คือ บทบาทด้านการตอกย้ำการครองอำนาจของชนชั้นปกครอง บทบาทด้านการผดุงความยุติธรรมให้สังคม บทบาทด้านการสั่งสอนเรื่องเพศศึกษาและการปรับตัวเพื่ออยู่เป็นครอบครัวใหญ่ บทบาทด้านการสะท้อนและเติมเต็มความปรารถนาของผู้คน และบทบาทด้านการเสียดสีและยั่วล้อเพื่อระบายความคับข้องหมองใจ โดยบทบาททั้งหมดที่กล่าวมาขึ้นอยู่กับว่าจะวิเคราะห์จากมุมใดและให้ความสำคัญกับสิ่งใดเป็นพิเศษ เพราะนิทานหนึ่งเรื่องอาจจะแสดงออกถึงบทบาทหน้าที่ที่มากกว่าหนึ่งบทบาท</p> ศิวัสว์ สุรกิจบวร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271618 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัญหาและแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาเกาหลี เพื่อแรงงานไทยที่จะเตรียมตัวสอบ EPS-TOPIK https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271834 <p> การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อแรงงานไทยที่จะเตรียมตัวสอบ EPS-TOPIK 4 ด้าน คือ ด้านหลักสูตร ด้านผู้สอน ด้านสื่อการเรียนการสอน และด้านผู้เรียน โดยทำการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ครูผู้สอนจำนวน 30 คน และแบบสอบถามแรงงานไทยที่จะเตรียมตัวสอบ EPS-TOPIK จำนวน 384 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจุบันหลักสูตรการสอนภาษาเกาหลีเพื่อแรงงานไทยในโรงเรียนสอนภาษาเกาหลีเป็นหลักสูตรที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ “การติวเข้มระยะสั้น” ให้กับผู้ที่จะตรียมตัวสอบ EPS-TOPIK จึงควรจัดทำหลักสูตรภาษาเกาหลีเบื้องต้นก่อนเข้าเรียนหลักสูตรการติวเข้มระยะสั้นดังกล่าวและควรขยายระยะเวลาหลักสูตรการติวเข้มระยะสั้นให้มากขึ้นเพื่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ 2) ครูผู้สอนส่วนใหญ่ขาดทักษะด้านการสอนและขาดประสบการณ์การทำงานกับชาวเกาหลี จึงควรจัดให้มีการอบรมพัฒนาศักยภาพด้านการสอนและการจัดอบรมเชิงวัฒนธรรมการทำงานร่วมกับชาวเกาหลี เพื่อเป็นองค์ความรู้และสามารถนำไปใช้ในการสอนต่อไป 3) สื่อที่ใช้ในการสอนส่วนใหญ่คือหนังสือมาตรฐานภาษาเกาหลี หรือหนังสือที่ผู้สอนจัดทำขึ้น จึงควรมีการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีความหลากหลายและผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น สื่อออนไลน์ YouTube, TikTok, Facebook เป็นต้น 4) แรงงานผู้เรียนภาษาเกาหลีส่วนใหญ่มีภาระหน้าที่ต้องทำงานจึงไม่มีเวลาเข้าเรียน หลายคนขาดแคลนทุนทรัพย์ ผู้เรียนบางคนคิดว่าภาษาเกาหลียากเกินไปทำให้ขาดแรงจูงใจในการเรียน ควรมีการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาเกาหลี เช่นการพบปะหรือพูดคุยกับผู้มีประสบการณ์การทำงานในประเทศเกาหลีมาก่อน เพื่อถ่ายทอดให้เห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของการสื่อสารภาษาเกาหลี ตลอดจนการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับขั้นตอนการไปทำงานในประเทศเกาหลีอย่างถูกกฎหมาย และสิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น</p> กรนภา บุญพิสุทธิ์ศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271834 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การกลายเป็นสรรพสิ่ง: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/274345 <p><em> </em><em>หมอนรถไฟ</em> (Railway Sleepers) (2016) เป็นภาพยนตร์สารคดีเชิงสังเกตการณ์ (observational documentary) โดยสมพจน์ ชิตเกษรพงศ์ ที่บันทึกภาพชีวิตประจำวันของผู้โดยสาร พนักงานและทิวทัศน์ตามเส้นทางรถไฟทั่วประเทศไทยผ่านการถ่ายทำนานถึงแปดปี ภาพยนตร์สะท้อนบริบทสังคมไทยร่วมสมัยผ่านความหลากหลายของผู้คน ทั้งเพศ วัย เชื้อชาติ ศาสนา และฐานะทางสังคม รวมถึงภาพของสัตว์และสิ่งของต่างๆ ที่ล้วนปรากฏอยู่ทั้งในและนอกตัวรถไฟ สารคดีเรื่องนี้สะท้อนมุมมองแบบหลังมนุษยนิยม (post-humanism) ที่ไม่เพียงนำเสนอโลกจากมุมมองของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเปิดมุมมองใหม่ให้ผู้ชมสัมผัสประสบการณ์เสมือน ‘กลายเป็น’ รถไฟหรือสิ่งอื่น</p> <p> งานศึกษานี้มุ่งสำรวจภาพยนตร์ในแง่ของวิญญาณนิยม (animism) และมุมมองนิยม (perspectivism) ผ่านการวิเคราะห์วิธีการที่ <em>หมอนรถไฟ</em> นำผู้ชมเข้าสู่ประสบการณ์การรับรู้ในมุมมองที่ต่างจากการเป็นตัวเอง โดยการทำให้ผู้ชมเชื่อมโยงกับสรรพสิ่งที่รายล้อมรอบตัว สารคดีนี้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่พาผู้ชม ‘กลายไปเป็น’ สิ่งอื่น ซึ่งเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการดำรงอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งและธรรมชาติของโลก เมื่อผู้ชมเปลี่ยนมุมมอง การมองเห็นและการเข้าใจโลกก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย กล่าวคือผู้ชมไม่ได้เป็นเพียงผู้โดยสารที่ดูจากภายนอก แต่สัมผัสโลกจาก ‘เรือนร่าง’ ของรถไฟ ประสบการณ์การ ‘กลายไปเป็น’ นี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการรับรู้ ความสำนึกรู้และความเข้าใจในชีวิตและโลกผ่านสายตาที่ต่างออกไป</p> ธีรพงศ์ เสรีสำราญ, ไกรวุฒิ จุลพงศธร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/274345 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การแยกต่างตามเพศในสื่อภาพยนตร์กลุ่มบุคคล ที่มีความหลากหลายทางเพศของไทย: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/274006 <p> บทความนี้มุ่งศึกษาลักษณะทางวิธภาษาเพศผ่านการใช้คำบุรุษสรรพนามที่หนึ่งและคำลงท้ายในสื่อภาพยนตร์ไทย โดยมีคำถามการวิจัยคือตัวละครที่ปรากฏในภาพยนตร์กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมีรูปแบบการใช้คำบุรุษสรรพนามที่หนึ่งและคำลงท้ายจำแนกตามเพศผู้พูดอย่างไร คำบุรุษสรรพนามที่หนึ่งและคำลงท้ายเป็นหมวดคำที่จำแนกโดยหน้าที่ของคำตามหลักของนววรรณ พันธุเมธา งานวิจัยนี้จะศึกษาเพียงสรรพนามบุรุษที่หนึ่งและคำลงท้ายซึ่งเกี่ยวพันกับอัตลักษณ์ทางเพศของผู้พูดโดยตรง เนื่องจากเพศเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการแปรทางภาษาที่เรียกว่าการแยกต่างตามเพศ (Sex differentiation) ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากสื่อภาพยนตร์ไทย 3 เรื่อง คือ <em>สตรีเหล็ก ตบโลกแตก</em><em>, พี่ชาย </em><em>M</em><em>y </em><em>H</em><em>ero, Yes or No 2.5 กลับมา เพื่อรักเธอ</em> ซึ่งแทนภาพยนตร์ของกลุ่มคนข้ามเพศ เกย์ เลสเบี้ยนตามลำดับ เนื่องจากภาษาในสื่อภาพยนตร์มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับการใช้ภาษาในบทสนทนาในชีวิตประจำวันและภาพยนตร์ทั้งสามเรื่องมีตัวละครทั้งกลุ่มเพศชายหญิงและบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ</p> <p> การใช้คำสรรพนามและคำลงท้ายของตัวละครในภาพยนตร์กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศของไทยเชื่อมโยงกับกรอบของเพศชายและเพศหญิง ตัวละครในภาพยนตร์จึงใช้คำตามเพศสรีระของตน เว้นแต่กลุ่มคนข้ามเพศ ตัวละครในภาพยนตร์มีรูปแบบการใช้คำบุรุษสรรพนามที่หนึ่งที่ไม่แสดงอัตลักษณ์ทางเพศของผู้พูดเป็นหลัก ในขณะที่คำลงท้ายที่ปรากฏเป็นคำลงท้ายที่แสดงอัตลักษณ์ทางเพศทุกคำ ตัวละครในภาพยนตร์มักใช้คำลงท้ายในการแสดงอัตลักษณ์ทางเพศมากกว่าคำบุรุษสรรพนาม</p> อัครเดช พลีชมภู, ชไมภัค ไม้กลัด, นัทธนัย ประสานนาม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/274006 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ถ้อยคำบูลลี: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/276047 <p> การนิยามคำศัพท์เกี่ยวกับความ(ไม่)สุภาพจากมุมมองของผู้ใช้ภาษาเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากนักวัจนปฏิบัติศาสตร์และคำว่า <em>บูลลี </em>ก็เป็นคำที่ใช้อย่างกว้างขวางในสังคมไทยปัจจุบัน</p> <p> บทความวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมายของคำว่า <em>ถ้อยคำบูลลี</em> หรือคำพูดที่จัดเป็นการบูลลีจากการรับรู้ของผู้พูดภาษาไทยรุ่นอายุวาย (Y) และ (Z) ตามแนวคิดความ(ไม่)สุภาพลำดับที่หนึ่ง เก็บข้อมูลด้วยการสำรวจสื่อออนไลน์ การตอบแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษาพบว่า <em>ถ้อยคำบูลลี</em> มีมิติทางความหมายหลายประการตามการรับรู้ของผู้พูดภาษาไทยรุ่นอายุดังกล่าว แต่มิติทางความหมายส่วนใหญ่เป็นการรับรู้ในทำนองเดียวกัน ทั้งนี้ “เนื้อความ” และ “ผลที่เกิดขึ้น” เป็นมิติทางความหมายเด่น กล่าวคือเป็นข้อคำนึงถึงพื้นฐานในการตัดสินถ้อยคำว่าจัดเป็นการบูลลี นอกจากนี้ <em>ถ้อยคำบูลลี</em> ตามการรับรู้ของผู้พูดภาษาไทย รุ่นอายุดังกล่าวมีขอบเขตทางความหมายกว้างกว่าคำว่า <em>บูลลี</em> ที่สังเคราะห์โดยนักวิชาการด้วย อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษานี้สามารถนำมาสังเคราะห์เป็นข้อเสนอทางความหมายของคำว่า <em>ถ้อยคำบูลลี</em> ในภาษาไทยและนำไปประยุกต์ใช้ในการพิจารณาตัดสินถ้อยคำที่จัดเป็นการบูลลีในสังคมไทยได้</p> ปัทมา เหมือนสมัย, ณัฐพร พานโพธิ์ทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/276047 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 เด็กติดเกม หรือนักกีฬาอีสปอร์ต: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/278167 <p> แม้ว่าอีสปอร์ตจะเป็นกีฬาที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชนมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ “นักกีฬาอีสปอร์ต” ก็ยังไม่ได้รับการยอมรับมากนักในสังคมไทย เพราะต้องต่อสู้กับภาพจำที่คนในสังคมมีต่อ “เด็กติดเกม” การวิเคราะห์ข่าวเกี่ยวกับเด็กติดเกมและบทสัมภาษณ์ของนักกีฬาอีสปอร์ตแสดงให้เห็นความพยายามในการนำเสนออัตลักษณ์ของนักกีฬาอีสปอร์ตเพื่อต่อรองกับภาพตัวแทนของเด็กติดเกมที่มักถูกประกอบสร้างและนำเสนอในด้านลบ กล่าวคือในขณะที่เด็กติดเกมถูกนำเสนอว่าเป็นผู้ที่ต้องได้รับการแก้ไขหรือรักษาเป็นคนผิดปกติและเป็นผู้ที่ทำให้บุคคลรอบข้างเป็นทุกข์ นักกีฬาอีสปอร์ตพยายามนำเสนออัตลักษณ์ของตนว่าเป็นนักกีฬามืออาชีพ เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นผู้ที่มีความฝันและทำตามความฝันของตนเอง สามารถบริหารจัดการเวลาในชีวิตได้ดี อีกทั้งยังทำให้บุคคลรอบข้างมีความสุขและได้รับการสนับสนุนจากบุคคลรอบข้าง ทั้งนี้ เครื่องมือสำคัญที่มีผลต่อการประกอบสร้างภาพตัวแทนและการนำเสนออัตลักษณ์ คือ กลวิธีทางภาษาต่างๆ ทั้งการเลือกใช้คำศัพท์หรือกลุ่มคำ การใช้มูลบท การใช้สหบท การใช้โครงสร้างประโยคแบบเหตุ-ผล การแนะความ การใช้อุปลักษณ์ การใช้โครงสร้างประโยคแบบเงื่อนไขและการใช้โครงสร้างประโยคแสดงความขัดแย้ง</p> รดารัตน์ ศรีพันธ์วรสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/278167 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 โครงสร้างสัมพันธสารปาฐกถาของเสถียร โพธินันทะ: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/270952 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อยในสัมพันธสารปาฐกถาของเสถียร โพธินันทะ ทั้ง 30 เรื่อง โดยใช้กรอบแนวคิดโครงสร้างสัมพันธสารของลองเอเคอร์ที่ผ่านการปรับปรุงโดยสีตลา กนกศิลป์ (Kanoksin, 1989) ผลการวิเคราะห์พบว่าโครงสร้างสัมพันธสารปาฐกถาดังกล่าวประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนกล่าวทักทายที่ทำหน้าที่ทักทายและเปิดการแสดงปาฐกถา ส่วนเกริ่นนำที่ทำหน้าที่แสดงเนื้อหาโดยภาพรวม ส่วนเนื้อเรื่องที่ทำหน้าที่แสดงเนื้อหาอย่างละเอียดและมีการร้อยเรียงประเด็นเนื้อหาเป็นลำดับและส่วนกล่าวลา ซึ่งทำหน้าที่แจ้งการยุติการแสดงปาฐกถา อีกทั้งยังพบว่าในองค์ประกอบหลักส่วนเกริ่นนำและเนื้อเรื่องนั้นพบองค์ประกอบย่อยที่สามารถจำแนกได้ 4 ประเภท ได้แก่ ส่วนการอ้างถึงเหตุการณ์ในอดีต ส่วนการประเมิน ส่วนการให้ตัวอย่างและส่วนการนิยาม องค์ประกอบย่อยทั้ง 4 ส่วนนี้ต่างทำหน้าที่สร้างความเข้าใจเนื้อหาแก่ผู้ฟัง ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าเสถียร โพธินันทะ เป็นผู้มีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้อย่างเป็นระบบผ่านองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบย่อยได้อย่างสัมพันธ์และสอดคล้อง อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นสู่ความเข้าใจผ่านองค์ประกอบย่อยอย่างแท้จริง นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ยังช่วยขยายองค์ความรู้ด้านการศึกษาโครงสร้างสัมพันธสารในตัวบทภาษาพูด</p> อนาวิล สุขเจริญ, ศุภวัจน์ แต่รุ่งเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/270952 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 “ไหนๆ เกิดมาเป็นชาย ชีวิตยังไม่ทำลาย ไม่ควรจะประมาทดูหมิ่นกัน”: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/277180 <p> บทความนี้มุ่งศึกษาการนิยามใหม่ของเพศภาวะของชนชั้นนำสยาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พุทธศักราช 2394-2411) อันเป็นห้วงเวลาที่จักรวรรดินิยมตะวันตกขยายอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สยามต้องเผชิญหน้ากับลัทธิอาณานิคมทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม โดยศึกษาประกาศและพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในประเด็นเพศภาวะทั้งปริมณฑลส่วนพระองค์และปริมณฑลสาธารณะ อันแสดงให้เห็นกระบวนทัศน์เรื่องเพศของผู้ปกครองสยาม บทความร่วมสนทนาทางวิชาการและต่อยอดองค์ความรู้โดยเสนอว่าการทำให้เป็นสมัยใหม่ในมิติเพศภาวะของชนชั้นนำสยาม โดยยกระดับสถานภาพผู้หญิงในทางกฎหมายและสังคมเป็นผลจากการที่ความเป็นชายของราชสำนักสยามถูกท้าทายและคุกคามจากแนวคิดเรื่องเพศแบบตะวันตกที่มาพร้อมกับลัทธิอาณานิคม ประกอบด้วยวาทกรรมสตรีนิยมและความเป็นชายแบบจักรวรรดินิยมตะวันตก ในกระบวนการอาณานิคม ชนชั้นนำสยามรับมือกับวาทกรรมทางเพศโดยปรับแต่งความเป็นหญิงและความเป็นชายให้เข้ากับบรรทัดฐานทางเพศแบบตะวันตก ขณะเดียวกับที่ไม่ละทิ้งคุณค่าจารีตเดิม ดังนั้น ความเป็นหญิงที่ได้รับการนิยามใหม่จึงต้องไม่บ่อนเซาะหรือกระทบต่อความเป็นชายของชนชั้นนำสยาม พร้อมกับที่ชนชั้นนำสยามนำเสนอความเป็นชายแบบใหม่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ทางเพศของชนชั้นปกครอง ควบคู่ไปกับการสร้างสถานะความศิวิไลซ์ของสยามบนเวทีโลกให้ทัดเทียมตะวันตก</p> วรธิภา สัตยานุศักดิ์กุล, กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/277180 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ชนบทนิยมในนวนิยายชุดของไทยช่วง พ.ศ. 2552-2558 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/275308 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุดมการณ์ชนบทนิยมในนวนิยายชุดของไทยช่วง พ.ศ. 2552-2558 โดยศึกษานวนิยายชุดของไทยจำนวน 3 ชุด คือ 1) นวนิยายชุด <em>บ้านไร่ปลายฝัน</em> 4 เรื่อง ได้แก่ <em>ธาราหิมาลัย ดวงใจอัคนี ปฐพีเล่ห์รัก วายุภัคมนตรา</em> 2) นวนิยายชุด<em> แม่ของแผ่นดิน</em> 3 เรื่อง ได้แก่ <em>ประทีปรักแห่งใจ แสงเทียน ร้อยป่าไว้ด้วยรัก</em> 3) นวนิยายชุด <em>ดวงใจเทวพรหม</em> 5 เรื่อง ได้แก่ <em>ลออจันทร์ ขวัญฤทัย ใจพิสุทธิ์ ดุจอัปสร</em> และ <em>พรชีวัน </em>โดยใช้แนวคิดชนบทนิยม (Ruralism) ของเรย์มอนด์ วิลเลียมส์ (Raymond Williams) เป็นเครื่องมือในการศึกษาเนื้อหาจากเรื่องและนำเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่าเนื้อหาของนวนิยายชุดที่นำมาศึกษาในครั้งนี้แฝงอุดมการณ์ชนบทนิยมอย่างเด่นชัดผ่านการประกอบสร้างในตัวบทหลากหลายมิติ ดังนี้ 1) การนำเสนอภาพชนบทโรแมนติกในอุดมคติผ่านการตั้งชื่อนวนิยายและตัวละคร 2) การนำเสนอภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจในชนบทไทย 3) การนำเสนอการโหยหาชีวิตในชนบทของตัวละครตามอุดมการณ์ชนบทนิยม ดังนั้น นวนิยายชุดเหล่านี้จึงมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดชนบทในอุดมคติไปสู่ผู้อ่านได้อย่างทรงพลังและเป็นรูปธรรม สร้างภาพชนบทในอุดมคติที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ชี้นำให้ผู้อ่านตระหนักถึงคุณค่าและศักยภาพของสังคมชนบทในบริบทสมัยใหม่</p> เหลียง จู้นผิง, วีรวัฒน์ อินทรพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/275308 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์และแนวทางการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยว โดยชุมชน ตำบลหัวป่า อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271544 <p> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากลยุทธ์และแนวทางการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชน ตำบลหัวป่า อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยการสำรวจ การสังเกตการณ์ การสัมภาษณ์เชิงลึกและการจัดประชุมกลุ่ม ประเมินคุณภาพเครื่องมือเพื่อตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน วิเคราะห์สภาพแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนด้วยเครื่องมือ SWOT Analysis และนำเสนอกลยุทธ์การพัฒนาศักยภาพชุมชนโดยใช้เครื่องมือ TOWS matrix ผู้ให้ข้อมูลหลักในการศึกษาได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง จำนวน 33 คน ประกอบด้วย (1) กลุ่มผู้นำชุมชน (2) ผู้แทนจากองค์กรภาครัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (3) ผู้แทนจากภาคประชาชน ซึ่งเป็นตัวแทนสมาชิกในแต่ละกลุ่มกิจกรรมที่สามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ ตรวจสอบคุณภาพความถูกต้องและความเที่ยงตรงของข้อมูลด้วยการตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ผลการศึกษาพบว่าการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลหัวป่าควรพัฒนาศักยภาพการดำเนินงานโดยใช้ 4 กลยุทธ์ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ 1 ยกระดับการสื่อสารและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวชุมชน ได้แก่ 1) การสื่อสารและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว 2) การพัฒนาศูนย์เรียนรู้ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรหรือศึกษาดูงาน 3) ส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงมาจากแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น วัดพิกุลทอง วัดอัมพวัน ค่ายบางระจัน และ 4) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กลยุทธ์ที่ 2 การพัฒนาและปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยวชุมชน ได้แก่ 1) การปรับปรุงภูมิทัศน์แหล่งท่องเที่ยว 2) การสร้างแนวเขื่อนกั้นน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา และ 3) การจัดทำแผนป้องกันและรับมือภัยธรรมชาติ กลยุทธ์ที่ 3 การพัฒนาสมรรถนะบุคลากรในการจัดการท่องเที่ยวชุมชน ได้แก่ 1) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทดแทนการพึ่งพาแรงงาน 2) การพัฒนาทักษะในการจัดการท่องเที่ยวชุมชน และ 3) อบรมให้ความรู้และจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน และกลยุทธ์ที่ 4 การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายนอกกับชุมชน ได้แก่ 1) สร้างเครือข่ายความร่วมมือและมอบหมายผู้ประสานงาน และ 2) สร้างเครือข่ายความร่วมมือและเพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์เพื่อลดช่องว่างในการติดต่อสื่อสาร</p> <p> ผลการศึกษาดังกล่าวสามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดการท่องเที่ยวที่สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทของชุมชนต่อไป</p> พิมใจ กาฬภักดี, รำไพ ภูวราห์, สุภาภรณ์ ประสงค์ทัน, พนิต เข็มทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271544 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 “ขอให้โชคเข้าข้างคุณตลอดเกม”: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/278958 <p> การแปลสำนวนเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในการแปลอันเนื่องมาจากความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรมระหว่างภาษาต้นทางกับปลายทาง ผู้แปลจึงมีการใช้กลวิธีการแปลสำนวนที่หลากหลายในการแปลต้นฉบับหนึ่งๆ ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้ คือ เพื่อหาประเภทของสำนวนภาษาอังกฤษในนวนิยายเรื่อง <em>The Hunger Games</em> (2011) ของซูซาน คอลลินส์ และกลวิธีการแปลสำนวนภาษาอังกฤษดังกล่าวเป็นภาษาไทย พร้อมทั้งความสัมพันธ์ของทั้งสองซึ่งยังได้รับการศึกษาไม่มากนัก ข้อมูลทั้งหมด 188 ข้อมูลที่รวบรวมจากนวนิยายฉบับภาษาอังกฤษได้รับการจัดประเภทของสำนวนตามทฤษฎีของเซดล์และแมคมอร์ดี้ (Seidl &amp; McMordie, 1988) และคำแปลภาษาไทยโดยนรา สุภัคโรจน์ ได้รับการวิเคราะห์เพื่อระบุกลวิธีการแปลที่ใช้บ่อยที่สุดตามทฤษฎีของเบเกอร์ (Baker, 2011) ผลการวิเคราะห์ปรากฏว่าพบประเภทของสำนวนทั้ง 8 ของเซดล์และแมคมอร์ดี้ (Seidl &amp; McMordie, 1988) ได้แก่ สำนวนที่ประกอบด้วยคำสำคัญชนิดต่างๆ สำนวนที่มีคำนามและคำคุณศัพท์ สำนวนที่ใช้คำเป็นคู่ สำนวนที่ขึ้นต้นด้วยคำบุพบท สำนวนกริยาวลี สำนวนกริยา สำนวนที่มีคำสำคัญในหมวดหมู่เฉพาะเรื่องและสำนวนที่ใช้การเปรียบเทียบ ในนวนิยายเรื่องนี้พบสำนวนกริยา (Verbal idioms) มากที่สุดถึง 89 สำนวน (ร้อยละ 45.18) ส่วนกลวิธีการแปลสำนวนได้มีการใช้ 5 ใน 6 กลวิธีการแปลสำนวนของเบเกอร์ (Baker, 2011) โดยใช้กลวิธีการแปลแบบถอดความ (Translation by paraphrase) บ่อยที่สุดถึง 142 สำนวน (ร้อยละ 72.08) ในขณะที่ไม่พบการใช้กลวิธีการแปลแบบละการเล่นสำนวน (Omission of a play on idiom) ในข้อมูลที่รวบรวมมา มีความเป็นไปได้ว่าจะมาจากการที่กลวิธีการแปลแบบถอดความเข้าถึงความหมายของสำนวนได้ง่าย ทำให้เป็นประโยชน์ต่อการสื่อความหมายให้เหมาะสมกับแต่ละบริบท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่ไม่มีสำนวนเทียบเคียงในภาษาปลายทางหรือสำนวนหนึ่งมีหลายความหมาย</p> พิชญ์สินี โสพรรณพนิชกุล, ศิริพร เลิศไพศาลวงศ์, อินทิรา บำรุงสาลี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/278958 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การแปลเควียร์: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/280805 <p> งานวิจัยนี้ศึกษาว่าความเป็นเควียร์ถูกถ่ายทอดและตีความใหม่อย่างไรในบริบทวรรณกรรมไทย โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบผลงานแปลไทยสองฉบับของ <em>The Ballad of the Sad Café</em> ซึ่งเป็นผลงานของคาร์สัน แม็กคัลเลอร์ส (Carson McCullers) ใช้การวิเคราะห์ข้อความที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเควียร์จำนวน 209 ข้อความจากฉบับแปลของนวลคำ จันภา (พ.ศ. 2529) และจุฑามาศ แอนเนียน (พ.ศ. 2560) โดยอิงจากทฤษฎีเควียร์ร่วมกับกรอบกลวิธีการแปลสามรูปแบบที่เสนอโดยมาร์ก เดอมง (Marc Démont, 2017) ได้แก่ misrecognizing, minoritizing และqueering ผลการศึกษาพบความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน โดยนวลคำ จันภา ใช้กลวิธี minoritizing 73.52% และ misrecognizing 19.1% ขณะที่ queering ปรากฏเพียง 7.38% ในขณะที่จุฑามาศ แอนเนียน ใช้กลวิธี queering สูงถึง 95.08% และใช้กลวิธีอื่นเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ยังวิเคราะห์บริบทของพาราเทกซ์และบริบทเชิงสถาบันเพื่อทำความเข้าใจว่าแรงขับทางวัฒนธรรมในวงกว้างมีอิทธิพลต่อการแปลแต่ละฉบับอย่างไร ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการแปลเป็นการกระทำที่ฝังอยู่ในบริบททางวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลต่อการทำให้ความเป็น เควียร์ปรากฏหรือเลือนหายไป งานวิจัยนี้มีส่วนช่วยเสริมองค์ความรู้ด้านการแปลเควียร์ โดยแสดงให้เห็นว่าอุดมการณ์และบรรทัดฐานของวงการสำนักพิมพ์ที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลต่อการถ่ายทอดความเป็นเควียร์ในช่วงเวลาต่างๆ</p> เพ็ญนภา เรียบร้อย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/280805 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษามุมมองย้อนหลังที่มีต่อการประเมินผล ในรูปแบบออนไลน์: https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/276033 <p> ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงการจัดการเรียนการสอนสู่รูปแบบออนไลน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ครูผู้สอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศในระดับมหาวิทยาลัยของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องการประเมินผล ส่งผลให้แนวปฏิบัติและวิธีการประเมินผลออนไลน์ของครูผู้สอนมีความหลากหลายอย่างมากในช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้</p> <p> แม้การประเมินผลออนไลน์ยังคงถูกใช้อย่างต่อเนื่องหลังการแพร่ระบาด แต่การศึกษาเชิงประจักษ์ที่เจาะลึกมุมมองและแนวปฏิบัติของครูและผู้เรียนภาษาอังกฤษในประเทศไทยเกี่ยวกับการประเมินผลออนไลน์นั้นยังมีอยู่ค่อนข้างน้อย ช่องว่างการวิจัยนี้ครอบคลุมถึงมุมมองของผู้เรียนที่มีต่อผู้สอนและมุมมองของผู้สอนที่มีต่อผู้เรียนในการประเมินผลแบบออนไลน์ ดังนั้นงานวิจัยแบบผสมผสานนี้จึงมีเป้าหมายเพื่อศึกษามุมมองย้อนหลังของครูและผู้เรียนภาษาอังกฤษในระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยที่มีต่อการประเมินผลออนไลน์ การศึกษานี้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับครูผู้สอน 41 คน ครูผู้ประสานงานรายวิชา 11 คน และผู้เรียน 320 คนเพื่อสำรวจมุมมองและประสบการณ์เกี่ยวกับการประเมินผลออนไลน์ พร้อมทั้งดำเนินการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างกับผู้เรียนที่คัดเลือกโดยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง 50 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึก</p> <p> การศึกษานี้พบว่าวิธีการประเมินยังคงเหมือนเดิมทั้งก่อนและระหว่างการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ แต่มีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนคะแนน ผลการวิจัยยังเผยให้เห็นมุมมองเกี่ยวกับการประเมินผลออนไลน์ที่ขัดแย้งกันระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน แม้ว่าครูจะมีมุมมองในเชิงลบโดยแสดงความกังวลเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ของผู้เรียน ความยุติธรรมและความน่าเชื่อถือในการประเมินผลออนไลน์ แต่ผู้เรียนนั้นมีทัศนคติที่ดีต่อการประเมินผลในรูปแบบนี้</p> <p> ข้อมูลเชิงลึกจากการศึกษานี้นำไปสู่การวางแผนและดำเนินการประเมินผลออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของการศึกษาระดับอุดมศึกษา</p> สาวิกา วราภรณ์, ธารินี บุญยืน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/276033 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของการใช้ Kahoot! ต่อการเรียนรู้คำศัพท์ และมุมมองของนักเรียนและครู https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/275264 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของ Kahoot! ต่อการเสริมสร้างความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยและเพื่อสำรวจการรับรู้ของนักเรียนและครูต่อการใช้ Kahoot! ในสถานศึกษา โดยครูสอนภาษาอังกฤษชาวไทยหนึ่งคนและนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 60 คนเป็นผู้เข้าร่วม ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมที่ได้รับการสอนคำศัพท์โดยใช้วิธีการสอนแบบดั้งเดิมและกลุ่มทดลองที่ได้รับการสอนคำศัพท์ผ่านการใช้ Kahoot! การเก็บรวบรวมข้อมูลดำเนินการโดยใช้แบบทดสอบ (การทดสอบก่อนเรียน การทดสอบหลังเรียน การทดสอบแบบเว้นระยะและการทดสอบทันที) แบบสอบถามและการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า Kahoot! มีประสิทธิภาพมากกว่าในการทดสอบระยะสั้น อีกทั้งการทดสอบแบบเว้นระยะแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในความรู้คำศัพท์ด้านการรับสารระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม โดยที่กลุ่มทดลองมีผลลัพธ์ดีกว่ากลุ่มควบคุม หลังการใช้ Kahoot! นักเรียนในกลุ่มทดลองมีพัฒนาการด้านความรู้คำศัพท์ด้านการรับสารมากกว่าความรู้ด้านการส่งสาร ในด้านการรับรู้ ทั้งนักเรียนและครูมีทัศนคติเชิงบวกต่อ Kahoot! ในฐานะเครื่องมือการเรียนรู้และการสอนคำศัพท์</p> เขตตะวัน หัตถี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/275264 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาต้นแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ในการสื่อสารเพื่อให้ความรู้ด้านปลาทะเลสวยงาม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/278143 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้งานต้นแบบแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับเลี้ยงปลาทะเลสวยงาม 2) ศึกษาความต้องการต้นแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้เลี้ยงปลาทะเลสวยงาม 3) ออกแบบและพัฒนาต้นแบบแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับผู้เลี้ยงปลาทะเลสวยงาม กลุ่มตัวอย่างคือผู้ที่มีความสนใจเลี้ยงปลาทะเลจำนวน 400 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์ ใช้วิธีสุ่มแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็นโดยการสุ่มแบบเจาะจง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างมีวัตถุประสงค์ในการเลี้ยงปลาทะเลสวยงามเพื่อการศึกษา ปัญหาที่พบคือขาดความรู้ในการเลี้ยง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อคือความสวยงาม เนื้อหาที่กลุ่มตัวอย่างสนใจสืบค้นข้อมูลคือชนิดของปลาทะเลสวยงาม 2) กลุ่มตัวอย่างต้องการต้นแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ในรูปแบบแอปพลิเคชัน โดยใช้ไอคอนประเภทเส้น ตัวอักษรแบบไม่มีเชิงและสีน้ำเงิน ขาว ด้านเนื้อหา กลุ่มตัวอย่างต้องการภาษาสื่อสารที่เข้าใจง่าย เนื้อหาครอบคลุม มีบทสรุปชัดเจน ด้านฟังก์ชัน กลุ่มตัวอย่างต้องการให้มีการจัดหมวดหมู่ข้อมูลอย่างชัดเจน ค้นหาสะดวก ฟังก์ชันสำหรับปรึกษาปัญหากับผู้เชี่ยวชาญ ฟังก์ชันการจำลองสถานการณ์และฟังก์ชันภาษาไทย 3) ต้นแบบแพลตฟอร์มออนไลน์มีการออกแบบให้ใช้งานง่ายจัดวางองค์ประกอบอย่างเหมาะสม เช่น ขนาดตัวอักษร รูปภาพ การแสดงผลบนหน้าอุปกรณ์มีความเรียบง่าย ใช้ไอคอน สีและตัวอักษรที่ทันสมัย อ่านง่าย สื่อสารได้ชัดเจน</p> พีรณัฐ นวรัตน์ ณ อยุธยา, ทักษยา วัชรสารทรัพย์, ภานนท์ คุ้มสุภา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/278143 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 “เสียงแห่งแรงบันดาลใจในห้วงภวังค์” สำหรับวงโมเดิร์นอิเล็กทริกอองซอมเบิล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271812 <p> บทประพันธ์เพลง “เสียงแห่งแรงบันดาลใจในห้วงภวังค์” สำหรับวงโมเดิร์นอิเล็กทริกอองซอมเบิลมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสรรค์บทประพันธ์เพลงผ่านจินตนาการความฝันเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดและการตีความจากสิ่งที่เป็นนามธรรม โดยนำมาถ่ายทอดในลักษณะศิลปะเกี่ยวกับเสียง รวมถึงการศึกษาค้นคว้ารายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความฝัน เช่น ทฤษฎีของซิกมันต์ ฟรอยด์ คาร์ล ยุง อัลเฟรด แอดเลอร์ คาร์ล กุสตาฟ คารุส อีกทั้งการวิเคราะห์บทประพันธ์ของคีตกวีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความฝันและวิธีการเชื่อมโยงจินตนาการไปสู่ทฤษฎีดนตรี ทฤษฎีเสียง ผู้วิจัยได้ทำการจดบันทึกสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏในความฝัน เช่น สถานที่ อารมณ์ความรู้สึก วัตถุต่างๆ แล้วนำมาสร้างสรรค์เสียงจากการตีความสิ่งเหล่านั้น โดยใช้เทคนิควิธีการที่ได้ศึกษาจากการประพันธ์หลากหลายประเภท ได้แก่ อะคูสติกมิวสิค อิเล็กทรอนิกส์มิวสิค อิเล็กโทรอะคูสติกมิวสิค มิวสิคคอนเคร็ต ซาวด์สเคป นำมาผสมผสานเพื่อให้ได้งานสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด</p> ประทีป เจตนากูล, วีรชาติ เปรมานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271812 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 การสร้างสรรค์เดี่ยวฆ้องวงใหญ่ “เพลงเดี่ยวคู่ วิเวกเวหา-สาลิกาชมเดือน สามชั้น” https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/275086 <p> การวิจัยครั้งนี้มุ่งต่อยอดและพัฒนาองค์ความรู้จากงานวิจัยเรื่อง องค์ความรู้ศิลปินดนตรีไทย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์สงบศึก ธรรมวิหาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทและสร้างสรรค์เพลงวิเวกเวหาและเพลงสาลิกาชมเดือน สามชั้น เป็นเพลงเดี่ยวฆ้องวงใหญ่ในลักษณะ “เพลงเดี่ยวคู่” ตลอดจนบันทึกเป็นโน้ตและสื่อสารสนเทศ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและวิจัยสร้างสรรค์ ประกอบด้วยการศึกษาเอกสารวิชาการ การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ การสร้างสรรค์เพลงเดี่ยว การบันทึกโน้ตและสื่อสารสนเทศ <br />การวิเคราะห์ผลงานสร้างสรรค์และการเผยแพร่สื่อสารสนเทศต่อสาธารณะ (สื่อออนไลน์)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าเพลงวิเวกเวหาและเพลงสาลิกาชมเดือน สามชั้น ไม่ทราบนามผู้แต่ง สันนิษฐานว่าประพันธ์ขึ้นช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยตั้งชื่อให้คล้องจองกัน โครงสร้างเพลงมีท่อนเดียว 4 จังหวะ หน้าทับปรบไก่ ทำนองไพเราะเยือกเย็น ลีลาสำนวนเรียบๆ แบบโบราณ ทำนองอยู่ในทางนอก (รมฟxลทx) และทางใน (ลทดxมฟx) บางช่วงมีการเปลี่ยนบันไดเสียงกะทันหัน สังคีตลักษณ์ คือ กขกค // และ กขคข // ตามลำดับ</p> <p> การสร้างสรรค์ทางเดี่ยวมีความสอดคล้องและเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบกับแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ประพันธ์ในลักษณะ “เพลงเดี่ยวคู่” ลีลาทางเดี่ยวส่วนใหญ่ยึดทำนองหลัก บันไดเสียงและแปรทำนองหลักเป็นทางเดี่ยวอย่างชัดเจน เที่ยวแรกประหนึ่งทางหวาน เที่ยวกลับทางเก็บ ลีลาเน้นทักษะการสร้างความคมชัดของเสียงฆ้อง ความแม่นยำและความคล่องแคล่วมือซ้ายขวาของผู้บรรเลง โดยเฉพาะทางเดี่ยวเที่ยวกลับ เพลงวิเวกเวหาเน้นทักษะในการใช้มือขวาและเพลงสาลิกาชมเดือนเน้นทักษะในการใช้มือซ้าย อัตลักษณ์คือมีบางประโยคหยุดบรรเลงขณะที่มีการดำเนินจังหวะฉิ่งและจังหวะหน้าทับ มีกลวิธีพิเศษ “การตีไล่เสียงต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว” ซึ่งพบได้น้อยในทางเดี่ยวสำนวนอื่น</p> <p> การสร้างสรรค์เดี่ยวฆ้องวงใหญ่ครั้งนี้เป็นการเพิ่มเติมและขยายขอบเขตเดี่ยวฆ้องวงใหญ่ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นและแสดงถึงความสามารถในการประพันธ์ทางเดี่ยวฆ้องวงใหญ่ของผู้วิจัย ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ สืบสานและต่อยอดองค์ความรู้ในวัฒนธรรมดนตรีไทยอันเป็นสมบัติทางศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติให้มีความยั่งยืนและรุ่งโรจน์สืบไป</p> อัศนีย์ เปลี่ยนศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/275086 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 กองบรรณาธิการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/281728 รัตนพล ชื่นค้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/281728 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 ถ้อยแถลงจากบรรณาธิการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/281731 รัตนพล ชื่นค้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/281731 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 พินิจการบรรเลงลดเสียงในเพลงเรื่องฉิ่งพระฉัน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271024 <p> วัฒนธรรมมุขปาฐะเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การบรรเลงดนตรีไทยมีความหลากหลายและเกิดธรรมเนียมปฏิบัติบางประการ การลดเสียงในเพลงฉิ่งพระฉันเป็นวิธีการบรรเลงที่นิยมปฏิบัติกันโดยทั่วไป บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบคำถามว่าเหตุใดเพลงฉิ่งพระฉันจึงมีธรรมเนียมการบรรเลงแบบลดเสียงลงเสียงหนึ่ง โดยพิจารณาเรื่องความสอดคล้องกันของเสียงเป็นระเบียบวิธีการวิจัย ผลการศึกษาพบว่า การลดเสียงในเพลงเรื่องฉิ่งพระฉันอาจมีที่มาจากการพิจารณาความสอดคล้องกันของลูกตกหรือเสียงสุดท้ายของแต่ละท่อน การลดเสียงในเพลงยิกินใหญ่หรือฉิ่งสี่ท่อนซึ่งเป็นส่วนที่ 1 ในเพลงฉิ่งพระฉันนั้นทำให้ลูกตกของแต่ละท่อนเป็นเสียงเดียวกับชุดเพลงฉิ่งในส่วนที่ 2 นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับการเปลี่ยนอัตราจังหวะในเพลงเรื่องอื่นๆ อีกด้วย</p> นาวิน โบษกรนัฏ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/271024 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 มุมมองมรดกทางวัฒนธรรมตะวันออกกลาง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเครื่องดนตรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/280184 <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอองค์ความรู้ของเครื่องดนตรีที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมจากดินแดนตะวันออกกลางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการศึกษาได้ใช้แนวทางจำแนกเครื่องดนตรีของระบบซากส์-ฮอนบอสเทล ได้แก่ 1) เครื่องลม 2) เครื่องสาย 3) เครื่องหนังหรือกลอง และ 4) เครื่องกระทบ จากการศึกษาพบว่าเครื่องดนตรีจากวัฒนธรรมดนตรีตะวันออกกลางที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วย 2 กลุ่มเครื่องดนตรี กลุ่มแรกคือ<br />กลุ่มเครื่องสาย ได้แก่ เครื่องสายประเภทดีดที่มี 5-6 คู่สาย เรียกว่า <em>อูด </em>ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรียกว่า <em>กัมบุส</em> ซึ่งพบว่ามี 2 ชนิดคือ <em>กัมบุส</em>ที่มีรูปทรงส่วนหลังโค้ง เรียกว่า <em>กัมบุส ทราดาเมา </em>และ<em>กัมบุส</em>ที่มีขนาดเล็กกว่า มีรูปทรงคล้ายลูกแพร เรียกว่า <em>กัมบุส มลายู </em>ปัจจุบันเครื่องดนตรีมีบทบาทสำคัญในดินแดนกลุ่มประเทศหมู่เกาะ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย บรูไน และในกลุ่มชนเชื้อสายมาเลย์ในประเทศสิงคโปร์ ลำดับถัดมาคือเครื่องสายประเภทสีที่มี 4 สาย เรียกว่า <em>รีบับ</em> ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก<br />เฉียงใต้พบว่าเครื่องดนตรีมีขนาดหลากหลาย มีความยาวทั้งหมดตั้งแต่ 42-54 นิ้ว ส่วนกะโหลกซอมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6-8 นิ้ว แต่เครื่องดนตรีได้ลดจำนวนสายลงจากเดิม 4 สาย เหลือ 2-3 สาย ซึ่งพบรี<em>บับ</em>ที่มี 2 สายในอินโดนีเซีย ในขณะที่มาเลเซียพบทั้ง 2 สาย และ 3 สาย รวมถึงในแถบภาคใต้ของประเทศไทย กลุ่มสุดท้ายคือเครื่องหนังหรือกลอง ประกอบด้วยกลองรูปทรงเหยือกน้ำขึงหนังหน้าเดียว เรียกว่า <em>ดาบูกะ</em> และกลองที่มีลำตัวตื้น เรียกว่า <em>ดัฟ </em>กลองทั้ง 2 ชนิดได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นผลให้กลองมีขนาด วิธีการบรรเลง รวมถึงการเรียกชื่อที่แตกต่างกันไปเมื่อไปปรากฏในแต่ละวัฒนธรรมดนตรี</p> ศรัณย์ นักรบ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/280184 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700 จริยธรรมการตีพิมพ์ผลงานในวารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/281736 รัตนพล ชื่นค้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/281736 Sun, 29 Jun 2025 00:00:00 +0700