นิตยสารบทบัณฑิตย์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/botbundit <p><strong>นิตยสารบทบัณฑิตย์</strong></p> <p><strong>ISSN :</strong> <u>0857-2992</u></p> <p><strong>กำหนดออก </strong><strong>: </strong>ออกเผยแพร่ปีละ 4 ตอน ตอน 1 ประจำเดือนมกราคม - มีนาคม ตอน 2 ประจำเดือนเมษายน - มิถุนายน ตอน 3 ประจำเดือนกรกฎาคม - กันยายน และตอน 4 ประจำเดือนตุลาคม – ธันวาคม</p> <p>นิตยสารบทบัณฑิตย์มีจุดประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิชาการ บทความวิจัยและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการในสาขานิติศาสตร์และสาขาวิชาอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความรู้ทางวิชาการแก่สังคมทั่วไปและเพื่อเป็นเอกสารประกอบการศึกษาค้นคว้าและการอ้างอิง</p> <p>กองบรรณาธิการนิตยสารบทบัณฑิตย์ยินดีรับบทความวิชาการ บทความวิจัยฎีกาวิเคราะห์ ปกิณกะกฎหมาย บทวิจารณ์หนังสือและบทความปริทัศน์ ซึ่งจะมีผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่าน พิจารณาและประเมินบทความทุกเรื่องอย่างเป็นธรรมด้วยกระบวนการที่เป็นอิสระและเชื่อถือได้ของกองบรรณาธิการ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายหน่วยงาน</p> <p>กองบรรณาธิการจะเก็บรักษาความลับเกี่ยวกับบทความที่อยู่ระหว่างการพิจารณาลงตีพิมพ์ในบทบัณฑิตย์ รวมทั้งกำกับให้การพิจารณาประเมินคุณภาพบทความเป็นไปตามรูปแบบที่ <strong>ผู้เขียนบทความไม่ทราบชื่อผู้ประเมินบทความ และผู้ประเมินบทความไม่ทราบชื่อผู้เขียนบทความ (Double-blinded review)</strong> และรักษามาตรฐานด้านจริยธรรมและทรัพย์สินทางปัญญาให้ปราศจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการส่งบทความ : </strong>ปัจจุบันนิตยสารบทบัณฑิตย์ <strong>ไม่มีนโยบายในการเก็บเงินค่าธรรมเนียมการส่งบทความ </strong>กับผู้เขียนบทความ เพื่อตีพิมพ์ในนิตยสารบทบัณฑิตย์ โปรดระวังมีบุคคลแอบอ้างเรียกเก็บเงิน ซึ่งทางนิตยสารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ขอรับผิดชอบโดยประการทั้งปวง</p> เนติบัณฑิตยสภา (The Thai Bar) th-TH นิตยสารบทบัณฑิตย์ 0857-2992 บทวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2567 และที่ 3670/2567 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/botbundit/article/view/283013 <p> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์หลักกฎหมายตามบทบัญญัติแห่งประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2567 และหลักกฎหมาย ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2567</p> <p> ในกรณีที่จำเลยขับรถยนต์ขณะเมาสุราเป็นเหตุให้เฉียวชนกับรถยนต์ของผู้อื่น เจ้าของรถ ที่ถูกเฉี่ยวชนในฐานะผู้เอาประกันภัยได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยตามจำนวน เงินเอาประกันภัยแล้ว ต่อมาเจ้าของรถได้ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็น ค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ในคดี อาญาที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลย ศาลพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าของรถ และจำเลยได้ชำระเงินให้แก่เจ้าของรถครบถ้วนตามคำพิพากษาแล้ว ต่อมาบริษัทประกันภัยจะฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากการเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าของรถอีกได้หรือไม่ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2567 ซึ่งผู้เขียนมีข้อสังเกตในหมายเหตุท้ายฎีกา</p> <p> การที่ศาลจะมีคำสั่งขยายหรือย่นระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 จำเป็นจะต้องมีพฤติการณ์พิเศษหรือไม่ และในกรณีที่คำร้องขอขยายระยะเวลาอ้าง เหตุผลส่วนตัวของผู้ร้องอันไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 บัญญัติไว้ ศาลจะมีอำนาจโดยทั่วไปมีคำสั่งให้ขยายกำหนดเวลาให้ได้อยู่หรือไม่ ศาลฎีกา ได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2567 ซึ่งผู้เขียนมีข้อสังเกตในหมายเหตุท้ายฎีกา</p> ศาสตราจารย์พิเศษไพโรจน์ วายุภาพ สิตานันท์ ศรีวรกร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เนติบัณฑิตยสภา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 81 3 1 11 บก.บอกกล่าว https://so04.tci-thaijo.org/index.php/botbundit/article/view/283762 ดร.สุรสิทธิ์ แสงวิโรจนพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เนติบัณฑิตยสภา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 81 3 การศึกษาเชิงประวัติศาสตร์กฎหมายว่าด้วยหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/botbundit/article/view/280821 <p> บทความนี้มุ่งศึกษาหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อธิบายแนวคิด ทฤษฎี พัฒนาการของหลักการดังกล่าวในบริบทของกฎหมายไทย ซึ่งแบ่งเนื้อหา ออกเป็น 4 ส่วนสำคัญ โดยส่วนแรก ว่าด้วยหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีที่มา จากทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ ทฤษฎีสัญญาประชาคม และทฤษฎีก่อตั้งองค์กรสูงสุดทางการเมือง ของซีเอเยส์ ส่วนที่สอง คือวิธีการทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด พบว่า มี 4 รูปแบบ คือการรับรองไว้โดยชัดแจ้งว่าเป็นกฎหมายสูงสุด การบัญญัติว่ากฎหมายใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ใช้บังคับมิได้ การมีองค์กรที่คุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุด และการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ยาก ยิ่งกว่ากฎหมายธรรมดา ส่วนที่สาม กล่าวถึงพัฒนาการของแนวคิดเรื่องรัฐธรรมนูญในประเทศไทย ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ซึ่งพบว่า แม้ไม่มีการใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ แต่มีความพยายามในการวางรากฐานการจำกัดอำนาจและสร้างรูปแบบการปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตย</p> <p> ส่วนสุดท้าย เป็นส่วนสำคัญโดยนำเสนอบทบัญญัติว่าด้วยหลักความเป็นกฎหมายสูงสุด ในประวัติศาสตร์รัฐธรรมนูญไทย ซึ่งพบว่า ได้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรก ช่วงที่บทบัญญัติ ไม่มีความชัดเจนของหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญในยุคเริ่มแรกของการเปลี่ยนแปลง การปกครอง พ.ศ. 2475 ระยะที่สอง มีบทบัญญัติซึ่งบัญญัติว่ากฎหมายใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมายนั้นใช้บังคับมิได้ และระยะที่สาม ช่วงที่มีการรับรองไว้โดยชัดแจ้งว่ารัฐธรรมนูญเป็น กฎหมายสูงสุด ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. 2540 ฉบับปี พ.ศ. 2550 และ ฉบับปี พ.ศ. 2560</p> ดร.กิตติศักดิ์ หนูชัยแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เนติบัณฑิตยสภา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 81 3 12 39 การกำหนดเหตุฉกรรจ์สำหรับความผิดฐานยักยอก ศึกษากรณี : การยักยอกเงินบริจาค https://so04.tci-thaijo.org/index.php/botbundit/article/view/280695 <p> บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาและวิเคราะห์ถึงปัญหาบทบัญญัติอันเป็น ความผิดพื้นฐานและเหตุฉกรรจ์ในความผิดอาญาฐานยักยอก ในปัจจุบันนั้นยังมีขอบเขตความรับผิด และบทกำหนดโทษที่ไม่ครอบคลุมถึงกรณียักยอกเงินบริจาค โดยที่ผู้กระทำอาศัยมูลค่าของเงินบริจาคและความเดือดร้อนของผู้ตกทุกข์ได้ยากหรือด้อยโอกาสเป็นมูลเหตุจูงใจในการกระทำ ความผิด ซึ่งถือว่าผู้กระทำมีพฤติการณ์ที่ชั่วร้ายมากกว่าการยักยอกทรัพย์ทั่วไปของส่วนบุคคล แสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิด ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย จึงสมควรที่จะถูกตำหนิโดยสังคม ตลอดจนได้รับการลงโทษจากการกระทำของตนนั้น นอกจากนี้ สังคมไทยยังคงเป็นสังคมแห่ง การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ การยักยอกเงินบริจาคจึงมีโอกาสในการเกิดการกระทำความผิดมากกว่า การยักยอกทรัพย์ทั่วไปของส่วนบุคคล เมื่อความผิดดังกล่าวมีโอกาสในการเกิดการกระทำความผิด มาก ย่อมสร้างความเสียหายอย่างแท้จริงให้กับสังคมอย่างมาก ทั้งผลกระทบต่อภาคประชาชน และการบังคับใช้กฎหมาย จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเป็นการเฉพาะและบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น เพื่อเป็นการยับยั้งอาชญากรรมในสังคม</p> <p> ดังนั้น เพื่อให้โทษที่จะบังคับแก่กรณีดังกล่าวมีความสอดคล้องต่อสภาพการณ์ใน ปัจจุบันและ ได้สัดส่วนกับความร้ายแรงที่เกิดขึ้นต่อสังคมอย่างแท้จริงตลอดจนความชั่วร้ายภายใน จิตใจของผู้กระทำความผิด อนึ่ง เพื่อให้กฎหมายอาญาในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุม พฤติกรรมของบุคคลในสังคมและสามารถข่มขู่ ยับยั้ง การกระทำความผิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เท่าทันต่อลักษณะของการกระทำความผิดในปัจจุบัน ผู้วิจัยจึงเห็นว่า เงินบริจาคสมควรได้รับ ความคุ้มครองจากกฎหมายเป็นพิเศษกว่าทรัพย์สินทั่วไปที่เป็นของส่วนบุคคล โดยกำหนดเหตุฉกรรจ์ เพิ่มเติมให้การยักยอกเงินบริจาคนั้นเป็นเหตุฉกรรจ์สำหรับความผิดฐานยักยอกให้ผู้กระทำความผิด ต้องได้รับโทษหนักขึ้นเป็นพิเศษกว่าการยักยอกกรณีทั่ว ๆ ไป</p> คณิศร ภาณุพินทุ รองศาสตราจารย์อัจฉรียา ชูตินันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เนติบัณฑิตยสภา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 81 3 40 82 การคุกคามทางเพศ กรณีผู้เสียหายกลุ่มเปราะบาง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/botbundit/article/view/280896 <p> บทความนี้มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการคุกคามทางเพศที่เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อสังคมโดยเฉพาะในกลุ่มผู้เสียหายที่มีความเปราะบางที่ได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษตามรัฐธรรมนูญ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจรวมถึงสตรีมีครรภ์ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมของการคุกคามทางเพศเนื่องจากความอ่อนแอทาง ชีวภาพ แต่กฎหมายอาญาปัจจุบันในฐานความรับผิดคุกคามทางเพศที่กฎหมายยังไม่ครอบคลุมถึง ลักษณะของกระทำคุกคามทางเพศที่เกี่ยวกับผู้เสียหายกลุ่มเปราะบางไว้เป็นการเฉพาะ ส่งผลให้ยัง ไม่สามารถข่มขู่ยับยั้งอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับบุคคลกลุ่มนี้ ตลอดจนไม่สามารถลดการกระทำผิดซ้ำ ในการคุกคามทางเพศผู้เสียหายกลุ่มเปราะบางได้</p> <p> ในประเทศไทยนั้นได้มีการบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ตามมาตรา 397 ที่บังคับ ใช้ในกรณีความผิดฐานคุกคามทางเพศ ปัจจุบันยังมิใช่บทบัญญัติที่ใช้บังคับโดยตรงเนื่องจาก การคุกคามทางเพศมีลักษณะที่ไม่มีการสัมผัสเนื้อตัวร่างกาย แต่มีผลกระทบต่อสภาวะจิตใจของถูกกระทำ ทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ และเกิดความวิตกกังวลโดยเฉพาะกลุ่ม บุคคลที่มีความอ่อนแอทางชีวภาพที่ได้รับการการคุ้มครองจากรัฐเป็นพิเศษตามรัฐธรรมนูญที่ตกเป็น เหยื่ออาชญากรรมมากที่สุด เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายเป็นการเฉพาะ จึงทำให้กฎหมายที่บังคับ ใช้ขาดความชัดเจนแน่นอน ทำให้ยากแก่การตีความกฎหมายและมีความคลุมเคลือในการเข้าใจ ลักษณะหรือรูปแบบในการถูกคุกคามทางเพศซึ่งทำให้ไม่สอดคล้องกับความร้ายแรงของอาชญากรรม ที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายกลุ่มเปราะบาง โดยบทความนี้นำเสนอเกี่ยวกับการตีความกฎหมายคุกคาม ทางเพศ กรณีผู้เสียหายกลุ่มเปราะบางประเภทใดบ้างควรได้รับความคุ้มครองในฐานความผิดนี้ ตลอดจนกำหนดอัตราโทษที่เหมาะสมกับสัดส่วนการกระทำความผิดต่อคนกลุ่มนี้เป็นเหตุฉกรรจ์ เพื่อแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศผู้เสียหายกลุ่มเปราะบางให้มีความเหมาะสมและสามารถข่มขู่ ยับยั้งอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับบุคคลกลุ่มนี้ และลดการกระทำผิดซ้ำในการคุกคามทางเพศ ผู้เสียหายกลุ่มเปราะบางได้ต่อไปในอนาคต</p> อรพรรณ พรหมดี รองศาสตราจารย์อัจฉรียา ชูตินันทน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 เนติบัณฑิตยสภา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-09-29 2025-09-29 81 3 83 117