วารสารการบริหารท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals <p>วารสารการบริหารท้องถิ่น (Local Administration Journal) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางและเวทีในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของนักวิชาการ นักวิจัย ผู้บริหาร และนักปฏิบัติ ตลอดจนประชาชนผู้สนใจทั่วไป ทั้งในและต่างประเทศ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปกครองระดับท้องถิ่นในเชิงบูรณาการ หรือเป็นงานวิจัยในลักษณะสหวิทยาการ อาทิ รัฐประศาสนศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การจัดการ สังคมศาสตร์ หรือสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการปกครองในระดับท้องถิ่น วารสารการบริหารท้องถิ่นตีพิมพ์เผยแพร่บทความทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย</p> <p>วารสารการบริหารท้องถิ่นเป็นวารสารที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) กลุ่ม 1 และมีกำหนดออกปีละ 4 ฉบับ (มกราคม-มีนาคม, เมษายน-มิถุนายน, กรกฎาคม-กันยายน และตุลาคม-ธันวาคม) </p> en-US <p>บทความทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ทั้งรูปเล่มและบทความออนไลน์ เป็นลิขสิทธิ์ของวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น</p> cola.laj@gmail.com (Grichawat Lowatcharin) nasriha@kku.ac.th (Ms. Nattaya Srihanarm) Mon, 29 Sep 2025 09:54:57 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวคิดอุปถัมภ์เชิงเปรียบเทียบ: นิยามในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมือง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/277350 <p>คำว่า “อุปถัมภ์” มักถูกตีความในบริบททางเศรษฐกิจสังคม วัฒนธรรม และการเมือง โดยเฉพาะการให้ความหมายทางการเมือง ถูกมองในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก บทความนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะสำรวจนิยามทั้งแง่บวกและแง่ลบของคำว่าอุปถัมภ์เพื่อให้เข้าใจถึงนัยของการอุปถัมภ์ในขอบเขตข้างต้นได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ บทความจะเปรียบเทียบนิยามคำว่าการอุปถัมภ์ในบริบททั้งทางประวัติศาสตร์และบริบทของการเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน รวมถึงการนำเสนอถึงความเห็นที่เกี่ยวข้องกับการอุปถัมภ์ในสังคมและการเมืองของไทย การวิเคราะห์นิยามคำว่าอุปถัมภ์จะพิจารณาว่า ถูกตีความภายใต้ฐานคติอะไร ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจแนวคิดดังกล่าวอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น</p> ศุภวัฒน์ ปภัสสรากาญจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/277350 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 Repackaging Agricultural Research Information for Adoption of Improved Farming Practices among Sorghum Farmers in Dodoma Region, Tanzania https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/277446 <p>Promoting the adoption of improved farming practices hinges on making agricultural research understandable and accessible to smallholder farmers. However, effectively repackaging and disseminating this knowledge remains a global challenge. This study explored how language preference affects adoption, evaluated the quality attributes of repackaged information, and examined these relationships among 399 sorghum farmers in Dodoma, selected through a multi-stage sampling technique. Data were analysed using descriptive statistics to identify key patterns, while Analysis of Variance (ANOVA) assessed variations in perceived quality attributes. Additionally, binary logistic regression estimated the likelihood of adoption based on these attributes. The findings revealed that 91% of farmers preferred Kiswahili, and this language preference significantly affected adoption (p &lt; 0.001). Among the quality attributes of repackaged information, language, format, and completeness ranked highest. Regression analysis indicated that language, objectivity, and completeness were crucial in influencing adoption. The study concludes that repackaging agricultural research in accessible language and formats tailored to local preferences can enhance the uptake of improved practices. Recommendations include using visual aids, providing hands-on training, and employing local languages to promote inclusivity. Building trust through community leaders and fostering collaboration among researchers, extension workers, and policymakers can help translate research findings into practical solutions, ultimately benefiting local communities and facilitating the adoption of better farming practices.</p> Peter Kadilikansimba, Alfred S. Sife, Gervas M. Machimu ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/277446 Mon, 29 Sep 2025 00:00:00 +0700 ถอดบทเรียนความสำเร็จจากการปฏิรูปภาครัฐสู่รัฐบาลดิจิทัลของประเทศสิงคโปร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/253014 <p>เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามาแพร่หลายในการดำเนินงานของภาครัฐอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภาครัฐจำเป็นต้องปฏิรูปกระบวนการทำงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในยุคดิจิทัล กระบวนการปฏิรูปดังกล่าวเรียกได้ว่าเป็นยุคของรัฐบาลดิจิทัล บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการปฏิรูปภาครัฐสู่รัฐบาลดิจิทัลของประเทศสิงคโปร์ และ 2) ถอดบทเรียนความสำเร็จในการปฏิรูปภาครัฐสู่รัฐบาลดิจิทัลของประเทศสิงคโปร์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาและวิเคราะห์จากเอกสาร ผลการวิจัยพบว่า ความสำเร็จจากการปฏิรูปภาครัฐให้เป็นรัฐบาลดิจิทัลของประเทศสิงคโปร์ดำเนินการผ่านกรอบเศรษฐกิจดิจิทัล กรอบรัฐบาลดิจิทัล และกรอบสังคมดิจิทัล ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นและสามารถนำมาเป็นบทเรียนสำคัญให้กับประเทศอื่น ๆ ได้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเทศไทยที่กำลังดำเนินการปฏิรูปในทิศทางเดียวกัน</p> ชัชรินทร์ ทองหม่อมราม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/253014 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 ความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงสู่องค์กรดิจิทัลของคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/278010 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพร้อม ปัญหา และอุปสรรค ในการเปลี่ยนแปลงสู่องค์กรดิจิทัล และเพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงแผนพัฒนาสู่องค์กรดิจิทัลของของคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม ข้อมูลเชิงปริมาณได้จากการสำรวจ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพได้จากการสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์ โดยมีผู้ให้สัมภาษณ์จำนวน 75 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้บริหาร กลุ่มบุคลากรสายวิชาการ บุคลากรสายสนับสนุน ผลการศึกษาพบว่า คณะรัฐศาสตร์ฯ มีความพร้อมเปลี่ยนแปลงสู่องค์กรดิจิทัล ระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.86 โดยมีแนวทางในการพัฒนาแผนกลยุทธ์ ดังนี้ 1) การยกระดับทักษะความเชี่ยวชาญและการสร้างนวัตกรรม 2) การแปลงกระบวนงานเป็นดิจิทัล 3) การปรับโครงสร้างพื้นฐาน พบปัญหาและอุปสรรค 3 ระดับ ดังนี้ 1) ปัญหาและอุปสรรคในระดับบุคคล (การขาดความรู้และทักษะ ทัศนคติที่ปิดรับการเปลี่ยนแปลง ความพร้อมในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน และขาดการบูรณาการทำงานร่วมกันระหว่างบุคลากรสายวิชาการและบุคลากรสายสนับสนุน) 2) ปัญหาและอุปสรรคในระดับระบบและกระบวนการ (การมีระบบซับซ้อนและไม่สอดคล้องกัน และไม่ได้เชื่อมโยงกันทำให้เกิดความสับสน การเปลี่ยนแปลงระบบบ่อยครั้ง ขาดการวางแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน การสื่อสารภายในองค์กรไม่เพียงพอ และขาดการลงทุนด้านเทคโนโลยี) 3) ปัญหาและอุปสรรคในระดับองค์กร (การมีวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน โครงสร้างองค์กรไม่เอื้อต่อการทำงานแบบดิจิทัล วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่เปิดรับการเปลี่ยนแปลง ไม่มีผู้บริหารที่ดูแลเรื่องดิจิทัลโดยเฉพาะ ระเบียบกฎเกณฑ์ที่ไม่เอื้อต่อการเปลี่ยนแปลง และบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศไม่เพียงพอ) ข้อเสนอเชิงนโยบายในการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล ได้แก่ การส่งเสริมวัฒนธรรมดิจิทัลและการ การปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มบทบาทด้านเทคโนโลยีและบุคลากรที่เชี่ยวชาญ การลงทุนในเทคโนโลยีที่เหมาะสมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไอทีควบคู่กับการยกระดับทักษะบุคลากร และการกำหนดแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อบรรลุเป้าหมายองค์กรดิจิทัลอย่างยั่งยืน</p> ไกรพล ปัญญาสุ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/278010 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาความรู้ของบุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท : ความต้องการและนโยบายเพิ่มศักยภาพ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/279279 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบความแตกต่างของความต้องการพัฒนาความรู้ของบุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท จำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ และ (2) เสนอแนวทางในการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาความรู้ ความสามารถของบุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท จำนวน 148 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็นด้วยวิธีแบบโควตาและแบบอย่างง่าย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว) ผลการวิจัยพบว่า (1) บุคลากรสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาทที่มีอายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งของบุคลากร และหน่วยงานที่สังกัดแตกต่างกัน มีความต้องการพัฒนาความรู้แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แต่บุคลากรที่มีเพศและระยะเวลาในการปฏิบัติงานแตกต่างกัน มีความต้องการพัฒนาความรู้ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ (2) องค์การบริหารส่วนจังหวัดควรสนับสนุนการพัฒนาความรู้ที่สอดคล้องกับลักษณะประชากรศาสตร์ โดยออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยและระดับการศึกษา นอกจากนี้ ควรส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การประชุมเชิงปฏิบัติการ และโครงการพี่เลี้ยง เพื่อให้บุคลากรพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการที่แตกต่างกัน ข้อค้นพบสำคัญของการวิจัยนี้คือ การพัฒนาบุคลากรควรสอดคล้องกับลักษณะประชากรศาสตร์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้และสนับสนุนการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน</p> ตะวัน กัณหสินวัฒนา, ปฐมพงค์ กุกแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/279279 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการองค์กรภาครัฐในการยกระดับความสามารถการประกอบการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/274909 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการบริหารจัดการปัญหาและอุปสรรคขององค์กรภาครัฐในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางผู้ประกอบการ (2) วิเคราะห์ระดับขีดความสามารถทางผู้ประกอบการ (3) วิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อขีดความสามารถทางผู้ประกอบการ และ (4) พัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายและแนวทางปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางผู้ประกอบการในจังหวัดนครพน การวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ประกอบการในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนประเภทผ้าทอและเสื้อผ้า จำนวน 126 กลุ่ม โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นและการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการขององค์กรภาครัฐเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางผู้ประกอบการ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.73 และการสัมภาษณ์เชิงลึก วิธีทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่าการบริหารจัดการปัญหาและอุปสรรคขององค์กรภาครัฐเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถทางผู้ประกอบการของวิสาหกิจชุมชน ในปี 2565 มีการประเมินศักยภาพของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนม โดยพบว่า วิสาหกิจชุมชนจำนวน 534 แห่ง อยู่ในระดับดี 892 แห่ง อยู่ในระดับปานกลาง และ 217 แห่ง อยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง ระดับขีดความสามารถทางผู้ประกอบการของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนมโดยรวมอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย = 3.84) (3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อขีดความสามารถทางผู้ประกอบการของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนม ได้แก่ การสนับสนุนจากภาครัฐ (β = .265) และ เครือข่าย การร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการเติบโตและความสำเร็จของวิสาหกิจชุมชน</p> อธิวัฒน์ อุตรพรม, กชกร เดชะคำภู, วรวุฒิ อินทนนท์, สำราญ วิเศษ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการบริหารท้องถิ่น https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/colakkujournals/article/view/274909 Tue, 30 Sep 2025 00:00:00 +0700