https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/issue/feed ศึกษาศาสตร์ มมร 2025-06-30T19:54:57+07:00 พระครูศรีวีรคุณสุนทร, ผศ.ดร. journal.edu@mbu.ac.th Open Journal Systems <p><strong>วารสารศึกษาศาสตร์ มมร</strong></p> <p><strong>ISSN </strong>: 3056-9850 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออก : </strong>2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> : วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านการศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ คณาจารณ์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งภายในและภายนอก เพื่อเป็นเวทีทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนทัศนะและข้อคิดเห็นทางด้านการศึกษา</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong> : บทความทุบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน และผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong> : ภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong> : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/259311 การพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและความตระหนักทางวัฒนธรรมโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษาสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2022-06-15T18:07:05+07:00 ธนพร หนูทิม 635161030007@dpu.ac.th สุดคนึง นฤพนธ์จิรกุล skanung@dpu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) ศึกษาความตระหนักทางวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 39 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้การเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษา 2) แบบทดสอบทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ และ 3) แบบประเมินความตระหนักทางวัฒนธรรม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเนื้อหาและภาษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และ 3) ความตระหนักทางวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 อยู่ในระดับมาก</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/269759 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐาน (Game Based Learning) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนค่ายบางระจันวิทยาคม 2023-12-27T15:58:16+07:00 วีรวิชญ์ บุญส่ง nookcm2000@hotmail.com อารยา จาตุรนต์พงศา stays.ja2545@hotmail.com จุฑามณี ขันตี Saibank31@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เกมเป็นฐานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐาน และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบเกมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ภาคเรียนที่ 1/2566 โรงเรียนค่ายบางระจันวิทยาคม เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้จำนวน 13 แผนแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัยจำนวน 20 ข้อ และแบบวัดความพึงพอใจเป็นมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 18 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test แบบ Dependent ผลวิจัยพบว่า 1) ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ได้จำนวน 13 แผน 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (𝒙̅ = 14.33, S.D. = 2.45) สูงกว่าก่อนเรียน (𝒙̅ = 10.17, S.D. = 2.46) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ โดยใช้เกมเป็นฐานในภาพรวม (𝒙̅ = 3.68) อยู่ในระดับมาก</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/259784 การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2022-07-04T18:21:01+07:00 วิศัลยา ภักษาแสวง 635161030012@dpu.ac.th พจมาลย์ สกลเกียรติ spodjamal.sat@dpu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์กับพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/13 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 45 คน ซึ่งได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ 2) แบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ 3) แบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนในการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบในงานทัศนศิลป์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 2) พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์ อยู่ในระดับดี 3) ความสัมพันธ์ของความคิดสร้างสรรค์ในงานทัศนศิลป์กับพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยกระบวนการคิดเชิงออกแบบ อยู่ในระดับสูงมาก</p> <p> </p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/270149 การบริหารเครือข่ายความร่วมมือของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 2024-01-17T12:25:59+07:00 กันต์ฤทัย แสงทอง 6512470002@rumail.ru.ac.th ปทุมพร เปียถนอม patumphorn@rumail.ru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารเครือข่ายความร่วมมือของสถานศึกษาตามการรับรู้ของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 และ 2) เปรียบเทียบการบริหารเครือข่ายความร่วมมือของสถานศึกษาตามการรับรู้ของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 จำแนกตามระดับการศึกษา วิทยฐานะ และขนาดสถานศึกษา เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างคือ ข้าราชการครูที่ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 จำนวน 357 คน การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางสำเร็จรูปของโคเฮน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามระดับการรับรู้ของข้าราชการครูต่อการบริหารเครือข่ายความร่วมมือของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 1 ที่มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.983 สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการเปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffe’s Multiple Comparison Method)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1. การบริหารเครือข่ายความร่วมมือของสถานศึกษาตามการรับรู้ของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก</p> <p>2. การบริหารเครือข่ายความร่วมมือของสถานศึกษาตามการรับรู้ของข้าราชการครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน จำแนกตามวิทยฐานะ และขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้าน แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/267257 การประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหาสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 1 2023-11-27T15:17:58+07:00 ธิติมา ตุกชูแสง winnykoy1234@gmail.com สรัญญา แสงอัมพร winnykoy1234@gmail.com สันติ อุนจะนำ winnykoy1234@gmail.com <p style="font-weight: 400;">วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 1&nbsp; 2) เพื่อศึกษาระดับการทำงานเป็นทีมของบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา&nbsp; สุราษฎร์ธานีเขต 1&nbsp; 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษากับการทำงานเป็นทีมของบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 1 4) เพื่อค้นหาตัวพยากรณ์ที่ใช้ในการพยากรณ์การประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 1</p> <p style="font-weight: 400;"><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show" style="font-weight: 400;">การประยุกต์หลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีม</li> </ol> <p style="font-weight: 400;">ของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 1จำแนกตามรายด้านโดยรวมอยู่ในระดับมาก &nbsp;&nbsp;( x̄ = 4.14 ) และเมื่อเรียงลำดับรายด้านจากมากไปหาน้อย คือ 1) ด้านเมตตากายกรรม ด้านสีลสามัญญตา ด้านทิฏฐิสามัญญตา 2) ด้านสาธารณโภคี &nbsp;3) ด้านเมตตามโนกรรม อยู่ในระดับมาก ( x̄ = 4.13 )</p> <ol start="2"> <li class="show" style="font-weight: 400;">การทำงานเป็นทีมของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.13) เมื่อเรียงลำดับรายด้านจากมากไปหาน้อย ดังนี้ 1) ด้านการทำงานร่วมกันและมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ด้านการทำงานโดยใช้ทักษะประสบการณ์ร่วมกัน 2) ด้านการทำงานร่วมกันของบุคคล การทำงานเป็นกลุ่ม 3) ด้านการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จที่กำหนด</li> <li class="show" style="font-weight: 400;">การประยุกต์หลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ระดับมาก มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการทำงานเป็นทีมของครู ตัวแปร ที่ได้รับการคัดเลือกเข้าสมการ เรียงลำดับความสำคัญได้แก่ ด้านเมตตาวจีกรรม (X2) ด้านเมตตามโนกรรม (X3) ด้านสีลสามัญญตา (X5) ด้านสีลสามัญญตา (X4) ด้านเมตตากายกรรม (X1) อธิบายความแปรปรวนของของการประยุกต์หลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 ได้ร้อยละ 97.5 (= .975)</li> <li class="show" style="font-weight: 400;">ตัวแปรพยากรณ์สาราณียธรรม 6 ที่ส่งผลต่อการทำงานเป็นทีมของครู ได้แก่ ด้านเมตตาวจีกรรม (X<sub>2</sub>) ด้านเมตตามโนกรรม (X<sub>3</sub>) ด้านสีลสามัญญตา (X<sub>5</sub>) ซึ่งตัวแปรทั้งสามร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการประยุกต์ใช้หลักสาราณียธรรม 6 ของผู้บริหารสถานศึกษาได้ร้อยละ 97.5 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 สามารถเขียนเป็นสมการถดถอยสำหรับการทำนาย ดังนี้ Zy' = 0.329 (X<sub>2</sub>) + 0.278 (X<sub>3</sub>) + 0.237 (X<sub>5</sub>)</li> </ol> <p style="font-weight: 400;">&nbsp;</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/271306 การศึกษาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของศูนย์การศึกษาพิเศษ ในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 และส่วนกลาง 2024-03-14T15:28:26+07:00 ขวัญมณี สิมสา gukwan2016@gmail.com <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของศูนย์การศึกษาพิเศษในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 และส่วนกลาง 2. เพื่อเปรียบเทียบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของศูนย์การศึกษาพิเศษในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 และส่วนกลาง ตามความคิดเห็นของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำแนกตาม เพศ ขนาดสถานศึกษา และตำแหน่ง กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 181 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1. การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของศูนย์การศึกษาพิเศษในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 1 และส่วนกลางในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีเพศต่างกัน และปฏิบัติงานในสถานศึกษาขนาดต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในขณะที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีตำแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นในภาพรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/267262 ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 1 2023-08-08T00:14:44+07:00 ทิยา บัวมณี thiyabuamanee@gmail.com สรัญญา แสงอัมพร thiyabuamanee@gmail.com ทิพมาศ เศวตวรโชติ thiyabuamanee@gmail.com <p>วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำของผู้บริหาร ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 2) เพื่อศึกษาระดับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำของผู้บริหารกับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 4) เพื่อค้นหาตัวพยากรณ์ที่ใช้ในการพยากรณ์ ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.00 )</li> <li class="show">ขวัญกำลังใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.15 )</li> <li class="show">ระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษา กับขวัญกำลังใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของครู มีความสัมพันธ์กันในทางบวกระดับสูงมาก (= 0.967) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</li> <li class="show">ตัวแปรพยากรณ์ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษากับ ขวัญกำลังใจที่มีต่อการปฏิบัติงานของครู ได้แก่ ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาแบบสนับสนุน (x2) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาแบบมีส่วนร่วม (x3) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาแบบชี้นำ (x1) ภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาแบบมุ่งความสำเร็จ (x4) ซึ่งตัวแปรทั้งสี่ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของระดับภาวะผู้นำของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 ได้ร้อยละ 96.7 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 โดยมีสมการพยากรณ์อยู่ในรูปคะแนนมาตรฐานคือ Zy ่ = 0.389 (X<sub>2</sub>) + 0.289 (X<sub>3</sub>) + 0.250 (X<sub>1</sub>)+ 0.157 (X<sub>4</sub>)</li> </ol> <p>&nbsp;</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/272499 บทบาททางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพการเรียนการสอน ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2024-05-24T14:40:54+07:00 กานต์ ทองสมบูรณ์ 6555701004@nstru.ac.th จุติพร อัศวโสวรรณ blackangelkarn@gmail.com นพรัตน์ ชัยเรือง blackangelkarn@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ศึกษาบทบาทของทางวิชาการของผู้บริหาร ศึกษาคุณภาพการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ศึกษาบทบาททางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และศึกษาแนวทางการพัฒนาบทบาททางวิชาการของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครู ในสถานศึกษา จำนวน 338 คน เครื่องมือในการวิจัย แบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความสอดคล้อง เท่ากับ 0.97 และแบบสัมภาษณ์ มีค่าความสอดคล้อง เท่ากับ 1 นำข้อมูลหา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารจำนวน 5 คน เพื่อหาแนวทางทางการพัฒนาบทบาททางวิชาการของผู้บริหาร ผลการวิจัย บทบาททางวิชาการของผู้บริหาร อยู่ในระดับมาก คุณภาพการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ อยู่ในระดับมาก และบทบาททางวิชาการของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันเชิงบวกกับคุณภาพการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยได้สมการถดถอยในรูปคะแนนมาตรฐาน และมีค่าสัมประสิทธิการทำนายร้อยละ 78.10 แนวทางการพัฒนาบทบาททางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาสื่อ นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp;</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/274168 รูปแบบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาคตะวันออก 2024-10-08T17:24:04+07:00 ปิยนุช ศิริโสภาพงษ์ piya_sine@hotmail.com ชัยฤทธิ์ แสงสว่าง drchairit085@gmail.com สนั่น ประจงจิตร sananpr@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออก ดำเนินการวิจัยเป็นสามขั้นตอน ได้แก่ 1) การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา โดยศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิห้าคน 2) การสร้างรูปแบบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญเจ็ดคนหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่นของรูปแบบ และ 3) การประเมินรูปแบบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษาที่พัฒนา เกี่ยวกับความถูกต้อง ความเหมาะสมด้วยการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน และการประเมินความเป็นไปได้และการนำไปใช้ประโยชน์ของรูปแบบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษาด้วยการใช้แบบสอบถามกับตัวอย่างที่สุ่มจากผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 254 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show"> องค์ประกอบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาคตะวันออก มีองค์ประกอบหลัก 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) แรงบันดาลใจ 2) วิสัยทัศน์ 3) การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ 4) การทำงานเป็นทีม และ 5) ความเชื่อถือ ไว้วางใจ</li> <li class="show"> รูปแบบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาคตะวันออก ที่สร้างขึ้นมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่น รูปแบบนี้ประกอบด้วยสามส่วน ได้แก่ 1) ด้านหลักภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจ 2) ด้านองค์ประกอบของภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจ และ 3) ด้านเงื่อนไขสู่ความสำเร็จ</li> <li class="show"> รูปแบบภาวะผู้นำแบบสร้างแรงบันดาลใจของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในภาคตะวันออก มีความถูกต้องและเหมาะสม ส่วนความเป็นไปได้และการนำไปใช้ประโยชน์ของรูปแบบโดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> </ol> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/268369 การเปรียบเทียบระดับความสนใจในการเขียนและการอ่านภาษาอังกฤษ ในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนานาชาติธากา ประเทศบังกลาเทศ 2023-10-11T18:25:32+07:00 อนัยตา สุไรยา ฮาเก anaitasuraiyahaque@gmail.com ออแลนโด กอนซาเลซ ogonzalez@au.edu <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับความสนใจในการเขียนและการอ่านภาษาอังกฤษในชั้นเรียนภาษาอังกฤษของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 29 คน 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 32 คน และ 4) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 19 คน ในปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนนานาชาติธากา ประเทศบังกลาเทศ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามความสนใจในการเขียนภาษาอังกฤษ และ 2) แบบสอบถามความสนใจในการอ่านภาษาอังกฤษ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดมีความสนใจในการเขียนและการอ่านภาษาอังกฤษในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ อยู่ในระดับสูง</li> <li>โดยระดับความสนใจในการเขียนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนภาษาอังกฤษของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>แต่ในกลุ่มตัวอย่างระหว่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ความสนใจในการอ่านภาษาอังกฤษในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/258176 การพัฒนาแบบฝึกทักษะการใช้ชนิดของคำในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านบุ่งคล้าวิทยา 2022-04-10T22:17:21+07:00 กรรณิการ์ ผาทอง kannikaphathong018@gmail.com เกศินี มิ่งโอโล viva200736@gmail.com ฐิติรดา เปรมปรี aon_2523@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการใช้ชนิดของคำในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านบุ่งคล้าวิทยา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนนระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการใช้ชนิดของคำในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านบุ่งคล้าวิทยา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านบุ่งคล้าวิทยา ปีการศึกษา 2564 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน และแบบฝึกทักษะชนิดของคำ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ (<strong>%</strong>) ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}">) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และค่าประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการใช้ชนิดของคำในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านบุ่งคล้าวิทยา มีค่าเท่ากับ 80.75/89 ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการใช้ชนิดของคำในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านบุ่งคล้าวิทยา คะแนนจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}">) เท่ากับ 5.70 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 1.49 และคะแนนทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_cm&amp;space;\bar{x}">) เท่ากับ 8.90 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.88 แสดงให้เห็นว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/281757 การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ส่งผลต่อมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติพื้นที่ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 2025-06-30T14:06:01+07:00 ธรรมวิทย์ จิตดำรงกุล Khidsuai@gmail.com พระมหาไกรวรรณ์ ชินทตฺติโย Khidsuai@gmail.com <p>วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร 2) เพื่อศึกษามาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร และ3) เพื่อศึกษาการบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร</p> <p>กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 38 แห่ง และโรงเรียนที่เปิดสอนระดับปฐมวัย 8 แห่ง รวมจำนวน 46 แห่ง ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 322 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่, ค่าร้อยละ, ค่าเฉลี่ย, ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน&nbsp; <strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li class="show">การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักสมานัตตตา รองลงมา คือ การบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักอัตถจริยา การบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักปิยวาจา ตามลำดับ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ การบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักทาน</li> <li class="show">มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับคะแนนเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ การบริหารจัดการสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ครู/ผู้ดูแลเด็กให้การดูแลและจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการเล่นเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด คือ มาตรฐานคุณภาพของเด็กปฐมวัย</li> <li class="show">การบริหารงานเชิงบูรณาการหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครพบว่า การบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักสมานัตตตา (x_4) การบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักทาน (x_1) และการบริหารงานเชิงบูรณาการตามหลักอัตถจริยา (x_3) ส่งผลต่อมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/268484 การมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของบุคลากรครู ศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2023-10-19T22:12:17+07:00 พนิดา บุญญาสัย som_boonyasai@hotmail.com จิติยาภรณ์ เชาวรากุล jitiyaporn.cha@gmail.com วีณา ซุ้มบัณฑิต weena_sum@stjohn.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของบุคลากรครู ศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของบุคลากรครู ศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง จําแนกตามสาขาวิชาเอก สถานที่ปฏิบัติงาน และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานโดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือบุคลากรครูศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 103 คน วิเคราะห์ข้อมูล โดยการใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และหาค่าความแปรปรวนทางเดียว</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของบุคลากรครู ศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลางในภาพรวมมีระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านสื่อการเรียนการสอนมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด และด้านการวัดผลและประเมินผลมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) บุคลากรครูศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลาง ที่ประสบการณ์การปฏิบัติงานแตกต่างกัน มีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการแตกต่างกัน ในขณะที่บุคลากรครูศูนย์การศึกษาพิเศษ ส่วนกลางที่มีสาขาวิชาเอก หรือสถานที่ปฏิบัติงานแตกต่างกัน มีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการไม่แตกต่างกัน</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/267943 การสอนสังคมกับแนวคิดไตรยางค์การศึกษา (OLE) 2023-09-15T17:15:25+07:00 พระมหาจงรักษ์ อาทิตฺตเมธี (ภูพิษ) rak26.275@gmail.com <p>ปัจจุบันแนวโน้มการศึกษาทุกมุมโลกต่าง ๆ ต้องกลับมาทบทวนว่าการศึกษาที่แท้จริงควรเป็นอย่างไร เพราะหัวใจของการศึกษาคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศชาติ เพื่อที่จะกลับมาเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือพัฒนาประเทศชาติต่อไป หากจะมองในภาพกว้าง ๆ การศึกษานั้นควรพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อพัฒนานวัตกรรมอันจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาตินั่นเอง เพราะเหตุนั้นการศึกษาจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อมนุษยชาติ มุมมองการศึกษาในยุคปัจจุบันนั้นมีการมุ่งเน้นให้มวลมนุษยชาติอันเป็นทรัพยากรของแต่ละประเทศนั้นได้มีหลักการและแนวคิดที่มีทักษะในการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต</p> 2025-06-29T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/257429 สอนวิทยาศาสตร์ด้วยแอปพลิเคชันในห้องเรียนออนไลน์ ศตวรรษที่ 21 2022-02-25T15:10:42+07:00 ณราภรณ์ สมทรัพย์ cattaleeyasomsub@gmail.com น้ำเพชร นาสารีย์ 6412390001@rumail.ru.ac.th <p>&nbsp; ปัจจุบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของทุกคนในศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จึงต้องตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ และกระบวนการ รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรม ด้วยสถานการณ์ของโรค COVID-19&nbsp; ส่งผลกระทบต่อการจัดการเรียนการสอน โรงเรียนถูกสั่งปิดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ห้องเรียนที่ได้พบหน้าระหว่างครูกับนักเรียนกลายเป็นห้องเรียนออนไลน์ผ่านหน้าจอเครื่องมือสื่อสาร บทความนี้จึงนำเสนอเกี่ยวกับแอปพลิเคชันที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนออนไลน์ เพื่อเป็นแนวทางให้ครูผู้สอนเลือกนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพต่อการบริหารจัดการการเรียนการสอน ให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงเนื้อหาความรู้ได้อย่างถูกต้องชัดเจนและทั่วถึงกัน ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา สถานที่เรียนมีความยืดหยุ่น ผู้เรียนเกิดความสนใจในการเรียน ทำให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพทางการเรียนรู้สูงขึ้นและสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ในชีวิตประจำวัน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ศึกษาศาสตร์ มมร