https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/issue/feed
ศึกษาศาสตร์ มมร
2024-07-19T15:18:13+07:00
กองบรรณาธิการวารสารศึกษาศาสตร์ มมร
journal.edu@mbu.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารศึกษาศาสตร์ มมร</strong></p> <p><strong>ISSN </strong>: 3056-9850 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออก : </strong>2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> : วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านการศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ คณาจารณ์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งภายในและภายนอก เพื่อเป็นเวทีทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนทัศนะและข้อคิดเห็นทางด้านการศึกษา</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong> : บทความทุบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน และผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong> : ภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong> : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย</p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262350
การบริหารงานสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
2023-10-20T14:37:19+07:00
บุญธรรม เมียนแก้ว
buntham.main@gmail.com
เกศริน มนูญผล
buntham.main@gmail.com
สรัญญา แสงอัมพร
buntham.main@gmail.com
<p>สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารงานสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ตามความคิดเห็นของครู จําแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยรวบรวมข้อมูลจากครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2564 จำนวนทั้งสิ้น 335 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานด้วย T-test และ ANOVA ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารงานสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมาก ทุกด้าน ด้านอัตถจริยาอยู่ในระดับมาก เป็นอันดับแรก รองลงมาด้านปิยวาจา และอยู่ในระดับมาก ด้านสมานัตตตา และด้านทาน โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยตามลำดับ 2) จากการเปรียบเทียบการบริหารงานสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในสถานศึกษา โดยพิจารณาจำแนกตามข้อมูลทั่วไปส่วนบุคคล พบว่า เพศที่แตกต่างกัน ระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน และประสบการณ์ทำงานที่แตกต่างกัน ไม่มีผลต่อการบริหารงานสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในสถานศึกษา</p>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262325
การประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3
2022-12-01T19:32:48+07:00
ยุวนาถ คงแหล่
yuwanat1810@gmail.com
สันติ อุนจะนำ
yuwanat1810@gmail.com
สรัญญา แสงอัมพร
yuwanat1810@gmail.com
<p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการบริหารสถานศึกษา ใช้การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 458 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิดและปลายเปิดซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า </p> <ol> <li class="show">ระดับการประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านปิยวาจาอยู่ในระดับมาก เป็นอันดับแรก รองลงมา ด้านทาน ด้านอัตถจริยา และด้านสมานัตตตา โดยเรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยตามลำดับ</li> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบ การประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ประกอบด้วย ตำแหน่ง วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</li> <li class="show">ผลการรวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ การประยุกต์ใช้หลักสังคหวัตถุ 4 ในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 พบว่า ด้านทานข้อเสนอแนะที่มีความถี่มากที่สุด คือ ผู้บริหารควรส่งเสริมบุคลากร โดยจัดให้มีสวัสดิการด้านต่าง ๆ อย่างพึงพอใจ รองลงมา ให้ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมแก่ผู้เรียนอยู่เสมอ และจัดให้มีแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษาอย่างเหมาะสมและคุ้มค่า ด้านปิยวาจาข้อเสนอแนะที่มีความถี่มากที่สุด คือ ควรใช้คำพูดที่ก่อให้เกิดความรัก ความสามัคคี ให้กำลังใจ ไม่ใช้คำพูดส่อเสียด หรือคำกล่าวที่เพ้อเจ้อ รองลงมา บุคลากรมีการชี้แจงการใช้งบประมาณในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในสถานศึกษาอย่างเหมาะสม และให้คำแนะนำในการใช้งบประมาณแก่บุคลากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้านอัตถจริยาข้อเสนอแนะที่มีความถี่มากที่สุด คือ ควรบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ ตามโอกาสสมควร รองลงมา มีความโปร่งใส แสดงหลักเกณฑ์วิธีการประเมินผลงานของบุคลากรอย่างชัดเจน และช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทน ด้านสมานัตตตาข้อเสนอแนะที่มีความถี่มากที่สุด คือ ควรมีการกำหนดปฏิทินการปฏิบัติงานของสถานศึกษาเพื่อให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ รองลงมา การประชาสัมพันธ์ในการศึกษา โดยใช้หลักคุณธรรมในการสร้างความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา และทำตนเป็นกันเองกับบุคคลอื่นไม่ถือตัวเย่อหยิ่งกับบุคคลอื่น</li> </ol>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263026
แนวทางการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING โดยใช้หลักโยนิโสมนสิการของโรงเรียน ในอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
2023-01-05T13:02:44+07:00
จักรพงศ์ วิจิตรประภาวงศ์
chakrabongse.v@gmail.com
สรัญญา แสงอัมพร
chakrabongse.v@gmail.com
เกศริน มนูญผล
chakrabongse.v@gmail.com
<p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปทางการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING ของโรงเรียนในอำเภอเมืองสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING กับ หลักโยนิโสมนสิการ ของโรงเรียนในอำเภอเมืองสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช 3) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING โดยใช้หลักโยนิโสมนสิการ ของโรงเรียนในอำเภอเมืองสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ของโรงเรียนในอำเภอเมืองสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช กลุ่มประชากรที่ใช้ในการทำวิจัยเชิงปริมาณแบบสำรวจ คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน ทั้งสิ้น 584 คน กลุ่มตัวอย่าง คัดเลือกโดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์และคุณสมบัติโดยมีบทบาทหน้าที่ทางการจัดการเรียนการสอนและการบริหารการศึกษาภายในสถานศึกษา วิธีการได้มาซึ่งแบบถั่วเฉลี่ย (โดยวิธีสุ่ม) โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.5 จากตารางเทียบค่าทาโร่ ยามาเน่ จึงได้กลุ่มตัวอย่างผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 250 คน จาก 8 โรงเรียนในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามวัดค่า 5 ระดับ ของลิเคิร์ท สเกลล์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาพบว่า สภาพทั่วไปทางการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING ของโรงเรียนในอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ผู้ตอบแบบสอบถามด้านสภาพทั่วไปทางการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด <br />(x̄ = 4.95, S.D. = 0.17) 2) ผลการศึกษาพบว่า สภาพการจัดการเรียนรู้ ด้วยระบบ E-LEARNING โดยใช้หลักโยนิโสมนสิการของโรงเรียนในอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.82, S.D. = 0.43) และ 3) แนวทางการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING ของโรงเรียนในอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ดังนี้ การจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING โดยใช้หลักโยนิโสมนสิการของโรงเรียนในอำเภอเมือง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ด้านการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.82, S.D. = 0.46) โดยข้อ 4 มีการสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุง พัฒนาสื่อการเรียนการสอนตามกลุ่มสาระ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (x̄ = 4.91, S.D. = 0.41) รองลงมาคือ ข้อ 5 มีการมอบหมายบุคลากรในการทำงานได้ อย่างเหมาะสม (x̄ = 4.90, S.D. = 0.39) และค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ข้อ 2 มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินงานในแต่ละส่วนได้อย่างเหมาะสม และ ด้านการมีส่วนร่วม โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.76, S.D. = 0.43) โดยข้อ 3 การมีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนาการศึกษาด้านการจัดการเรียนรู้ด้วยระบบ E-LEARNING (x̄ = 4.83, S.D. = 0.375) และ ข้อ 1 มีการส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐานวิชาการของสถานศึกษา (x̄ = 4.83, S.D. = 0.37) มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากัน รองลงมาคือ ข้อ 5 ส่งเสริมให้สถานศึกษาเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชน (x̄ = 4.82, S.D. = 0.38) และ ค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ข้อ 4 สร้างจิตสำนึกให้บุคลากรทุกคน มีวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกัน (x̄ = 4.61, S.D. = 0.48)</p>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263446
การประยุกต์ใช้หลักอปริหานิยธรรมของผู้บริหารกับการบริหารงานบุคคล ในโรงเรียนตามความคิดเห็นของครูสังกัดเทศบาลเมืองปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช
2023-01-25T13:50:09+07:00
จรวย บุญสาลี
jaruay7120@gmail.com
สรัญญา แสงอัมพร
jaruay7120@gmail.com
สันติ อุนจะนำ
jaruay7120@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับการประยุกต์ใช้หลักอปริหานิยธรรมของผู้บริหารในโรงเรียน เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานบุคคลในโรงเรียน และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการประยุกต์ใช้หลักอปริหานิยธรรมของผู้บริหารกับการบริหารงานบุคคลในโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2564 จำนวน 113 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ลักษณะแบบประเมินค่า (rating scale) และวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation) ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า การประยุกต์ใช้หลักอปริหานิยธรรมของผู้บริหารโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ให้ความเคารพต่อเพศสตรี รองลงมาคือ ให้ความเคารพ นับถือผู้บังคับบัญชา และหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด การบริหารงานบุคคลของผู้บริหารโรงเรียน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การประเมินผลการปฏิบัติงาน รองลงมาคือ การพัฒนาบุคลากร และการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด ความสัมพันธ์ระหว่างการประยุกต์ใช้หลักอปริหานิยธรรมของผู้บริหารกับการบริหารงานบุคคลในโรงเรียน อยู่ในระดับสูงมาก (r=.853<sup>**</sup>) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/265527
การใช้ชุดกิจกรรมฝึกคิดแก้ปัญหาเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
2023-05-14T11:25:34+07:00
ทิตาวีร์ การรัมย์
titawee.k@kkumail.com
สังเวียน ปินะกาลัง
titawee.k@kkumail.com
ปิยะวรรณ ศรีสุรักษ์
titawee.k@kkumail.com
<p>วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย และจิตใจที่ซับซ้อนที่สุด เป็นวัยช่วงต่อของชีวิตจากเด็กไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ช่วงวัยรุ่นจะมีปัญหาในเรื่องการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่น จึงจำเป็นต้องหากลวิธีในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมฝึกคิดแก้ปัญหาในการส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์สำหรับนักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาตอนต้นให้มีประสิทธิภาพ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ทั้งก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการคิดแก้ปัญหา โดยมีกลุ่มเป้าหมายวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนบ้านโนนท่อนวิทยา จำนวน 55 คน เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) ชุดกิจกรรมฝึกคิดแก้ปัญหา ประกอบด้วยกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ 4 กิจกรรมและกิจกรรมพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์อีก 6 กิจกรรม 2) แบบประเมินวัดความฉลาดทางอารมณ์ เก่งดีมีสุข ซึ่งประกอบด้วยด้านย่อยสำคัญ 6 ด้านดังนี้ 1) ด้านการตระหนักรู้ 2) ด้านการแสดงออก 3) ด้านมนุษย์สัมพันธ์ 4) ด้านการตัดสินใจ 5) ด้านการจัดการความเครียด และ 6) ด้านความภูมิใจและเห็นคุณค่าในตนเอง การวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพื้นฐาน T-test ค่าความถี่ ร้อยละ </p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ชุดกิจกรรมฝึกคิดแก้ปัญหาเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้อยู่ที่ 81.54/87.67 และผลการประเมินวัดความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หลังการทดลองแต่ละด้านสูงกว่าการทดลอง เป็นไปตามวัตถุประสงค์การวิจัยครั้งนี้</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/265622
การพัฒนาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด DAPIC ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2023-10-20T14:05:52+07:00
พรรณิษา เอี่ยมอ่อน
phunnisa3@gmail.com
อาทร นกแก้ว
artornn@nu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด DAPIC ร่วมกับเทคนิคเพื่อนคู่คิด (Think Pair Share) ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว และเพื่อศึกษาความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เรื่อง สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เข้าร่วมวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 15 คน ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ จำนวน 4 วงจรปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้ และแบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา และตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้แนวทางนี้ มีประเด็นที่ควรเน้น ได้แก่ การออกแบบสถานการณ์ปัญหาในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมกับวัยของนักเรียน และส่งเสริมให้นักเรียนมีทางเลือกหลากหลายวิธีหรือแนวคิดในการตัดสินใจที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การทบทวนความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาในสถานการณ์ และการกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมและการแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลในชั้นเรียน นอกจากนี้ พบว่า เมื่อผ่านการเรียนรู้ทั้ง 4 วงจร นักเรียนส่วนใหญ่มีระดับความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาความสามารถรายด้าน พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการระบุข้อตกลงเบื้องต้น และการตีความอยู่ในระดับมากที่สุด สำหรับความสามารถในการการสรุปอ้างอิง การนิรนัย และการประเมินข้อโต้แย้งอยู่ในระดับมาก</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/264650
สุขภาพองค์กรตามความคิดเห็นของบุคลากรในหน่วยงานทางการศึกษากรุงเทพมหานคร
2023-03-27T11:32:35+07:00
ศรัญญา กองแก้ว
saranya.kongkeaw@gmail.com
กัลยมน อินทุสุต
Kanyamon.i@rumail.ru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาและเปรียบเทียบสุขภาพองค์กรตามความคิดเห็นของบุคลากรในหน่วยงานทางการศึกษากรุงเทพมหานคร จำแนกตามวุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ บุคลากรในหน่วยงานทางการศึกษากรุงเทพมหานคร ปี พ.ศ. 2566 จำนวน 151 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.979 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายคู่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สุขภาพองค์กรตามความคิดเห็นของบุคลากรในหน่วยงานทางการศึกษากรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 2) ผลการเปรียบเทียบสุขภาพองค์กรตามความคิดเห็นของบุคลากรในหน่วยงานทางการศึกษากรุงเทพมหานคร จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน พบว่า บุคลากรในหน่วยงานทางการศึกษากรุงเทพมหานคร ที่มีประสบการณ์ การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อสุขภาพองค์กรทั้งในภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกนั้นไม่แตกต่างกัน</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262653
ประสิทธิผลของสถานศึกษาโดยการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของครู ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช
2022-12-20T16:47:43+07:00
จิราวรรณ ปรีชา
jirawanpreecha636@gmail.com
สันติ อุนจะนำ
jirawanpreecha636@gmail.com
สรัญญา แสงอัมพร
jirawanpreecha636@gmail.com
<p>สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษาโดยการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิผลของสถานศึกษากับการใช้หลักธรรมาภิบาล และเพื่อค้นหาตัวพยากรณ์ที่ใช้ในการพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษากับการใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 345 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.ประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช มีค่าเฉลี่ยโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <p>2.การใช้หลักธรรมาภิบาลของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช มีค่าเฉลี่ยโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p> <p>3.ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ระหว่างประสิทธิผลของสถานศึกษากับการใช้หลักธรรมาภิบาลของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช พบว่าโดยรวมมีความสัมพันธ์กันสูง(RXY).726 และมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p>4.ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อพยากรณ์ประสิทธิผลของสถานศึกษาสามารถพยากรณ์การใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช สามารถร่วมกันทำนายประสิทธิผลของสถานศึกษา ได้โดยมีค่าอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 61.10 สมการถดถอยพหุคูณในรูปแบบคะแนนดิบ</p> <p>Y = 1.858+.358(X<sub>1</sub>)+ .136(X<sub>2</sub>)+ .104(X<sub>3</sub>)+ .355(X<sub>4</sub>)+ .033(X<sub>5</sub>)+ .130(X<sub>6</sub>)</p> <p>สมการถดถอยพหุคูณในรูปแบบในรูปคะแนนมาตรฐาน</p> <p>Z<sub>Y </sub>= .513(Y<sub>1</sub>)+ .503(Y<sub>4</sub>)+ .204(Y<sub>2</sub>)+ .185(Y<sub>6</sub>)+ .161(Y<sub>3</sub>)+ .044(Y<sub>5</sub>)</p>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/265765
ความสัมพันธ์ระหว่างการส่งเสริมทักษะชีวิตกับการบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1
2023-05-26T16:24:07+07:00
ธนัญชกร คงวิเชียร
ormkot0@gmail.com
พงษ์ศักดิ์ รวมชมรัตน์
pongsak@kru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการส่งเสริมทักษะชีวิตของสถานศึกษา การบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างการส่งเสริมทักษะชีวิตกับการบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1</p> <p> ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอนในสถานศึกษา จำนวน 311 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ ตามพื้นที่จัดการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 และมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">การส่งเสริมทักษะชีวิตของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านพบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น ด้านการจัดการกับอารมณ์และความเครียด ด้านการคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และด้านการตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น</li> <li class="show">การบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรีเขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านพบว่า มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก เรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านการวางแผนงานกิจการนักเรียน ด้านการส่งเสริมพัฒนาให้นักเรียนมีระเบียบวินัย คุณธรรม จริยธรรม ด้านการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด้านการบริหารงานกิจการนักเรียน ด้านการประเมินผลการดำเนินงานกิจการนักเรียน และด้านการส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียน</li> <li class="show">ความสัมพันธ์ระหว่างการส่งเสริมทักษะชีวิตของสถานศึกษากับการบริหารกิจการนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 พบว่า ในภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</li> </ol>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/265131
การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย
2023-05-19T17:58:16+07:00
มานิตา ลาโภดม
pearlmly@gmail.com
ณัฐพล รำไพ
manita.l@ku.th
บุญรัตน์ แผลงศร
manita.l@ku.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ให้มีคุณภาพเหมาะสมและประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80<br>(2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน (3) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนออนไลน์ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ประชากรกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนบ้านคลองโยง ปีการศึกษา 2565 จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียรู้ บทเรียนออนไลน์ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย แบบประเมินคุณภาพเครื่องมือ แบบทดสอบ และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพข้อมูลการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่า t-test ผลการวิจัยพบว่า (1) บทเรียนออนไลน์ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัยที่ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.81 และมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 96.23/85.56 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) ดัชนีประสิทธิผลของบทเรียนออนไลน์ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย มีค่าเท่ากับ 0.70 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อบทเรียนออนไลน์ร่วมกับกิจกรรมการเรียนรู้แบบผสมผสาน เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย=4.37, SD= 0.61)</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263390
การประยุกต์ใช้หลักโยนิโสมนสิการกับประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษาตามทัศนคติของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3
2023-01-23T20:40:45+07:00
นัฐวุฒิ คุระเอียด
nattawut53017@gmail.com
บุญส่ง ทองเอียง
nattawut53017@gmail.com
ทิพมาศ เศวตวรโชติ
nattawut53017@gmail.com
<p>วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาระดับการประยุกต์ใช้หลักโยนิโสมนสิการ ของผู้บริหารสถานศึกษา ตามทัศนะคติของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 2. เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการประยุกต์ใช้หลักโยนิโสมนสิการ กับประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ประชากร ได้แก่ ข้าราชการครูที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 จำนวน 1,598 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการครูที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 จำนวน 306 คน โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิดซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานตามหลักโยนิโสมนสิการ อยู่ใน ระดับมาก 2. ประสิทธิผลในการบริหารงานของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวม ทั้ง 4 ด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด 3. การใช้หลักโยนิโสมนสิการ โดยรวม (X) กับประสิทธิผลการบริหารงาน โดยรม (Y) ของผู้บริหารสถานศึกษา มีความสัมพันธ์ในทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = .882) </p>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/266469
การเสริมสร้างความฉลาดทางจิตวิญญาณของนิสิตปริญญาตรีโดยการให้คำปรึกษากลุ่มแบบผสมผสานเทคนิค
2023-07-12T17:40:29+07:00
ณัฐวดี ไทยง้วน
natthawadeethaiswu@gmail.com
<p>งานวิจัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความฉลาดทางจิตวิญญาณของนิสิตปริญญาตรี และเปรียบเทียบความฉลาดทางจิตวิญญาณของนิสิตก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรมให้คำปรึกษากลุ่มแบบผสมผสานเทคนิค รวมทั้งเปรียบเทียบความฉลาดทางจิตวิญญาณระหว่างนิสิตกลุ่มที่เข้าร่วมการให้คำปรึกษากลุ่ม<br>และนิสิตที่ไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 354 คน โดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จากประชากร ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองเป็นนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2565 ที่มีค่าเฉลี่ยความฉลาดทางจิตวิญญาณตั้งแต่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 25 ลงมาจำนวน 12 คน สุ่มเข้ากลุ่ม (assign random sampling) เป็นกลุ่มทดลอง <br>6 คน จาก และกลุ่มควบคุม 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบวัดความฉลาดทางจิตวิญญาณ และโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบผสมผสานเทคนิคเพื่อเสริมสร้างความฉลาดทางจิตวิญญาณ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าสถิติ t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. นิสิตปริญญาตรีคณะศึกษาศาสตร์มีฉลาดความฉลาดทางจิตวิญญาณอยู่ระดับสูง 2. นิสิตกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบผสมผสานเทคนิค หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยความฉลาดทางจิตวิญญาณโดยรวมสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อจำแนกรายองค์ประกอบกลับพบว่า เฉพาะองค์ประกอบด้านการคำนึงถึงการดำรงอยู่ของชีวิต องค์ประกอบด้านการสร้างเป้าหมายในชีวิต และองค์ประกอบด้านการพัฒนาระดับการมีสติ ที่นิสิตกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบผสมผสานเทคนิค หลังการทดลองมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br>ที่ระดับ .05 และ 3. นิสิตปริญญาตรีกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบผสมผสานเทคนิค มีความฉลาดทางจิตวิญญาณสูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการจัดกระทำใด ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> <p><strong> </strong></p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/265419
การส่งเสริมสมรรถภาพทางกายในเด็กดาวน์ซินโดรม โดยใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลง
2023-05-09T17:12:59+07:00
คมสันต์ พลึกรุ่งโรจน์
khompluk@gmail.com
สังเวียน ปินะกาลัง
hhomsan.p@kkumail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนากิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลงให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายในเด็กดาวน์ซินโดรม ก่อนและหลังการใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลง กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ เป็นผู้เรียนได้มาจากการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา(ดาวน์ซินโดรม) และกำลังศึกษาอยู่ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2565 อายุระหว่าง 4-6 ปี จำนวน 5 คน การวิจัยกึ่งทดลอง แบบศึกษากลุ่มเดียววัดสองครั้ง ทดลอง 20 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลง และแบบบันทึกข้อมูลการทดสอบสมรรถภาพทางกาย ในด้านความเร็วใช้แบบทดสอบวิ่งเร็ว 20 เมตร และด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาใช้แบบทดสอบยืนกระโดดไกล โดยใช้สถิติ Wilcoxon signed-rank Test เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยตัวแปรที่ศึกษาระหว่างก่อนและหลัง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลง มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80/84.44 เป็นไปตามเกณฑที่ตั้งไว้ 80/80 และหลังการทดลองใช้กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลง เด็กดาวน์ซินโดรมมีสมรรถภาพทางกายสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> สรุปผลการวิจัยได้ว่า กิจกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลงที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สามารถนำไปใช้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสมรรถภาพทางกายในด้านความเร็ว และด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา สำหรับเด็กดาวน์ซินโดรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/273966
วิเคราะห์แนวคิดการบริหารกับการจัดการและภาวะผู้นำสู่กรอบแนวคิดเพื่อการบริหารการศึกษา
2024-07-19T15:18:13+07:00
พระครูธรรมาภิสมัย
suphachai.boo@mbu.ac.th
พระมหาศุภชัย สุภกิจโจ
suphachai.boo@mbu.ac.th
เอกชาตรี สุขเสน
suphachai.boo@mbu.ac.th
วิโรจน์ สารรัตนะ
suphachai.boo@mbu.ac.th
พระครูสุธีจริยวัฒน์
suphachai.boo@mbu.ac.th
วิทูล ทาชา
suphachai.boo@mbu.ac.th
<p>การวิจัยเอกสารนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความกระจ่างทางวิชาการเกี่ยวกับความแตกต่าง ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และการมีอิทธิพลต่อกันระหว่างแนวคิดของการบริหารกับการจัดการและภาวะผู้นำ เพื่อนำไปสู่การนำเสนอกรอบแนวคิดเพื่อการบริหารการศึกษา โดยเฉพาะในระดับในสถานศึกษาเพราะมีผลการวิจัยยืนยันว่ามีความสำคัญเพราะเป็นฐานปฏิบัติที่จะทำให้การระดมทรัพยากรบุคคลและทรัพยากรวัตถุให้เกิดประโยชน์ที่ใช้งานได้จริง เป็นฐานปฏิบัติที่จะช่วยเสริมสร้างการสอนและการเรียนรู้ที่จะส่งผลให้นักเรียนได้รับการศึกษาที่ถูกต้องจากครูที่ถูกต้อง และเป็นฐานปฏิบัติที่จะสร้างอิทธิพลที่ส่งผลต่อนักเรียนให้เติบโตไปสู่เป้าหมายที่กำหนดโดยมีครูเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง จากผลการวิจัยพบว่า แนวคิดของการบริหาร การจัดการ และภาวะผู้นำ มีความแตกต่างกัน แต่ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และการมีอิทธิพลต่อกัน ประมวลผลแล้วได้กรอบแนวคิดเพื่อการบริหารการศึกษาในสถานศึกษาที่เสนอแนะให้ยึดเอาแนวคิดของการบริหารเป็นตัวยืน แล้วนำเอาแนวคิดของภาวะผู้นำมาช่วยเสริมให้เข้มแข็งชัดเจนขึ้น รวมทั้งนำเอาแนวคิดของการจัดการช่วยเสริมให้เป็นระบบที่สมบูรณ์</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/265420
แนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม
2023-05-09T18:32:46+07:00
สิทธิกร สุทธิประภา
sittikorn1993@gmail.com
สังเวียน ปินะกาลัง
sittikorn1993@gmail.com
สมพร หวานเสร็จ
sittikorn1993@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม 2) พัฒนาแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม และ3) ศึกษาผลการใช้แนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กที่มีภาวะออทิสซึม ปีการศึกษา 2565จำนวน 10 คน และผู้ปกครองเด็กที่มีภาวะออทิสซึม จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แนวคำถามการสนทนากลุ่ม แบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจ แบบประเมินทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ของผู้ปกครองและเด็กที่มีภาวะออทิสซึม แบบวัดเจตคติ และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐานและสถิติทดสอบ Wilcoxon matched pair signed- rank test โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป SPSS และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาความต้องการจำเป็นในการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม พบว่า จากการสนทนากลุ่มผู้ปกครองเห็นว่าเด็กที่มีภาวะออทิสซึม มีความสามารถด้านการรู้จักส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ การดูแลรักษาคอมพิวเตอร์ และการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งผู้ปกครองเห็นว่าการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ <br />ถือเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่ควรเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก เพราะมองเห็นเป็นรูปธรรม เด็กได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง พัฒนาการคิดเป็นระบบ มีการวางแผนการทำงาน และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระได้ จึงควรมีแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของเด็กที่มีประสิทธิภาพ 2. ผลการพัฒนาแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม พบว่า ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ คือ 1) ขั้นตอนการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง 2) บทบาทผู้ที่เกี่ยวข้อง และ3) ระบบสนับสนุน ดังนี้ <br />1) ขั้นตอน ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ 1.1) การเตรียมการ และ1.2) การดำเนินงาน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ 1.2.1) ประเมินความสามารถพื้นฐานด้านการใช้คอมพิวเตอร์ 1.2.2) จัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) หรือ แผนการให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว (IFSP) 1.2.3) จัดทำแผนการสอนรายบุคคล (IIP) หรือแผนการจัดประสบการณ์ 1.2.4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1.3) การวัดประเมินผล ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ 1) การประเมินผลการเรียนรู้ 2) สรุปและรายงานผลการพัฒนาผู้เรียน 2) บทบาทผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บทบาทของผู้บริหาร ครู นักเรียน และผู้ปกครอง 3) ระบบสนับสนุน ได้แก่ 1) บุคลากร 2) งบประมาณ 3) สื่อ อุปกรณ์ 4) การบริหารจัดการ <br />และ3. ผลการใช้แนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม พบว่า ผู้ปกครองมีความรู้ ความเข้าใจหลังการใช้แนวทางฯสูงกว่าก่อนการใช้แนวทางฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ผู้ปกครองและเด็กที่มีภาวะออทิสซึม มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ หลังการใช้แนวทางฯสูงกว่าก่อนการใช้แนวทางฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ผู้ปกครองมีเจตคติหลังการใช้แนวทางฯสูงกว่าก่อนการใช้แนวทางฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 และผู้ปกครองมีความพึงพอใจต่อแนวทางการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการเตรียมความพร้อมทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้ สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิสซึม อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262408
ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3
2022-12-07T14:54:56+07:00
ม่านฟ้า ทองอ่อน
marnfahthongon@gmail.com
สรัญญา แสงอัมพร
marnfahthongon@gmail.com
เกศริน มนูญผล
marnfahthongon@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 2) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมผู้นำแบบส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 จำนวน 306 คน ได้มาโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และเมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามปลายปิดและปลายเปิด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ โดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาระดับพฤติกรรมผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือพฤติกรรมผู้นำแบบร่วมติดตามและประเมินผล รองลงมา คือ ด้านพฤติกรรมผู้นำแบบร่วมคิด และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านพฤติกรรมผู้นำแบบร่วมตัดสินใจ 2) ผลการศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 โดยรวม อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา 3) พฤติกรรมผู้นำแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์ใน ทางบวกกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับค่อนข้างสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 โดยพฤติกรรมผู้นำแบบร่วมดำเนินการมีความสัมพันธ์กับการบริหารงานวิชาการสูงสุด รองลงมา คือพฤติกรรมผู้นำแบบร่วมตัดสินใจ พฤติกรรมผู้นำแบบร่วมคิด พฤติกรรมผู้นำแบบร่วมติดตามและประเมินผล ตามลำดับ</p>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/264438
ทักษะชีวิตและอาชีพที่จำเป็นสำหรับครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21
2023-03-15T16:12:44+07:00
กฤติภัทร อัจนกิตติ
krittipat.al@ku.ac.th
ธารินทร์ ก้านเหลือง
fedutrkl@ku.ac.th
ศุภวรรณ วงศ์สร้างทรัพย์
feduswv@ku.ac.th
พรทิวา ชนะโยธา
porntiwa.chu@gmail.com
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเสนอทักษะชีวิตและอาชีพที่จำเป็นสำหรับครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในยุคศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีชีวิตของคนในสังคม ระบบการศึกษาจึงจำเป็นต้องพัฒนา เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น จากเดิมการศึกษามุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะเพียงอ่านออก เขียนได้ (Literacy) แต่สำหรับในศตวรรษที่ 21 ต้องมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ การปฏิบัติ และการสร้างแรงบันดาลใจไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้สมรรถนะครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เกิดจาก ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ ทัศนคติ และแรงจูงใจของครูพลศึกษาในศตวรรษที่ 21 ที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ตามบทบาทหน้าที่อย่างโดดเด่นแล้วยังจำเป็นที่ต้องมีองค์ประกอบของทักษะที่สำคัญในการใช้ชีวิตและการทำงานเพิ่มเติม เพื่อสามารถปรับตัว รับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคของโลกดิจิทัล ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างสร้างสรรค์ ประกอบไปด้วย 3 ทักษะ ดังนี้ 1) ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี และ 3) ทักษะชีวิตและอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะชีวิตและอาชีพ ซึ่งในปัจจุบันมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง อาจจะมากไปกว่าทักษะการคิด ทักษะความรู้ด้านเนื้อหา ทักษะความสามารถที่จะนำพาชีวิตและอาชีพที่สลับซับซ้อน ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารที่มีการแข่งขันระดับโลก จึงต้องอาศัยความตั้งใจในการพัฒนาทักษะด้านชีวิตและอาชีพอย่างเพียงพอ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงานกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก</p>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/265046
การสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย : การวิเคราะห์อภิมาน
2023-04-21T15:59:10+07:00
ณัฐพงษ์ ชุ่มวงศ์
ball2532nattapong@gmail.com
รุ่งทิวา กองสอน
rungtiwa05.s.ppk@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะของงานวิจัยที่ทำการศึกษาประสิทธิภาพการสอนของในด้านการตีพิมพ์และผู้วิจัย ด้านเนื้อหาสาระของงานวิจัย และด้านระเบียบวิธีวิจัย และ 2) เพื่อวิเคราะห์ขนาดอิทธิพลของงานวิจัยทางการศึกษาที่ใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัยที่ส่งผลต่อผลการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นงานวิจัยเชิงทดลองที่เผยแพร่ในระหว่างปี พ.ศ. 2552 ถึง พ.ศ. 2562 จำนวน 7 เล่ม ที่มีคุณลักษณะตามเกณฑ์การคัดเลือก คือ ใช้กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม เป็นงานวิจัยเชิงทดลองและมีคะแนนคุณภาพงานวิจัย 3.00 ขึ้นไป ซึ่งรวมรวบข้อมูลโดยใช้แบบประเมินคุณภาพงานวิจัยที่พัฒนาขึ้นโดย นงลักษณ์ วิรัชชัย (2530) บันทึกแบบสรุปรายงานการวิจัย แล้วนำมาสังเคราะห์ตามวิธีของ Glass ได้ค่าขนาดอิทธิพล จำนวน 8 ค่า จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะงานวิจัยที่ทำการศึกษาประสิทธิภาพการสอนที่นำมาสังเคราะห์ แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ ด้านคุณลักษณะงานวิจัยด้านการตีพิมพ์ และผู้วิจัย ในระหว่างปี พ.ศ. 2552-2562 สถาบันที่ผลิตงานวิจัยมากที่สุด คือ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คิดเป็นร้อยละ 71.43 สาขาวิชาที่ผลิตงานวิจัยมากที่สุด คือ หลักสูตรและการสอน คิดเป็นร้อยละ 85.71 และประเภทงานวิจัยที่ผลิตมากที่สุด คือ วิทยานิพนธ์ระดับระดับปริญญาโท คิดเป็นร้อยละ 85.71 ด้านเนื้อหาสาระของงานวิจัย พบว่าวิชาที่ทำวิจัยมากที่สุด คือ วิชาคณิตศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 42.86 ระดับชั้นของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยมากที่สุด คือ ระดับช่วงชั้นที่ 2 ช่วงชั้นที่ 3 และช่วงชั้นที่ 4 คิดเป็นร้อยละ 28.57 และประเด็นที่งานวิจัยศึกษามากที่สุด คือ รูปแบบการจัดการเรียนการสอน คิดเป็นร้อยละ 100.00 และด้านระเบียบวิธีวิจัย พบว่า รูปแบบงานวิจัยที่ใช้มากที่สุด คือ การวิจัยเชิงทดลอง คิดเป็นร้อยละ 100.00 การกำหนดตัวอย่างที่ใช้มากที่สุด คือ การกำหนดตัวอย่างโดยมีการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 85.72 โดยใช้วิธีการสุ่มที่ใช้มากที่สุด คือ การสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) คิดเป็นร้อยละ 71.43 และการตั้งสมมติฐานที่ใช้ในการวิจัยมากที่สุด คือ การกำหนดสมมติฐานแบบมีทิศทาง คิดเป็นร้อยละ 85.71 2) การศึกษาที่ใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย : Deductive Methods มีอิทธิพลต่อผลการเรียนรู้ของผู้เรียน มีค่าเฉลี่ยขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.294 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.274</p>
2024-07-21T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/266394
รูปแบบการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญาในโรงเรียนเฉพาะความพิการกลุ่ม 7 ภาคใต้ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
2024-06-28T11:15:44+07:00
ยุมรินทร์ ณ ศรีสุข
yumarin2518@gmail.com
บุญส่ง ทองเอียง
yumarin5454@gmail.com
ทิพมาศ เศวตวรโชติ
yumarin5454@gmail.com
<p>วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียน ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในโรงเรียนเฉพาะความพิการ กลุ่ม 7 ภาคใต้ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียน ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในโรงเรียนเฉพาะความพิการ กลุ่ม 7 ภาคใต้ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3) เพื่อประเมินความเหมาะสมการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียน ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในโรงเรียนเฉพาะความพิการ กลุ่ม 7 ภาคใต้ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ดำเนินการวิจัยเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพ โดยการวิเคราะห์เอกสาร การสอบถามครู จำนวน 80 คน และผู้ปกครอง จำนวน 80 คน ได้มาโดยใช้ตารางเครจซี่และมอร์แกน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบ โดยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง และศึกษาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 7 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง และทำการสร้างคู่มือการใช้รูปแบบฯ และแบบประเมินความเหมาะสมของคู่มือการใช้รูปแบบฯ จากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน ขั้นตอนที่ 3 ประเมินความเหมาะสม โดยสอบถามด้วยแบบประเมินความเหมาะสมจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong> ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <ol> <li class="show">ผลการศึกษาสภาพและปัจจัยการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในโรงเรียนเฉพาะความพิการ กลุ่ม 7 ภาคใต้ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า อยู่ในระดับปานกลางทุกด้าน</li> <li class="show">ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในโรงเรียนเฉพาะความพิการ กลุ่ม 7 ภาคใต้ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า ผลการศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในโรงเรียนเฉพาะความพิการ กลุ่ม 7 ภาคใต้ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักสูตรและการบริหารหลักสูตร องค์ประกอบที่ 2 การจัดการเรียนการสอน องค์ประกอบที่ 3 การบริหารการเรียนการสอน และองค์ประกอบที่ 4 การวัดและประเมินผล การดำเนินงานของรูปแบบการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในโรงเรียนเฉพาะความพิการ กลุ่ม 7 ภาคใต้ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ยึดหลักการบริหาร PDCA และหลักการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เป็นบุคคลในองค์กรหรือต่างองค์กรได้เข้ามาดำเนินการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในสถานศึกษา ได้แก่ ผู้บริหาร ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และสถานประกอบการ</li> <li class="show">ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการบริหารการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนสู่การทำงานของนักเรียน ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในโรงเรียนเฉพาะความพิการ กลุ่ม 7 ภาคใต้ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</li> </ol> <p> </p>
2024-08-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/259963
Active Learning: การจัดการเรียนรู้เพื่อเตรียมเด็กไทยสู่ศตวรรษที่ 21 หลังวิกฤตการณ์โควิด-19
2022-07-12T14:45:20+07:00
ดวงแก้ว สุหลง
duangkaew@ayw.ac.th
สุพินดา เลิศฤทธิ์
supinda.l@rsu.ac.th
<p>Active Learning หรือการจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยการเชื่อมโยงและบูรณาการจากความรู้เดิมที่มีอยู่ ซึ่งครูผู้สอนจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้ที่เป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้มาเป็นผู้ที่อำนวยความสะดวก (Facilitator) ในชั้นเรียน เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา (Coach) ในระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นผู้ร่วมเรียนรู้ (Co-learner) ข้อมูลความรู้ต่างๆไปพร้อมๆกันกับผู้เรียน ตลอดจนเป็นผู้สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ (Motivator) ให้ผู้เรียนเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียน เห็นคุณค่าของการเรียน และเป็นบุคคลที่เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต นอกจากนี้ครูผู้สอนยังต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ และวิธีวัดและประเมินผลให้มีความหลากหลาย เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนและเป็นการสร้างบรรยากาศในการเรียนให้มีชีวิตชีวา โดยเน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในทุกองค์ประกอบของการเรียนการสอนเพื่อสร้างประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนจากการลงมือปฏิบัติจริง ในขณะเดียวกันผู้เรียนเองก็ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ที่รับความรู้ (Receiver) ไปเป็นผู้ที่มีส่วนในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Co-Creator) ด้วยการเสนอความคิดเห็น โต้แย้ง อภิปราย ทั้งในการทำงานแบบรายบุคคลและการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งจะก่อให้เกิดทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ไขปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะในการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มและภาวะความเป็นผู้นำ (Collaboration Teamwork and Leadership) ทักษะด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) รวมไปถึงทักษะด้านอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งโลกในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นยุคที่โลกต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ มากมาย วิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการคาดการณ์ของมนุษย์ การปรับทิศทางการศึกษาด้วยการประยุกต์ใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง (Active Learning) จึงถือเป็นหนทางในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นให้เยาวชนมีความพร้อมและสามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมั่นคง เป็นผู้ที่มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต</p>
2024-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 ศึกษาศาสตร์ มมร