ศึกษาศาสตร์ มมร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj <p><strong>วารสารศึกษาศาสตร์ มมร</strong></p> <p><strong>ISSN </strong>: 2408-199X</p> <p><strong>กำหนดออก : </strong>2 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์</strong> : วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านการศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ คณาจารณ์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งภายในและภายนอก เพื่อเป็นเวทีทางวิชาการในการแลกเปลี่ยนทัศนะและข้อคิดเห็นทางด้านการศึกษา</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ</strong> : บทความทุบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน และผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์</strong> : ภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เจ้าของวารสาร</strong> : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย</p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย th-TH ศึกษาศาสตร์ มมร 2408-199X ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ของผู้บริหารสถานศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/261735 <p> ปัจจุบันสถานการณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย การดำเนินการในทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมการเมือง การดำเนินงานขององค์กรจำเป็นจะต้องมีการวางแผนและกระทำอย่างรอบคอบ พิจารณาและคิดให้ถี่ถ้วนในการดำเนินการ องค์กรที่มีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นเลิศ จึงจะต้องรู้จักการเรียนรู้ ปรับตัวเพื่อสอดรับกับความเปลี่ยนแปลง นับว่าเป็นความท้าทายของผู้บริหารผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่จะนำพาองค์กรมุ่งสู่ผลสำเร็จบรรลุเป้าหมาย โดยใช้อิทธิพลและการจูงใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สามารถชักจูงโน้มน้าวให้บุคคลในองค์กรปฏิบัติงานได้จนสำเร็จและบรรลุเป้าหมายขององค์กร บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 2 ประการคือ 1)เพื่อเสนอแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และ 2)เพื่อเสนอแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา</p> ธัญจิรา ฟูเต็มวงศ์ ศิริพร สินพรม มัทนา วังถนอมศักดิ์ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 116 124 กลยุทธ์การจัดการที่สำคัญของมัณฑนากรมืออาชีพ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/269801 <p>การคิด เชิงนักออกแบบ (Design Thinking) เป็นกลยุทธ์การจัดการที่สำคัญสำหรับมัณฑนากรมืออาชีพ ในการส่งเสริมศักยภาพในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเป็นไปได้ ยั่งยืน นำไปสู่การเพิ่มโอกาสของความสำเร็จในอนาคตการทำงาน โดยมีปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จ คือ ทีมงานที่มาจากหลากหลายสาขาความรู้ กระบวนการทำงานที่เป็นระบบ พื้นที่ที่มีสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาแนวความคิด ลูกค้าพึงพอใจ ประทับใจในผลงานที่ตรงตามความต้องการของตนอย่างแท้จริง ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนคือ 1) การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง 2) การกลั่นกรอง ตีกรอบข้อมูลความเข้าใจในเชิงลึก 3) การระดมและพัฒนาแนวคิด ให้หลากหลายที่สุด 4) การสร้างต้นแบบ เพื่อค้นหาวิธีการที่เป็นไปได้ในการแก้ปัญหาและ 5) การนำต้นแบบไปทดลอง และรับข้อมูลสะท้อนกลับ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการคิด เชิงนักออกแบบ ทำให้มัณฑนากร ได้ฝึกกระบวนการแก้ไขปัญหาตลอดจนหาทางออกที่เป็นลำดับขั้นตอน มีทางเลือกที่หลากหลาย มีตัวเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุด ได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ เกิดกระบวนการใหม่ตลอดจนนวัตกรรมใหม่ มีแผนสำรองในการแก้ปัญหา และรวมทั้งทำให้องค์กรของตนมีการทำงานอย่างเป็นระบบ</p> ขัตติพงษ์ ด้วงสำราญ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 186 197 กลยุทธ์การสร้างแรงจูงใจที่มีประสิทธิภาพสำหรับห้องเรียนภาษาอังกฤษ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/261771 <p>ปัจจุบันภาษาอังกฤษถือว่าเป็นภาษาสากลและเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยเป้าหมายหลักในการสอนภาษา เพื่อพัฒนาความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ดังนั้น การสร้างแรงจูงใจในการเรียนได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการจัดการเรียนการสอน เพราะแรงจูงใจส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ซึ่งถ้าครูผู้สอนสามารถส่งเสริมแรงจูงใจและใช้กลยุทธ์การสอนที่มีประสิทธิภาพแล้ว ย่อมจะทำให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายในการเรียนภาษา บทความนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำเสนอกลยุทธ์ในกาสร้างแรงจูงใจสำหรับห้องเรียนภาษาอังกฤษ และหลักปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คณาจารย์ผู้สอนภาษาอังกฤษสามารถนำแนวคิดดังกล่าวไปบูรณาการการสอนของตน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดี และพัฒนาทักษะการใช้ภาษาอังกฤษให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p> </p> อรรชนิดา หวานคง Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 209 220 การศึกษาความหมายของคำว่า “รอบ” ในภาษาไทยปัจจุบัน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263422 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคำ “รอบ” ในภาษาไทยปัจจุบัน โดยเก็บข้อมูลจากฐานข้อมูล TNC: THAI NATIONAL CORPUS (Third Edition) ช่วง พ.ศ. 2551 – 2560 มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อวิเคราะห์ความหมายและความสัมพันธ์ระหว่างความหมายต่าง ๆ ของคำ “รอบ” ในภาษาไทย ผลการศึกษาพบว่า คำ “รอบ” มี 8 ความหมาย ได้แก่ 1) การเวียนมาบรรจบ 2) การเวียนมาบรรจบตามกำหนดเวลา 3) ช่วงเวลา 4) ระยะเวลา 12 ปี 5) วาระของกิจกรรม 6) สิ่งที่อยู่แวดล้อม 7) ทั้งหมด และ 8) ลักษณนามแสดงการเกิดหรือการกระทำบางอย่างในลักษณะซ้ำเดิม นอกจากนี้ผลการศึกษายังพบว่าความหมายต่าง ๆ นั้นมีความสัมพันธ์กัน โดยมีการขยายความหมายผ่านกระบวนสำคัญ 3 กระบวนการ ได้แก่ 1) กระบวนการอุปลักษณ์ 2) กระบวนการนามนัย และ 3) กระบวนการอุปลักษณ์-นามนัย</p> วิมลวรรณ ขอบเขต กัลยรัตน์ กลิ่นสุวรรณ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-31 2023-12-31 11 2 221 232 การพัฒนานวัตกรรมการบริหารการศึกษาในสถานศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/269804 <p>สถานศึกษาเป็นแหล่งให้การศึกษา&nbsp; อบรมสั่งสอน ถ่ายทอดความรู้แก่ประชาชนในทุกพื้นที่ชุมชนตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งวัยผู้สูงอายุ&nbsp; สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงของสังคมให้ทันยุคสมัยหรืออนุรักษ์วัฒนธรรมที่มีคุณค่าไว้ให้คงอยู่ต่อไป&nbsp; ทั้งนี้สถานศึกษาหรือโรงเรียนจึงมีความสำคัญต่อการสร้างสังคมในศตวรรษที่ 21 ซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การสื่อสาร และนวัตกรรมการศึกษา&nbsp; ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรในสถานศึกษาจึงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการบริหารและการจัดการเรียนรู้ให้เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมทางการศึกษา (Educational Innovation Organization) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้จึงให้ความสำคัญกับการนำหรือการประยุกต์ใช้กลยุทธ์ในการสร้างนวัตกรรมทั้งที่เป็นสิ่งประดิษฐ์หรือวิธีการใหม่ๆโดยการพัฒนารูปแบบการบริหารหรือการจัดการเรียนรู้ให้ดีขึ้นกว่าสิ่งที่เป็นมาแบบเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง&nbsp; รวมถึงการสร้างนิสัยการทำงานของบุคลากร&nbsp; สร้างสรรค์รูปแบบการปฏิบัติงาน สร้างสรรค์สื่อการเรียนรู้และการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เน้นวิธีการใหม่ๆเพื่อพัฒนาองค์กรการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เหล่านี้มาจากผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีการสั่งสมความรู้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ (Master learning person) ส่งผลต่อการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และพัฒนาเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม</p> นเรศวร์ เศรษฐสิงห์ ชุมศักดิ์ ชุมศักดิ์ อินทร์รักษ์ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-31 2023-12-31 11 2 275 285 พุทธปรัชญาแม่แบบแห่งจริยปรัชญาไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/269802 <p>พุทธปรัชญาเป็นแม่แบบของแนวคิดไทยทางด้านทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การศึกษาไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ทั้งนี้เพราะคนไทยได้ถูกกล่อมเกลามาตั้งจำความได้จากรุ่นสู่รุ่น ในบทความนี้ ได้มุ่งมั่นอธิบายความ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษาความคิดอื่นของแนวคิดไทย โดยมีวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นแม่แบบแนวคิด ด้วยการนำเสนอพุทธปรัชญาแม่แบบแห่งจริยปรัชญาไทย ด้วยการอธิบายตามนัยจริยปรัชญาที่ว่าด้วยเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ซึ่งเป็นหลักที่ทุกสังคมต่างให้ความสนใจโดยเน้นอธิบายตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นสำคัญ</p> วิพจน์ วันคำ พีรพงษ์ แสนสิ่ง Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 316 324 การสอนธรรมศึกษาผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/267237 <p>บทความวิชาการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอ การสอนธรรมศึกษาผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปา โดยใช้การศึกษาจากการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลจากตำรา เอกสารวิชาการที่เกี่ยวข้อง จากผลการศึกษาพบว่า การสอนธรรมศึกษาแบบซิปปาเป็นวิธีการสอนที่เน้นการเรียนรู้แบบปฏิสัมพันธ์ และการสร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่เข้ากันได้กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน โดยใช้โครงข่ายการเรียนรู้แบบ CIPPA Model เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและจดจำหลักธรรมที่สอนได้ดีขึ้นการออกแบบและจัดการกิจกรรมการเรียนรู้แบบซิปปาจะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่เข้ากันได้กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน และการให้โอกาสให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเรียนรู้และสร้างความสนุกสนานในการเรียนรู้ การพัฒนาการสอนธรรมศึกษาแบบซิปปา จะช่วยเพิ่มพูนความเข้าใจและเสริมสร้างจิตวิญญาณและคุณธรรมให้กับผู้เรียน และช่วยเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนในการเป็นบุคคลที่มีจิตวิญญาณและสามารถแก้ปัญหาและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน</p> อภิเดช สุผา พระสมพร นามอินทร์ ชาตรี สุขสบาย Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-31 2023-12-31 11 2 325 336 วิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทย: แนวทางพัฒนาผู้เรียนด้วยการลงมือปฏิบัติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/270860 <p>หลักการใช้ภาษาไทยเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาไทยเพราะเมื่อเข้าใจแบบแผน และกฎเกณฑ์ทางภาษาแล้ว ก็จะสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ ทำให้สามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้ผู้เรียนต้องหลักการใช้ภาษาไทย ซึ่งครูผู้สอนต้องออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนหลักการใช้ภาษาไทย โดยกิจกรรมดังกล่าวต้องพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ กระบวนการ ตลอดจนคุณลักษณะและเจตคติที่ดีในการเรียนหลักการใช้ภาษาไทย การจัดกิจกรรมการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทยจะบรรลุวัตถุประสงค์ ครูจะต้องมีนวัตกรรมทางการสอนที่หลากหลาย ทั้งรูปแบบการสอนและเทคนิคการสอนต่าง ๆ ตลอดจนสื่อและแหล่งเรียนรู้ที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จริง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงแนวทางในการจัดการเรียนรู้หลักการใช้ภาษาไทยที่พัฒนาผู้เรียนด้วยการลงมือปฏิบัติ ได้แก่ 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย 2) กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจ 4 3) วิธีการจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning: PBL) 4) รูปแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีการสร้างความรู้</p> คชา ปราณีตพลกรัง พระจักรพัชร์ จกฺกภทฺโท รัชนีฉาย เฉยรอด บัญชา ธรรมบุตร พระมหาภาณุวัฒน์ อมรกวี Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 351 361 ศึกษาความสามารถในการอ่านภาษาจีนกลางของนักเรียนจากการจัดการเรียนรู้เสริมแบบผสมผสานร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านสัทอักษรจีนกลาง (พิงอิน) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/260214 <p>การวิจัยครั้งนี้มีมุ่งหมาย 1. เพื่อเปรียบเทียบทักษะอ่านภาษาจีนกลางของนักเรียนจากการจัดการเรียนรู้เสริมแบบผสมผสานร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านสัทอักษรจีนกลาง (พินอิน) เกณฑ์ร้อยละ 80 <br />2. เพื่อเปรีบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาจีนกลางของนักเรียนก่อนและหลังเรียน จากการจัดการเรียนรู้เสริมแบบผสมผสานร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านสัทอักษรจีนกลาง (พินอิน) 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อจากการจัดการเรียนรู้เสริมแบบผสมผสานร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านสัทอักษรจีนกลาง (พิงอิน) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้ที่สนใจเรียนภาษาจีนกลาง โดยการสมัครใจมาเรียนผ่านการรับสมัครออนไลน์ ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 52 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) จำนวน 25 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบผสมผสานร่วมกับแบบฝึกทักษะ สัทอักษรจีนกลาง .แบบฝึกทักษะการอ่านสัทอักษรจีนกลาง แบบทดสอบการอ่านออกเสียงภาษาจีนกลาง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">การศึกษาประสิทธิภาพโดยภาพรวมของทดสอบการอ่านออกเสียงนักศึกของผู้ที่สนใจเรียนภาษาจีนกลาง โดยการสมัครใจมาเรียนผ่านการรับสมัครออนไลน์ เรียนหมู่เรียน1 และหมู่เรียน 2 (E1/E2) เท่ากับ 62.95/90.00 ซึ่งประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้</li> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบการอ่านออกเสียงภาษาจีนกลาง โดยใช้กิจกรรมบทเรียนแบบก่อนเรียนและหลังเรียน ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้เสริมแบบผสมผสานร่วมกับแบบฝึกทักษะการอ่านสัทอักษรจีนกลาง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ที่นัยสำคัญที่ระดับ .05</li> <li class="show">นักศึกษาส่วนใหญ่มีความพึงพอใจต่อกิจกรรมเสริมบทเรียนการอ่านออกเสียงภาษาจีนกลางของ สนใจเรียนภาษาจีนกลาง โดยภาพรวมอยู่ในระดับพอใจมากมีค่าเฉลี่ย (x̄) เท่ากับ 4.49และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีค่าเท่ากับ 0.65</li> </ol> ZHONG YING YING neranart Chulniam Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 11 24 ศึกษาความสามารถในการเขียนเรื่องจากภาพโดยใช้จินตนาการของผู้เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/260250 <p>การวิจัยครั้งนี้มีมุ่งหมายเพื่อ 1.เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนเรื่องจากภาพโดยใช้จินตนาการของผู้เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการร่วมมือในการเขียนเรื่องจากภาพโดยใช้จินตนาการของผู้เรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC และ</p> <ol start="3"> <li class="show">เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนอนุบาลรัศมี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 1 จำนวน 25 คน ได้มาจากการสุ่มห้องเรียนด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้การเขียนเรื่องจากภาพ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการเขียนเรื่องจากภาพ แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์หาค่าสถิติพื้นฐาน โดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</li> </ol> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบคะแนนความสามารถในการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC พบว่าคะแนนเฉลี่ยความสามารถด้านการเขียนเรื่องตามจินตนาการของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้</li> <li class="show">ผลการเปรียบเทียบทักษะการร่วมมือของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่จัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค CIRC พบว่า ค่าเฉลี่ยทักษะการร่วมมือของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ เมื่อพิจารณาเป็นรายทักษะ และจัดเรียงตามค่าเฉลี่ย (X) จากมากไปหาน้อย ได้แก่ ทักษะการจัดตั้งกลุ่ม ทักษะการสรุปความคิด ทักษะการปฏิบัติงานกลุ่ม และทักษะการคิดเชิงระบบ</li> <li class="show">ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค CIRC ร่วมกับแผนภาพความคิด พบว่า ความคิดเห็นภาพรวมต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค CIRC ร่วมกับแผนภาพความคิด อยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด โดยพิจารณาเป็นรายด้าน และจัดเรียงตามค่าเฉลี่ย (X) จากมากไปหาน้อย ได้แก่ ด้านบรรยากาศในการเรียนรู้ ด้านประโยชน์ที่ได้รับและด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้</li> </ol> อัจฉรา ศรีวรกุล นีรนาท จุลเนียม Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 25 41 ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องไฟฟ้า ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการออกแบบทางวิศวกรรมศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262274 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาให้สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 3) ศึกษาความสามารถในการออกแบบทางวิศวกรรมศาสตร์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา 4) ศึกษาความสามารถในการออกแบบทางวิศวกรรมศาสตร์หลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาให้สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70&nbsp; กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนนิคมสร้างตนเองจังหวัดระยอง 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ได้มาจากวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างการสุ่มแบบกลุ่ม จำนวน 1 ห้องเรียน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการ เรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง ไฟฟ้า จำนวน 4 แผนการจัดการเรียนรู้ 16 การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การทดสอบค่าทีแบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน ค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และผลต่างของคะแนน ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;2) คะแนนแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ความสามารถในการออกแบบทางวิศวกรรมศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ความสามารถในการออกแบบทางวิศวกรรมศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01&nbsp;</p> นรี ทองจิตต์ เชษฐ์ ศิริสวัสดิ์ ธนาวุฒิ ลาตวงษ์ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 42 57 ผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่อง พุทธประวัติ สำหรับนักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ระดับชั้นมัธยมศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262196 <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องพุทธประวัติ สำหรับนักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ระดับชั้นมัธยมศึกษา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับคะแนนก่อนเรียนของนักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง เพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องพุทธประวัติ และ (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง เพื่อส่งเสริมการรู้ เรื่องพุทธประวัติ สำหรับนักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ระดับมัธยมศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนกิ่งเพชร ซึ่งได้มาด้วยการสุ่มอย่างง่าย จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง เรื่อง พุทธประวัติ (2) แบบประเมินคุณภาพกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง (3) แผนการจัดการเรียนรู้ตามตามหลักไตรสิกขา (4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พุทธประวัติ มีจำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.857 และ (5) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตาม หลักไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิงเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องพุทธประวัติ สำหรับนักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ระดับชั้นมัธยมศึกษา ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.786 การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที แบบ dependent</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า (1) กิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องพุทธประวัติ สำหรับนักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ระดับชั้นมัธยมศึกษาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์เท่ากับ 86.8/87.83 (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องพุทธประวัติ สำหรับนักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ระดับชั้นมัธยมศึกษาสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ตามหลักไตรสิกขาร่วมกับไมโครเลิร์นนิง เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องพุทธประวัติ สำหรับนักเรียนธรรมศึกษาชั้นตรี ระดับชั้นมัธยมศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.51)</p> พระสุริยา ไชยประเสริฐ สุภาณี เส็งศรี กอบสุข คงมนัส Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 71 86 ภาวะผู้นำทางจริยธรรมตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262304 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำทางจริยธรรมตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานี เขต 3 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางจริยธรรมตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารกับประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 และ 4) เพื่อค้นหาตัวพยากรณ์ที่ใช้ในการพยากรณ์ภาวะผู้นำทางจริยธรรมตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างคือครูและบุคลากรในโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำนวน 320 คน จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใชในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางจริยธรรมตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหาร โดยภาพรวมพบว่า อยู่ในระดับมาก โดยด้านความเป็นพลเมืองดีมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และด้านความยุติธรรมมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 2) ประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน โดยภาพรวมพบว่า อยู่ในระดับมาก โดยด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้งบุคลากรมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด 3) ภาวะผู้นำทางจริยธรรมตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหารกับประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน โดยรวมมีความสัมพันธ์กันสูงมาก และมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4) ภาวะผู้นำทางจริยธรรมตามแนวพุทธศาสตร์ของผู้บริหาร ด้านความเป็นพลเมืองดี และด้านความไว้วางใจ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคลของโรงเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> </p> พิชญา จีนศรีคง สันติ อุนจะนำ สรัญญา แสงอัมพร Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 87 99 การใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262492 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 2) เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 เมื่อจำแนกตามตัวแปร เพศ ตำแหน่งหน้าที่ ระดับการศึกษา &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ปัญหาการใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 จำนวน 317 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิดและปลายเปิด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล&nbsp; ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (() และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และใช้สถิติการทดสอบทีเทส (t-test) และ เอฟเทส (F-test) ในกรณีพบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยจะทำการทดสอบเป็นรายคู่ โดยใช้วิธีของเชฟเฟ่ (Scheff’s Method)</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong><strong>:&nbsp; </strong></p> <ol> <li class="show">ผลการวิเคราะห์การใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา รายด้าน พบว่า การใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา ด้านมรรค มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมา การใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา ด้านนิโรธ และการใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา ด้านทุกข์ มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด&nbsp;</li> <li class="show">ผลการวิเคราะห์ผลการเปรียบเทียบการใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 จำแนกตามตัวแปรเพศ ไม่แตกต่างกัน ตำแหน่งหน้าที่มีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ระดับการศึกษาไม่แตกต่างกัน และประสบการณ์การทำงานมีความแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li class="show">ผลการรวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้หลักอริยสัจ 4 เพื่อจัดการความเครียดของครูและผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 3 พบว่า การกิจกรรมทำเพื่อลดความเครียด เช่น การนั่งสมาธิ การออกกำลังกาย การฟังเพลง ดูหนัง มีความถี่สูงที่สุด รองลงมา การทำใจให้สบาย มองในมุมบวก และการตั้งสติทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหาที่จะก่อให้เกิดความเครียด มีค่าความถี่น้อยที่สุด</li> </ol> นุชนาถ ปลอดใจดี ทิพมาศ เศวตวรโชติ สันติ อุนจะนำ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 100 115 ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนต่อการบริหารงานของโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262556 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนต่อการบริหารงานของโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ สังกัดสำนักงานการศึกษาพิเศษ กรุงเทพมหานคร&nbsp; 2) เปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียน โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ จำแนกตามอาชีพของผู้ปกครอง ประเภทของนักเรียน และระดับชั้นเรียนของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ผู้ปกครองนักเรียนของโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ จำนวน 300 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA)และเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่โดยวิธี LSD</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนต่อการบริหารงานของโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ สังกัดสำนักงานการศึกษาพิเศษ กรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมาก&nbsp; 2) ผลการเปรียบเทียบความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียน จำแนกตามอาชีพของผู้ปกครอง และจำแนกตามประเภทของนักเรียน โดยภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนจำแนกตามระดับชั้นเรียนของนักเรียนไม่แตกต่างกัน</p> ธิดารัตน์ พลอยศรี ธารินทร์ รสานนท์ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 125 137 การศึกษาประสิทธิภาพการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (Fix it center) สังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262378 <p>วิทยานิพนธ์นี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน 2) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์การบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชนกับประสิทธิภาพการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน และ 4) เพื่อศึกษาการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้าง<br />เพื่อชุมชนที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน กลุ่มตัวอย่าง คือ คณะกรรมการดำเนินโครงการศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน ประกอบด้วย ผู้บริหาร และครู สถานศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน 260 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การศึกษาวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ แจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> <strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong><strong>:</strong></p> <ol> <li class="show">การบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</li> <li class="show">ประสิทธิภาพการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณา<br />เป็นรายด้าน พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน</li> <li class="show">ความสัมพันธ์การบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชนกับประสิทธิภาพการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้าง<br />เพื่อชุมชน มีความสัมพันธ์กันในทางบวก อยู่ในระดับมาก (r=.792) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li class="show">การบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชนส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน คือ กิจกรรมพัฒนา (Top Up) กิจกรรมซ่อม (Repair) และกิจกรรมสร้าง (Build) ร่วมกันพยากรณ์ ได้ร้อยละ 66.0 <br />ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</li> </ol> ประเวท จันทร์งาม สรัญญา แสงอัมพร สันติ อุนจะนำ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 138 149 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราช https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/262351 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1.) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา 2.) ระดับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา 3.) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา 4) ค้นหาตัวแปรพยากรณ์ที่ใช้ในการพยากรณ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา &nbsp;โดยใช้ข้อมูลจากครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานครศรีธรรมราชในปีการศึกษา 2565 &nbsp;จำนวน 339 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย () และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์ค้นคว้าตัวพยากรณ์โดยวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong> 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ส่วนด้านการคำนึงถึงปัจเจกบุคคล มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) ระดับประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการบริหารงานวิชาการมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ส่วนด้านการบริหารงานบุคคล มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกับแบบสำรวจประสิทธิผลของการบริหาร พบว่า มีความสัมพันธ์เชิงบวกในทุกด้านและการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และด้านที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสูงสุด ได้แก่ ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์<strong>&nbsp; </strong>4) ผลการวิเคราะห์ตัวแปรพยากรณ์ที่ใช้ในการพยากรณ์ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษาพบว่า สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบคือ Y = .597 + 874X&nbsp; และสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐานคือ Z<sub>y</sub> =&nbsp; .82Z<sub>x </sub></p> ภัคพิศศา แทนศิลป เกศริน มนูญผล สันติ อุนจะนำ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-30 2023-12-30 11 2 150 161 การเสริมสร้างเจตคติต่ออาชีพอุตสาหกรรม โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออกของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโดยชุดกิจกรรมแนะแนว https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263278 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาเจตคติต่ออาชีพอุตสาหกรรมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น และ 2) เพื่อเปรียบเทียบเจตคติที่มีต่ออาชีพอุตสาหกรรมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมแนะแนว ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เขตพื้นที่อุตสาหกรรม จำนวน 319 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้การเสริมสร้างเจตคติโดยชุดกิจกรรมแนะแนว เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 20 คน ด้วยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงที่มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าเปอร์เซนไทล์ที่ 25 ลงมาและสมัครใจเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบวัดเจตคติต่ออาชีพอุตสาหกรรมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และชุดกิจกรรมแนะแนว สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล มีค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยในกลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีค่าเฉลี่ยเจตคติต่ออาชีพอุตสาหกรรมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านความรู้สึกเห็นความสำคัญ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านแนวโน้มในเชิงพฤติกรรมหรือการกระทำ และด้านความรู้ความเข้าใจ ตามลำดับ และ 2) หลังการเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีเจตคติต่ออาชีพอุตสาหกรรมโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> ชัชรีย์ คชรินทร์ สกล วรเจริญศรี มณฑิรา จารุเพ็ง Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 162 172 การใช้หลักกัลยาณมิตรธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษากับความผูกพันต่อองค์กรของครูผู้สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263389 <p style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">1) <span lang="TH">เพื่อศึกษาระดับการใช้หลักกัลยาณมิตรของผู้บริหารสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต </span>2 (2) <span lang="TH">เพื่อศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของครูผู้สอนในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต </span>2 (3) <span lang="TH">เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้หลักกัลยาณมิตรกับความผูกพันในองค์กรของผู้บริหารสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราชเขต </span>2<span lang="TH"> ประชากร ได้แก่ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 จำนวน 2</span>,<span lang="TH">620 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2จำนวน 335 คน (ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบปลายปิดซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลเชิง ปริมาณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน (</span>Pearson’s Product Moment Correlation)</span></p> ณัชชา เพ็ชรทรัพย์ สรัญญา แสงอัมพร สันติ อุนจะนำ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 173 185 การจัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน ในบริบทฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263345 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาบทบาทของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในบริบทฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) 2) เพื่อศึกษาวิธีการจัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนในบริบทฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาของพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนในบริบทฐานชีวิตใหม่ (New Normal) วิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสานวิธี (Mixed Method Research) โดยใช้แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 684 รูป/คน ใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลมี 2 ประเภท ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ส่วนการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (One Way ANOVA) หรือ F-test หากทดสอบแล้วพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> Phrakhruparadkaveevath ฉนฺทวิชฺโช พระเสฏฐนันท์ ภทฺราวุโธ พระกิตติพล ญาณพโล ศรัณย์ ท้าวมิตร Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 198 208 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ราชบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263881 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ราชบุรี ศึกษาระดับการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ราชบุรี ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงกับการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ราชบุรี และศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อการบริหารเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ราชบุรี กลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัย คือ ครูในโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ราชบุรี ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 370 คน ตามตารางกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970: 608) จากนั้นทำการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) โดยใช้ขนาดโรงเรียนเป็นชั้น (Strata) โดยผู้วิจัยสามารถเก็บแบบสอบถามคืนได้จำนวน 356 คนคิดเป็นร้อยละ 96.22 เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.60-1.00 ค่าความเชื่อมั่นของภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงเท่ากับ .820 และค่าความเชื่อมั่นของการบริหารเชิงกลยุทธ์เท่ากับ .926 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธีการคัดเลือกแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression)</p> สุนันทา สายสล้าง สมชาย เทพแสง เสาวภาคย์ แหลมเพ็ชร Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 233 246 การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/261853 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐาน และ (2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้เกมเป็นฐาน โดยมีการดำเนินการในปีการศึกษา 2564 กลุ่มประชากรซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จังหวัดนนทบุรี จำนวน 205 คน เครื่องมือที่ใช้คือ (1) แผนการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้เกมเป็นฐาน (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้เกมเป็นฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า (1) คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (2) คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมเป็นฐานในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด</p> สำนวน คุณพล Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-31 2023-12-31 11 2 247 259 ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดสระแก้ว https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263338 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก จังหวัดปทุมธานีและจังหวัดสระแก้ว และ 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก จังหวัดปทุมธานีและจังหวัดสระแก้ว การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายในสถานศึกษาขนาดเล็กในจังหวัดปทุมธานีและจังหวัดสระแก้ว จำนวน 400 คน โดยการหาขนาดกลุ่มตัวอย่างจากการเปิดตารางตามสูตรของ Krejcie &amp; Morgan เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามทำการทดสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่น สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า T-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อภาวการณ์นำของผู้บริหารสถานศึกษา<br />ขนาดเล็ก จังหวัดปทุมธานีและจังหวัดสระแก้ว โดยรวมทุกด้าน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก พบว่า ด้านการเป็นแบบอย่างที่ดี อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ ด้านการชี้นำ อยู่ในระดับมาก และด้านการสร้างความสอดคล้องไปในทางเดียวกัน ด้านการกระจายอำนาจการตัดสินใจ อยู่ในระดับมาก ตามลำดับ และผลการเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลของนักเรียนที่มีต่อภาวะการนำของผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็ก พบว่า เพศต่างกัน ความคิดเห็นไม่แตกต่างกันทุกด้าน ส่วนสถานภาพ และจังหวัดที่นักเรียนศึกษาอยู่ต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกันในทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ปวริศา เลิศวิริยะประสิทธิ์ จุรีรัตน์ หนองหว้า Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 260 274 การเสริมสร้างคุณลักษณะวิชาชีพครูตามอัตลักษณ์ของนักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/269813 <p>การวิจัยเรื่อง การเสริมสร้างคุณลักษณะวิชาชีพครูตามอัตลักษณ์ของนักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยนี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยคือเพื่อแนวทางการเสริมสร้างคุณลักษณะวิชาชีพครูตามอัตลักษณ์ของนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู จำนวน 256 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ โดยใช้ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และสถิติวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ (t-test) เปรียบเทียบตัวแปรเพศและสาขาวิชา ด้วยการทดสอบค่าที (t-test) และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>คุณลักษณะวิชาชีพครูตามอัตลักษณ์ของนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย คือ สำนึกดี มุ่งมั่น สร้างสรรค์ สามัคคี&nbsp; โดยภาพรวม นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีคุณลักษณะวิชาชีพครูตามอัตลักษณ์ของนักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.22,S.D..716</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2.ผลเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการเสริมสร้างคุณลักษณะวิชาชีพครูตามอัตลักษณ์ของนักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย คือ สำนึกดี มุ่งมั่น สร้างสรรค์ สามัคคี ซึ่งภาพรวมการเสริมสร้างคุณลักษณะวิชาชีพครูตามอัตลักษณ์ของนักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย อยู่ในระดับมาก</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 3.แนวทางข้อเสนอแนะการเสริมสร้างเสริมสร้างคุณลักษณะวิชาชีพครูตามอัตลักษณ์ของนักศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยจากผู้เชี่ยวชาญ อาทิเช่น จัดกิจกรรมส่งเสริมผู้เรียนให้มีความรู้ในศาสตร์หรือวิชาชีพเฉพาะ, มีการเชื่อมโยงความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพกับวิชาเอก อย่างเป็นรูปธรรม, สร้างกระบวนการผลิตนักศึกษาครูที่มีประสิทธิภาพอันเกิดจากความร่วมมือและ การทำงานร่วมกันระหว่างผู้ใช้บัณฑิต ผู้ผลิตบัณฑิต ชุมชน และสังคม, จัดกิจกรรมเสริมสร้างและพัฒนาผู้เรียนให้มีจิตวิญญาณและจิตสํานึกที่ดีในวิชาชีพ, สร้างรูปแบบการสร้างเสริมคุณลักษณะของการเป็นครูมืออาชีพซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคณะศึกษาศาสตร์, จัดค่ายอาสาเพื่อส่งเสริม สนับสนุน การสร้างจิตอาสาในรูปแบบที่หลากหลายโดยผู้เรียนสามารถเลือกเข้าร่วมกิจกรรมได้ตามความสนใจ เป็นต้น</p> รักษ์ทวี เถาโต มงคล สารินทร์ พระบุญฤทธิ์ อภิปุณฺโณ Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 286 300 การคิดแบบพัฒนาของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อการบริหารการเปลี่ยนแปลง ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/269810 <p>การวิจัยเรื่อง การคิดแบบพัฒนาของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อการบริหารการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2) เพื่อศึกษาการคิดแบบพัฒนาของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน 3) &nbsp;เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการคิดแบบพัฒนาของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน และ 4) เพื่อศึกษาการคิดแบบพัฒนาของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน&nbsp; กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ครูในโรงเรียนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน จำนวน &nbsp;370 &nbsp;คน&nbsp; ได้มาจากการกำหนดขนาดตามตารางทาโร่&nbsp; ยามาเน่ ที่ค่าความเชื่อมั่น 95 %&nbsp;&nbsp; ต่อจากนั้นทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน &nbsp;&nbsp;เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ต&nbsp;&nbsp; แบบสอบถามมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ระหว่าง 0.80-1.00 &nbsp;มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเกี่ยวกับการคิดแบบพัฒนาเท่ากับ 0.82&nbsp; และการบริหารการเปลี่ยนแปลงเท่ากับ0.85&nbsp; ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน &nbsp;&nbsp;สัมประสิทธิสหสัมพันธ์อย่างง่าย &nbsp;สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ &nbsp;และสมการถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน &nbsp;&nbsp;ผลวิจัยปรากฏ ดังนี้</p> <p>1.ระดับการบริหารการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา</p> <p>จังหวัดภาคเหนือตอนบน โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้ 1)&nbsp; ด้านการพัฒนาบุคลากร 2) &nbsp;ด้านการพัฒนาองค์กร 3) ด้านการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล&nbsp; และ 4) ด้านการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กร ตามลำดับ</p> <ol start="2"> <li class="show">ระดับการคิดแบบพั&nbsp; ฒนาของผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน&nbsp; โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ดังนี้&nbsp; 1) ด้านการมีวิสัยทัศน์&nbsp; 2) ด้านการเปิดใจ&nbsp; 3) ด้านความมั่นคงทางอารมณ์&nbsp; 4) ด้านการบริหารนอกกรอบ และ 5) ด้านการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตามลำดับ</li> <li class="show">3. การคิดแบบพัฒนาของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับการบริหารการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบนอย่างมีนัยสำคัญท่างสถิติที่ 05</li> <li class="show">การคิดแบบพัฒนาของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อการบริหารการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบนอย่างมีนัยสำคัญท่างสถิติที่ 0.05 โดยด้านที่มีค่าพยากรณ์สูงสุด ได้แก่ ด้านการมีวิสัยทัศน์ รองลงมา ด้านการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ด้านการเปิดใจ และด้านความมั่นคงทางอารมณ์ ตามลำดับ ส่วนด้านการบริหารนอกกรอบไม่ส่งผลต่อการบริหารการเปลี่ยนแปลง การคิดแบบพัฒนาของผู้บริหารสถานศึกษาร่วมกันพยากรณ์การบริหารการเปลี่ยนแปลงในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดภาคเหนือตอนบน&nbsp; ได้ร้อยละ 81.23</li> </ol> สมชาย เทพแสง สนั่น ประจงจิตร คณิต สุขรัตน์ พรรัชต์ ลังกะสูตร อัจฉริยา เทพแสง Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-31 2023-12-31 11 2 301 315 การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนอนุบาล 2 โดยการประยุกต์ใช้การวิจัยเป็นฐาน โรงเรียนเทศบาลชุมชนวิมลวิทยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/270862 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สังเคราะห์องค์ประกอบของคุณธรรม จริยธรรม และกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ของเด็กระดับปฐมวัยจากผลการวิจัย 2) เปรียบเทียบผลการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ของเด็กอนุบาลปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมที่ได้จากการสังเคราะห์ผลการวิจัย การศึกษาเป็น 2 ระยะ ระยะแรกกลุ่มเป้าหมายคืองานวิจัยในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องระหว่างปี พ.ศ. 2560 ถึง พ.ศ. 2565 จำนวน 10 เรื่อง ในฐานข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ระยะที่สอง กลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 27 คน โรงเรียนเทศบาลชุมชนวิมลวิทยา เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย หนังสือนิทานประกอบภาพส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 3 เรื่อง ความซื่อสัตย์ ความสามัคคี ความมีน้ำใจ จิตอาสา แบบสังเกตพฤติกรรมการแสดงคุณลักษณะทางคุณธรรมจริยธรรม แผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ จำนวน 15 แผน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความก้าวหน้า แปลผลและสรุปผลบรรยายใต้ตาราง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลการวิจัยส่วนใหญ่ใช้กิจกรรมการเล่านิทานเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมในเด็กปฐมวัย และมุ่งศึกษาคุณธรรม จริยธรรมด้านความซื่อสัตย์สุจริต ความสามัคคี และความมีน้ำใจ จิตอาสา</li> <li class="show">การทดลองจัดกิจกรรมเล่านิทานประกอบภาพให้กับเด็กอนุบาลปีที่ 2 และมีการสังเกตบันทึกพฤติกรรมด้านความซื่อสัตย์สุจริต ความสามัคคี และความมีน้ำใจ จิตอาสา หลังการทดลองจัดกิจกรรมเด็กมีการแสดงพฤติกรรมด้านความซื่อสัตย์สุจริต ความสามัคคี และความมีน้ำใจ จิตอาสา เพิ่มขึ้นกว่าก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 21.30</li> </ol> พันธุ์ธัช ศรีทิพันธุ์ วิไลรัตน์ จุลเดช รักษ์ทวี เถาโต Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 362 376 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำวิสัยทัศน์กับการจัดการคุณภาพโดยรวมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/263888 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) ระดับการจัดการคุณภาพโดยรวมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ <br />กลุ่มเครือข่ายที่ 12 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำวิสัยทัศน์กับการจัดการคุณภาพโดยรวมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ปีการศึกษา 2564 จำนวน 215 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก 2) การจัดการคุณภาพโดยรวมของผู้บริหารสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับการจัดการคุณภาพโดยรวมของผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพศูนย์การศึกษาพิเศษ กลุ่มเครือข่ายที่ 12 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) = .905 </p> ชาญณรงค์ จุนเจือวงศ์ สมชาย เทพแสง เสาวภาคย์ แหลมเพ็ชร Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 377 392 วิจารณ์วรรณกรรมเรื่องสิทธารถะของเฮอร์มานน์ เฮสเส https://so04.tci-thaijo.org/index.php/edj/article/view/269696 <p>สิทธารถะเป็นวรรณกกรรมที่เฮอร์มานน์ เฮสเส ประพันธ์ขึ้นมาในช่วง ค.ศ. 1919-1922 ได้รับการตีพิมพ์ออกไปในหลายภาษาเป็นวรรณกรรมเชิงปรัชญาศาสนา ที่พยายามจะนำเสนอปรัชญาอินเดียโดยสร้างกรอบแนวคิดทางปรัชญาขึ้นมาใหม่ในแนวทางของตะวันตก และใช้แนวทางของพุทธประวัติในการดำเนินเรื่อง บทความวิชาการฉบับนี้ ใช้วิธีการสืบค้นแบบค้นคว้าจากเอกสาร (document research) เพื่อสืบค้นว่า วรรณกรรมฉบับนี้ได้นำพุทธประวัติไปใช้ในการดำเนินเรื่องอย่างไร มีการนำเสนอมุมมองทางปรัชญาอินเดียโดยนำเสนอให้กลายเป็นแนวปรัชญาตะวันตกได้หรือไม่อย่างไร โดยจากการวิเคราะห์เนื้อความของวรรณกรรมก็พบว่า ใช้แนวทางของพุทธประวัติในการดำเนินเรื่องจริง โดยขับเคลื่อนเนื้อเรื่องผ่านอุปนิสัยของตัวละครเอก พร้อมกับนำฉากในเนื้อเรื่องมาเปลี่ยนบทบาทและเหตุการณ์ แต่ในด้านปรัชญา ตัววรรณกรรมยังไม่สามารถฉีกแนวทางของปรัชญาอินเดียได้มากนัก ยังคงรักษาแนวทางเดิมอยู่ เพียงแต่นำเสนอผ่านวรรณกรรมตะวันตก ทำให้ต้องมีความสนใจในปรัชญาอินเดียระดับหนึ่ง จึงจะเข้าใจปรัชญาของอินเดียที่แฝงอยู่ในวรรณกรรมได้อย่างเข้าใจ</p> พระปริยัติวชิรกวี (ไมตรี กองแสน) จตุภูมิ แสนคำ ทิวา สุขุม Copyright (c) 2023 ศึกษาศาสตร์ มมร 2023-12-25 2023-12-25 11 2 337 350