https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/issue/feed วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ 2025-08-31T00:00:00+07:00 รศ.ดร.ภัทรวรรธน์ จีรพัฒน์ธนธร fedupwj@ku.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นวารสารวิชาการราย 4 เดือน (3 ฉบับต่อปี) ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม และ ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดพิมพ์วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คณาจารย์ นิสิต บุคลากร นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบุคคลทั่วไป มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการเพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิทยาการในสาขาศึกษาศาสตร์ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/278840 บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) “ทำอย่างไรชีวิตจะยืนยาวและมีความสุข” 2025-03-17T11:56:51+07:00 ณรงค์ ปัดแก้ว narongmculp.2513@gmail.com 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276711 การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 2025-02-24T15:33:36+07:00 วรรณสร เสวกพันธ์ wannasorn.saw@gmail.com ปนิดา เนื่องพะนอม panida.n@lawasri.tru.ac.th เฉลิมชัย หาญกล้า chalermchai.h@lawasri.tru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 และเปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และอำเภอที่สถานศึกษาตั้งอยู่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรีเขต 1 ที่ปฏิบัติงานในปีการศึกษา 2566 จำนวน 235 คน โดยสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิโดยแบ่งตามสถานศึกษาขนาดเล็กในแต่ละอำเภอ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น 0.953 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า 1. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้แก่ การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ วินัยและการรักษาวินัย การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง และการออกจากราชการ ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 พบว่า เมื่อจำแนกตามตำแหน่ง อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และอำเภอที่สถานศึกษาตั้งอยู่ ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน<span class="Apple-converted-space">&nbsp;</span></p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/280212 การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมแบบจำลองเชิงพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง 2025-06-02T10:36:59+07:00 วรรณวิไล เทพวงษ์ wanwilait18@gmail.com อาทร นกแก้ว artornn@nu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมแบบจำลองเชิงพื้นที่ในการส่งเสริมทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่องการแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ บอร์ดเกม Factor Quest: ภารกิจแยกตัวประกอบ แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบทดสอบทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ ข้อมูลวิเคราะห์ด้วยแนวทาง Structuring – Deductive Category Assignment และตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการตรวจสอบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมแบบจำลองเชิงพื้นที่ช่วยส่งเสริมทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ในทั้ง 4 องค์ประกอบ โดยองค์ประกอบด้านข้อกล่าวอ้างมีพัฒนาการสูงที่สุด นักเรียนที่มีคะแนนระดับดีขึ้นคิดเป็นร้อยละ 62.50 รองลงมาคือด้านข้อมูลและด้านเหตุผลสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง ส่วนเหตุผลคัดค้านมีพัฒนาการน้อยที่สุด โดยนักเรียนที่มีคะแนนระดับดีขึ้นไปคิดเป็นร้อยละ 33.33 สอดคล้องกับคะแนนทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ในแต่ละวงจรที่มีสัดส่วนของนักเรียนในระดับดีขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้นทุกองค์ประกอบ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมแบบจำลองเชิงพื้นที่ช่วยส่งเสริมทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์เรื่องการแยกตัวประกอบพหุนามดีกรีสอง</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/277423 A Historical Survey of Chinese Overseas Studies and Agencies: from 1949 to present 2025-03-25T10:05:17+07:00 Yanqiao Wang albertawang789@gmail.com Hui-Wen Vivian Tang kshvt00@hotmail.com <p>This essay explores the evolution of the China’s overseas study industry and its associated intermediary agencies from 1949 to the present. From a state of near non-existence in the mid-20th century to its current thriving condition, the industry has become a significant topic in discussions about the broader education sector in modern China. This study seeks to understand the key events and underlying causes that have shaped this transformation.</p> <p>By analyzing historical policies, official documents, and their broader socio-political contexts, this essay highlights how the industry has adapted to shifts in national and international politics, fluctuating supply and demand for educational resources, and socio-economic developments across different eras. The analysis underscores the interplay between policy regulation and industry growth, revealing patterns of resilience and adaptation in response to changing circumstances.</p> <p>The findings of this research contribute to a deeper understanding of Chinese international education, the evolving landscape of education policy, and the potential trajectory of intermediary agencies in a post-pandemic world. It also offers insights into how global and domestic factors have jointly influenced the industry, providing a foundation for future studies on international education and its governance.</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276466 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียนกับการส่งเสริม สมรรถนะหลักของครูในสหวิทยาเขตเบญจวิโรฒ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 2025-01-06T11:56:55+07:00 ณัฐนนท์ ลุนพัฒน์ nattanon.lu@ku.th สุดารัตน์ สารสว่าง fedusdrsu@ku.ac.th พร้อมพิไล บัวสุวรรณ prompilai.b@ku.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำแบบอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาระดับการส่งเสริมสมรรถนะหลักของครู และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียนกับการส่งเสริมสมรรถนะหลักของครู กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูจากโรงเรียนในสหวิทยาเขตเบญจวิโรฒ <br>สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จำนวน 250 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง<br>จากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan (1970) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากนั้นสุ่มตัวอย่าง<br>แบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วนประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.918 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br>ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) ภาวะผู้นำแบบอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียนอยู่ในระดับมาก คุณลักษณะที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ <br>การมองแบบองค์รวม คุณลักษณะที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ การสร้างแรงบันดาลใจ</p> <p>2) การส่งเสริมสมรรถนะหลักของครูอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพครู ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านการบริการที่ดี และด้านการพัฒนาตนเอง</p> <p>3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียนกับการส่งเสริมสมรรถนะหลักของครู <br>มีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.848, p &lt; 0.01)</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276942 ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ของครูกลุ่มโรงเรียนพหลโยธิน 2025-01-15T15:54:29+07:00 สิวริศร ตรีชิต sivarit.t@ku.th สุชาดา นันทะไชย feduypnc@ku.ac.th สุดารัตน์ สารสว่าง fedusdrs@ku.ac.th <p style="font-weight: 400;">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ และ 2. เปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ จำแนกตามเพศ เจเนอเรชัน &nbsp;&nbsp;&nbsp;วิทยฐานะ และขนาดโรงเรียน ประชากรเป็นครูกลุ่มโรงเรียนพหลโยธิน จำนวน 163 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 0.95 แบบสอบถามมีความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ด้านทัศนคติอยู่ในระดับสูงที่สุด (µ = 4.02) โดยมีทัศนคติด้านประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์ สูงกว่าด้านอื่น ๆ รองลงมาคือด้านความรู้อยู่ในระดับสูง (69.25%) โดยมีความรู้ด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สูงที่สุด และด้านพฤติกรรมอยู่ในระดับปฏิบัติบ่อยครั้ง (µ = 3.59) โดยมีพฤติกรรมด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สูงกว่าด้านอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบตามลักษณะประชากรศาสตร์พบว่า ผู้ไม่ระบุเพศ Generation Z ครูผู้ช่วย และโรงเรียนขนาดเล็กมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มอื่นในทุกด้าน ในขณะที่ครูชำนาญการพิเศษและ Generation X มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มอื่น</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/278523 การสนธิพลังความร่วมมือในการเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของเด็กข้ามชาติ บริเวณพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษเชียงราย: กรณีศึกษามูลนิธิบ้านครูน้ำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย 2025-04-19T11:23:19+07:00 พรรษกาญจน์ จำรัส patsakarn.j@ku.th พร้อมพิไล บัวสุวรรณ feduplb@ku.ac.th สุดารัตน์ สารสว่าง fedusdrs@ku.ac.th <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และแนวทางการสนธิพลังความร่วมมือในการเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็กข้ามชาติในเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กรณีศึกษามูลนิธิบ้านครูน้ำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบก้อนหิมะ ได้แก่ ผู้ดูแลมูลนิธิ ผู้นำชุมชน ที่ปรึกษามูลนิธิ และตัวแทนผู้บริหารและครู จากสถานศึกษา 4 แห่ง รวม 7 แหล่งข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า เด็กข้ามชาติสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ผ่านความร่วมมือของมูลนิธิ โรงเรียน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน โดยใช้การเรียนการสอนที่ยืดหยุ่นทั้งในระบบและนอกระบบ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ ปัญหาด้านเอกสาร สถานะทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน และทัศนคติของสังคมที่มองว่าเด็กข้ามชาติเป็นภาระแนวทางการพัฒนา คือ การปรับปรุงนโยบายการลงทะเบียนเด็กข้ามชาติ การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นทักษะชีวิตและอาชีพ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างโรงเรียน มูลนิธิ และชุมชน รวมถึงการสร้าง<br>ความเข้าใจในสิทธิและการพัฒนาระบบสนับสนุนที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้เด็กข้ามชาติสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองและเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/280223 การพัฒนาการคิดเชิงระบบของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายผ่านการเรียนรู้ โดยใช้เกมเป็นฐาน 2025-06-09T09:24:09+07:00 วรพรรณ สังขเวช Juy008@yahoo.com กอบชัย กิจสวัสดิ์ korbchai.k@kus.ac.th วรรรณ ศรีสงคราม Vorawan.s@ku.th <p><strong>บทคัดย่อ</strong><br>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการคิดเชิงระบบของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เรียนโดยใช้เกมเป็นฐาน เรื่องอารยธรรมโลก และ 2) ศึกษาเจตคติต่อการใช้เกมเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิดเชิงระบบ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 40 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ บอร์ดเกม “ตะลุยโลกมหัศจรรย์” แบบประเมินผลการคิดเชิงระบบ แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกตผลการเรียนรู้ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนทั้งหมดมีผลการประเมินการคิดเชิงระบบอยู่ในระดับสูงสุด (คะแนนเต็ม 4.0 คิดเป็นร้อยละ 100) นอกจากนี้ นักเรียนยังมีเจตคติเชิงบวกมากขึ้นต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ โดยรู้สึกว่าวิชาไม่น่าเบื่อ เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับชีวิตจริงได้ดีขึ้น เกมช่วยเพิ่มความสนใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้ บรรยากาศการเรียนมีความสนุกสนานและมีส่วนร่วมอย่างชัดเจน<br><br></p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/278573 พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 กับการสนับสนุนทุนวิจัยของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (พบท.) กรอบวิจัยการยกระดับและขับเคลื่อนเพื่อการขยายผลพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาประจำปี 2568 2025-05-13T13:58:49+07:00 วรรณดี สุทธินรากร feduwdsu@ku.ac.th บุญเยี่ยม เหลาสะอาด yiams4330@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่ออธิบายพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พศ 2562 ที่มีเจตนารมณ์ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ค้นหาแนวทางใหม่ในการออกแบบการบริหารและจัดการศึกษาอย่างมีอิสระผ่านการกระจายอำนาจ&nbsp; เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและทุกคนในพื้นที่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยคนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาร่วมผนึกกำลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกที่กำหนดได้เอง ทั้งนี้หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (พบท.) ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการค้นหาคำตอบหรือแสดงให้เห็นความสำคัญของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาของนักวิจัยในพื้นที่&nbsp; ซึ่งประกอบด้วยผู้ปฏิบัติงานในกลไกการศึกษา นักวิชาการในมหาวิทยาลัยและสถานศึกษาโดยใช้ต้นทุนความรู้และต้นทุนการทำงานเดิมที่ได้ผ่านการขับเคลื่อนมาขยายผลการจัดการศึกษา ภายใต้กรอบวิจัยการยกระดับและขับเคลื่อนเพื่อการขยายผลพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาประจำปี 2568 นักวิจัยจึงต้องทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาที่สอดคล้องไปกับการวิเคราะห์โจทย์ของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เพื่อนำสู่การออกแบบการวิจัยเพื่อขอรับการสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาคุณภาพในกับพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาซึ่งจะนำสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงจนเต็มพื้นที่การจัดการศึกษาของประเทศไทย</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์