วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku <p>วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นวารสารวิชาการราย 4 เดือน (3 ฉบับต่อปี) ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม และ ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดพิมพ์วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คณาจารย์ นิสิต บุคลากร นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบุคคลทั่วไป มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการเพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิทยาการในสาขาศึกษาศาสตร์ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง</p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Faculty of Education, Kasetsart University) th-TH วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ 3027-7124 <p style="text-align: center;">บทความทุกบทความเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน</p> <p style="text-align: center;">วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ (Kasetsart Educational Review)</p> บทพินิจหนังสือ (Book Review) ตาย-เป็น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/280027 <p>ตาย-เป็น เป็นหนังสือที่สะท้อนความจริงของการมีชีวิตอยู่ที่ทุกคนต่างต้องเดินไปจนถึงจุดสุดท้ายของชีวิต&nbsp; แต่ละบทของการเดินทางของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนไม่อาจหลีกพ้น วิทยาศาสตร์การแพทย์มีบทบาทสำคัญในการรักษา ดูแล และป้องกันสุขภาพ&nbsp; ซึ่งหลายครั้งที่วิทยาศาสตร์สามารถเอาชนะธรรมชาติ และหลายครั้งวิทยาศาสตร์กลับไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติ&nbsp; แน่นอนว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์มีบทบาทในการรักษาสุขภาพ&nbsp; ซึ่งบางครั้งอาจเกินเลยความพอดี ความพยายามในการยื้อรักษาบางครั้งอาจไม่เป็นผลดีแก่คนไข้ การปล่อยให้ทุกสภาวะของชีวิตได้มีโอกาสของการมีชีวิตที่ดีมีความสำคัญยิ่ง แม้ในยามที่ต้องเจ็บป่วยแบบประคับประคอง ผู้ป่วยยังมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดี การได้เข้าใจในสภาวะของความจริง การยังชีวิตที่ไม่ประมาท การเปิดพื้นที่ของการฟังเสียงของคนไข้และแพทย์ถือเป็นสิ่งสำคัญของการทำหน้าที่ของความเป็นและตายอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์</p> วรรณดี สุทธินรากร Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 162 166 ประสบการณ์ความเครียดของนักเรียนโฮมสคูลที่มีต่อการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย: การศึกษาเชิงคุณภาพ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/274819 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามุมมองและลักษณะความเครียดของนักเรียนโฮมสคูลที่มีต่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัย รวมไปถึงเจาะลึกว่าครอบครัว ติวเตอร์และกลุ่มเพื่อนสามารถช่วยสนับสนุนและลดทอนความเครียดของเด็กโฮมสคูลได้อย่างไร ซึ่งงานวิจัยนี้เป็นการศึกษาด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพแนวปรากฏการณ์วิทยา เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยมีผู้ให้ข้อมูลจำนวน 5 คน ประกอบไปด้วยเพศชายจำนวน 2 คน และเพศหญิงจำนวน 3 คน คัดเลือกด้วยวิธีแบบเจาะจงและสโนว์บอล ผู้ให้ข้อมูลอยู่ในช่วงอายุ 20 – 23 ปี จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่าด้วยรูปแบบการเรียนแบบโฮมสคูล เคยมีประสบการณ์การเตรียมตัวเพื่อการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยมาแล้วในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าผู้ให้ข้อมูลมีลักษณะความเครียดโดยรวมที่ใกล้เคียงกับนักเรียนทั่วไป หากแต่มีความเครียดที่เกิดจากความไม่เข้าใจในระบบการศึกษาแบบโฮมสคูลเพิ่มเติม มีปัจจัยแวดล้อมซึ่งมีอิทธิพลต่อความเครียดในการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ประกอบไปด้วย ปัจจัยจากเพื่อนซึ่งมีบทบาทในการเยียวยาความเครียดผ่านการให้กำลังใจ ปัจจัยจากครอบครัวซึ่งมีบทบาทในการเยียวยาความเครียดหลากหลายวิธี ปัจจัยจากติวเตอร์ซึ่งมีบทบาทในการเยียวยาความเครียดผ่านการช่วยเหลือทางการศึกษา และปัจจัยจากตัวเองซึ่งมีบทบาทในการช่วยเหลือเยียวยาผ่านการทำงานอดิเรก และการเรียนโฮมสคูลทำให้มีเวลาว่างมาก และสามารถจัดตารางเวลาการเรียนและพักผ่อนของตัวเองได้ แต่ทว่าผู้ให้ข้อมูลยังขาดคนเปรียบเทียบผลทางการศึกษาเพื่อประเมินศักยภาพของตนเอง</p> สุภลัคน์ ลวดลาย Jirayus Maiphan Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 1 19 สมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการอธิบายปรากฏการณ์เชิงวิทยาศาสตร์และการแปลความหมายข้อมูลโดยใช้ประจักษ์พยานในเชิงวิทยาศาสตร์ของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สู่การออกแบบการสอนวิทยาศาสตร์ที่ใช้บริบทของประเด็นทางสังคม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/275707 <p>งานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ <br />(1) ศึกษาสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ด้านการอธิบายปรากฏการณ์เชิงวิทยาศาสตร์และการแปลความหมายข้อมูลโดยใช้ประจักษ์พยานของผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ <br />(2) ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทของประเด็นทางสังคม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้เรียน<br /><br />ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 26 คน ในโรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ปีการศึกษา 2566 ที่เลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือ แบบวัดสมรรถนะทางวิทยาศาสตร์ แบบสังเกต และอนุทินสะท้อนผลการเรียนรู้ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณที่ใช้ค่าสถิติพื้นฐาน เช่น ค่าเฉลี่ยและร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า ผู้เรียนมีสมรรถนะด้านการอธิบายปรากฏการณ์เชิงวิทยาศาสตร์ เฉลี่ยร้อยละ 50.08 และด้านการแปลความหมายข้อมูลโดยใช้ประจักษ์พยานมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 48.18 กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บริบทของประเด็นทางสังคม มีลักษณะสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เน้นการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงสู่องค์ความรู้และกระตุ้นการเรียนรู้แก่ผู้เรียน กิจกรรมในชั้นเรียนต้องเอื้อต่อการโต้แย้งซึ่งกันและกันระหว่างผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกใช้ข้อมูลที่หลากหลายเพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ ซึ่งผลการวิจัยสามารถนําไปใช้ในการปรับปรุงการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมต่อไป</p> จรันต์พร ทรัพย์สิน ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 20 34 ปัจจัยจิตวิทยาเชิงบวกในการทำนายการปรับตัวในมหาวิทยาลัยของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่หารายได้ระหว่างเรียน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276498 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอำนาจในการทำนายการรับรู้ความสามารถของตนเอง ความหวัง การมองโลกในแง่ดี และความสามารถในการฟื้นคืนพลัง ที่มีต่อการปรับตัวในมหาวิทยาลัยของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่หารายได้ระหว่างเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่หารายได้ระหว่างเรียน จำนวน 203 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปและแบบวัดตามตัวแปรที่ศึกษา โดยมีลักษณะเป็นมาตรประเมินค่า 5 ระดับ เมื่อนำไปทดลองใช้พบว่ามีค่าความเชื่อมั่นตั้งแต่ .761 - .928 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาความถี่ ค่าร้อยละเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ใช้การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบง่ายเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเพื่อหาอำนาจในการทำนายของตัวแปรต้น ผลการวิจัยพบว่า การรับรู้ความสามารถของตนเอง ความหวัง การมองโลกในแง่ดี และความสามารถในการฟื้นคืนพลัง สามารถร่วมกันทำนาย<br />การปรับตัวในมหาวิทยาลัยของนิสิตนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่หารายได้ระหว่างเรียนได้ร้อยละ 65 โดยตัวแปรที่ส่งผลมากที่สุดคือ ความสามารถในการฟื้นคืนพลัง ตัวแปรที่ส่งผลรองลงมาคือ การมองโลกในแง่ดี ความหวัง และการรับรู้ความสามารถของตนเอง ตามลำดับ</p> กชวรรณ ปะญาติ ภิญญาพันธ์ เพียซ้าย ชัญญา ลี้ศัตรูพ่าย Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 35 49 การประเมินความต้องการจำเป็นในการบริหารโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276543 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สภาพปัจจุบันและสภาพที่คาดหวังในการบริหารโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นต่อการบริหารงานโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานครเก็บข้อมูลกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วยผู้บริหาร ครู ผู้ปกครองของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 สังกัดโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งหมด 715 คน เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย ประกอบด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สูตร PNI<sub>modified</sub></p> <div id="export_options">ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์สภาพปัจจุบันและสภาพที่คาดหวังในการบริหารโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร พบว่า ค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อจำแนกตามรายด้าน พบว่า ทุกด้านค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ปรัชญา 2) ผลการศึกษาความต้องการจำเป็นฯ เมื่อจำแนกเป็นรายข้อ พบว่า ข้อคำถามที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ โรงเรียนเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้ร่วมลงมติในข้อหารือสำหรับการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังนั้นหากโรงเรียนต้องการพัฒนาให้เป็นโรงเรียนในฐานะชุมชนแห่งการเรียนรู้ ควรเริ่มสร้างรากฐานที่ดีจากการมีวิสัยทัศน์และปรัชญาเป็นพื้นฐานที่มั่นคงร่วมกัน เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารงานโรงเรียนมากขึ้น</div> ทรงวุฒิ วีเปลี่ยน จุฑามาศ แสงงาม Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 50 64 ความต้องการจำเป็นของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยตามกระบวนการเรียนรู้ไฮสโคปในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276655 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยตามกระบวนการเรียนรู้ไฮสโคป 2) จัดลำดับความต้องการจำเป็นของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยตามกระบวนการเรียนรู้ไฮสโคป ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 108 คน และครูอนุบาล จำนวน 108 คน จากสถานศึกษา จำนวน 108 แห่ง โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ และสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br />ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยตามกระบวนการเรียนรู้ไฮสโคป <br />มีดังนี้ 1.1) สภาพปัจจุบันของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยตามกระบวนการเรียนรู้ไฮสโคปในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ( = 4.22) 1.2) สภาพที่พึงประสงค์ของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยตามกระบวนการเรียนรู้ไฮสโคป ในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.50) 2) ลำดับความต้องการจำเป็นของการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยตามกระบวนการเรียนรู้ไฮสโคป พบว่า ด้านการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา มีความต้องการจำเป็นสูงสุด (PNI<sub>modified</sub> = 0.1119) รองลงมา คือ ด้านการประเมินพัฒนาการ (PNI<sub>modified</sub> = 0.0611) ด้านการจัดสภาพแวดล้อม สื่อ และแหล่งเรียนรู้ (PNI<sub>modified</sub> = 0.0563) ด้านการจัดทำแผน<br />การจัดประสบการณ์ (PNI<sub>modified</sub> = 0.0538) และด้านการจัดประสบการณ์ (PNI<sub>modified</sub> = 0.0534) ตามลำดับ และลำดับความต้องการจำเป็นของกระบวนการเรียนรู้ไฮสโคป พบว่า การวางแผน <br />มีความต้องการจำเป็นสูงสุด (PNI<sub>modified</sub> = 0.0564) รองลงมา คือ การปฏิบัติ (PNI<sub>modified</sub> = 0.0490) และการทบทวน มีความต้องการจำเป็นน้อยที่สุด (PNI<sub>modified</sub> = 0.0421) ตามลำดับ</p> กานต์พิชชา ช้างจั่น เสริมทรัพย์ วรปัญญา ปนิดา เนื่องพะนอม Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 65 80 แนวทางในการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276662 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 2) วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นของการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 3) ศึกษาแนวทางในการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 234 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ และผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสนทนากลุ่ม คือ ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 8 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 โดยภาพรวมสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก และภาพรวมสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด 2) ลำดับความต้องการจำเป็นลำดับแรก คือ การบริหารทรัพยากรงบประมาณ รองลงมา คือ การบริหารทรัพยากรบุคคล การบริหารทรัพยากรวัสดุอุปกรณ์ และการบริหารทรัพยากรอาคารสถานที่ ตามลำดับ 3) แนวทางในการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาทั้ง 4 ด้าน ดังนี้ วางแผนงบประมาณโดยใช้กระบวนการ PDCA ส่งเสริมให้ครูได้รับการพัฒนา สำรวจความต้องการจำเป็นวัสดุอุปกรณ์ วางแผนการซ่อมแซม รื้อถอน รวมถึงสร้างอาคาร</p> ชาลิสา รอดวิจิตร์ เสริมทรัพย์ วรปัญญา กรวุฒิ แผนพรหม Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 81 98 แนวทางการป้องกันและปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276533 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะหมดไฟของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) วิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยจากสภาพองค์กรที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษา 3) พัฒนาแนวทางการป้องกันภาวะหมดไฟในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษา ประชากรในการวิจัยคือ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 28,820 คน โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 479 คน ได้มาโดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ แบ่งเป็นภูมิภาคของประเทศไทย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามเพื่อการวิจัยที่มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์ 0.94 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะหมดไฟของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวม อยู่ในระดับน้อย โดยด้านที่สูงที่สุด คือ ในด้านความอ่อนล้าทางอารมณ์ รองลงมาคือด้านความรู้สึกไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือการทำงานและด้านการลดค่าความเป็นบุคคล 2) ตัวแปรที่ส่งต่อภาวะหมดไฟของผู้บริหารได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติมีทั้งหมด 4 ตัวแปร คือ ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน รองลงมาคือทัศนคติต่อการเป็นผู้บริหาร ภาระรับผิดชอบในครอบครัว และความเหมาะสมของภาระงานและความรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา 3) แนวทางป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟในการทำงานที่สร้างจากการสังเคราะห์การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยผู้วิจัยได้นำผลของระดับภาวะหมดไฟในการทำงานของผู้บริหารสถานศึกษาสูงที่สุด 1 ด้าน และตัวแปรที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญ 4 ตัวแปร นำมาสู่ข้อคำถามในการสัมภาษณ์ จนได้มาเป็น โมเดลป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟที่มีชื่อว่า SPARK <strong><br /></strong>S=(System, Strength, Success), P=(Positivity, Personality), A=(Awareness, Attentiveness), R=(Reasonability, Receptiveness, Regard), and K=(Kindness). เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่สนใจได้นำไปปรับใช้ในการดำเนินงาน</p> กัญญาภัทร พงษ์สุภา กรวุฒิ แผนพรหม เฉลิมชัย หาญกล้า Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 99 114 การพัฒนาคลังทรัพยากรการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องอาชีพตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276660 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคลังทรัพยากรการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องอาชีพตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และเพื่อประเมินคุณภาพของคลังทรัพยากรการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องอาชีพตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจงประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรและการสอน จำนวน 35 คน และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบประเมินคุณภาพคลังทรัพยากรการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องอาชีพตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และแบบประเมินคุณภาพด้านการพัฒนาเว็บไซต์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผลการพัฒนาคลังทรัพยากรการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องอาชีพตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (เว็บไซต์ <a href="https://maxnumtrirut.wixsite.com/">https://maxnumtrirut.wixsite.com/</a> trirat-pokasang) และผลการประเมินคุณภาพของคลังทรัพยากรการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการรู้เรื่องอาชีพตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ด้านความสอดคล้องของแผนการจัดการเรียนรู้กับการรู้ เรื่องอาชีพ จากแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 35 เรื่อง มีความสอดคล้องจำนวน 32 เรื่อง และไม่สอดคล้องจำนวน 3 เรื่อง และผลการประเมินด้านการพัฒนาเว็บไซต์อยู่ในระดับมากที่สุด คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.50 ซึ่งชี้ให้เห็นว่า คลังทรัพยากรการเรียนรู้เรื่องอาชีพที่มีคุณภาพเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้สอนและผู้ที่สนใจ</p> ตรัยรัตน์ โพธิ์กะสังข์ พงศธร มหาวิจิตร ศิริรัตน์ ศรีสอาด Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 115 131 อิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาด ยุค 6.0 ต่อความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ ของสถานศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/277035 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับส่วนประสมทางการตลาด ยุค 6.0 ในการสร้างแบรนด์ ของสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมทางการตลาด ยุค 6.0 และความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ของสถานศึกษา และ <br />4) ศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมทางการตลาด ยุค 6.0 ต่อความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ของสถานศึกษา โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างของโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดกลางแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร แบบเจาะจง ประกอบด้วยผู้บริหาร ครู บุคลากร ตัวแทนผู้ปกครอง รวมทั้งหมดจำนวน 70 คน โดยใช้ แบบสอบถาม และใช้สถิติในการวิเคราะห์ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และค่าถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ระดับส่วนประสมทางการตลาด ยุค 6.0 และ ระดับความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ของสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนประสมทางการตลาดทุกด้านมีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ของสถานศึกษา โดยปัจจัยที่มีอิทธิพลเชิงบวกต่อความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ คือ ด้านบุคลากร ลักษณะทางกายภาพ ผลิตภัณฑ์ และอิทธิพลเชิงลบคือ ด้านกระบวนการ ราคา และช่องทางจัดจำหน่าย ซึ่งสถานศึกษาสามารถนำไปปรับใช้ในการกำหนดกลยุทธ์ของโรงเรียนตามบริบทที่เหมาะสม</p> พรชัย คำเชิด วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง สุชาดา นันทะไชย Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 132 144 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนกับการบริหารงานวิชาการให้เกิดทักษะการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกในผู้เรียน ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตนวมินทร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276895 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตนวมินทร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 2) ระดับการบริหารงานวิชาการให้เกิดทักษะการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกในผู้เรียน ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตนวมินทร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนกับการบริหารงานวิชาการให้เกิดทักษะการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกในผู้เรียน ของโรงเรียนในสหวิทยาเขตนวมินทร์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ จำนวน 66 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินภาวะผู้นำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการบริหารงานวิชาการให้เกิดทักษะการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกในผู้เรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยปรากฏว่า ภาวะผู้นำเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก การบริหารงานวิชาการให้เกิดทักษะการเรียนรู้อย่างลุ่มลึกในผู้เรียน โดยรวมค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และพบว่าตัวแปรทั้งสองมีความสัมพันธ์ทางบวกอยู่ในระดับสูง (r = 0.82) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> จุฑามาส นิมิตร พร้อมพิไล บัวสุวรรณ สุชาดา นันทะไชย Copyright (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 40 1 145 161