วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku <p>วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นวารสารวิชาการราย 4 เดือน (3 ฉบับต่อปี) ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม และ ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดพิมพ์วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คณาจารย์ นิสิต บุคลากร นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบุคคลทั่วไป มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการเพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิทยาการในสาขาศึกษาศาสตร์ และสาขา ที่เกี่ยวข้อง</p> คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Faculty of Education, Kasetsart University) th-TH วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ 0125-6203 <p style="text-align: center;">บทความทุกบทความเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน</p> <p style="text-align: center;">วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ (Kasetsart Educational Review)</p> การพัฒนาลักษณะเฉพาะของแบบวัดการคิดเชิงคำนวณ วิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/257791 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของลักษณะเฉพาะของแบบวัดการคิดเชิงคำนวณ วิชาวิทยาการคำนวณ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และ 2) เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพแบบวัดฯ ที่สร้างขึ้นตามลักษณะเฉพาะ ขั้นตอนการดำเนินการวิจัย มี 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การพัฒนาลักษณะเฉพาะของแบบวัดการคิดเชิงคำนวณ ฯ และระยะที่ 2 การพัฒนาแบบวัดฯ ที่สร้างขึ้นตามลักษณะเฉพาะ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย มีจำนวน 800 คน เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนสังกัดสหวิทยาเขตเบญจบูรพา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบประเมินลักษณะเฉพาะฯ และแบบวัดการคิดเชิงคำนวณ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความตรงตามเนื้อหา ความยากง่าย อํานาจจําแนก ความตรงตามโครงสร้าง และความเที่ยง</p> <p>ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพลักษณะเฉพาะของแบบวัดฯที่พัฒนาขึ้น <br />มีองค์ประกอบของลักษณะเฉพาะ ได้แก่ วัตถุประสงค์ของการทดสอบ วัตถุประสงค์ของแบบวัด ทักษะที่ต้องการวัด รูปแบบของข้อคำถาม ลักษณะการตอบ เกณฑ์การให้คะแนน โครงสร้างของแบบวัด ลักษณะเฉพาะของข้อคำถาม และตัวอย่างข้อคำถาม มีผลการตรวจสอบคุณภาพอยู่ในระดับมาก = 0.44, S.D. = 0.25 2) คุณภาพของแบบวัดการคิดเชิงคำนวณฯ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ตั้งแต่ 0.60-1.00 ค่าความยากง่าย ประสิทธิภาพในการลวง และอำนาจจำแนก อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ โมเดลการวัดการคิดเชิงคำนวณฯ มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และแบบวัดการคิดเชิงคำนวณฯ มีค่าความเที่ยงในระดับสูงมาก (KR-20 = 0.92)</p> ศุภเสฏฐวุฒิ ภูแก้ว ฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธิ์ สูติเทพ ศิริพิพัฒนกุล Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 146 158 แนวทางการดำเนินงานห้องสมุดมีชีวิตของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/265643 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ 1) เพื่อศึกษารูปแบบและวิธีการดำเนินงานห้องสมุดมีชีวิต 2) เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จและอุปสรรคของการดำเนินงานของห้องสมุดมีชีวิต และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางที่ทำให้การดำเนินงานห้องสมุดมีชีวิตประสบความสำเร็จ ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่หลากหลายจากผู้ให้ข้อมูลหลักที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาในจังหวัดปทุมธานีจำนวน 12 คน</p> <p style="font-weight: 400;">พบผลการวิจัย 3 ข้อ คือ 1) ห้องสมุดมีชีวิตในพื้นที่ห้องสมุดกลางทั่วไป พื้นที่ในห้องสมุดหมวดวิชา/กลุ่มสาระการเรียนรู้ มุมห้องสมุดในห้องเรียน และ ในพื้นที้อื่น ๆ 2) ครูบรรณารักษ์เป็นปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ห้องสมุดมีชีวิตเป็นพื้นที่การเรียนรู้นอกห้องเรียน ในขณะที่การขาดแคลนทรัพยากรสารสนเทศเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานที่สำคัญที่ทำให้การดำเนินงานของห้องสมุดในบางสถานศึกษาไม่ประสบความสำเร็จ และ 3) แนวทางการดำเนินงานห้องสมุดมีชีวิต มี 6 ประการ คือ 1) ผู้บริหารควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน 2) คุณภาพการให้บริการของครูบรรณารักษ์ 3) ครูผู้สอนส่งเสริมนักเรียนให้รักการอ่าน 4) นักเรียนมีความใฝ่รู้ 5) ห้องสมุดมีกิจกรรมที่ดึงดูดความสนใจของนักเรียน 6) การสร้างเครือข่ายระหว่างโรงเรียนที่มีห้องสมุดมีชีวิต</p> รุ่งรัตน์ รุ่งเรืองชนบท วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง พร้อมพิไล บัวสุวรรณ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 159 168 การพัฒนาแนวทางการประเมินเพื่อการเรียนรู้สำหรับส่งเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/265391 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแนวทางการประเมินเพื่อการเรียนรู้สำหรับส่งเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ 2) เพื่อศึกษาพัฒนาการทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังจากการใช้แนวทางการประเมินเพื่อการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 40 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 1 ห้องเรียน การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้นในลักษณะแผนงานวิจัยแบบกลุ่มเดียวที่มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตาม<br />แนวทางการประเมินเพื่อการเรียนรู้สำหรับส่งเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษ และแบบวัดทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษ วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติพื้นฐาน Dependent Samples t-test และคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการประเมินเพื่อการเรียนรู้สำหรับส่งเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย การกำหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้ การกำหนดเกณฑ์ความสำเร็จในการเรียนรู้ การใช้คำถามเพื่อพัฒนานักเรียน การมีส่วนร่วมในการประเมินของนักเรียน และการให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียน <br />2) พัฒนาการทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษหลังการใช้แนวทางการประเมินเพื่อการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยนักเรียนมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นในระดับสูงมาก 6 คน ระดับสูง 14 คน ระดับกลาง 16 คน และระดับต้น 4 คน</p> มนัสวี แก้วผลึก ธนนันท์ ธนารัชตะภูมิ อุดมลักษม์ กูลศรีโรจน์ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 90 105 แนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ละครวิทยาศาสตร์ร่วมกับเครื่องมือไอซีทีในหน่วยการเรียนรู้เรื่องพันธุศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/258952 <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ละครวิทยาศาสตร์ร่วมกับเครื่องมือไอซีที เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารวิทยาศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มที่ศึกษาที่ใช้เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 32 คน ที่ได้รับการเลือกแบบเจาะจง ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากบันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ อนุทินบันทึกการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และแบบประเมินทักษะการสื่อสารวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัย ผู้วิจัยพบว่าแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ละครวิทยาศาสตร์ร่วมกับเครื่องมือไอซีที ได้แก่ 1) การใช้ข่าวและบทความที่แปลกใหม่ประกอบการถามคำถามและอภิปรายผ่านห้องสนทนาย่อยด้วยแอปพลิเคชัน Zoom ร่วมกับการบันทึกสรุปองค์ความรู้ด้วย Google slide ช่วยกระตุ้นความสนใจและส่งเสริมการผลิตละครวิทยาศาสตร์ให้มีการสื่อสารด้านบริบทได้หลากหลาย 2) การกำหนดคำสำคัญและการเขียน Freytag’s pyramid ก่อนการเขียนบทละครช่วยกำหนดขอบเขตของเนื้อหาและช่วยตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วน และการลำดับเนื้อหาได้ดี และ 3) การวิพากษ์วิจารณ์ผลงานด้วยคำถามเชิงสร้างสรรค์ร่วมกับการให้ข้อเสนอแนะย้อนกลับอย่างตรงประเด็นหลังการนำเสนอละครช่วยเติมเต็มความถูกต้องเชิงเนื้อหา การนำเสนอสิ่งแทนความและได้แนวทางการพัฒนาผลงานอย่างมีเป้าหมาย</p> ทนงศักดิ์ พิทักษ์ ศศิเทพ ปิติพรเทพิน บุญเสฐียร บุญสูง Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 72 89 การพัฒนาสรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในบทเรียนเรื่อง ลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศ โดยการจัดการเรียนรู้ ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/266054 <p>งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาสมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศ ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน ผู้เข้าร่วมวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 29 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินตนเองเกี่ยวกับสมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือของนักเรียนและแผนการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การหาความถี่และค่าเฉลี่ย ผลการวิจัย พบว่า การจัด การเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองโดยการสร้างสรรค์ชิ้นงาน สามารถพัฒนาสมรรถนะการแก้ปัญหาแบบร่วมมือ ด้านที่ 3 การสร้างและรักษาระเบียบของกลุ่ม ได้มากที่สุด คือ 2.65 คะแนน รองลงมา คือ ด้านที่ 2 การเลือกวิธีการดำเนินการที่เหมาะสมในการแก้ปัญหา 2.61 คะแนน และด้านที่ 1 การสร้างและเก็บรักษาความเข้าใจที่มีร่วมกัน ได้คะแนนน้อยที่สุด คือ 2.55 คะแนน สำหรับแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยรวมสมรรถนะทุกด้านมากที่สุดคือ 2.85 รองลงมาเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 คือ 2.54 และน้อยที่สุดคือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 มีคะแนนเฉลี่ย 2.42 จากคะแนนเต็มทั้งหมด 3 คะแนน</p> เอกภูมิ จันทรขันตี สุชาดา ศรีศกุน Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 132 145 แนวทางการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์เพื่อเสริมสร้างผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/265392 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัญหาเกี่ยวกับทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล และ 2) นำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์เพื่อเสริมสร้างผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้กระบวนวิธีการวิจัยแบบผสมผสานด้วยวิธีการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) จากแหล่งข้อมูลที่เป็นวิทยานิพนธ์ บทความวิจัย และบทความวิชาการจำนวนทั้งหมด 60 ฉบับด้วยแบบวิเคราะห์เอกสารเกี่ยวกับปัญหาและแนวทาง โดยสถิติที่ใช้เป็นค่าร้อยละ (Percentage) ค่าความถี่ (Frequency) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และวิธีการวิจัยเชิงสำรวจความคิดเห็น (Survey Research) จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คนด้วยแบบประเมินความเหมาะสมของแนวทาง โดยสถิติที่ใช้เป็นค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาเกี่ยวกับทักษะการคิดวิเคราะห์ของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลมี 4 ด้านที่เป็นปัญหาต่อการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ให้กับผู้ประกอบการในยุคดิจิทัล ส่วนแนวทางการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์เพื่อเสริมสร้างผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลมี 7 ด้านครอบคลุม 25 แนวทางย่อย 3) ความเหมาะสมของแนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องและสัมพันธ์กับปัญหาในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 4.85, S.D. 0.19) ผลวิจัยสามารถสรุปได้ว่า แนวทางการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์เพื่อเสริมสร้างผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลมีความเหมาะสมตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในการนำไปใช้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ให้ผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลมีความพร้อมที่จะประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยเสนอแนะให้นำแนวทางการพัฒนาที่ได้ไปทวนสอบกับแนวปฏิบัติจริงของผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลเพื่อยืนยันข้อค้นพบ ต่อยอดแนวทางและนำไปทดลองปฏิบัติจริงในบริบทธุรกิจ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มฐานข้อมูลไทยอื่นๆ และฐานข้อมูลภาษาอังกฤษเพื่อการสรุปผลวิจัยที่ชัดเจนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถสัมภาษณ์ผู้ประกอบการในยุคดิจิทัลและผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาและปรับปรุงแนวทางการพัฒนาให้มีความเหมาะสมและสามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้จริงมากยิ่งขึ้น</p> พิมพ์ชนก เปรมจิตต์ พัชรา เอี่ยมเจริญ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 1 14 การประเมินความต้องการจำเป็นแบบสมบูรณ์เพื่อการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนิสิตระดับชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/259261 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อระบุและจัดลำดับความต้องการจำเป็น เพื่อการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ 2) เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และ 3) เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นิสิตระดับชั้นปีที่ 1 <br />คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปีการศึกษา 2564 จำนวน 334 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามความต้องการจำเป็นที่มีรูปแบบการตอบสนองคู่ 2) แบบบันทึกการวิเคราะห์สาเหตุความต้องการจำเป็นด้วยเทคนิคแผนภูมิก้างปลา และ 3) แบบสัมภาษณ์การกำหนดแนวทางการพัฒนาทักษะ การคิดวิเคราะห์ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์ข้อมูล <br />เชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า 1) ความต้องการจำเป็นเพื่อการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ประกอบด้วย การใช้สื่อการเรียนการสอนที่ทันสมัยและส่งเสริมการฝึกคิดวิเคราะห์ การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาทักษะวิชาชีพ ทักษะคนและสังคม การนำความรู้มาเชื่อมโยงและหาความสัมพันธ์ของเรื่องราวต่าง ๆ ได้ 2) สาเหตุของความต้องการจำเป็นเพื่อการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ประกอบด้วยการขาดทักษะการตั้งคำถามของผู้สอน การไม่กล้าถามคำถามของนิสิต และ 3) แนวทางในการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ คือ จัดอบรมการสร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์ให้กับผู้สอนและบุคลากร และจัดการเรียนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ทักษะต่าง ๆ เพื่อใช้แก้ไขปัญหาหรือประกอบอาชีพในอนาคต</p> อรศศิร์ ทานะเวช อุษณี ผลิตผสาน ธนนันท์ ธนารัชตะภูมิ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 197 212 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคสีเขียวของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/266235 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคสีเขียวของนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 391 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วน (Proportional Stratified Random-Sampling) <br />เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามโปรแกรมสำเร็จรูป Google Form ที่มีค่าความเชื่อมั่น .96 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson's Product Moment Correlation Coefficient) และการทดสอบไคสแควร์ (Chi-Square Test)</p> <p>ผลการศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคสีเขียว พบว่า 1) ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคผลิตภัณฑ์สีเขียว การรับรู้ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการบริโภคสีเขียวในระดับต่ำมาก (r = .14, r = .15) 2) การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการบริโภคสีเขียวมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับพฤติกรรมการบริโภคสีเขียวในระดับปานกลาง (r = .41) 3) สถานการณ์ที่เอื้อต่อการบริโภคสีเขียวของนิสิตมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการบริโภคสีเขียวระดับต่ำ (r = .23) กลุ่มอ้างอิง ได้แก่ เพื่อนมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคสีเขียว ด้านการเลือกผลิตภัณฑ์สีเขียว และการซ่อมแซม ญาติมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมบริโภคสีเขียวด้านการลดของเสีย และผู้มีชื่อเสียงมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคสีเขียวด้านการเลือกผลิตภัณฑ์</p> โกวิท นามมณฑา นฤมล ศราธพันธ์ สุวิมล อุไกรษา Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 213 226 ระดับความสำเร็จและอุปสรรคในการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะของโรงเรียนนำร่อง เขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/265416 <p>การวิจัยครั้งนี้มี 3 วัตถุประสงค์ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำเร็จในการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ 2) เพื่อศึกษาอุปสรรคในการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางในการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนำแนวคิดระบบนิเวศทางการศึกษา 5 ระบบ (ไมโคร เมโซ เอ็กโซ มาโคร และโครโน) มาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย เก็บข้อมูลจากผู้บริหารและครูโรงเรียนนำร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี ระยอง จำนวน 260 คน ที่ได้จากการ<br />สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับและคำถามปลายเปิด สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และจัดทำข้อเสนอแนะโดยการวิเคราะห์เนื้อหาจากคำตอบของแบบสอบถามปลายเปิด</p> <p style="font-weight: 400;">พบผลการวิจัย 3 ข้อ ได้แก่ 1) ในภาพรวมระดับความสำเร็จในการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะของโรงเรียนนำร่องเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยองอยู่ในระดับมาก ระบบเมโซมีระดับความสำเร็จมากที่สุด ระบบโครโนมีระดับความสำเร็จน้อยที่สุด 2) ในภาพรวมอุปสรรคในการใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะอยู่ในระดับปานกลาง โดยระบบมาโครมีระดับอุปสรรคมากที่สุด และระบบเมโซมีระดับอุปสรรคน้อยที่สุด และ 3) งานวิจัยนี้เสนอให้มีการจัดอบรมให้ความรู้แก่ครูเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรฐานสมรรถนะ ปรับหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ลดเนื้อหาที่ไม่จำเป็นในบางรายวิชาลง และจัดประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจหลักสูตรที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง</p> อมรพันธ์ สำเภา วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจำแลง พร้อมพิไล บัวสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 15 26 การใช้ชุดกิจกรรมการสอนตามแนวสมดุลภาษาเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/260034 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ผลการใช้ชุดกิจกรรมการสอนตามแนวสมดุลภาษาเพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและเขียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน อายุระหว่าง 7 – 8 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 5 คน โรงเรียนประชาราษฎร์บำเพ็ญ สำนักงานเขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการ เลือกแบบเจาะจง ระยะเวลาจัดกิจกรรม 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ศึกษา ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการสอนตามแนวสมดุลภาษาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และ 2) แบบประเมินทักษะการอ่านและเขียน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้ใช้ชุดกิจกรรมการสอนตามแนวสมดุลภาษา มีผลคะแนนเฉลี่ยด้านทักษะการอ่านและเขียนหลังการทดลองสูงกว่าก่อนทดลอง จากการสังเกตพฤติกรรม พบว่า นักเรียนมีทักษะการอ่าน อ่านออกเสียงคำอ่านสะกดคำที่มีสระเดี่ยวเสียงยาวได้ สามารถเรียนรู้วิธีการอ่านจากซ้ายไปขวา เรียงลำดับ และเล่าเรื่องราวย้อนกลับผ่านการฟังนิทานจากผู้ปกครอง และอ่านนิทานร่วมกันมีทักษะการเขียนคำที่มีสระเดียวเสียงยาว โดยมีผู้ปกครองเป็นผู้ช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถเขียนได้ถูกต้อง นักเรียนได้เลือกทำกิจกรรมการอ่านและเขียนได้อย่างอิสระ</p> ธารารัตน์ โพธิ์ประสาท ปิยะนันท์ หิรัณย์ชโลทร ชลาธิป สมาหิโต Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 50 61 กลยุทธ์การสอนบนฐานการคิดเชิงออกแบบในการศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการ: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/267816 <div class="page" title="Page 1"> <div class="layoutArea"> <div class="column"> <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์กลยุทธ์การสอนบนฐานคิดเชิงออกแบบในการศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการผ่านการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ โดยกลุ่มตัวอย่างคือบทความวิจัยที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกงานวิจัย ได้แก่ เป็นบทความวิจัยที่ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ. 2561 ถึง เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 และอยู่ในฐานข้อมูล Scopus, EBSCO และ ERIC และมีเนื้อหาเกี่ยวกับการสอนบนฐานการคิดเชิงออกแบบในการศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย การสืบค้นงานวิจัย การคัดกรองงานวิจัย และการสกัดข้อมูลจากบทความวิจัยที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบคัดกรองงานวิจัยและแบบสกัดข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า มีงานวิจัยที่สืบค้นได้ทั้งหมด 129 เรื่อง และมีงานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์รอบสุดท้ายจำนวน 14 เรื่อง ผลการสกัดข้อมูลพบว่า กลยุทธ์การสอนบนฐานการคิดเชิงออกแบบในการศึกษาเพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการมีวิธีการที่หลากหลาย อาทิ การเรียนรู้จากประสบการณ์ การเรียนรู้กลุ่มคอนสตรัคติวิสต์ และการสอนแบบลงมือทำ ส่วนองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการคิดเชิงออกแบบ ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ชุดความคิด กระบวนการคิด และเครื่องมือช่วยคิด และเป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ความรู้ ทักษะ และทัศนคติของผู้เรียนในด้านการคิดเชิงออกแบบ เพื่อสร้างผู้เรียนให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายของโลกธุรกิจแห่งอนาคต</p> </div> </div> </div> สุทธินันท์ รัตนโชติถาวร Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 227 239 การพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง เสียงกับการได้ยินชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ผ่านบอร์ดเกม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/265463 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง เสียงกับการได้ยินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยจัดกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านบอร์ดเกม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 38 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบประเมินความพึงพอใจ 4) บอร์ดเกมบันไดงู เรื่องเสียงกับการได้ยิน การศึกษานี้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสำรวจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ผ่านบอร์ดเกมร่วมกับแผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ (7E) นำมาวิเคราะห์ด้วย การหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าร้อยละ และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t –test (Dependent sample)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนมีความเข้าใจแนวคิดวิทยาศาสตร์สอดคล้องกับนักวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้น และมีแนวคิดคลาดเคลื่อนและไม่เข้าใจแนวคิดลดลง สามารถระบุความหมาย ให้เหตุผลและองค์ประกอบสำคัญของแต่ละแนวคิดได้อย่างครบถ้วน โดยมีผลการพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ของนักเรียน มีค่าคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจ ต่อการการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกม อยู่ในระดับมาก</p> ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ ลิทราย สำลี Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 62 71 ผลการจัดกิจกรรมการปั้นเสริมวัสดุธรรมชาติที่มีต่อสมาธิของเด็กปฐมวัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/260037 <p>บทความวิจัยครั้งนี้กำหนดวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบสมาธิของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการปั้นเสริมวัสดุธรรมชาติ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษา คือ เด็กปฐมวัย ชาย - หญิงอายุระหว่าง 4 - 5 ปี ที่กําลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนอนุราชประสิทธิ์ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษานนทบุรี เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน มีเด็กทั้งหมด 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการปั้นเสริมวัสดุธรรมชาติเพื่อส่งเสริมสมาธิของเด็กปฐมวัย จำนวน 18 แผน 2) แบบประเมินสมาธิของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis)</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการปั้นเสริมวัสดุธรรมชาติ มีคะแนนเฉลี่ยของสมาธิหลังการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการปั้นเสริมวัสดุธรรมชาติ ผลจากการสังเกตพฤติกรรมพบว่า เด็กปฐมวัยสมาธิและจดจ่อใส่ใจในทำกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มขึ้น</p> ณิชานันท์ ไชยโชติ อรพรรณ บุตรกตัญญู ปัทมาวดี เล่ห์มงคล Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 39 49 การพัฒนาแบบประเมินความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ สำหรับนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 สหวิทยาเขตเมืองชลบุรี 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรีเขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/265496 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อพัฒนาแบบประเมินความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ 2) เพื่อตรวจสอบคุณภาพแบบประเมินความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ 3) เพื่อสร้างเกณฑ์ปกติ (Norms) สำหรับการแปลความหมายคะแนนความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ 4) เพื่อสร้างคู่มือการใช้แบบประเมินความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 จำนวน 203 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมหน่วยต้นไม้ แบบประเมินความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ และแบบสำรวจความพึงพอใจการใช้แบบประเมิน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) แบบประเมินที่พัฒนาขึ้นมี 3 องค์ประกอบคือ (1) ความสามารถในการคิดรวบยอด (2) ความสามารถในการคิดเชิงเหตผล และ (3) ความสามารถในการคิดแก้ปัญหา และตัดสินใจ 2) คุณภาพของแบบประเมิน มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60 - 1.00 ค่าอำนาจจำแนก ตั้งแต่ 0.52 - 0.94 ความเที่ยงทั้งฉบับ มีค่า 0.90 3) เกณฑ์ปกติสำหรับแปลความหมายคะแนนแบบประเมิน องค์ประกอบที่ 1 2 และ 3 มีค่าเท่ากับ T30 - T59 T21-T60 และ T30-60 ตามลำดับ และรวมทั้งฉบับมีค่า T22-T64 และ 4) คู่มือประกอบด้วย ได้แก่ บทนำ นิยามความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ ลักษณะแบบประเมิน แบบประเมินความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ วิธีดำเนินการ การแปลความหมายคะแนน โดยใช้เกณฑ์ปกติ</p> วาสนา อันทะมา ธนนันท์ ธนารัชตะภูมิ สรียา โชติธรรม Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 27 38 ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภายใต้สถานการณ์ความปกติใหม่ของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เขตหนองจอก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/261833 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนจำแนกตาม เพศ ระดับชั้น และระยะเวลาในการใช้สมาร์ทโฟน 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำแนกตาม เพศ ระดับชั้น และระยะเวลาในการใช้สมาร์ทโฟน 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้น ป.5 – ม.2 ซึ่งอยู่ในช่วงอายุ 10 – 14 ปี จำนวน 670 คน ของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เขตหนองจอก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็น แบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟน การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test independent การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว F-test (One-Way ANOVA) และค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ เพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า พฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนของนักเรียน มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง <br />( <img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> =3.24, SD = 0.67) สำหรับการเปรียบเทียบพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนจำแนกตามเพศ ระดับชั้น ระยะเวลาการใช้สมาร์ทโฟน มีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 และผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำแนกตาม เพศ ระดับชั้น มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ส่วนระยะเวลาการใช้สมาร์ทโฟนต่างกัน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่แตกต่างกัน และพฤติกรรมการใช้สมาร์ทโฟนไม่มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน</p> ปณิตา นิรมล นันธิดา อนันตชัย Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 181 196 ผลของการใช้เว็บไซต์การเรียนรู้ออนไลน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ความร่วมมือและความขัดแย้งของมนุษยชาติในคริสต์ศตวรรษที่ 20 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/257736 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพของเว็บไซต์การเรียนรู้ออนไลน์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ความร่วมมือและความขัดแย้งของมนุษยชาติในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ให้มีประสิทธิภาพด้านกระบวนการ (E<sub>1</sub>) ประสิทธิภาพด้านผลลัพธ์ (E<sub>2</sub>) ตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ความร่วมมือและความขัดแย้งของมนุษยชาติ ก่อนและหลังการใช้จากการเรียนผ่านเว็บไซต์การเรียนรู้ออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ เว็บไซต์การเรียนรู้ออนไลน์ และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ความร่วมมือและความขัดแย้งของมนุษยชาติในคริสต์ศตวรรษที่ 20 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) เว็บไซต์การเรียนรู้ออนไลน์ เรื่อง ความร่วมมือและความขัดแย้งของมนุษยชาติในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.22 /81.22 <br />2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากที่เรียนด้วยเว็บไซต์การเรียนรู้ออนไลน์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> นวิยา รุ่งเจริญ ณพรรษกรณ์ ชัยพรม กรรณิการ์ ภิรมย์รัตน์ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 119 131 การพัฒนาความเข้าใจแนวคิดเรื่องกัมมันตภาพรังสี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ 6E ตามแนวทางสะเต็มศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/265573 <p>งานวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ 6E ตามแนวทางสะเต็มศึกษาเรื่องกัมมันตภาพรังสี ให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีการพัฒนาความเข้าใจแนวคิด เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้แบบวัดความเข้าใจแนวคิด บันทึกหลังสอน บันทึกการนิเทศ บันทึกการเรียนรู้ บันทึกการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ชิ้นงาน ใบกิจกรรม และการสังเกตจากบันทึกวิดีโอ ผลการวิจัยพบว่า <br />แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความเข้าใจแนวคิด ได้แก่ 1) กำหนดสถานการณ์ปัญหาที่วางเงื่อนไขเกี่ยวกับกัมมันตภาพรังสีร่วมกับการกำหนดบทบาทสมมติของนักเรียน รวมถึงจัดบรรยากาศการเรียนรู้โดยจำลองสถานการณ์จริงทั้งในและนอกห้องเรียน 2) อภิปรายแลกเปลี่ยนแนวคิดในการออกแบบเพื่อให้เกิดความเข้าใจแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้อง รวมถึงให้ข้อคิดเห็นระหว่างกลุ่มเพื่อปรับปรุงและพัฒนาชิ้นงาน 3) ส่งเสริมการใช้สื่อที่หลากหลายและมีความเฉพาะเจาะจงกับเนื้อหาเรื่องกัมมันตภาพรังสี เพื่อกระตุ้นการคิด ส่งเสริมการเรียนรู้ และเชื่อมโยงความรู้เดิมไปสู่ความรู้ใหม่ 4) สร้างความร่วมมือระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครู และครูกับครู เป็นการส่งเสริมกระบวนการได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และผลการพัฒนาความเข้าใจแนวคิดของนักเรียนพบว่า นักเรียนมีความเข้าใจแนวคิดเรื่องประโยชน์และโทษของธาตุกัมมันตรังสีมากที่สุด รองลงมาคือแนวคิดเรื่องครึ่งชีวิต และแนวคิดเรื่องความหมายของกัมมันตรังสี ตามลำดับ จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบ 6E ตามแนวทางสะเต็มศึกษา สามารถพัฒนาแนวคิดเรื่องกัมมันตภาพรังสี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ได้</p> วิลาวัลย์ แท่นแก้ว นฤพจน์ พุธวัฒนะ ชลิดา จูงพันธ์ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 106 118 ความต้องการจำเป็นของการพัฒนาครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดชลบุรีตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างทั่วถึง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/264570 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดชลบุรีตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างทั่วถึง 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นของการพัฒนาครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดชลบุรีตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างทั่วถึง ประชากร คือ โรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดชลบุรี ผู้ให้ข้อมูล คือ ครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดชลบุรี จำนวน 236 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดชลบุรีตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างทั่วถึง มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความต้องการจำเป็น ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัจจุบันของการพัฒนาครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดชลบุรีตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างทั่วถึง โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาครูโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดชลบุรีตามแนวคิดการเรียนรู้อย่างทั่วถึง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นเจ้าของการเรียนรู้มีลำดับดัชนีความต้องการจำเป็นสูงสุด รองลงมาคือการออกแบบหลักสูตรสำหรับผู้เรียนรายบุคคล และการประเมินผลการเรียนรู้ที่หลากหลาย</p> วิมลทิพย์ ชุติมนต์โฆสิต สุกัญญา แช่มช้อย Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 169 180 คู่มือ Oxford สำหรับการศึกษาระดับอุดมศึกษาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/269332 พัทธนันท์ แม้นเมฆ Copyright (c) 2023 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2023-12-29 2023-12-29 38 3 277 279