วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku
<p>วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นวารสารวิชาการราย 4 เดือน (3 ฉบับต่อปี) ประกอบด้วย ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม และ ฉบับที่ 3 เดือนกันยายน – ธันวาคม คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดพิมพ์วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คณาจารย์ นิสิต บุคลากร นักวิชาการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และบุคคลทั่วไป มีโอกาสเสนอผลงานวิชาการเพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวิทยาการในสาขาศึกษาศาสตร์ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง</p>
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (Faculty of Education, Kasetsart University)
th-TH
วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
3027-7124
<p style="text-align: center;">บทความทุกบทความเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน</p> <p style="text-align: center;">วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์ (Kasetsart Educational Review)</p>
-
บทวิจารณ์หนังสือ (Book Review) “ทำอย่างไรชีวิตจะยืนยาวและมีความสุข”
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/278840
ณรงค์ ปัดแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
122
131
-
การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276711
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 และเปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 จำแนกตามตำแหน่ง อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และอำเภอที่สถานศึกษาตั้งอยู่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรีเขต 1 ที่ปฏิบัติงานในปีการศึกษา 2566 จำนวน 235 คน โดยสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิโดยแบ่งตามสถานศึกษาขนาดเล็กในแต่ละอำเภอ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่น 0.953 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า 1. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย ได้แก่ การวางแผนอัตรากำลังและการกำหนดตำแหน่ง การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ วินัยและการรักษาวินัย การสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง และการออกจากราชการ ตามลำดับ 2. ผลการเปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลพบุรี เขต 1 พบว่า เมื่อจำแนกตามตำแหน่ง อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และอำเภอที่สถานศึกษาตั้งอยู่ ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน<span class="Apple-converted-space"> </span></p>
วรรณสร เสวกพันธ์
ปนิดา เนื่องพะนอม
เฉลิมชัย หาญกล้า
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
1
20
-
การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมแบบจำลองเชิงพื้นที่เพื่อส่งเสริมทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/280212
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมแบบจำลองเชิงพื้นที่ในการส่งเสริมทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่องการแยกตัวประกอบของพหุนามดีกรีสอง การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ บอร์ดเกม Factor Quest: ภารกิจแยกตัวประกอบ แบบสังเกตพฤติกรรม และแบบทดสอบทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ ข้อมูลวิเคราะห์ด้วยแนวทาง Structuring – Deductive Category Assignment และตรวจสอบความน่าเชื่อถือด้วยการตรวจสอบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมแบบจำลองเชิงพื้นที่ช่วยส่งเสริมทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ในทั้ง 4 องค์ประกอบ โดยองค์ประกอบด้านข้อกล่าวอ้างมีพัฒนาการสูงที่สุด นักเรียนที่มีคะแนนระดับดีขึ้นคิดเป็นร้อยละ 62.50 รองลงมาคือด้านข้อมูลและด้านเหตุผลสนับสนุนข้อกล่าวอ้าง ส่วนเหตุผลคัดค้านมีพัฒนาการน้อยที่สุด โดยนักเรียนที่มีคะแนนระดับดีขึ้นไปคิดเป็นร้อยละ 33.33 สอดคล้องกับคะแนนทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์ในแต่ละวงจรที่มีสัดส่วนของนักเรียนในระดับดีขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้นทุกองค์ประกอบ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมแบบจำลองเชิงพื้นที่ช่วยส่งเสริมทักษะการโต้แย้งทางคณิตศาสตร์เรื่องการแยกตัวประกอบพหุนามดีกรีสอง</p>
วรรณวิไล เทพวงษ์
อาทร นกแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
21
36
-
A Historical Survey of Chinese Overseas Studies and Agencies: from 1949 to present
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/277423
<p>This essay explores the evolution of the China’s overseas study industry and its associated intermediary agencies from 1949 to the present. From a state of near non-existence in the mid-20th century to its current thriving condition, the industry has become a significant topic in discussions about the broader education sector in modern China. This study seeks to understand the key events and underlying causes that have shaped this transformation.</p> <p>By analyzing historical policies, official documents, and their broader socio-political contexts, this essay highlights how the industry has adapted to shifts in national and international politics, fluctuating supply and demand for educational resources, and socio-economic developments across different eras. The analysis underscores the interplay between policy regulation and industry growth, revealing patterns of resilience and adaptation in response to changing circumstances.</p> <p>The findings of this research contribute to a deeper understanding of Chinese international education, the evolving landscape of education policy, and the potential trajectory of intermediary agencies in a post-pandemic world. It also offers insights into how global and domestic factors have jointly influenced the industry, providing a foundation for future studies on international education and its governance.</p>
Yanqiao Wang
Hui-Wen Vivian Tang
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
37
52
-
ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียนกับการส่งเสริม สมรรถนะหลักของครูในสหวิทยาเขตเบญจวิโรฒ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276466
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำแบบอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียน 2) เพื่อศึกษาระดับการส่งเสริมสมรรถนะหลักของครู และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียนกับการส่งเสริมสมรรถนะหลักของครู กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูจากโรงเรียนในสหวิทยาเขตเบญจวิโรฒ <br>สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จำนวน 250 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง<br>จากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan (1970) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากนั้นสุ่มตัวอย่าง<br>แบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วนประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นอยู่ที่ 0.918 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br>ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) ภาวะผู้นำแบบอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียนอยู่ในระดับมาก คุณลักษณะที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ <br>การมองแบบองค์รวม คุณลักษณะที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ การสร้างแรงบันดาลใจ</p> <p>2) การส่งเสริมสมรรถนะหลักของครูอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด ได้แก่ ด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพครู ด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านการบริการที่ดี และด้านการพัฒนาตนเอง</p> <p>3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำอไจล์ของผู้บริหารโรงเรียนกับการส่งเสริมสมรรถนะหลักของครู <br>มีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.848, p < 0.01)</p>
ณัฐนนท์ ลุนพัฒน์
สุดารัตน์ สารสว่าง
พร้อมพิไล บัวสุวรรณ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
53
65
-
ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ ของครูกลุ่มโรงเรียนพหลโยธิน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/276942
<p style="font-weight: 400;">การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ และ 2. เปรียบเทียบความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ จำแนกตามเพศ เจเนอเรชัน วิทยฐานะ และขนาดโรงเรียน ประชากรเป็นครูกลุ่มโรงเรียนพหลโยธิน จำนวน 163 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ และจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์ โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 0.95 แบบสอบถามมีความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.92 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ด้านทัศนคติอยู่ในระดับสูงที่สุด (µ = 4.02) โดยมีทัศนคติด้านประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์ สูงกว่าด้านอื่น ๆ รองลงมาคือด้านความรู้อยู่ในระดับสูง (69.25%) โดยมีความรู้ด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สูงที่สุด และด้านพฤติกรรมอยู่ในระดับปฏิบัติบ่อยครั้ง (µ = 3.59) โดยมีพฤติกรรมด้านจริยธรรมปัญญาประดิษฐ์สูงกว่าด้านอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบตามลักษณะประชากรศาสตร์พบว่า ผู้ไม่ระบุเพศ Generation Z ครูผู้ช่วย และโรงเรียนขนาดเล็กมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มอื่นในทุกด้าน ในขณะที่ครูชำนาญการพิเศษและ Generation X มีค่าเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มอื่น</p>
สิวริศร ตรีชิต
สุชาดา นันทะไชย
สุดารัตน์ สารสว่าง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
66
80
-
การสนธิพลังความร่วมมือในการเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของเด็กข้ามชาติ บริเวณพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษเชียงราย: กรณีศึกษามูลนิธิบ้านครูน้ำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/278523
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และแนวทางการสนธิพลังความร่วมมือในการเสริมสร้างโอกาสการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานของเด็กข้ามชาติในเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กรณีศึกษามูลนิธิบ้านครูน้ำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบก้อนหิมะ ได้แก่ ผู้ดูแลมูลนิธิ ผู้นำชุมชน ที่ปรึกษามูลนิธิ และตัวแทนผู้บริหารและครู จากสถานศึกษา 4 แห่ง รวม 7 แหล่งข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า เด็กข้ามชาติสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ผ่านความร่วมมือของมูลนิธิ โรงเรียน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน โดยใช้การเรียนการสอนที่ยืดหยุ่นทั้งในระบบและนอกระบบ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญ ได้แก่ ปัญหาด้านเอกสาร สถานะทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน และทัศนคติของสังคมที่มองว่าเด็กข้ามชาติเป็นภาระแนวทางการพัฒนา คือ การปรับปรุงนโยบายการลงทะเบียนเด็กข้ามชาติ การพัฒนาหลักสูตรที่เน้นทักษะชีวิตและอาชีพ และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างโรงเรียน มูลนิธิ และชุมชน รวมถึงการสร้าง<br>ความเข้าใจในสิทธิและการพัฒนาระบบสนับสนุนที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยให้เด็กข้ามชาติสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองและเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต</p>
พรรษกาญจน์ จำรัส
พร้อมพิไล บัวสุวรรณ
สุดารัตน์ สารสว่าง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
81
94
-
การพัฒนาการคิดเชิงระบบของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายผ่านการเรียนรู้ โดยใช้เกมเป็นฐาน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/280223
<p><strong>บทคัดย่อ</strong><br> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการคิดเชิงระบบของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เรียนโดยใช้เกมเป็นฐาน เรื่องอารยธรรมโลก และ 2) ศึกษาเจตคติต่อการใช้เกมเป็นฐานเพื่อพัฒนาการคิดเชิงระบบ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 40 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ บอร์ดเกม “ตะลุยโลกมหัศจรรย์” แบบประเมินผลการคิดเชิงระบบ แบบสัมภาษณ์ และแบบสังเกตผลการเรียนรู้ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนทั้งหมดมีผลการประเมินการคิดเชิงระบบอยู่ในระดับสูงสุด (คะแนนเต็ม 4.0 คิดเป็นร้อยละ 100) นอกจากนี้ นักเรียนยังมีเจตคติเชิงบวกมากขึ้นต่อการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ โดยรู้สึกว่าวิชาไม่น่าเบื่อ เข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับชีวิตจริงได้ดีขึ้น เกมช่วยเพิ่มความสนใจและแรงจูงใจในการเรียนรู้ บรรยากาศการเรียนมีความสนุกสนานและมีส่วนร่วมอย่างชัดเจน<br><br></p>
วรพรรณ สังขเวช
กอบชัย กิจสวัสดิ์
วรรรณ ศรีสงคราม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
95
102
-
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พ.ศ. 2562 กับการสนับสนุนทุนวิจัยของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (พบท.) กรอบวิจัยการยกระดับและขับเคลื่อนเพื่อการขยายผลพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาประจำปี 2568
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/eduku/article/view/278573
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่ออธิบายพระราชบัญญัติพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา พศ 2562 ที่มีเจตนารมณ์ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ค้นหาแนวทางใหม่ในการออกแบบการบริหารและจัดการศึกษาอย่างมีอิสระผ่านการกระจายอำนาจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและทุกคนในพื้นที่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม โดยคนในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาร่วมผนึกกำลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านกลไกที่กำหนดได้เอง ทั้งนี้หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (พบท.) ได้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการค้นหาคำตอบหรือแสดงให้เห็นความสำคัญของพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาของนักวิจัยในพื้นที่ ซึ่งประกอบด้วยผู้ปฏิบัติงานในกลไกการศึกษา นักวิชาการในมหาวิทยาลัยและสถานศึกษาโดยใช้ต้นทุนความรู้และต้นทุนการทำงานเดิมที่ได้ผ่านการขับเคลื่อนมาขยายผลการจัดการศึกษา ภายใต้กรอบวิจัยการยกระดับและขับเคลื่อนเพื่อการขยายผลพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาประจำปี 2568 นักวิจัยจึงต้องทำความเข้าใจในเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.พื้นที่นวัตกรรมการศึกษาที่สอดคล้องไปกับการวิเคราะห์โจทย์ของหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เพื่อนำสู่การออกแบบการวิจัยเพื่อขอรับการสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาคุณภาพในกับพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาซึ่งจะนำสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงจนเต็มพื้นที่การจัดการศึกษาของประเทศไทย</p>
วรรณดี สุทธินรากร
บุญเยี่ยม เหลาสะอาด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-08-31
2025-08-31
40 2
103
121