https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/issue/feed วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ 2024-05-01T21:30:51+07:00 พระปลัดระพิน พุทฺธิสาโร [email protected] Open Journal Systems <p><strong> วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์</strong> เลขมาตรฐานสากล ISSN: 2773-9910 (Print)<strong> </strong>ISSN 2774-0846 (Online) เป็นวารสารที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ประกอบด้วย พระพุทธศาสนา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ การจัดการ และสหวิทยาการอื่นๆที่นำเสนอองค์ความรู้เชิงนวัตกรรม เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267724 ธรรมคุ้มครองโลกกลุ่มผลประโยชน์และพรรคการเมือง 2023-09-07T10:12:14+07:00 อภิชัย พิทยานุรักษกุล [email protected] <p>ความต้องการผลประโยชน์ทางการเมืองยุคปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กลุ่มผู้ที่ให้การสนับสนุนนักการเมืองจึงต้องมีการปรับตัวและสร้างเงื่อนไขในการต่อรองกับผู้มีอำนาจทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการหรือการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้มีอำนาจกับผลประโยชน์ มนุษย์มีความต้องการในเรื่องปัจจัย 4 มนุษย์จึงมีวิธีการที่จะทำให้ได้มาซึ่งความต้องการด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป การดำเนินการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์คือการใช้วิธีการเรียกร้องหากไม่ได้ผลก็จะใช้วิธีการใช้อำนาจต่อรองหรือสร้างแรงกดดันให้ผู้มีอำนาจรัฐทำตาม การนำหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนามาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตการประยุกต์ใช้ก็จะสามารถแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และวิธีการในการเข้ามาสู่ความเป็นนักการเมืองของแต่ละคนเป็นสำคัญ บทความนี้ผู้เขียนมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เยาวชน นิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้ศึกษาและเข้าใจถึงกลุ่มผลประโยชน์ พรรคการเมือง กลยุทธ์และวิธีการเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ และนำเสนอหลักพุทธรรมคือความละอายใจต่อบาป ความเกรงกลัวโทษที่จะเกิดขึ้นกับตนเองที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยในปัจจุบัน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/261238 การบริหารโครงการตามหลักพละ 4 2022-09-27T12:53:10+07:00 จุไรภรณ์ วิจักขณวงศ์ [email protected] <p>บทความนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการบริหารโครงการตามหลักพละ 4 หรือการบริหารโครงการตามหลักคุณธรรมทั้ง 4 ประการ ซึ่งช่วยให้นักบริหารโครงการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ดำเนินการได้ดังนี้ 1. ปัญญาพละ ดำเนินการได้โดย ผู้บริหารต้องมีความฉลาดรอบรู้ ความสามารถ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มองการณ์ไกล มีโยนิโสมนสิการ มีกลยุทธ์ในการปฏิบัติงานที่ดี เป็นคนใฝ่ศึกษาปฏิบัติฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ 2. วิริยพละ ดำเนินการได้โดย ผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงาน ตั้งอยู่ในความเพียร ความขยันขันแข็ง ความไม่ย่อท้อในหน้าที่การงานของตน ไม่เกียจคร้าน โครงการก็ต้องมีรางวัลหรือแรงจูงใจให้กับผู้ที่มีความเพียรพยายามด้วย 3. อนวัชชพละ โดยผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงานมีความประพฤติและหน้าที่การงานสุจริต ไม่มีข้อบกพร่องเสียหาย การบริหารโครงการตามหลักนี้คือ การกระทำในสิ่งที่ดีที่เป็นมงคล ได้แก่ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดจารีตประเพณี ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม 4. สังคหพละ การบริหารโครงการตามหลักนี้จะเป็นกำลังในการสร้างสังคมให้เข้มแข็ง มีความสามัคคี โดยผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงานต้องมีความตั้งใจในการให้ทาน การให้สิ่งของ ทุนทรัพย์ และคำแนะนำอย่างกัลยาณมิตร การพูดจาด้วยความไพเราะ เป็นประโยชน์ ไม่สร้างความแตกแยก ทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นหรือเพื่อนร่วมงาน การวางตัวถูกกาลเทศะ วางตนสม่ำเสมอ และผู้นำจะต้องมีหลักพรหมวิหารธรรมประจำใจด้วย</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267822 หลักพุทธธรรม : การบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ 2023-09-11T14:32:08+07:00 พระปลัดสถิตย์ โพธิญาโณ [email protected] อ้อมตะวัน สารพันธ์ [email protected] <p>หลักพุทธธรรมมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในปัจจุบัน สังคหวัตถุธรรม หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ได้แก่ ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตตา หลักอคติธรรม ความลำเอียงเป็นสิ่งที่ต้องพึงละเว้นเมื่อต้องการครองใจ และบริหารคนในองค์กร และหลักพรหมวิหารธรรม เป็นคุณธรรมพื้นฐานที่ผู้นำจะต้องมีอยู่ประจำในจิตใจเพื่อนำไปสู่การแสดงออกที่ดีและเหมาะสม ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เพื่อนำไปสู่การแสดงออกที่ดีและเหมาะสม สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการบริหารองค์กรจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จบรรลุตามเป้าหมาย ตัวมนุษย์ คือ ทุน โดยมีเป้าหมายขององค์กร 4 ประการ การสรรหา การพัฒนา การรักษาพนักงาน และการใช้ประโยชน์ กระบวนการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ทำให้เกิดประสิทธิภาพทางการบริหาร ทำให้เกิดประโยชน์ในด้านเวลา เป็นวิธีทางการปฏิบัติงานอย่างหนึ่ง ช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงาน และ และทำให้เกิดคุณค่าทางสังคม การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การบริหารงบประมาณ การบริหารวัสดุอุปกรณ์ และการบริหารงาน หรือกล่าวโดยรวมว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารคนและงาน เพื่อนำองค์กรบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/269120 หลักการและแนวคิดทางการแนะแนว 2023-12-12T11:15:07+07:00 เชวงศักดิ์ เอี่ยมสำอางค์ [email protected] <p>บทความเรื่องนี้มุ่งเน้นให้ผู้ศึกษาและผู้สนใจในงานแนะแนว มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถวิเคราะห์ และอภิปรายเกี่ยวกับหลักการและแนวคิดที่สำคัญของการจัดบริการแนะแนวในหน่วยงาน เพื่อให้สามารถนำไปสู่การจัดบริการแนะแนวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยได้วิเคราะห์หลักการและแนวคิดทางการแนะแนว ของประมวลสาระแขนงวิชาการแนะแนว บัณฑิตศึกษา ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ใน 6 ประเด็น ได้แก่ 1. ปรัชญาและเป้าหมาย 2. ขอบข่ายของการแนะแนว 3. จิตวิทยาที่นำมาใช้ในการแนะแนว 4. บุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานแนะแนว 5. พฤติกรรมผู้ให้และผู้รับบริการทางการแนะแนว 6. การริเริ่มจัดตั้งบริการแนะแนวในหน่วยงาน เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษา ค้นคว้า เปิดใจกว้างในการรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณในการเลือกรับข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการศึกษาและปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267213 อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย 2023-09-11T00:18:33+07:00 อรัญ พันธุมจินดา [email protected] <p class="5175" style="margin-top: 0cm; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH">รัฐสมัยใหม่ที่มีรูปแบบทางการปกครองหรือระบอบการปกครองที่ถือประชาชนเป็นใหญ่ โดยเรียกระบอบการปกครองนั้นว่า “ประชาธิปไตย” ซึ่งมีประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ ปัจจุบันรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและนำไปใช้เป็นระบอบการปกครองในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้น การแสวงหาเจตจำนงร่วมกันของประชาชนเพื่อนำมากำหนดโครงสร้างความสัมพันธ์ของสถาบันทางการเมืองและองค์กรต่าง ๆ ที่ใช้อำนาจรัฐ ทั้งองค์กรที่ใช้อำนาจในทางนิติบัญญัติ องค์กรที่ใช้อำนาจในทางบริหาร และองค์กรที่ใช้อำนาจในทางตุลาการ รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์ที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในระบอบประชาธิปไตย และข้อตกลงระหว่างประชาชนนั้น คือ “สัญญาประชาคม” เมื่อประชาชนได้ร่วมกันกำหนดแนวทางในการปกครองประเทศตามเจตจำนงร่วมกันแล้ว การจัดให้มี “รัฐธรรมนูญ” เพื่อใช้เป็น “กฎหมายสูงสุดของประเทศ” จึงเป็นกระบวนการสำคัญที่รัฐจะต้องดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ดังนั้นในการใช้อำนาจสูงสุดในการก่อตั้งองค์กรทางการเมือง โดยจัดให้มีรัฐธรรมนูญหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการ “สถาปนารัฐธรรมนูญ” จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกประเทศ ผู้ที่มีอำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญจึงต้องเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐ หรือผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง และในประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผู้ที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิไตยที่แท้จริงนั้นคือ “ประชาชน” </span></p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267776 การบริหารจัดการองค์กรด้วยปัญญาประดิษฐ์แห่งโลกเสมือนจริง 2023-11-15T07:14:19+07:00 กฤษฎา ไกรสุริยวงศ์ [email protected] สายรุ้ง บุบผาพันธ์ [email protected] <p class="5175" style="margin-top: 0cm; text-indent: 36.0pt;"><span lang="TH">บทความนี้มุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการองค์กรด้วยปัญญาประดิษฐ์แห่งโลกเสมือนจริง เป็นการนำปัญญาประดิษฐ์และโลกเสมือนจริง มาประยุกต์ใช้เพื่อการบริหารจัดการองค์กรในด้านต่าง ๆ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับองค์กรในการกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ แนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการองค์กรด้วยปัญญาประดิษฐ์แห่งโลกเสมือนจริง ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (</span>AI) <span lang="TH">เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและระบุโอกาสในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ใช้เทคโนโลยีแห่งโลกเสมือนจริง (</span>Metaverse) <span lang="TH">เพื่อปรับปรุงการสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงานและลูกค้า ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (</span>AI) <span lang="TH">และ เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (</span>Metaverse) <span lang="TH">เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ </span></p> <p> </p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267759 แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตสู่ความสำเร็จของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในกรุงเทพมหานคร 2023-09-15T07:53:23+07:00 กัญณัฏฐ์ กรวิทย์ธนโชติ [email protected] สุดา สุวรรณาภิรมย์ [email protected] วัลลภ รัฐฉัตรานนท์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของปัจจัยทางสังคม ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้านความต้องการ และพฤติกรรมการสื่อสารที่ส่งผลต่อแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตสู่ความสำเร็จของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในเขตกรุงเทพมหานคร รวมถึงการนำเสนอแนวทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารของครอบครัวสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาเขตที่ 1 และเขตที่ 2 ของกรุงเทพมหานคร ด้วยการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง ทั้งหมด 380 ราย ทำการใช้เครื่องมือสำหรับงานวิจัยเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลความคิดเห็นของนักเรียนมัธยมศึกษาศึกษาตอนต้น นำข้อมูลที่ได้จากแบบสอบถามทั้งหมดมาทำการวิเคราะห์ และทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแฝงกับตัวแปรสังเกต และความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรแฝงกับตัวแปรแฝงด้วยแบบจำลองสมการโครงสร้าง โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ 0.954</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยทางสังคมมีอิทธิพลโดยรวมต่อคุณภาพชีวิตสู่ความสำเร็จของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ ปัจจัยด้านครอบครัว ปัจจัยด้านความต้องการ และพฤติกรรมการสื่อสาร ตามลำดับ และแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตสู่ความสำเร็จของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ควรให้ความสำคัญทางด้านจิตใจด้วยการเป็นส่วนหนึ่ง ด้านสังคมด้วยการมีสภาพแวดล้อมที่ดี และด้านความรักจากครอบครัว</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267820 แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 1 2023-09-11T14:18:47+07:00 ดวงรัตน์ ฤทธิ์ขจร [email protected] แสงจิตต์ ไต่แสง [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. เพื่อศึกษาะระดับความผูกพันต่อองค์กรและระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน 2. เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน จำแนกตามประเภทของบุคลากร ระยะเวลาการปฏิบัติงาน 3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความผูกพันธ์ต่อองค์กรกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และ 4. เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณเป็นแบบสอบถาม โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย จำนวน 212 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าเอฟ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว หาความสัมพันธ์โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์ โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 11 คน และวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับระดับความผูกพันต่อองค์กรและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก <br />2. บุคลากรในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 1 ที่ประเภทบุคลากร ระยะเวลาการปฏิบัติงานแตกต่างต่างกัน มีความคิดเห็นต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 1 แตกต่างกัน 3. ความผูกพันต่อองค์กรกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 1 โดยรวมมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง <br />และ 4. แนวทางในการพัฒนาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานอัยการภาค 1 ได้แก่ องค์กรควรจัดทำคู่มือในการปฏิบัติงาน วางแผนระบบการทำงานให้เป็นระบบ จัดบ้านพักสวัสดิการให้กับบุคลากรทุกจังหวัด จัดฝึกอบรม สนับสนุนคอมพิวเตอร์ในการปฏิบัติงานให้เพียงพอต่อบุคลากร และควรจัดให้มีกิจกรรมเชื่อมมิตรภาพทั้งในระดับหน่วยงานย่อย และหน่วยงานระดับภาค เพื่อเป็นแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267656 การพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง 2023-09-01T20:46:36+07:00 ชลิดา ละม้ายพันธุ์ [email protected] แสงจิตต์ ไต่แสง [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ระดับคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และ 2. แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ บุคลากรในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณเป็นแบบสอบถาม โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย จำนวน 330 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าเอฟ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์ โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 11 คน และวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับคุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทองในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านการพัฒนาความรู้ความสามารถในการทำงาน อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน อยู่ในระดับมาก ตามลำดับ ระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทองในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านคุณภาพของงานและด้านเวลาในการปฏิบัติงาน อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านค่าใช้จ่าย 2. แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ได้แก่องค์กรควรมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เป็นหลักประกันให้บุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการอบรมเพื่อเพิ่มทักษะความรู้เพิ่มเติม ควรมีการปรับปรุงค่าตอบแทนและจัดหาสวัสดิการเพิ่มเติม ควรจัดให้มีการอบรม/สัมมนา ควรเปิดโอกาสให้แสดงความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงาน และควรมอบหมายงานให้เหมาะสมเพื่อให้บุคลากรไม่เครียดและมีความสุขกับการทำงาน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/269295 ความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคความเหนื่อยหน่าย ในงาน และผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ กองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2023-12-21T07:54:50+07:00 ญาณุตร ศิริทีปตานนท์ [email protected] ทิพย์วัลย์ สุรินยา [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. ระดับความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค ระดับความเหนื่อยหน่ายในงาน และระดับผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ 2. ผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน 3. ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคกับผลการปฏิบัติงาน 4. ความสัมพันธ์ระหว่างความเหนื่อยหน่ายในงานกับผลการปฏิบัติงาน 5. อิทธิพลของความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค และความเหนื่อยหน่ายที่มีต่อผลการปฏิบัติงาน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรกลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด จำนวนทั้งสิ้น 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที ค่าเอฟ วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว หาความสัมพันธ์โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ข้าราชการตำรวจที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา ที่แตกต่างกัน มีผลการปฏิบัติงานแตกต่างกัน และ ข้าราชการตำรวจที่มีสถานภาพ และอายุงานแตกต่างกัน มีผลการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกัน 2. ความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคด้านความรับผิดชอบต่อปัญหาไม่มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ 3. ความเหนื่อยหน่ายในงานโดยรวมไม่มีความสัมพันธ์กับผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ 4. อิทธิพลของความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรคและความเหนื่อยหน่ายในงานมีผลต่อผลการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267605 การรักษาอำนาจทางการเมืองของผู้นำท้องถิ่นในอำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว 2023-08-29T15:32:47+07:00 สหยศ ทองคำ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพทั่วไป 2. ศึกษากระบวนการรักษาอำนาจ และ 3. นำเสนอแนวทางการรักษาอำนาจทางการเมืองของผู้นำท้องถิ่นโดยการประยุกต์หลักพุทธธรรมในพื้นที่อำเภอเขาฉกรรจ์ จังหวัดสระแก้ว เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการส่วนท้องถิ่น นักวิชาการด้านหลักพุทธธรรม ประชาชนในพื้นที่ จำนวน 18 รูปหรือคน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์เนื้อหาด้วยวิธีการพรรณนา และสังเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์การวิจัยและนำเสนอในรูปแบบของความเรียงข้อความตามลำดับ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพทั่วไปของการรักษาอำนาจทางการเมืองของผู้นำท้องถิ่น คือ 1. ด้านบุคคล 2. ด้านกฎหมาย 3. ด้านความสัมพันธ์ของเครือญาติ 4. ด้านการเมือง 2. กระบวนการรักษาอำนาจทางการเมืองของผู้นำท้องถิ่น คือ 1. การสร้างพันธมิตร กับกลุ่มของประชาชน กลุ่มผู้นำชุมชนและกลุ่มผู้ที่มีฐานะมั่นคง 2. การขยายเครือข่าย บุคคลหรือกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ สามารถเป็นผู้ช่วยในการหาเสียงสนับสนุน 3. การใช้อำนาจที่เกิดจากกฎหมายหรือการแต่งตั้งและการใช้ความเชี่ยวชาญ อำนาจของผู้นำท้องถิ่นเป็นอำนาจตามกฎหมายที่เกิดจากการที่ประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ ใช้สิทธิเลือกตั้งโดยตรง 4. การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การใช้ข้อมูลสนับสนุนการสื่อสารเป็นเรื่องที่จำเป็น และต้องมีทักษะในการวิเคราะห์ข้อมูล 5. การใช้สัญลักษณ์ ผู้นำท้องถิ่นจะใช้ตนเองเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง 6. การใช้ความมุ่งมั่น ผู้นำท้องถิ่นต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการบริหารงาน 3. การประยุกต์หลักพุทธธรรม โดยการนำหลักสังคหวัตถุ 4 เพื่อการรักษาอำนาจทางการเมืองของผู้นำท้องถิ่น คือ 1. การเสียสละเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น 2. การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ 3. การประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น 4. การไม่เลือกปฏิบัติ มีความเป็นธรรม และให้ความเสมอภาคกับทุกคน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/270163 กลยุทธ์การส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อการตัดสินใจซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร 2024-01-21T22:16:14+07:00 วีระวุธ ภู่ชนะกิจ [email protected] กาญจนา โพธิวิชยนนท์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ รูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค ส่วนประสมทางการตลาด 4Ps และคุณค่าตราสินค้า ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร จากการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร ได้แก่ ผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างทำการคัดเลือกแบบสุ่มด้วยการกำหนดโควตาจากร้านค้า 3 ประเภท ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ กลุ่มร้านสะดวกซื้อประเภทมีแบรนด์ และกลุ่มร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยกำหนดสัดส่วนกลุ่มละเท่า ๆ กัน กลุ่มตัวอย่างของการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้างคำนวณจาก 20 เท่าของตัวแปรสังเกต โดยงานวิจัยนี้มีจำนวนตัวแปรสังเกต 21 ตัวแปร ทำให้ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 420 ราย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ส่วนประสมทางการตลาด 4Ps ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการขาย มีอิทธิพลโดยรวมต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมากที่สุด เนื่องจากส่วนประสมทางการตลาด 4Ps เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวางแผน และการบริหารทางการตลาด ซึ่งมีผลในการสร้างความนิยม และเป็นตัวกำหนดที่สำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภค รองลงมา ได้แก่ รูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภค คุณค่าตราสินค้า และการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ตามลำดับ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/269783 การถอดบทเรียนการพึ่งตนเองผ่านกระบวนการวิสาหกิจชุมชน : กรณีศึกษากลุ่มวิสาหกิจชุมชนทางหลวงแปรรูปสมุนไพร ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี 2024-01-27T17:04:30+07:00 พระมหาพิสุทธิ์ สิทฺธิเมธี [email protected] <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษากระบวนการพึ่งพาตนเองของวิสาหกิจชุมชนทางหลวงแปรรูปสมุนไพร ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี 2. เพื่อนำเสนอรูปแบบการพึ่งพาตนเองของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทางหลวงแปรรูปสมุนไพร ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เครื่องมือในการวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก จำวน 14 คน ทำการวิเคราะห์ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ Qdat Knowledge 1 วิธี ประกอบด้วย เทคนิคการยืนยัน 3 เส้า</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. กระบวนการพึ่งพาตนเองของวิสาหกิจชุมชนทางหลวงแปรรูปสมุนไพร ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ประกอบด้วย แนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ด้านความเป็นอยู่ ด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม 2. รูปแบบการพึ่งพาตนเองของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทางหลวงแปรรูปสมุนไพร ตำบลห้วยขมิ้น อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ได้ค้นข้อพบ 6 Steps Model คือ Steps 1 Plan (การวางแผน) Steps 2 High Quality (การเพิ่มคุณภาพสูง) Steps 3 Idea (ความคิด) Steps 4 Service (การบริการ) Steps 5 Upgrade (การอัพเกรด) และ Steps 6 Test (การทดสอบ) และส่งเสริมให้เป็น วิสาหกิจชุมชน ต้นแบบ ที่มีความมั่งคั่ง มีความยังยื่น มีความสุข และพึ่งพาตนเองได้สืบไป</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/269658 การสนับสนุนจากสังคม ความคาดหวังในการมีบุตร และความเครียดของผู้มีบุตรยาก 2023-12-26T00:12:33+07:00 วรารัตน์ ศรีพล [email protected] งามลมัย ผิวเหลือง [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการสนับสนุนจากสังคม ความคาดหวังในการมีบุตร และความเครียดของผู้มีบุตรยาก 2. ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคลและการสนับสนุนจากสังคมที่มีต่อความคาดหวังในการมีบุตร 3. ความเครียดของผู้มีบุตรยาก 4. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังในการมีบุตรและความเครียดของผู้มีบุตรยาก เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ ผู้มีบุตรยากที่เข้ารับบริการคลินิกมีบุตรยาก จำนวน 230 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามกับตัวแปรอิสระตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไป</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ผู้มีบุตรยากมีการสนับสนุนจากสังคมโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีความคาดหวังในการมีบุตรอยู่ในระดับมาก และมีความเครียดอยู่ในระดับปานกลาง <br />2. ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ ลักษณะครอบครัว ระยะเวลารอคอยบุตร และจำนวนครั้งที่พบแพทย์ การสนับสนุนจากสังคมแตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อความคาดหวังในการมีบุตรแตกต่างกัน 3. ปัจจัยส่วนบุคคลด้านลักษณะครอบครัว และจำนวนครั้งที่พบแพทย์ การสนับสนุนจากสังคมด้านทรัพยากรและด้านอารมณ์แตกต่างกัน มีอิทธิพลต่อความเครียดแตกต่างกัน 4. ความคาดหวังในการมีบุตรมีความสัมพันธ์กับความเครียดทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งด้านสังคม ด้านความความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส ด้านปฏิเสธการดำเนินชีวิตที่ไม่มีบุตร ด้านความต้องการเป็นบิดา-มารดา และด้านความสัมพันธ์ทางเพศ </p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/268104 การประยุกต์ใช้หลักทุติยปาปณิกธรรมเพื่อการพัฒนาภาวะผู้นำ ของนักการเมืองท้องถิ่น ในจังหวัดสมุทรสงคราม 2023-10-01T22:11:55+07:00 พระครูสังฆรักษ์เอกลักษณ์ อชิโต [email protected] เติมศักดิ์ ทองอินทร์ [email protected] สุรพล สุยะพรหม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการประยุกต์ใช้หลักทุติยปาปณิกธรรมเพื่อการพัฒนาภาวะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่น ในจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลภาคสนามจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 5 กลุ่ม คือ ผู้ปกครองท้องที่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ผู้นำชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือปราชญ์ชาวบ้าน และผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ด้วยการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 25 รูปหรือคน ใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ที่มีค่าดัชนีวัดความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาทั้งฉบับ (S-CVI) เท่ากับ 1.00 เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท และการสนทนากลุ่มเฉพาะผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 รูปหรือคน โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การประยุกต์ใช้หลักทุติยปาปณิกธรรมเพื่อการพัฒนาภาวะผู้นำของนักการเมืองท้องถิ่น ในจังหวัดสมุทรสงคราม พบว่า จักขุมา (มีวิสัยทัศน์ ชำนาญในการใช้ความคิด) โดยการสร้างความเข้มแข็งของระบบการศึกษาท้องถิ่น สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน วิธูโร (จัดการงานดี ชำนาญด้านเทคนิค) ความเชี่ยวชาญในความรับผิดชอบต่อสังคมและการดำเนินการที่ยั่งยืน ความเชี่ยวชาญในการวางแผนและการจัดการ นิสสยสัมปันโน (มีมนุษยสัมพันธ์ ชำนาญด้านมนุษยสัมพันธ์) การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดี การฟังและเข้าใจความต้องการของประชาชน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/268204 อนาคตภาพรัฐไทยในอุดมคติในทศวรรษหน้า 2023-10-04T05:28:51+07:00 พระครูสุธีกิตติบัณฑิต (กฤษฎา กิตฺติโสภโณ) [email protected] จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์ [email protected] วัชรินทร์ ชาญศิลป์ [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอนาคตภาพรัฐไทยในอุดมคติในทศวรรษหน้า โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยอนาคตแบบ EDFR (Ethnographic Delphi Futures Research) แบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ 1. การรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อกำหนดอนาคตภาพรัฐไทยในอุดมคติ โดยสังเคราะห์เนื้อหาจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 21 รูปหรือคน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญ 2. การรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการสอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 21 รูปหรือคนด้วยเทคนิคเดลฟาย 2 รอบ เพื่อศึกษาอนาคตภาพที่มีความเป็นไปได้ มีภาพอนาคตที่พึงประสงค์ และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นสอดคล้องกัน โดยใช้แบบสอบถามชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดับ หาฉันทามติของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยการคำนวณค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม และค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ และนำผลการวิเคราะห์ข้อมูลไปทำนายอนาคตภาพ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า มี 4 ด้าน 20 อนาคตภาพ ได้แก่ 1. ด้านอนาคตภาพประชากรไทย จำนวน 5 อนาคตภาพ 2. ด้านอนาคตภาพดินแดนไทย จำนวน 5 อนาคตภาพ 3. ด้านอนาคตภาพรัฐบาลไทย จำนวน 5 อนาคตภาพ 4. ด้านอนาคตภาพอำนาจอธิปไตยของไทย จำนวน 5 อนาคตภาพ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/268041 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรและเมืองโบราณซับจำปา จังหวัดลพบุรี 2023-09-23T10:29:24+07:00 บรรเจิด ถมปัด [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรและเมืองโบราณซับจำปา 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรและเมืองโบราณซับจำปา 3. นำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรและเมืองโบราณซับจำปา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่าง 393 คนวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสถิติสำเร็จรูป และการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 18 รูปหรือคน โดยใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้จากการสังเคราะห์นำมาสนทนากลุ่มเฉพาะ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรและเมืองโบราณซับจำปา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรและเมืองโบราณซับจำปา พบว่า การส่งเสริมการท่องเที่ยวส่งผลต่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ ทั้ง 3 ด้าน 3. การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในพื้นที่ป่าจำปีสิรินธรและเมืองโบราณซับจำปา มีการนําหลักอปริหานิยธรรม 7 มาบูรณาการกับการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยมีการประชุมปรึกษาหารือในการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอยู่เป็นนิตย์อย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่มีการตั้งกฎระเบียบตามที่ขัดต่อระเบียบเดิม ให้ความเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ ให้ความเคารพสิทธิมนุษยชน สถานที่ และให้การดูแลเอาใจใส่แก่ผู้มาเยือน เพื่อนำองค์กรไปสู่เป้าหมายในการพัฒนาการจัดการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้มีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืน</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267119 พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้าน ในจังหวัดชัยภูมิ 2023-08-17T20:06:58+07:00 ศุภชัย ศักดิ์ตระกูล [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้านในจังหวัดชัยภูมิ และ 2. นำเสนอรูปแบบพุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้านในจังหวัดชัยภูมิ รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 341 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน และการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 9 รูปหรือคนวิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้านในจังหวัดชัยภูมิ พบว่า หลักพละ 4 ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้านในจังหวัดชัยภูมิ มี 4 ด้าน ได้แก่ ด้านปัญญาพละ ด้านวิริยะพละ ด้านอนวัชชพละ และด้านสังคหพละ และ กระบวนการบริหารงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้านในจังหวัดชัยภูมิ มี 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการปฏิบัติ และด้านการปรับปรุง และ 2. รูปแบบพุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้านในจังหวัดชัยภูมิมีปัจจัยพื้นฐาน คือ พุทธบูรณาการส่งเสริมโดยการบูรณาการหลักพละ 4 เพื่อเป็นตัวสนับสนุนให้เกิดเป็นพุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้าน และนำกระบวนการบริหารงานมาใช้เพื่อเป็นตัวส่งเสริมให้เกิดประสิทธิภาพในการส่งเสริมการบริหารงานของกองทุนหมู่บ้านในจังหวัดชัยภูมิ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267746 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการ โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ 2023-09-15T07:55:55+07:00 พงศ์นคร โภชากรณ์ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ และนำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 372 คน การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน และการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 9 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการสังเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ พบว่า หลักการบริหารจัดการตามหลัก 7S ส่งผลต่อการบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐได้ร้อยละ 37.7 และหลักอริยสัจ 4 ส่งผลต่อการบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐได้ ร้อยละ 24.9 3. การพัฒนาการบริหารจัดการโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ คือ การนำหลักการบริหารจัดการตามหลัก 7S นำมาบูรณาการกับหลักอริยสัจ 4 ได้แก่ ทุกข์ (สภาพปัญหา) สมุทัย (สาเหตุของปัญหา) นิโรธ (เป้าหมายในการแก้ปัญหา) และ มรรค (แนวทางปฏิบัติ)</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267578 ความไว้วางใจทางการเมืองของประชาชนที่มีต่อนักการเมือง ระดับท้องถิ่นในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 2023-09-07T23:24:11+07:00 พระกฤษฎา กิตฺติปญฺโญ [email protected] เติมศักดิ์ ทองอินทร์ [email protected] พรรษา พฤฒยางกูร [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับความไว้วางใจทางการเมืองของประชาชน 2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อความไว้วางใจทางการเมือง 3. เพื่อนำเสนอปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความไว้วางใจทางการเมืองเพื่อนำเสนอปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความไว้วางใจทางการเมือง กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 398 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 รูปหรือคน แล้ววิเคราะห์คำให้สัมภาษณ์ของผู้ให้ข้อมูลสำคัญตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับความไว้วางใจทางการเมืองของประชาชนที่มีต่อนักการเมือง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบ พบว่า ประชาชนที่มีอายุ ระดับการศึกษา รายได้ ต่างกัน มีความไว้วางใจทางการเมือง ในภาพรวม แตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนประชาชนที่มีเพศ และอาชีพ แตกต่างกัน มีความไว้วางใจทางการเมือง ในภาพรวมไม่แตกต่าง จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. แนวทางในการสร้างความไว้วางใจทางการเมือง สรุปได้ดังนี้ ด้านตัวบุคคล ควรมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนา ด้านนโยบาย ควรกำหนดนโยบายให้ชัดเจนตรงกับปัญหา ด้านการสื่อสาร ควรมีวิธีการสื่อสารที่รวดเร็ว ด้านกระบวนการทำงาน ควรจัดให้มีการติดตามและประเมินผล</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267710 พุทธบูรณาการพัฒนาศักยภาพการบริหารงานของผู้บริหารเทศบาล ในจังหวัดพิษณุโลก 2023-09-08T19:48:53+07:00 พระครูปลัดธวัชชัย ธวชฺชยเมธี [email protected] <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาศักยภาพการบริหารงานของผู้บริหารเทศบาล 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อศักยภาพการบริหารงานของผู้บริหารเทศบาล และ 3. เพื่อนำเสนอพุทธบูรณาการเพื่อการพัฒนาศักยภาพการบริหารงานของผู้บริหารเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณดำเนินการโดยการศึกษากลุ่มตัวอย่าง จำนวน 312 คน ทำการสุ่มแบบแบ่งพื้นที่ โดยการจัดแบ่งประชากรเป็นกลุ่มตามเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก ทั้ง 9 อำเภอ ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.966 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการโดยสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 18 รูปหรือคน และสนทนากลุ่มเฉพาะ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 รูปหรือคน เพื่อยืนยันองค์ความรู้หลังจากการสังเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ศักยภาพการบริหารงานของผู้บริหารเทศบาล พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ได้แก่ 1. ด้านความรู้ 2. ด้านทักษะ และ 3. ด้านคุณลักษณะที่พึงประสงค์โดยภาพรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อศักยภาพการบริหารงานของผู้บริหารเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก พบว่า 1. กระบวนการบริหาร และ 2. หลักไตรสิกขา 3. พุทธบูรณาการเพื่อการพัฒนาศักยภาพการบริหารงานของผู้บริหารเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก ประกอบด้วย หลักไตรสิกขา ได้แก่ ด้านศีล สมาธิ และปัญญา</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267435 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อการบริหารจัดการการฝึกอบรมเยาวชนของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ 2023-09-05T16:20:55+07:00 ศิริภัสสร ปิยนันทวารินทร์ [email protected] บุญทัน ดอกไธสง [email protected] เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพทั่วไปของการจัดการอบรมเยาวชน 2. ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการจัดอบรมเยาวชน 3. นำเสนอรูปแบบการบูรณาการหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในการบริหารจัดการ โดยการศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลการวิจัยภาคสนามจากกลุ่มนักวิชาการพระพุทธศาสนา สถานพินิจฯ กลุ่มเยาวชนผู้แทน กลุ่มวิชาการ กลุ่มศูนย์ประชาประดีกรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกลุ่มนักวิชาการรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 25 คน ผู้เข้าร่วมการสนทนาเฉพาะกลุ่ม 9 ท่าน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. กระบวนการจัดการฝึกอบรมเยาวชนใช้กระบวนการ PDCA เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการ ใช้มาตรการอย่างเป็นระบบผ่านการวางแผนการฝึกอบรมเยาวชนเพื่อพัฒนาความสามารถและประสิทธิภาพของการฝึกอบรมเยาวชนในทุกขั้นตอน 2. การนำ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ที่เน้นความมีสมาธิ ความเพียร เป็นสำคัญ การบูรณาการการจัดการกับการฝึกอบรมเยาวชนอย่างมีวิริยะอุตสาหะสามารถเติบโตและพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตอันเป็นประโยชน์ต่อเยาวชนและสังคม และ 3. รูปแบบที่รวมหลักธรรมทางพุทธศาสนาเข้ากับศาลเยาวชนและการฝึกอบรมเยาวชน ควรทำงานร่วมกันในทุกขั้นตอน ฝึกอบรมเยาวชนอย่างมีประสิทธิภาพและมีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะและความเข้าใจด้านศีลธรรมของเยาวชนทั่วทั้งจังหวัด</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267834 หลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดราชบุรี 2023-09-11T13:19:03+07:00 วีนัส ธรรมสาโรรัชต์ [email protected] เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง [email protected] สุรพล สุยะพรหม [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 2. เพื่อนำเสนอหลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดราชบุรี ดำเนินการวิธีวิจัยแบบผสานวิธีโดยการวิจัยเชิงปริมาณแจกแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างจำนวน 181 คนและเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 18 รูปหรือคน โดยใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน (Multiple Regression Analysis) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดราชบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> =4.80, S.D.= 0.61) เรียงลำดับได้ดังนี้ 1. การพัฒนาตนเองทางวิชาชีพ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในระดับองค์กรและระดับเครือข่าย 2. มีจิตวิญญาณความเป็นครู แสวงหาความรู้ มุ่งมั่นในการทำงานเพื่อให้สัมฤทธิ์ผล มีจิตวิญญาณความเป็นครูเพื่อประโยชน์ต่อลูกศิษย์ 3. ศักยภาพในการจัดการเรียนการสอน มีความรู้ ความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแบบร่วมมือ 4. ความรู้ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยสามารถใช้โปรแกรมเพื่อสร้างสื่อดิจิทัลได้อย่างดี สร้างสรรค์ และมีจริยธรรม และ 5. ทักษะในการปฏิบัติหน้าที่โดยมีทักษะในการทำงานเป็นทีม การแก้ไขปัญหา การสื่อสารกับผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน 2. หลักพุทธธรรมเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดราชบุรี มีความสัมพันธ์ดังนี้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทั้ง 5 ด้าน โดยนำหลักพุทธธรรมได้แก่ ไตรสิกขา เข้ามาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย 1. ศีล พฤติกรรม โดยประพฤติ ปฏิบัติในทางที่ดีทั้งทางกาย วาจา และใจ 2. สมาธิ จิตใจมุ่งมั่น โดยปฏิบัติงานโดยเอาใจฝักใฝ่ตรวจสอบผลงานอยู่เสมอ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอดทน 3. ปัญญา องค์ความรู้ โดยมีสติและแก้ไขโดยใช้หลักเหตุผล ปฏิบัติขัดเกลากิเลสลดความโลภ โกรธ หลง</p> <p> </p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267978 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลการบริหารงบประมาณด้านการศึกษาโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ 2023-09-19T10:43:04+07:00 วันเพ็ญ วัฒนกูล [email protected] บุญทัน ดอกไธสง [email protected] พิเชฐ ทั่งโต [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาประสิทธิผลการบริหารงบประมาณ เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงบประมาณ และเพื่อศึกษาการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลการบริหารงบประมาณด้านการศึกษา โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 200 คน เครื่องมือได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงพรรณนาและเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิผลการบริหารงบประมาณด้าน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับได้ดังนี้ ด้านการผลิต ด้านประสิทธิภาพ ด้านการพัฒนา ด้านการปรับเปลี่ยน และด้านความพึงพอใจ 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงบประมาณ พบว่า กระบวนการบริหารจัดการ และหลักอิทธิบาท 4 ส่งผลต่อประสิทธิผลการบริหารงบประมาณ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 3. การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลการบริหารงบประมาณด้านการศึกษา โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มเขตกรุงธนใต้ โดยมีประสิทธิผลการบริหารงบประมาณ ประกอบด้วย การผลิต ประสิทธิภาพ ความพึงพอใจ การปรับเปลี่ยน และการพัฒนา โดยนำหลักอิทธิบาท 4 เข้ามาบูรณาการทั้งฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา และนำหลักการบริหารจัดการ PDCA มาบริหารเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลการบริหารงบประมาณ ทั้งการวางแผน การปฏิบัติงานตามแผน การตรวจสอบ การปรับปรุงงาน เพื่อให้เกิดการบริหารแบบครบวงจร</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/268063 การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลา 2023-09-27T23:42:09+07:00 ภัคชุดา พูนสุวรรณ [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการท่องเที่ยวชุมชนเชิงบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลา 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวชุมชนเชิงบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลา และ 3. การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลา การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ในการวิจัยเชิงปริมาณ ได้ใช้แบบสอบถามค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.927 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 395 คน โดยสุ่มตัวอย่างจากประชากรทั้งหมด 31,459 คน จากสูตรของทาโร่ ยามาเน่ และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน และการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 9 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การท่องเที่ยวชุมชนเชิงบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวชุมชนเชิงบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลา 1. การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว 2 ด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 2. หลักสัปปายะ 3 ด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย 3. การประยุกต์หลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลาทั้ง 3 ด้านคือ 1. การบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีประสิทธิภาพ 2. การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ 3. การเชื่อมโยงผลประโยชน์การท่องเที่ยวให้กับชุมชนต่าง ๆ โดยประยุกต์กับหลักสัปปายะ 4 และมีการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวทั้ง 4 ด้าน เป็นพื้นฐานในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนเชิงบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสงขลาให้ประสบความสำเร็จ</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/268028 การส่งเสริมการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองของสำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้งที่มีผลต่อการใช้สิทธิออกไปเลือกตั้งของประชาชนกรุงเทพมหานคร 2023-09-23T10:19:51+07:00 พระครูศรีปริยัติยาภิมณฑ์ (นพพล เขมนโว) [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. สภาพการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชน 2. ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีผลต่อการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และ 3. รูปแบบการส่งเสริมการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีผลต่อการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามหลักสัปปุริสธรรม เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน จากประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 17 รูปหรือคน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชน พบว่า ประชาชนตระหนักก่อนที่จะตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งว่าการเป็นนักการเมืองจะต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละ และยึดถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง 2. ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีผลต่อการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 3. รูปแบบการส่งเสริมการรับรู้ข่าวสารทางการเมืองจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่มีผลต่อการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามหลักสัปปุริสธรรม การมีเสรีภาพของสื่อทำให้การรับรู้ข่าวสารทางการเมืองของประชาชน ออกนอกกรอบมากขึ้นโดยเฉพาะการศึกษาที่ผ่านโซเชียลมีเดีย อันเป็นสื่อที่มีความทันสมัยและรวดเร็วสามารถนำมาประยุกใช้ในชีวิตประจำวันได้</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267692 การบูรณาการพุทธธรรมาภิบาลเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของบุคลากรเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก 2023-09-08T19:55:26+07:00 พระปลัดพิพัฒน์พงษ์ ภทฺทวํโส [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน 3. เพื่อนำเสนอการบูรณาการพุทธธรรมาภิบาลเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี โดยวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.962 เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือบุคลากรเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 317 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนาและการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 9 รูปหรือคน เพื่อยืนยันองค์ความรู้หลังจากการสังเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก พบว่า 1. สมรรถนะหลักของบุคลากรได้ร้อยละ 74.6 2. หลักพละ 4 ได้ร้อยละ 75.3 3.การบูรณาการหลักพละ 4 คือธรรมอันเป็นกำลังทั้ง 4 ประการนี้เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้บุคลากรหรือผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1. ปัญญาพละ กำลังความรู้ 2. วิริยพละ นำสู่การปฏิบัติ3. อนวัชชพละ ซื่อสัตย์สุจริต และ 4. สังคหพละ มีจิตอาสา โดยนำเอาหลักการสมรรถนะหลักของบุคลากร มาผสานหลักพละ 4 ประกอบด้วย ด้านคุณภาพของงาน ด้านปริมาณงาน ด้านเวลา และ ด้านค่าใช้จ่าย ดังนั้นแล้วส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรมากยิ่งขึ้น</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267762 รูปแบบประสิทธิผลการบริหารจัดการตามแนววิถีชีวิตใหม่ของ โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 2023-09-07T23:19:40+07:00 พระวิมลมุนี (นนทพันธ์ ปภสฺสโร) [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบประสิทธิผลการบริหารจัดการตามแนววิถีชีวิตใหม่ของโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 โดยได้กำหนดวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญด้านการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) รวมจำนวนทั้งสิ้น จำนวน 18 รูปหรือคน ในการวิจัยครั้งนี้ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบประสิทธิผลการบริหารจัดการตามแนววิถีชีวิตใหม่ของโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 การวางแผนบริหารจัดการตามแนววิถีชีวิตใหม่ กระบวนการบริหารจัดการตามคณะสงฆ์และแกนนำชุมชนหมู่บ้านรักษาศีล 5 ได้ร่วมนำเสนอโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต่อยอดจากการดำเนินโครงการ มีการปรับรูปแบบการดำเนินงาน เริ่มวางแผนโครงการ เน้นการมีส่วนร่วมขององค์กรเครือข่าย โดยการประชาสัมพันธ์โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ให้บุคคล หน่วยงานเครือข่ายได้เข้าใจ กระบวนการบริหารจัดการตามคณะสงฆ์และแกนนำชุมชนหมู่บ้านรักษาศีล 5 ได้สะสมผลงานวัด ผลงานชุมชน กิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นผลงานโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ที่เป็นรูปธรรม มีการปรับรูปแบบการดำเนินงาน เพื่อให้สมาชิกชุมชนค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมเข้าร่วมกิจกรรมโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5</p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267868 ธรรมาภิบาลเพื่อการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินของไทย 2023-09-13T06:17:58+07:00 อรัญ พันธุมจินดา [email protected] <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารราชการแผ่นดิน 2. เพื่อศึกษาหลักธรรมาภิบาลที่นำมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน 3. เพื่อนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศไทย โดยพัฒนาจากหลักพุทธธรรมาภิบาลนำมาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 25 รูปหรือคนทำการวิเคราะห์ข้อมูลวิธีการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบทและการวิเคราะห์เปรียบเทียบ และการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 9 รูปหรือคน เพื่อยืนยันองค์ความรู้หลังจากการสังเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า หลักธรรมาภิบาลที่นำมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินของประเทศไทย ได้แก่ 1. นำหลักธรรมาภิบาลหรือหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างจริงจังและเด็ดขาด 2. ปรับหลักเกณฑ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉินให้มีความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์บ้านเมือง 3. พัฒนาคุณภาพให้ได้มาตรฐานตามที่ประชาชนต้องการ มีความโปร่งใส 4. การกำหนดนโยบายอย่างมีวิสัยทัศน์ มีบังคับใช้กฎหมายที่ให้ความเสมอภาคและเป็นธรรม 5. การบริหารแบบพหุภาคี 6. มีการสื่อสารที่ชัดเจน เปิดเผยกับประชาชน 7. พัฒนากฎหมายที่เอื้อให้เกิดการบริหารขับเคลื่อนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเที่ยงตรง เที่ยงธรรม และยุติธรรม 8. การพัฒนา Application เพื่อให้รัฐบาลสามารถเข้าถึงการให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและการเข้าถึงประชาชนอย่างแท้จริง</p> <p> </p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/267722 การส่งเสริมจิตสำนึกวิถีประชาธิปไตยของประชาชน ในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี 2024-04-04T21:35:46+07:00 พระใบฎีกากรณ์พัฒน์ กนฺตวณฺโณ [email protected] สุมาลี บุญเรือง [email protected] สุรพล สุยะพรหม [email protected] <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับการส่งเสริมจิตสำนึกวิถีประชาธิปไตย 2. เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการส่งเสริม จิตสำนึกวิถีประชาธิปไตย โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3. เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการส่งเสริมจิตสำนึกวิถีประชาธิปไตยของประชาชนใน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีค่าความ เชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.663 ประชากรคือประชาชนในเขตอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และสุ่มตัวอย่าง โดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ ได้ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 399 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที และการทดสอบค่าเอฟ และวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคนิควิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการส่งเสริมจิตสำนึกวิถีประชาธิปไตยของประชาชนในอำเภอบางกรวย อยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{x}" /> = 3.86) 2. การเปรียบเทียบการส่งเสริมจิตสำนึกวิถีประชาธิปไตยของประชาชนในอำเภอบางกรวย โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ประชาชนที่มีเพศ และอาชีพต่างกัน มีการส่งเสริมจิตสำนึกวิถีประชาธิปไตย ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนประชาชนที่มีอายุ และระดับการศึกษาต่างกัน มีการส่งเสริมจิตสำนึกวิถีประชาธิปไตย แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3. แนวทางการพัฒนาการส่งเสริมจิตสำนึกวิถีประชาธิปไตยของประชาชนในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี โดยการประยุกต์หลักพุทธธรรม พบว่า 1. ด้านความรับผิดชอบและพึ่งพาตนเอง มีการประยุกต์สมัยเก่าให้สามารถเข้ากับสมัยใหม่ได้ 2. ด้านเคารพความเสมอภาค คือ ประชาชนทุกคนควรมีส่วนช่วยในการส่งเสริมจิตสำนึกประชาธิปไตย และ 3. ด้านปัญหาและอุปสรรค คือ ประชาชนต้องให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ภายในชุมชน ภาครัฐต้องเข้าไปร่วมส่งเสริมจิตสำนึกประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นภายในชุมชน</p> <p> </p> 2024-05-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์