https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/issue/feed วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ 2025-02-22T02:28:04+07:00 พระปลัดระพิน พุทฺธิสาโร journal.idir@mcu.ac.th Open Journal Systems <p><strong> วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์</strong> เลขมาตรฐานสากล ISSN: 2773-9910 (Print)<strong> </strong>ISSN 2774-0846 (Online) เป็นวารสารที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ประกอบด้วย พระพุทธศาสนา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ การจัดการ และสหวิทยาการอื่นๆที่นำเสนอองค์ความรู้เชิงนวัตกรรม เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277688 วิกฤตของพระสงฆ์ : ศึกษาผู้ใช้อำนาจทางการเมือง ครอบงำปิดกั้นกิจของสงฆ์ 2025-02-11T07:07:29+07:00 พระจอม มหาปญฺโญ phrabidicxmm@gmail.com กัญจน์ณัฏฐ์ พฤฒยางกูร kbridhyankura@gmail.com จักรวาล เหมือนแจ่ม research0027@gmail.com <p>บทความนี้นำเสนอเกี่ยวกับวิกฤตของพระสงฆ์เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของประชาชนในบริบทของการเมืองและการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม ที่ปิดกันการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของพระสงฆ์ แต่ให้นิยามว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในเรื่องการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่จำกัดในเรื่องบทบาทของพระสงฆ์ต่อการเมือง โดยให้คำสำคัญว่า “ไม่ใช่กิจของสงฆ์” แต่ในสิทธิในเรื่องอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขอความอนุเคราะห์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการเมือง ยังคงนิยามให้พระสงฆ์เป็นผู้นำจิตวิญญาณของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ทำให้พระสงฆ์ต้องปฏิบัติตามทางของทรราชผู้นำทางการเมืองที่ปิดหูปิดตาของพระสงฆ์ และชักจูงผู้นำทางศาสนาต่าง ๆ ให้ชี้นำประชาชนไปตามนโยบายของตน ในการนี้เพื่อผลประโยชน์ของทรราชเท่านั้นเอง การควบคุมนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของพระสงฆ์ แต่ยังทำให้เกิดความขัดแย้งภายในสังคมที่ต้องการเสียงของผู้นำจิตวิญญาณเพื่อชี้นำในช่วงเวลาที่สำคัญ การจำกัดบทบาทของพระสงฆ์ในทางการเมืองจึงกลายเป็นประเด็นที่ต้องถูกพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและชี้นำประชาชนอาจมีผลต่อทิศทางของสังคมโดยรวมในอนาคต</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276138 ความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคล: เปรียบเทียบตามประมวลกฎหมายอาญาของไทยกับต่างประเทศ 2024-11-18T10:44:52+07:00 พระครูภาวนาโชติคุณ (กุ้ยไฮ้ ชุตินฺธโร) thanawatyothajan@gmail.com พระครูโกศลธรรมานุสิฐ (ประสิทธิ์ อโสโก) sathaphorn.mana@mcu.ac.th <p>บทความนี้เป็นการศึกษาถึงข้อมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการของแนวคิดในการรับผิดทางอาญาของนิติบุคคล ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในหลายประเทศที่ตระหนักถึงความสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมขององค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะในบริบทที่องค์กรเหล่านี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง การบังคับใช้มาตรการทางอาญาต่อองค์กรช่วยสร้างความเชื่อมั่นในระบบกฎหมาย ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดกับสาธารณะ และเพิ่มความยุติธรรมในการดำเนินคดีเพื่อให้สอดคล้องกับบทบาทของนิติบุคคลที่มีต่อสังคมปัจจุบัน การศึกษาเปรียบเทียบแนวทางการลงโทษนิติบุคคลระหว่างประเทศแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างด้านวิธีการและระดับความเข้มงวดในการลงโทษ ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากโทษปรับที่สอดคล้องกับสถานะการเงินของนิติบุคคลแล้ว ยังมีมาตรการคุมประพฤติ การริบทรัพย์สิน และการลงโทษในรูปแบบอื่น ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขและชดใช้ความเสียหายที่องค์กรได้ก่อขึ้น ในบางกรณี อาจมีการแจ้งเตือนต่อสาธารณะหรือการให้บริการสังคมเพิ่มเติมซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับการรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร ส่วนในฝรั่งเศส การปรับประมวลกฎหมายอาญาฉบับ ค.ศ. 1992 ได้กำหนดความรับผิดชัดเจนที่แยกระหว่างนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา โดยมีอัตราโทษที่สูงขึ้นสำหรับนิติบุคคลซึ่งช่วยสร้างแรงจูงใจให้องค์กรปฏิบัติตามกฎหมายและป้องกันการกระทำผิดซ้ำ สำหรับราชอาณาจักรไทย แม้ยังไม่มีบทบัญญัติที่ระบุความรับผิดของนิติบุคคลในประมวลกฎหมายอาญาโดยตรง แต่มีกฎหมายเฉพาะที่กำหนดโทษเป็นหลัก เช่น โทษปรับ ทำให้ขาดเครื่องมือทางกฎหมายในการบังคับใช้ที่เข้มแข็งเมื่อเทียบกับต่างประเทศ การปรับปรุงแนวทางการลงโทษให้ครอบคลุมมากขึ้นอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมและป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนิติบุคคล</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277107 ความเสมอภาคทางสังคมตามระบอบประชาธิปไตย : วิเคราะห์เชิงปรัชญาเซ็น 2025-02-02T10:19:46+07:00 พระมหาวรวัฒน์ อภินนฺโท (วิชัย) wichaiworrawat@gmail.com <p>บทความนี้วิเคราะห์แนวคิด ความเสมอภาคทางสังคมภายใต้กรอบของระบอบประชาธิปไตยโดยใช้แนวคิดจากปรัชญาเซ็นเป็นเครื่องมือในการตีความและขยายความเข้าใจเกี่ยวกับการดำรงอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลายทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ปรัชญาเซ็นเน้นการมองโลกอย่างตรงไปตรงมา การใช้ความรู้สึกสำนึกภายใน และการปล่อยวางจากการตัดสินในรูปแบบของความคิดที่เป็นนามธรรม ที่ได้ศึกษาแนวคิดเซ็นที่มุ่งเน้นไปที่การตระหนักรู้และการปลดปล่อยจากการจำกัดกรอบความคิด เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนเห็นถึงความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน โดยไม่แยกแยะความแตกต่างในแง่ของสถานะทางสังคมการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างปรัชญาเซ็นและแนวคิดความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตยชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างการบรรลุ “ความเป็นหนึ่งเดียว” (Oneness) และการสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและเสมอภาคทางสังคม แนวคิดเซ็นจึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเสริมสร้างมุมมองใหม่ในการเข้าใจและดำเนินการต่อความเสมอภาคในสังคมประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้งและสมดุล เสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยงผู้คนให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคในสังคมที่มีความผาสุก</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276545 แนวทางการส่งเสริมเยาวชนในยุคโลกาภิวัตน์ของนักการเมืองท้องถิ่น 2025-01-06T13:21:08+07:00 สัภยา ขาวหมื่นไวย์ somboonkh2500@gmail.com พระอธิการประเสริฐ ปญฺญาวโร prasroed.pla@stu.mcu.ac.th <p>บทความนี้นำเสนอความคิดเห็นของเยาวชนไทยต่อสถานะของนักการเมืองท้องถิ่นในยุคโลกาภิวัตน์ โดยจะกล่าวถึงแนวคิดเกี่ยวกับการกระจายอำนาจ บทบาทและหน้าที่ของนักการเมืองท้องถิ่น ปัญหาทางการเมืองท้องถิ่น รวมถึงแนวทางการแก้ปัญหาทั้งนี้เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยบริหารพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ยุคโลกาภิวัตน์ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิทัศน์ทางการเมืองของหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ด้วยการเชื่อมโยงและการพึ่งพากันระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น นักการเมืองท้องถิ่นจึงต้องเผชิญกับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ในบทความนี้เราจะตรวจสอบสถานะของเยาวชนไทยในบทบาทของนักการเมืองท้องถิ่นในยุคโลกาภิวัตน์ การมีส่วนร่วมของเยาวชนไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างความเข้าใจในระบบการเมือง แต่ยังสามารถนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการและปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วมของเยาวชนในกระบวนการตัดสินใจจะส่งผลต่อทิศทางและนโยบายที่พัฒนาขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277133 การสร้างจิตสำนึกวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชน ในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย 2025-01-29T10:16:37+07:00 ฉันทณา โพธาราม samreungrachawang@gmail.com <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสร้างจิตสำนึกวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนของสังคม ไม่จำกัดเพียงหน่วยงานภาครัฐ แต่รวมถึงสถาบันครอบครัว การศึกษา และชุมชน การสร้างจิตสำนึกทางการเมืองเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการบูรณาการด้านการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย เพื่อปลูกฝังความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ และบทบาทของประชาชนในฐานะพลเมืองที่ดี การศึกษานี้มุ่งเน้นการเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองที่มีรากฐานจากหลักการประชาธิปไตย โดยปลูกฝังให้ประชาชนรู้จักการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างสันติและสร้างสรรค์ รวมถึงการพัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์และวิจารณ์ด้วยเหตุผล โดยเน้นถึงความจำเป็นในการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกระดับเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง เพื่อให้เกิดความตระหนักรู้ถึงอำนาจและบทบาทของตนเองในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชนสามารถแสดงออกผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเลือกตั้ง การแสดงความคิดเห็น และการเข้าร่วมกระบวนการประชาพิจารณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนระบบการเมืองให้มีเสถียรภาพ ดังนั้น การสร้างจิตสำนึกวัฒนธรรมทางการเมืองเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืน โดยต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างหน่วยงานรัฐและภาคประชาชน เพื่อให้เกิดความสมดุลและความมั่นคงทางการเมืองในระยะยาว </p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276220 ความยุติธรรม: ศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดตะวันตก กับพระพุทธศาสนาเถรวาท 2024-11-22T12:18:36+07:00 พระอธิการจาลึก สญฺญโต thanawatyothajan@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบแนวคิดเรื่องความยุติธรรมในมุมมองตะวันตกและพระพุทธศาสนาเถรวาท โดยในแนวคิดตะวันตก ความยุติธรรมมีรากฐานจากเรื่องเล่าในตำนานเทพี Themis ซึ่งสะท้อนถึงการสร้างกฎหมายและคุณธรรม และพัฒนาต่อมาเป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เช่น สุภาษิตกฎหมาย หลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ และแนวคิดทางกฎหมายที่เที่ยงตรงและชอบธรรม ขณะที่ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ความยุติธรรมเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามธรรมะ ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติที่ค้นพบโดยพระพุทธเจ้า เน้นความเสมอภาค ความถูกต้อง และความเป็นธรรมในสังคม แนวคิดทั้งสองมุ่งสร้างสมดุลในสังคมผ่านการพิจารณาความจริงและการปฏิบัติที่เที่ยงธรรม บทความนี้แสดงให้เห็นว่า แนวคิดเรื่องความยุติธรรมทั้งสองแบบ แม้มีต้นกำเนิดและวิธีการนำเสนอที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายร่วมกัน คือ การสร้างสังคมที่สงบสุขและเป็นธรรม ทั้งยังสามารถประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมในบริบทปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276333 การศึกษาเปรียบเทียบสภาพความเป็นมนุษย์ตามกฎหมายอาญาของไทยและต่างประเทศ 2024-11-26T16:22:26+07:00 พระครูชินวีรบัณฑิต (เอก ชินวํโส) thanawatyothajan@gmail.com พระครูภาวนาโชติคุณ (กุ้ยไฮ้ ชุตินฺธโร) thanawatyothajan@gmail.com <p>บทความนี้ประสงค์เพื่อเปรียบเทียบแนวคิดและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเริ่มต้นสภาพความเป็นมนุษย์ตามกฎหมายอาญาของไทยและต่างประเทศ โดยวิเคราะห์เกณฑ์การกำหนดจุดเริ่มต้นของสภาพความเป็นมนุษย์และการคุ้มครองชีวิตในแต่ละบริบทที่สะท้อนถึงความแตกต่างทางกฎหมายและวัฒนธรรม ประเทศไทยกำหนดให้สภาพบุคคลเริ่มต้นเมื่อทารกคลอดจากครรภ์มารดาอย่างสมบูรณ์และมีชีวิตรอด โดยไม่พิจารณาปัจจัยทางกายภาพ เช่น การหายใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต หรือการตัดสายสะดือ ซึ่งแสดงถึงการมุ่งเน้นการพิจารณาข้อเท็จจริงเชิงกายภาพและสิทธิของบุคคลที่สามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระ อังกฤษ ใช้หลักเกณฑ์ที่พิจารณาว่าทารกสามารถดำรงชีวิตได้อย่างอิสระหลังคลอด รวมถึงการทำงานของระบบหมุนเวียนโลหิตหรือการหายใจ เหมือนกับเครือรัฐออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งพิจารณาความสามารถของทารกในการดำรงชีวิตโดยไม่พึ่งพาร่างกายมารดา ส่วนแคนาดามีหลักเกณฑ์ที่เน้นการตรวจสอบทางการแพทย์ เช่น การแลกเปลี่ยนออกซิเจนในปอดหรือหลักฐานที่บ่งบอกว่าทารกมีชีวิต แม้ไม่คำนึงถึงการหายใจหรือการตัดสายสะดือ ในสหรัฐอเมริกา หลักเกณฑ์แตกต่างกันในแต่ละมลรัฐ บางมลรัฐยังยึดหลักการเกิดมามีชีวิต (Born Alive) ซึ่งพิจารณาว่าทารกมีระบบหมุนเวียนโลหิตหรือการหายใจอิสระ ในขณะที่นิวยอร์ก ได้คุ้มครองสิทธิของตัวอ่อนในครรภ์อายุตั้งแต่ 24 สัปดาห์ขึ้นไป ผลการศึกษาชี้ให้เห็นความหลากหลายในเกณฑ์การกำหนดสภาพความเป็นมนุษย์ที่มีปัจจัยวัฒนธรรม ระบบกฎหมาย และความก้าวหน้าทางการแพทย์เป็นตัวแปรสำคัญ</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276465 วิเคราะห์แนวคิดทางปรัชญาการเมืองของโสเครตีส 2024-12-15T06:37:53+07:00 สัภยา ขาวหมื่นไวย์ somboonkh2500@gmail.com <p>บทความนี้นำเสนอการวิเคราะห์แนวคิดปรัชญาการเมืองของโสเครตีสนักปรัชญชาวกรีก โสเครตีสนี้มีความกังวลเรื่องความตายที่โสเครตีสได้รับกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและก่อให้เกิดกระบวนทัศน์ใหม่ภายในปรัชญาการเมืองของกรีกโบราณ ซึ่งครอบคลุมหลักคำสอนทางการเมืองของเพลโตซึ่งมุ่งเน้นที่ความรู้ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว สาระสำคัญที่แยกออกจากกันของอาณาจักรทางจิตวิทยา และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างความคิดเชิงเหตุผล กับขอบเขตของอารมณ์ ความปรารถนา และความรู้สึกที่มีบทบาทในการกำหนดพฤติกรรมในการแยกแยะระหว่างอำนาจและประชาชน รวมถึงผลกระทบ ในยุคกลางของศาสนาคริสต์ มีการวิเคราะห์ทางเทววิทยาเกี่ยวกับการพลีชีพและการแบ่งแยกดินแดนระหว่างอาณาจักรทางโลกและอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ การสำรวจแนวคิดเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงการพัฒนาของปรัชญาการเมืองในยุคต่อมา และวิธีที่ความเชื่อทางศาสนาได้มีอิทธิพลต่อการสร้างระบบการปกครองและการบริหารจัดการภายในสังคม การวิเคราะห์นี้ยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างปรัชญาการเมืองของโสเครตีสกับแนวคิดทางการเมืองในยุคหลัง เช่น แนวคิดประชาธิปไตยและอำนาจนิยม ที่มีผลต่อวิธีการปกครองที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา เป็นต้น</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276305 ความผิดทางอาญาฐานยุยงให้ผู้อื่นฆ่าตัวตาย : เปรียบเทียบ ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทยกับต่างประเทศ 2024-11-26T16:06:52+07:00 พระครูภาวนาโชติคุณ (กุ้ยไฮ้ ชุตินฺธโร) thanawatyothajan@gmail.com <p>การศึกษานี้ วิเคราะห์เปรียบเทียบกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการยุยงให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายในราชอาณาจักรไทยและต่างประเทศ โดยชี้ให้เห็นวิวัฒนาการทางกฎหมายและมุมมองทางสังคมที่แตกต่างกัน ในราชอาณาจักรไทย การฆ่าตัวตายไม่ถือเป็นความผิด แต่การยุยงหรือช่วยเหลือให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายถือเป็นความผิดตามมาตรา 293 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกฎหมายของสหภาพโซเวียต โดยปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทไทย เช่น การคุ้มครองเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี โดยเฉพาะในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ อดีตเคยถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นอาชญากรรม แต่ได้ยกเลิกในปี ค.ศ. 1961 โดยมีกฎหมายกำหนดให้การยุยงหรือช่วยเหลือให้ฆ่าตัวตายเป็นความผิดเฉพาะ สหรัฐอเมริกา มีแนวทางแตกต่างกันในแต่ละรัฐ บางรัฐถือว่าเป็นความผิดฐานฆ่าคนตาย บางรัฐมองว่าไม่เป็นความผิด ส่วนสาธารณรัฐฝรั่งเศส การฆ่าตัวตายถือเป็นเสรีภาพส่วนบุคคล และไม่มีบทลงโทษการยุยง ยกเว้นในกรณีเกี่ยวกับผู้เยาว์หรือบุคคลที่ไม่สามารถตัดสินใจเองได้ สหพันธรัฐสวิส เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เนื่องจากกำหนดโทษเฉพาะในกรณีที่การยุยงหรือช่วยเหลือมีเจตนาแสวงหาประโยชน์ส่วนตน ขณะที่การกระทำด้วยเหตุผลไม่เห็นแก่ตัว เช่น ความสงสาร จะไม่ถือเป็นความผิด กฎหมายดังกล่าวสะท้อนแนวคิดเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจและความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลและความรับผิดชอบต่อสังคม ผลการศึกษาชี้ว่า แม้แต่ละประเทศจะมีมุมมองต่อการฆ่าตัวตายแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า การยุยงหรือช่วยเหลือให้ฆ่าตัวตายเป็นความผิด ด้วยเหตุผลทางศีลธรรมและความจำเป็นในการคุ้มครองชีวิตมนุษย์ การศึกษาเน้นความสำคัญของการพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276123 หลักเกณฑ์เกี่ยวกับความแตกต่างของความผิดทางอาญา และความผิดทางปกครอง 2024-11-18T10:33:33+07:00 พระครูโกศลธรรมานุสิฐ (ประสิทธิ์ อโสโก) sathaphorn.mana@mcu.ac.th พระอธิการจาลึก สญฺญโต thanawatyothajan@gmail.com <p>บทความนี้กล่าวถึงแนวความคิดในการแบ่งประเภทความผิดทางอาญาซึ่งมีพัฒนาการตามบริบทของสังคมและกฎหมาย แนวคิดดั้งเดิมแบ่งความผิดออกเป็นสองประเภทหลัก คือ “Mala in Se” ซึ่งเป็นความผิดที่มีความชั่วร้ายในตัวเองตามธรรมชาติ เช่น การฆ่าและการปล้น ถือเป็นความผิดที่ขัดต่อศีลธรรมและคุณธรรมขั้นพื้นฐาน และ “Mala Prohibita” ซึ่งหมายถึงความผิดที่ถูกกำหนดขึ้นโดยกฎหมาย เช่น การฝ่าฝืนกฎจราจร หรือการกระทำที่ผิดระเบียบโดยทั่วไป ซึ่งไม่ได้เป็นความชั่วร้ายในตัวเอง แต่ถูกห้ามตามกฎหมายเพราะมีผลต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม เมื่อสังคมมีการเปลี่ยนแปลง แนวคิดในการจัดประเภทความผิดก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ปัจจุบันจึงเกิดแนวคิดการแบ่งประเภทใหม่ เช่น “Real Crime” ที่หมายถึงความผิดอาญาแท้ ซึ่งเป็นความผิดที่มีผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง และ “Public Torts” หรือการละเมิดต่อสาธารณะ ซึ่งหมายถึง การกระทำที่ผิดกฎหมายแต่ไม่ได้มีลักษณะร้ายแรง เช่น การทำลายทรัพย์สินสาธารณะ แนวคิดนี้ช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และสามารถพิจารณาถึงบริบทและผลกระทบของการกระทำได้ดียิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน บทความยังได้กล่าวถึงโทษทางปกครอง ซึ่งใช้ลงโทษสำหรับความผิดทางปกครองที่ไม่ร้ายแรง เช่น การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบทางปกครอง หรือจราจร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม มาตรการนี้แตกต่างจากโทษอาญาที่ใช้กับการกระทำที่รุนแรงกว่า เช่น การฆ่าหรือการฉ้อโกง โทษทางปกครองมักอยู่ในรูปแบบของโทษทางการเงิน และอยู่ในอำนาจของหน่วยงานปกครอง ในขณะที่โทษอาญามีลักษณะรุนแรงและมีหลายรูปแบบ เช่น การจำคุกหรือการประหารชีวิต ดังนั้น โทษทางปกครองจึงมีความเบากว่าและมีเป้าหมายที่การรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ขณะที่โทษทางอาญามีเป้าหมายในการลงโทษและป้องปรามการกระทำที่ร้ายแรง</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276473 มาตรการการใช้เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียโดยพระสงฆ์: กฎหมายว่าด้วยการจัดการพระสงฆ์ที่ละเมิดธรรมวินัยในโลกยุคดิจิทัล 2024-12-06T00:27:27+07:00 พระครูชินวีรบัณฑิต (เอก ชินวํโส) thanawatyothajan@gmail.com <p>ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน พระสงฆ์ต้องปรับตัวเพื่อใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ธรรมะและให้คำปรึกษาทางจิตใจแก่พุทธศาสนิกชน การใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook), ยูทูป (YouTube) และ ติ๊กต๊อก (TikTok) ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงประชาชนกลุ่มกว้าง รวมถึงเชื่อมโยงชุมชนพุทธทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีโดยพระสงฆ์ยังมีความเสี่ยง เช่น การละเมิดธรรมวินัย พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และการถูกโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของพระสงฆ์ในสายตาสังคม บทความนี้วิเคราะห์มาตรการที่เหมาะสมสำหรับพระสงฆ์ในการใช้เทคโนโลยีในบริบทดิจิทัล โดยเน้นการออกระเบียบควบคุมการใช้งาน การอบรมเกี่ยวกับธรรมวินัยในโลกออนไลน์ การตรวจสอบพฤติกรรม และการลงโทษในกรณีที่ฝ่าฝืน มหาเถรสมาคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดแนวทางปฏิบัติ ขณะที่กฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มีส่วนช่วยเสริมสร้างการกำกับดูแล นอกจากนี้ การสนับสนุนจากรัฐและประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างการปฏิบัติธรรมที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน มาตรการดังกล่าวมุ่งรักษาความบริสุทธิ์แห่งธรรมวินัย พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนาในสังคมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276681 การเคลื่อนไหวทางการเมืองของชนชั้นรากหญ้า กับทิศทางประชาธิปไตยในอนาคต 2024-12-25T23:39:59+07:00 จักรวาล เหมือนแจ่ม research0027@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์บทบาทของชนชั้นรากหญ้าในกระบวนการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยพิจารณาผ่านกรอบแนวคิดการเมืองภาคประชาชน (Grassroots Politics) และทฤษฎีการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation Theory) ชนชั้นรากหญ้า ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน และชุมชนท้องถิ่น ได้แสดงบทบาทสำคัญในฐานะกลไกที่ช่วยผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและสร้างสมดุลในโครงสร้างอำนาจ การรวมกลุ่ม การเรียกร้องสิทธิ์ และการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเป็นลักษณะเด่นของการเคลื่อนไหวของชนชั้นรากหญ้า ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงความตื่นตัวทางการเมือง แต่ยังเผยให้เห็นถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่พวกเขาต้องเผชิญ นำเสนอกรณีศึกษาการเคลื่อนไหวของเกษตรกรผู้เรียกร้องสิทธิในที่ดิน แรงงานที่ประท้วงค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม และชุมชนท้องถิ่นที่ต่อต้านโครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเคลื่อนไหวเหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย เช่น การปรับปรุงค่าจ้างขั้นต่ำ การจัดสรรที่ดินทำกิน และการพัฒนาสวัสดิการสังคม ทั้งนี้ แม้ชนชั้นรากหญ้าจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างประชาธิปไตย แต่พวกเขายังคงเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ ข้อจำกัดของสถาบันการเมือง และการแทรกแซงจากอำนาจรัฐ บทความยังชี้ให้เห็นถึงทิศทางประชาธิปไตยในอนาคต โดยเน้นความสำคัญของการสนับสนุนชนชั้นรากหญ้าผ่านการกระจายอำนาจ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ และการให้การศึกษาเพื่อเสริมสร้างความตระหนักในสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง ข้อเสนอแนะเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนซึ่งครอบคลุมและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนทุกกลุ่ม ไม่เพียงนำเสนอภาพรวมของการเคลื่อนไหวของชนชั้นรากหญ้าในบริบทการเมืองไทยยุคใหม่ แต่ยังเน้นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนในฐานะพลังหลักที่สามารถผลักดันประชาธิปไตยไทยไปสู่ความยั่งยืนในอนาคต</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276398 อาบัติ วินัยเรื่องของพระ ในทัศนะการลงโทษทางอาญา 2024-12-06T00:24:49+07:00 พระอธิการจาลึก สญฺญโต thanawatyothajan@gmail.com พระครูชินวีรบัณฑิต (เอก ชินวํโส) thanawatyothajan@gmail.com <p>อาบัติในพระพุทธศาสนาหมายถึงการละเมิดกฎเกณฑ์ของสงฆ์ที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติไว้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมสงฆ์ และสร้างความศรัทธาแก่คฤหัสถ์ การศึกษาครั้งนี้วิเคราะห์อาบัติในบริบทของทัณฑวิทยา โดยเน้นสองมิติหลัก ได้แก่ การลงโทษเพื่อข่มขู่ยับยั้ง และการแก้ไขฟื้นฟู ซึ่งมีเป้าหมายและวิธีการที่แตกต่างกัน มิติการข่มขู่ยับยั้งเน้นการสร้างความเกรงกลัวผ่านการกำหนดบทบัญญัติที่ชัดเจน เช่น การตำหนิในที่สาธารณะ และการลงโทษตามกฎของสงฆ์ เพื่อให้ผู้กระทำผิดหลาบจำและลดพฤติกรรมการกระทำผิดซ้ำ ในขณะที่มิติการแก้ไขฟื้นฟูมุ่งเน้นการปรับปรุงพฤติกรรมของผู้กระทำผิด โดยใช้การสอนธรรมะ การให้ความรู้ในพระวินัย และการเจริญสติ สมาธิ และปัญญา เพื่อแก้ไขปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการกระทำผิด ผลการศึกษาพบว่า อาบัติสามารถแบ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการละเมิดได้เป็น 3 ด้าน ได้แก่ การขาดความละอาย การขาดความรู้เกี่ยวกับพระวินัย และการขาดสติหรือสมาธิ แนวทางการป้องกันที่มีประสิทธิภาพคือการจัดการศึกษาและฝึกฝนพระภิกษุในด้านดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้และลดแนวโน้มการกระทำผิด โดยเฉพาะในกลุ่มปุถุชนที่ยังไม่ได้บรรลุธรรม ขณะที่พระอเสขะที่เป็นพระอรหันต์จะไม่มีแนวโน้มการกระทำผิดเนื่องจากละกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ทั้งนี้การจัดการอาบัติตามพระวินัยมิได้สะท้อนการลงโทษในเชิงบังคับที่สร้างความเจ็บปวด แต่เป็นการตำหนิและฟื้นฟูเพื่อให้พระภิกษุสามารถพัฒนาตนเองให้กลับมาสู่ความบริสุทธิ์ การวิเคราะห์ผ่านกรอบทัณฑวิทยาแสดงให้เห็นมุมมองที่สมดุลระหว่างการป้องปรามและการแก้ไขพฤติกรรมในเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของพระพุทธศาสนาและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทสังคมร่วมสมัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276137 อิทธิพลของระบอบประชาธิปไตยกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 2024-12-11T00:03:19+07:00 พระเทพวชิรโกศล (เทพธีรวงศ์ ขันติโก) thanawatyothajan@gmail.com วรพรรณ จันทรากุลศิริ sathaphorn.mana@mcu.ac.th พระครูธรรมธรสฐาพร ปภสฺสโร thanawatyothajan@gmail.com <p>พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สะท้อนถึงการบูรณาการแนวคิดประชาธิปไตยเข้าสู่โครงสร้างการปกครองของคณะสงฆ์ในประเทศไทย โดยในช่วงต้นของการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้ในการกำกับดูแลและจัดการคณะสงฆ์ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดประชาธิปไตยที่เริ่มเป็นที่ยอมรับและขยายตัวในสังคมไทยในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบของระบอบประชาธิปไตยที่มีต่อโครงสร้างการปกครองของคณะสงฆ์ผ่านพระราชบัญญัติฉบับนี้ โดยพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างการบริหารที่มีความเป็นระบบ การกระจายอำนาจในการบริหารจากระดับสูงสู่ระดับท้องถิ่น และการปรับตัวของคณะสงฆ์ให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงแนวทางการกำหนดบทบาทของคณะสงฆ์ในการดำเนินงานให้สอดคล้องกับบทบาทของผู้นำทางศาสนาและการมีส่วนร่วมของพระสงฆ์ในแต่ละระดับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 ส่งผลให้เกิดการกำหนดโครงสร้างการบริหารที่ชัดเจน มีการแต่งตั้งตำแหน่งทางสงฆ์อย่างมีระบบ การกระจายอำนาจส่งเสริมให้คณะสงฆ์ในแต่ละภูมิภาคสามารถดำเนินการตามบริบทของตน และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้รวดเร็วขึ้น แนวคิดประชาธิปไตยยังผลักดันให้เกิดการเพิ่มบทบาทของประชาชนในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับศาสนา สร้างระบบที่โปร่งใส และเน้นการตรวจสอบได้</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277127 อาวุธเปลี่ยนโลกกับการเมืองไทยยุคโลกาภิวัตน์ 2025-01-06T13:29:50+07:00 พระมหาวรวัฒน์ อภินนฺโท (วิชัย) wichaiworrawat@gmail.com พระรฤทธิ์ วริทฺธิญาโณ (เขียนโคกกรวด) Nuo0906053831you88@gmail.com <p>บทความนี้วิเคราะห์แนวคิด “อาวุธเปลี่ยนโลก” ของเนลสัน แมนเดลา มองว่าการศึกษาเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง ปรัชญานี้แสดงถึงการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคและความยุติธรรมโดยผ่านกระบวนการเรียนรู้ของประชาชน ในยุคโลกาภิวัตน์ การศึกษาไม่ได้จำกัดอยู่ในชั้นเรียนแต่สามารถขยายตัวผ่านสื่อออนไลน์ ซึ่งสื่อออนไลน์กลับมีบทบาทที่ทั้งสร้างสรรค์และเป็นภัยในเวลาเดียวกัน ส่งเสริมการเปิดเสรีทางความคิดและความรู้ให้แก่ประชาชนในเชิงการเมืองไทย การศึกษาแบบปรัชญาแมนเดลาในการพัฒนาและเสริมสร้างการเข้าถึงข้อมูลสามารถช่วยส่งเสริมความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการทางการเมืองได้มากขึ้น สื่อออนไลน์ในไทยยังสามารถถูกใช้โดยผู้มีอำนาจเพื่อควบคุมและเผยแพร่ข้อมูลที่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน ผลที่ตามมาคือ การแบ่งแยกทางสังคมและการปิดกั้นโอกาสในการคิดเห็นต่างซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความเป็นประชาธิปไตยและเสรีภาพในการแสดงออกการวิเคราะห์นี้เน้นไปที่การบูรณาการแนวคิดแมนเดลาในบริบทของการเมืองไทยในยุคโลกาภิวัตน์ โดยการเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจในการใช้สื่อออนไลน์อย่างมีสติและมีความรับผิดชอบ เพื่อยับยั้งการบิดเบือนข้อมูลและการควบคุมที่เกินควร ในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในสังคม</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277731 วิเคราะห์แนวคิดปรัชญาการเมืองของฌอง ฌาค รุสโซ 2025-02-11T07:14:51+07:00 พระจอม มหาปญฺโญ phrabidicxmm@gmail.com <p>บทความนี้จะวิเคราะห์แนวคิดของรุสโซและพิจารณาว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยในยุคปัจจุบันการสำรวจแนวคิดของรุสโซ เผยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญเกี่ยวกับลักษณะของการปกครองและเสรีภาพของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นในพลวัตทางการเมืองไทยร่วมสมัย การใช้แนวคิดเหล่านี้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยสามารถช่วยให้เราเข้าใจถึงความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น การนำเสนอแนวคิดของรุสโซในบริบทนี้จะช่วยให้เราเห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง และวิธีที่เสียงของพลเมืองสามารถส่งผลต่อทิศทางและนโยบายของรัฐบาล การวิเคราะห์นี้ยังเปิดโอกาสให้เราได้พิจารณาถึงบทบาทของสถาบันการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับผู้มีอำนาจ ซึ่งสามารถนำไปสู่การสร้างระบบการปกครองที่ยั่งยืนและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277683 การพัฒนากลไกข่าวกรองในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติของประเทศไทย : บทบาทของรัฐและความท้าทายในยุคโลกาภิวัตน์ 2025-02-11T06:58:17+07:00 ภูวดิษฐ์ นันทสกุลสิทธิ์ dr.phuwaditz.n23@gmail.com <p>บทความนี้นำเสนอแนวทางเกี่ยวกับการพัฒนากลไกข่าวกรองในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติของประเทศไทย โดยเน้นไปที่บทบาทของรัฐและความท้าทายในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญในการรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศประสิทธิผลของกลไกข่าวกรองเหล่านี้มีความสำคัญต่อการจัดการกับภัยคุกคามทั้งภายในและภายนอก ทำให้มั่นใจว่ากลยุทธ์ความมั่นคงของประเทศยังคงแข็งแกร่งเมื่อเผชิญกับพลวัตของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วประสิทธิผลของกลไกข่าวกรองเหล่านี้มีความสำคัญต่อการจัดการกับภัยคุกคามทั้งภายในและภายนอก ทำให้มั่นใจได้ว่ากลยุทธ์ด้านความปลอดภัยของประเทศยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางพลวัตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภูมิทัศน์โลก การพัฒนากลไกข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างระบบการแบ่งปันข้อมูลและวิเคราะห์ภัยคุกคามอย่างรอบด้าน การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในระดับชุมชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนก็เป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศ</p> 2025-02-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277174 แนวทางการสร้างวัฒนธรรมองค์กรยั่งยืนด้วยหลักศีล 5 2025-01-07T02:43:59+07:00 พระมหาจักร์พัฒน์ อาภาโส (เคนดี) sairoong.bub@mcu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้นำเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้หลักศีล 5 ในพระพุทธศาสนาเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยั่งยืน โดยวิเคราะห์และสังเคราะห์แนวคิดจากหลักพุทธธรรมและทฤษฎีการจัดการสมัยใหม่ การศึกษาพบว่าหลักศีล 5 สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นกรอบในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการบูรณาการหลักการสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ การเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความซื่อสัตย์และโปร่งใสในการดำเนินงาน การรักษาความสัมพันธ์ที่เหมาะสมในองค์กร การสื่อสารด้วยความจริงใจ การส่งเสริมสติและความรับผิดชอบ บทความนี้นำเสนอแนวทางการนำไปปฏิบัติผ่านการกำหนดนโยบาย การพัฒนาบุคลากร และการสร้างการมีส่วนร่วม เพื่อนำไปสู่การพัฒนาองค์กรที่ยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม</p> 2025-02-23T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277966 การบูรณาการหลักพุทธธรรมกับการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อป้องกันภาวะซึมเศร้าในสังคมไทย 2025-02-17T00:58:00+07:00 อรุณรักษ์ ธนเลิศลาภ khurkhamlangkhur@gmail.com <p>ภาวะซึมเศร้าเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และสังคมโดยรวม การบูรณาการหลักอริยสัจ 4 กับการบริหารจัดการภาครัฐสามารถเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันและแก้ไขปัญหานี้ หลักอริยสัจ 4 ประกอบด้วย ทุกข์ (การตระหนักถึงปัญหาภาวะซึมเศร้า) สมุทัย (การระบุสาเหตุของปัญหา เช่น ความเครียดทางเศรษฐกิจและความกดดันทางสังคม) นิโรธ (การหาวิธีบรรเทาและขจัดทุกข์) และมรรค (แนวทางปฏิบัติที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิต เช่น สมาธิและการเจริญสติ) การนำหลักธรรมดังกล่าวมาใช้ในนโยบายสุขภาพจิตของภาครัฐช่วยให้เกิดการดูแลเชิงป้องกันและลดอัตราการเกิดโรคซึมเศร้าได้อย่างเป็นระบบ การสนับสนุนโครงการฝึกสมาธิในสถานศึกษา การเสริมสร้างชุมชนให้เป็นแหล่งช่วยเหลือทางจิตใจ และการรณรงค์ลดการตีตราทางสังคมต่อผู้ป่วยเป็นแนวทางสำคัญที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง นอกจากนี้ การบูรณาการหลักพุทธศาสนากับการบริหารจัดการภาครัฐยังช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม ทำให้สังคมไทยมีความเข้มแข็งทางจิตใจและสามารถรับมือกับความทุกข์ได้อย่างมีสติและปัญญา</p> 2025-02-25T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276348 ความต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของประชาชนองค์การบริหารส่วนตำบล บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี 2024-11-26T16:30:22+07:00 คมสันต์ ขุนแสน komsankhunsan91@gmail.com มนต์ธิดา นิพัทธ์หงษ์ komsankhunsan91@gmail.com พชร วรรณภิวัฒน์ komsankhunsan91@gmail.com <p>บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อศึกษาความต้องการด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี และ 2. เพื่อเสนอแนะการดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณโดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 375 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วนำผลข้อมูลดิบที่ได้มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้สถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบสมมติฐานด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ความต้องการด้านการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี มีความต้องการโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความต้องการดำรงชีวิต ด้านความต้องการความสัมพันธ์ ด้านความต้องการเจริญเติบโต อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน 2. เสนอแนะการดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี ด้านความต้องการดำรงชีวิตอยู่โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.62 และ S.D. = 0.58 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ความต้องการให้องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า สร้างพื้นที่ค้าขายของชุมชนเพิ่มขึ้น <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.70 และ S.D. = 0.60 ด้านความต้องการความสัมพันธ์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.55 และ S.D. = 0.61 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ความต้องการให้องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจตำบลบ้านเก่า <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.63 และ S.D. = 0.55 ด้านความต้องการเจริญเติบโต โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.55 และ S.D. = 0.62 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ ข้อที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ความต้องการให้องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า ติดตาม และประเมินผลการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อพัฒนา และต่อยอด <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 4.62 และ S.D. = 0.61</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/275547 อิทธิพลของการยอมรับแอปพลิเคชันและสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผลต่อ ความตั้งใจซื้อบัตรโดยสารสายการบินต้นทุนต่ำของผู้โดยสารชาวไทย 2024-10-13T13:18:19+07:00 กฤษณ์ วิทวัสสำราญกุล krit.wit@kbu.ac.th นารีรัตน์ สีละมาด krit.wit@kbu.ac.th ศุภโชค สุทธิโชติ krit.wit@kbu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาระดับอิทธิพลของการยอมรับแอปพลิเคชันของผู้โดยสารสายการบินต้นทุนต่ำชาวไทย 2. เพื่อศึกษาระดับอิทธิพลของการยอมรับสื่อสังคมออนไลน์ของผู้โดยสารสายการบินต้นทุนต่ำชาวไทย 3. เพื่อศึกษาระดับความตั้งใจซื้อบัตรโดยสารสายการบินต้นทุนต่ำของผู้โดยสารชาวไทย และ 4. เพื่อศึกษาอิทธิพลของการยอมรับแอปพลิเคชันและสื่อสังคมออนไลน์ที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อบัตรโดยสารสายการบินต้นทุนต่ำของผู้โดยสารชาวไทย โดยใช้เครื่องมือการวิจัยคือแบบสอบถามแจกต่อผู้โดยสารสายการบินต้นทุนต่ำ จำนวน 400 คน ใช้การวิเคราะห์สถิติด้วย ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ความถดถอย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 216 คน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ใน ช่วงวัย (Generation) ระหว่าง 38 – 53 ปี จำนวน 122 คน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอาชีพธุรกิจส่วนตัว จำนวน 125 คน สายการบินต้นทุนต่ำที่ใช้บริการมากที่สุดคือ สายการบินแอร์เอเชีย จำนวน 194 คน แอปพลิเคชันที่ใช้บริการมากที่สุดคือ แอปพลิเคชันของสายการบิน จำนวน 190 คน ทัศนคติการยอมรับแอปพลิเคชันของการซื้อบัตรโดยสารโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย= 3.46) การใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย= 3.32) การทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างมีอิทธิพลของการยอมรับแอปพลิเคชันที่แตกต่างกันที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 อิทธิพลของการยอมรับแอปพลิเคชันสายการบินต้นทุนต่ำส่งผลต่อความตั้งใจซื้อบัตรโดยสารสายการบินต้นทุนต่ำ มีเพียงสื่อสังคมออนไลน์ด้านชุมชนออนไลน์ไม่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อบัตรโดยสารสายการบินต้นทุนต่ำ</p> 2025-01-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276863 การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เพื่อออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ชุมชนวัฒนธรรมวิถีตาลโตนด ตำบลบางเขียด อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา 2024-12-25T23:41:39+07:00 มนัสสวาส กุลวงศ์ nootchanate.k@rmutsv.ac.th นุชเนตร กาฬสมุทร์ nootchanate.k@rmutsv.ac.th ธิดาพร เรืองเริงกุลฤทธิ์ nootchanate.k@rmutsv.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม 2. ออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ และ 3. เสนอแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ชุมชนวัฒนธรรมวิถีตาลโตนด ตำบลบางเขียด อำเภอสิหนคร จังหวัดสงขลา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยว จำนวน 50 คนใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.977 วิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชน และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ จำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า 1. ศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ชุมชนวัฒนธรรมวิถีตาลโตนด ตำบลบางเขียด อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ผลรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านสิ่งดึงดูดใจและกิจกรรมการท่องเที่ยว ศักยภาพอยู่ในระดับมาก ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ศักยภาพอยู่ในระดับมาก ด้านเส้นทางท่องเที่ยว ศักยภาพอยู่ในระดับมาก และด้านการบริหารจัดการ ศักยภาพอยู่ในระดับมาก 2. ออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ชุมชนวัฒนธรรมวิถีตาลโตนด ตำบลบางเขียด อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา จำนวน 2 เส้นทาง ได้แก่ โปรแกรมท่องเที่ยววิถีโหนด นา เล เท่ บางเขียด และโปรแกรมท่องเที่ยววิถีโหนด นา ท่า บางเขียด 3. แนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ชุมชนวัฒนธรรมวิถีตาลโตนด ตำบลบางเขียด อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ได้แก่ การบริการนักท่องเที่ยว การสื่อความหมายทางการท่องเที่ยว การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การจัดการความปลอดภัย</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/276304 การประยุกต์ใช้หลักพุทธรรมเพื่อการจัดการความขัดแย้งทางการเมือง ระดับท้องถิ่นในจังหวัดนครศรีธรรมราช 2024-12-24T09:06:18+07:00 การัณย์ พรหมแก้ว thanawatyothajan@gmail.com ธัชชนันท์ อิศรเดช thanawatyothajan@gmail.com สุรพล สุยะพรหม thanawatyothajan@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาสภาพทั่วไปของความขัดแย้งทางการเมืองในพื้นที่ 2. ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการความขัดแย้งระดับท้องถิ่น และ 3. การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงคุณภาพ โดยผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้แก่ กลุ่มนักวิชาการด้านพุทธศาสนาและรัฐศาสตร์ ข้าราชการ นักการเมือง และผู้นำชุมชน รวมทั้งสิ้น 25 คน การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีเจาะจง และเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้าง จากนั้นจึงวิเคราะห์และนำเสนอผลในรูปแบบความเรียง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ความขัดแย้งในจังหวัดนครศรีธรรมราชมีความหลากหลายใน 3 มิติสำคัญ ได้แก่ ความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งเกิดจากระบบอุปถัมภ์ที่เอื้อประโยชน์ระหว่างระบบราชการและการเมือง ส่งผลให้เกิดความไม่เป็นธรรมในระบบการบริหารงานรัฐ ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจเกิดจากการนำทรัพยากรสาธารณะไปสู่กลุ่มผู้มีอิทธิพล ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความขัดแย้งทางสังคมวัฒนธรรมซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างในความคิดและความเชื่อของประชาชนในพื้นที่ 2. สำหรับแนวทางการบริหารจัดการความขัดแย้ง สามารถดำเนินการได้ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การบังคับและกดดันโดยใช้อำนาจรัฐและกฎหมายซึ่งมีประสิทธิภาพในสถานการณ์เร่งด่วน การประนีประนอมโดยใช้การเจรจาและคนกลางเพื่อค้นหาความร่วมมือ และการแก้ปัญหาร่วมกันผ่านการมีส่วนร่วมของภาคการเมือง ระบบราชการ และประชาชนในพื้นที่ 3. การประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมเพื่อจัดการความขัดแย้งถูกนำเสนอใน 3 รูปแบบ ได้แก่ การแก้ไขโดยไม่ใช้กฎข้อบังคับ อาทิ เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม และเมตตามโนกรรม การใช้กฎข้อบังคับ เช่น สีลสามัญญตาและทิฎฐิสามัญญตา และการกระจายทรัพยากรอย่างเท่าเทียมตามหลักสาธารณโภคี แนวทางดังกล่าวมุ่งสร้างความยั่งยืนและสมานฉันท์ในสังคม</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/275625 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2024-11-26T19:44:02+07:00 ทุติย์เศรษฐ์ กันนุช tutisas59@gmail.com ปัณณธร หอมบุญมา Pannathorn1970@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ 2. เพื่อศึกษารูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวนทั้งสิ้น 35 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและพรรณนาความ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1 .สภาพปัญหาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วยสภาพปัญหา 5 ด้าน ได้แก่ 1. สภาพปัญหาด้านประชากรแฝง 2. สภาพปัญหาด้านครอบครัว 3.สภาพปัญหาด้านเจ้าหน้าที่ ในส่วนของกฎหมาย 4.สภาพปัญหาด้านความขัดแย้งในชุมชนขาดความสามัคคี และ 5.สภาพปัญหาด้านงบประมาณขาดการสนับสนุนงบประมาณในการใช้จ่ายในการตั้งด่านป้องกันอาชญากรรม 2. รูปแบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย 4 ด้าน คือ 1. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ 2. การมีส่วนร่วมในการดำเนินการ 3. การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ 4. การมีส่วนร่วมในการประเมินผล 3. แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมในเขตพื้นที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประกอบไปด้วยการประชาสัมพันธ์ การลงพื้นที่เข้าถึงประชาชน การจัดโครงการรณรงค์การสร้างจิตสำนึกการมีส่วนร่วมจากการผลักดันจากผู้นำชุมชน ความปลอดภัยจากผู้แจ้งปัญหา และการสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับงานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277287 ประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของพระสังฆาธิการในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี 2025-01-13T10:34:46+07:00 พระปลัดอภิชาติ อภิชาโต (เนตรนพ) Aphichatnetnop333@gmail.com พระอุดมสิทธินายก (กำพล คุณงฺกโร) Aphichatnetnop333@gmail.com พระครูวิโรจน์กาญจนเขต (นัทกฤต ทีปงฺกโร) ohho456@gmail.com <p>บทความวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการปฏิบัติงานตามหลักบริหารจัดการและหลักอิทธิบาท 4 กับประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของพระสังฆาธิการในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี และ 2. เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของพระสังฆาธิการในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์ในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี จำนวน 140 รูป และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ พระสังฆาธิการระดับเจ้าคณะตำบลขึ้นไป และคฤหัสถ์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการบริหารวัด จำนวน 10 รูปหรือคน สถิติที่ใช้ได้แก่ การหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน รวมไปถึงการสรุปข้อมูลการสัมภาษณ์โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. หลักบริหารจัดการด้านการอำนวยการ มีความสัมพันธ์เชิงลบกับประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของพระสังฆาธิการในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี โดยรวม อยู่ในระดับต่ำมาก (r = -0.172*) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้น จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้ และหลักอิทธิบาท 4 ด้านจิตตะ มีความสัมพันธ์เชิงลบกับประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของพระสังฆาธิการในอำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี โดยรวม อยู่ในระดับต่ำมาก (r = -0.200*) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้น จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้ 2. แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการวัดของพระสังฆาธิการ ด้านฉันทะ ควรส่งเสริมความรักและความพอใจในการทำงาน ด้านวิริยะ ควรจัดระบบการทำงานและแบ่งงานตามความรับผิดชอบและความสามารถของบุคลากร ด้านจิตตะ ควรวางแผนและดูแลบุคลากรด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจทำงาน ด้านวิมังสา ควรประเมินผลการทำงานเพื่อลดข้อผิดพลาดและปรับปรุงการปฏิบัติงานให้ถูกต้อง</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277175 การพัฒนาการสื่อสารสังคมไร้คอร์รัปชั่นขององค์กรปกครองปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง 2025-01-17T17:02:53+07:00 กาญจนา ดำจุติ kanjana.dam@mcu.ac.th ยุทธนา ปราณีต Kanjana.dam@mcu.ac.th อนุภูมิ โซวเกษม Kanjana.dam@mcu.ac.th เติมศักดิ์ ทองอินทร์ Kanjana.dam@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1. สภาพปัจจุบันของการสื่อสารสังคมไร้คอรัปชั่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง 2. องค์ประกอบเพื่อสังคมไร้คอรัปชั่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง และ 3. เพื่อนำเสนอการประยุกต์หลักสัมมาวาจาเพื่อการพัฒนาการสื่อสารสังคมไร้คอร์รัปชั่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อประชาชนในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี โดยสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเนื้อหาเชิงพรรณนา และวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 399 คน ด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การสื่อสารเพื่อสังคมไร้คอร์รัปชั่น โดยรวมอยู่ในระดับมาก ตามลำดับดังนี้ ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้านการเปิดเผยข้อมูล ด้านการสื่อสารเชิงรณรงค์ ด้านการเผยแพร่ตัวอย่างที่ดี อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านการส่งเสริมสื่อมวลชนอิสระ และด้านการสนับสนุนการรายงานทุจริต อยู่ในระดับปานกลาง 2. องค์ประกอบการสื่อสาร สามารถร่วมกันทำนายการสื่อสารสังคมไร้คอร์รัปชัน ได้ร้อยละ 75.4, สถาบันทางสังคมสามารถร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 55.2 และหลักสัมมาวาจา ร่วมกันทำนายได้ร้อยละ 52.7 อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 3. การประยุกต์หลักสัมมาวาจาเพื่อพัฒนาการสื่อสารสังคมไร้คอร์รัปชั่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อประชาชนในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง พบดังนี้ การสื่อสารตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ฟังรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน สร้างความไว้วางใจในสังคม ใช้ภาษาที่สุภาพและเป็นมิตรทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความเคารพและความใส่ใจ สร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน และหลักการพูดคำที่เป็นประโยชน์ ข้อมูลที่ชัดเจนให้ประชาชนรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการพัฒนาและสามารถตรวจสอบการทำงานขององค์กรได้ มีช่องทางทางในการส่งสารประชาชนสามารถติดตามได้ง่าย แสดงถึงความโปร่งใส และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้รับสาร ฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชน</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277214 การศึกษาองค์ประกอบความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา 2025-01-11T21:27:19+07:00 วิมลรัตน์ กองแก้ว wimonrat.kkjune@gmail.com นวพร วรรณทอง wimonrat.ko66@snru.ac.th วาโร เพ็งสวัสดิ์ wimonrat.ko66@snru.ac.th <p>บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาองค์ประกอบความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา โดยมีวิธีการดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การสังเคราะห์องค์ประกอบความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา จากเอกสารและงานวิจัย 10 แหล่ง และ 2. การประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบของความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ 10 คน แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบสอบถาม โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน และ แบบสัมภาษณ์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสังเคราะห์องค์ประกอบความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา และแบบประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งแบ่งออกเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. การติดตามและประเมินผล 2. การกำหนดเป้าหมาย 3. การเป็นเจ้าของร่วมกัน 4. การสร้างขวัญและกำลังใจ และ 5. การมีแผนสำรอง โดยทุกองค์ประกอบอยู่ในระดับมากที่สุด ผลการศึกษาครั้งนี้ เป็นประโยชน์ต่อการบริหารสถานศึกษาและหน่วยงานอื่น ๆ ที่จะนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษาให้ เพราะหากขาดความสำนึกรับผิดชอบจะนำไปสู่ปัญหาการบริหารจัดการที่ขาดความโปร่งใส ไม่ยึดหลักนิติธรรม การทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยเหตุนี้การศึกษาครั้งนี้จึงมีประโยชน์ต่อการบริหารสถานศึกษาต่อไป องค์ประกอบความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา ทั้ง 5 องค์ประกอบและพฤติกรรมบ่งชี้ของความสำนึกรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษา มีความเหมาะสมสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำไปปรับใช้ในวงการศึกษาต่อไป</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277266 การศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่น ศึกษาเฉพาะกรณีการได้มาของสมาชิกวุฒิสภา 2025-01-13T10:37:08+07:00 ธวัช แย้มปิ๋ว ohho456@gmail.com <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับรูปแบบ ที่มา หน้าที่และอำนาจของวุฒิสภาของราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่น 2. วิเคราะห์เปรียบเทียบที่มาของวุฒิสภาต่อระบบการเมืองและความเป็นประชาธิปไตยในราชอาณาจักรไทยและญี่ปุ่น ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิธีการศึกษาค้นคว้าเชิงเอกสาร โดยรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทางกฎหมาย ตำรา คำพิพากษา รวมถึงเปรียบเทียบกฎหมายกับประเทศอื่น ๆ และนำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. วุฒิสภาของไทยตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ถูกแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่โปร่งใสและไม่สะท้อนประชาธิปไตย เนื่องจากไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรง วุฒิสภามีบทบาทในการตรวจสอบรัฐบาลและร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี แต่การแต่งตั้งสมาชิกส่วนใหญ่อาจทำให้เกิดข้อกังวลเรื่องอิสระและการถ่วงดุลอำนาจ ส่วนวุฒิสภาของญี่ปุ่นมีสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน สะท้อนประชาธิปไตยและมีบทบาทในการตรวจสอบรัฐบาล แม้ว่าจะมีความชอบธรรม แต่ก็มีการวิจารณ์ว่าอาจซ้ำซ้อนกับสภาผู้แทนราษฎรและขาดความครอบคลุมในการเป็นตัวแทนทุกกลุ่มประชากร 2. วุฒิสภาของไทยในปัจจุบันที่ถูกแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขาดความชอบธรรมจากการเลือกตั้งโดยตรง ทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นประชาธิปไตย ความอิสระ และความโปร่งใสในบทบาทการเลือกนายกรัฐมนตรีและการตรวจสอบรัฐบาล เนื่องจากอาจเอนเอียงไปตามแนวทางของผู้แต่งตั้ง ส่งผลให้ประชาชนมีความกังวลในความเชื่อมั่นต่อระบบการเมืองไทย ขณะที่วุฒิสภาของญี่ปุ่นได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยและช่วยเสริมความชอบธรรมในฐานะตัวแทนประชาชน การเลือกตั้งนี้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและเพิ่มความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของการเมือง โดยวุฒิสภามีบทบาทในการถ่วงดุลอำนาจและตรวจสอบการทำงานของสภาล่างได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นจากประชาชนมากขึ้น</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277245 ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิในการเรียกร้องเอาทรัพย์มรดก ของพระภิกษุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1622 2025-01-13T10:43:26+07:00 พระครูภาวนารัตนาภรณ์ (กำพล สิริภทฺโท) ohho456@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ถึงปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิในการเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกของพระภิกษุ ตามมาตรา 1622 ให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมพระสงฆ์ไทย ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิธีการศึกษาค้นคว้าเชิงเอกสารเป็นหลัก ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น ค.ศ. 1947 เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูล และแบบประเมินคุณภาพเอกสาร ใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพและนำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า มาตรา 1622 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย กำหนดให้พระภิกษุไม่มีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม แต่สามารถรับมรดกผ่านพินัยกรรมได้ กฎหมายนี้สอดคล้องกับหลักคำสอนทางพุทธศาสนา ที่เน้นให้พระสงฆ์ละทิ้งความยึดมั่นในทรัพย์สินทางโลก เพื่อลดภาระที่อาจขัดขวางการปฏิบัติธรรม เหตุผลสำคัญของกฎหมายนี้ ได้แก่ 1. ป้องกันการใช้สถานะพระภิกษุเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ 2. ลดความขัดแย้งในครอบครัวเรื่องการแบ่งมรดก 3. คงความบริสุทธิ์ของพระภิกษุ อย่างไรก็ตาม การจำกัดสิทธินี้อาจขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน เนื่องจากเป็นการปิดกั้นสิทธิของบุคคลตามสถานะทางศาสนา และอาจทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว โดยเฉพาะหากไม่มีพินัยกรรมระบุสิทธิของพระภิกษุอย่างชัดเจน ผลทางกฎหมายของมาตรา 1622 คือ พระภิกษุไม่มีสิทธิเรียกร้องมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม แต่หากมีพินัยกรรม พระภิกษุยังสามารถรับมรดกได้ นอกจากนี้ หากพระภิกษุสึกจากสมณะเพศ สิทธิในการเป็นทายาทโดยธรรมจะกลับคืนมา แต่จะไม่สามารถเรียกร้องทรัพย์สินย้อนหลังได้ ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นจากกฎหมายนี้ คือความไม่เข้าใจเกี่ยวกับพินัยกรรมและการตีความที่อาจนำไปสู่ข้อพิพาท โดยสรุป กฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นสมณะของพระภิกษุ แต่ยังเปิดช่องให้ได้รับมรดกผ่านพินัยกรรม ซึ่งช่วยลดข้อขัดแย้งและรักษาความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/277343 การศึกษาเปรียบเทียบมาตรการทางกฎหมายในการอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนาของราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ 2025-01-20T13:01:02+07:00 พระครูสุวรรณสุตาลังการ (เติม จารุวณฺโณ) suwans.1986@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาของราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการศึกษาค้นคว้าเชิงเอกสารเป็นหลัก ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ค.ศ. 2008 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แบบบันทึกข้อมูล (Data Recording Form) เพื่อใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร 2. แบบประเมินคุณภาพเอกสาร (Document Quality Assessment Form) ใช้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง ความครบถ้วน วิเคราะห์โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และนำเสนอสรุปผลการวิจัยแบบพรรณา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การคุ้มครองด้านศาสนาในไทยและเมียนมาร์มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของการรับรองเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่แตกต่างในรายละเอียดและการปฏิบัติ ไทยให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธเป็นพิเศษและสนับสนุนผ่านกฎหมายและงบประมาณ ขณะที่เมียนมาร์ แม้รับรองเสรีภาพทางศาสนา แต่ในทางปฏิบัติยังมีข้อจำกัดและการเลือกปฏิบัติต่อศาสนาอื่น 1. ด้านศาสนบุคคล ไทยคุ้มครองพระสงฆ์และผู้ปฏิบัติศาสนาอย่างเสมอภาค แม้ว่าศาสนาพุทธจะได้รับการสนับสนุนมากกว่า ในขณะที่เมียนมาร์ ศาสนาพุทธมีอิทธิพลสูงและได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างเข้มแข็ง แต่ศาสนาอื่นกลับเผชิญข้อจำกัดและความขัดแย้ง 2. ด้านศาสนสถาน ไทยมีการคุ้มครองที่ครอบคลุมทั้งศาสนาพุทธและศาสนาอื่น ส่วนเมียนมาร์เน้นสนับสนุนศาสนสถานพุทธเป็นหลัก และศาสนาอื่นมักเผชิญอุปสรรคในการดำเนินกิจกรรม 3. ด้านศาสนวัตถุ ไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองโบราณสถานและองค์กรศาสนาร่วมดูแล ในขณะที่เมียนมาร์ใช้วัดและพระสงฆ์เป็นศูนย์กลางในการอนุรักษ์ศาสนวัตถุ โดยเน้นศาสนาพุทธเป็นหลัก 4. ด้านศาสนพิธี ไทยให้เสรีภาพทางศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเท่าเทียม ส่วนเมียนมาร์ แม้รัฐธรรมนูญจะรับรองเสรีภาพทางศาสนา แต่ศาสนาอื่นยังเผชิญข้อจำกัดและความไม่เท่าเทียม สะท้อนถึงบทบาทของศาสนาในสังคมที่แตกต่างกันของทั้งสองประเทศ</p> 2025-02-22T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์