https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/issue/feed วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ 2025-10-25T10:47:13+07:00 พระปลัดระพิน พุทฺธิสาโร journal.idir@mcu.ac.th Open Journal Systems <p><strong> วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์</strong> เลขมาตรฐานสากล ISSN: 2773-9910 (Print)<strong> </strong>ISSN 2774-0846 (Online) เป็นวารสารที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ประกอบด้วย พระพุทธศาสนา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ บริหารธุรกิจ การจัดการ และสหวิทยาการอื่นๆที่นำเสนอองค์ความรู้เชิงนวัตกรรม เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281775 รูปแบบการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2025-08-13T00:10:03+07:00 กิติพงษ์ ศรีนันทลักษณ์ Kitipong290852@gmail.com ภาคิน โชติเวศย์ศิลป์ Kitipong290852@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพปัญหาการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 3. นำเสนอรูปแบบการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยแบบประสานวิธี คือ การวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก กับกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน และการวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติทางสังคมศาสตร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัญหาการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการตัดสินใจ ด้านการดำเนินการ ด้านการรับผลประโยชน์ และด้านการประเมินผล 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ ปัจจัยด้านการอบรมเลี้ยงดู ด้านความสัมพันธ์ในครอบครัว ด้านเพื่อน และด้านการมีส่วนร่วมในชุมชน 3. รูปแบบการมีส่วนร่วมภาคประชาชนในการป้องกันและควบคุมอาชญากรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ รูปแบบ 3 โครงการ คือ โครงการประชารัฐร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชน โครงการเพื่อนบ้านเตือนภัย และโครงการหนึ่งผู้ใหญ่บ้านหนึ่งหมู่บ้าน</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/283021 การพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพระสังฆาธิการเพื่อการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี 2025-08-27T13:41:29+07:00 พระมหาสวัสดิ์ ฐิตวณฺโณ sawatinkong@outlook.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับสมรรถนะการปฏิบัติงาน 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะการปฏิบัติงานของพระสังฆาธิการจังหวัดนนทบุรี 3. นำเสนอการพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพระสังฆาธิการเพื่อการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวคือ พระสงฆ์ในจังหวัดนนทบุรี 347 รูป เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือพระสังฆาธิการนักวิชาการ และผู้มีส่วนได้เสีย เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 18 รูปหรือคน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 9 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สมรรถนะการปฏิบัติงานของพระสังฆาธิการจังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมรรถนะการปฏิบัติงานของพระสังฆาธิการจังหวัดนนทบุรี พบว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และหลักพละ 4 ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพระสังฆาธิการเพื่อการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี ทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สามารถทำนายความผันแปรได้ร้อยละ 55.3 หลักพละ 4 ทำนายได้ร้อยละ 68.2 3. การพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานของพระสังฆาธิการเพื่อการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี พบว่า ด้านความรู้ พระสังฆาธิการจังหวัดนนทบุรี มีองค์ความรู้ด้านการปกครองคณะสงฆ์ปกครองคณะสงฆ์ ด้านทักษะ พระสังฆาธิการจังหวัดนนทบุรี มีทักษะในการปกครองคณะสงฆ์ให้เกิดความเรียบร้อยดีงาม ด้านความสามารถในการปฏิบัติงาน พระสังฆาธิการจังหวัดนนทบุรี มีความสามารถในการปกครองคณะสงฆ์เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยดีงาม</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/283019 การพัฒนาประสิทธิผลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี 2025-08-27T13:46:13+07:00 พระครูนันทจรณธรรม (ณนณัฏฐ์ จารุธมฺโม) phrakrunandha@outlook.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาประสิทธิผลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี 3. นำเสนอการพัฒนาประสิทธิผลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ พุทธศาสนิกชนที่เข้าวัดมาทำบุญที่วัดในจังหวัดนนทบุรี 390 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือพระสังฆาธิการนักวิชาการและผู้มีส่วนได้เสีย เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 18 รูปหรือคน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 9 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิผลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน 2. การสื่อสารและวาจาสุภาษิตส่งผลต่อการพัฒนาประสิทธิผลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆ์จังหวัดนนทบุรีทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 การสื่อสาร สามารถทำนายผันแปรได้ร้อยละ 64.5 วาจาสุภาษิต ทำนายได้ร้อยละ 76.1 3. การพัฒนาประสิทธิผลการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของคณะสงฆจังหวัดนนทบุรี เป็นผลที่เกิดจากการประยุกต์ใช้หลักการสื่อสารและวาจาสุภาษิตในลักษณะบูรณาการซึ่งก่อให้เกิดประสิทธิผลดังนี้ ด้านผลผลิต พระสงฆ์มีศักยภาพ เผยแผ่ได้จำนวนมากขึ้น ด้านประสิทธิภาพ ใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่ได้ผลเพิ่มมากขึ้น ด้านความพึงพอใจ ประชาชนพึงพอใจ มีศรัทธามั่นคง ด้านการปรับเปลี่ยน ประชาชนเกิดการตื่นตัวและสนใจการปฏิบัติธรรมเพิ่มมาก ด้านการพัฒนา ประชาชนเกิดการพัฒนาปัญญารู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/282196 การพัฒนาทุนมนุษย์ตามแนวพุทธเพื่อเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 2025-07-23T23:24:13+07:00 กนกนุช ตันเจริญ niyanan.ka@gmail.com สุรพล สุยะพรหม niyanan.ka@gmail.com เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง niyanan.ka@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. ศึกษาศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 3. นำเสนอการพัฒนาทุนมนุษย์ตามแนวพุทธเพื่อเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี การวิจัยเป็นแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวคือ บุคลากรของการบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 278 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือผู้ทรงคุณวุฒิขององค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีนักวิชาการและผู้มีส่วนได้เสีย เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 18 รูปหรือคน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และการสนทนากลุ่มเฉพาะจำนวน 9 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยการพัฒนาทุนมนุษย์ และหลักไตรสิกขาส่งผลต่อศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 โดยปัจจัยการพัฒนาทุนมนุษย์ ทำนายความผันแปรได้ร้อยละ 60.2 ปัจจัยหลักไตรสิกขา ทำนายได้ร้อยละ 71.1 3. การพัฒนาทุนมนุษย์ตามแนวพุทธเพื่อเพิ่มศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี พบว่า ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ มีการพัฒนาการปฏิบัติงานในเชิงรุก ด้านการยึดมั่นในความถูกต้องและจริยธรรม มีการปฏิบัติงานโดยเน้นความโปร่งใส ด้านความเข้าใจในองค์กรและระบบงาน มีความตั้งใจค้นคว้าหาความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการบริการเป็นเลิศ มีการบริการด้วยความเต็มใจ สะดวกรวดเร็ว และทันเวลา ด้านการทำงานเป็นทีม มีการส่งเสริมสัมพันธภาพกับทีมและผู้เกี่ยวข้อง ช่วยเหลือประสานรอยร้าว คลี่คลายแก้ไขข้อขัดแย้ง</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/282698 การเสริมสร้างการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของเทศบาลเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ 2025-08-11T08:16:39+07:00 อนุชา พิมายนอก chalida_gun@vu.ac.th ชลิดา กันหาลิลา chalida_gun@vu.ac.th จักรีวัชระ กันบุรมย์ chalida_gun@vu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาลักษณะการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของเทศบาลเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ 2. ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของเทศบาลเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ และ 3. เสนอแนวทางในการเสริมสร้างการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของเทศบาลเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 163 คน เครื่องมือการวิจัย คือ แบบสอบถาม และวิเคราะห์หาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพโดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญเลือกแบบเจาะจง จำนวน 12 คน ได้แก่ นายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาล พนักงานเทศบาล และสมาชิกสภาเทศบาล เครื่องมือการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ และการวิเคราะห์แบบอุปนัย ด้วยการตีความสร้างข้อสรุปข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ลักษณะการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของเทศบาลเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37) ดังนี้ การเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน การเป็นบุคคลรอบรู้ การมีแบบแผนความคิด และการคิดเป็นระบบ สอดคล้องกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ บุคลากรเทศบาลเมืองชัยภูมิมีคุณลักษณะที่สะท้อนองค์การแห่งการเรียนรู้ มีการทำงานเป็นทีมในระดับหนึ่ง แต่ยังมีช่องว่างการสื่อสารระหว่างฝ่ายบริหาร พนักงานและเจ้าหน้าที่ ยังมองแบบแยกส่วนขาดการวางแผนการหลอมรวมองค์ความรู้ในองค์การ 2. ปัจจัยที่มีผลต่อการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของเทศบาลเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่ 1. ปัจจัยภายนอก คือ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สภาพแวดล้อม และกฎหมาย 2. ปัจจัยบริหารในองค์การ พบว่า ผู้นำองค์การ เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ 3. แนวทางในการเสริมสร้างการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาองค์การเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ สร้างความร่วมมือการทำงานภายใต้บริบทความเชื่อมโยงแผนงานพัฒนาท้องถิ่นร่วมกัน เพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างฝ่ายบริหาร พนักงานและเจ้าหน้าที่ทุกระดับ</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/280423 นวัตกรรมการบริหารเพื่อขับเคลื่อนแพทย์แผนไทยเชิงพุทธบูรณาการของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา 2025-05-19T14:34:16+07:00 ศิริอัญภัค ศิรินนท์วัชรกุล maysiri959@gmail.com สุรพล สุยะพรหม maysiri959@gmail.com เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง maysiri959@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษานวัตกรรมการบริหารเพื่อขับเคลื่อนแพทย์แผนไทยของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อนวัตกรรมการบริหารเพื่อขับเคลื่อนแพทย์แผนไทยของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา 3. นำเสนอนวัตกรรมการบริหารเพื่อขับเคลื่อนแพทย์แผนไทยเชิงพุทธบูรณาการของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษากลุ่มตัวอย่าง จำนวน 138 คน ด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับที่ความเชื่อมั่น 0.976 สถิติใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 19 รูปหรือคน และการสนทนากลุ่มเฉพาะผู้ทรงคุณวุฒิ 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. นวัตกรรมการบริหารเพื่อขับเคลื่อนแพทย์แผนไทยของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ในภาพรวม เฉลี่ยทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อนวัตกรรมการบริหารเพื่อขับเคลื่อนแพทย์แผนไทยของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา พบว่า กระบวนการบริหาร PDCA ส่งผลต่อนวัตกรรมการบริหารเพื่อขับเคลื่อนแพทย์แผนไทยของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมาทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 และสามารถร่วมกันทำนายความผันแปร ได้ร้อยละ 59.7 หลักวุฑฒิธรรม 4 ส่งผลทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 สามารถร่วมกันทำนายความผันแปร ได้ร้อยละ 75.8 3. นวัตกรรมการบริหารเพื่อขับเคลื่อนแพทย์แผนไทย ด้านการปรับโครงสร้างองค์กร ปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการ ด้านการพัฒนาแนวทางการบริหารงานบุคคล ใช้เทคโนโลยีช่วยในการสรรหาบุคลากรที่มีคุณภาพ ด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในกระบวนการบริหาร ด้านการบริหารแบบคล่องตัว ส่งเสริมให้บุคลากรกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้อย่างเร่งด่วน ด้านการสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม ส่งเสริมให้บุคลากรคิดนอกกรอบด้านนวัตกรรมอย่างสร้างสรรค์</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281662 พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมแรงจูงใจการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร 2025-08-21T11:55:21+07:00 กัณฑ์ชิสา เจริญกิจธินันภ์ Klanchisa@outlook.co.th สุริยา รักษาเมือง Klanchisa@outlook.co.th พงศ์พัฒน์ จิตตานุรักษ์ Klanchisa@outlook.co.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับแรงจูงใจการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุ 4 กับแรงจูงใจการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร 3. นำเสนอ<br />พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมแรงจูงใจการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษากลุ่มตัวอย่าง จำนวน 258 คน ซึ่งเป็นบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี ด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ที่ความเชื่อมั่น 0.994 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ การวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการ โดยสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับแรงจูงใจการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากเช่นกัน 2. ความสัมพันธ์ระหว่างสังคหวัตถุ 4 กับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร หลักสังคหวัตถุ 4 มีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานครในระดับมาก (R=.879**) 3. พุทธบูรณาการเพื่อส่งเสริมแรงจูงใจการปฏิบัติงานของบุคลากรสำนักงานเขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พบว่า ด้านความสำเร็จในการทำงาน บุคลากรมีความมุ่งมั่นทำงานให้บรรลุเป้าหมาย สามารถใช้ความรู้และประสบการทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ผู้บังคับบัญชาไว้วางใจมอบหมายงานสำคัญ บุคลากรเป็นที่ยอมรับนับถือจากผู้บังคับบัญชา ด้านลักษณะของงานที่ปฏิบัติ บุคลากรได้รับมอบหมายงานที่เหมาะสมกับความสามารถ มีโอกาสก้าวหน้าในงานที่ทำอยู่ ด้านความรับผิดชอบ บุคลากรรู้จักวางแผนการปฏิบัติงานตามความรับผิดชอบ ผู้บังคับบัญชากล้ามอบหมายงานสำคัญให้ทำ ด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน บุคลากรมีความเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งตามลำดับ วางแผนปฏิบัติงานให้เกิดความก้าวหน้า</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/282502 ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาทธรรมของบุคลากรเทศบาลตำบลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี 2025-08-06T23:53:05+07:00 พระปิติพงษ์ หาสสีโล pitiphong2025@gmail.com นพดล ดีไทยสงค์ pitiphong2025@gmail.com วิชชุกร นาคธน pitiphong2025@gmail.com พระครูโสภณวีรานุวัตร (นิคม ณฏฺฐวโร) pitiphong2025@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลตำบลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรของเทศบาลตำบลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3.เพื่อนำเสนอการประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรของเทศบาลตำบลสามชุก อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ดำเนินการแบบผสานวิธี คือการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ นักวิชาการหรือผู้ปฏิบัติงานด้านพระพุทธศาสนาและด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำในเทศบาลตำบลสามชุก และผู้นำชุมชนในเขตเทศบาลตำบลสามชุก จำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และวิเคราะห์คำให้สัมภาษณ์โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลตำบลสามชุกโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านคุณภาพงานอยู่ในระดับมาก รองลงมาคือด้านความคุ้มค่าของทรัพยากร ความรวดเร็ว และปริมาณงาน ซึ่งอยู่ในระดับปานกลางทั้งหมด 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักอิทธิบาทธรรมกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยด้านจิตตะและวิมังสามีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลาง ส่วนด้านฉันทะและวิริยะมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ 3. การประยุกต์หลักอิทธิบาทธรรม ได้แก่ 1. ด้านฉันทะ มุ่งเสริมทัศนคติที่ดี พัฒนางานต่อเนื่อง ยกย่องผู้ทำดี เน้นการบริหารเวลาและทำงานเป็นทีม 2. ด้านวิริยะ ปลูกฝังความมุ่งมั่น ตั้งเป้าหมายท้าทาย เน้นวินัยและการใช้เทคโนโลยี 3. ด้านจิตตะ เน้นความตั้งใจ ใส่ใจรายละเอียด สร้างบรรยากาศสมาธิและลดข้อผิดพลาด และ 4. ด้านวิมังสา ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาทันที ใช้ข้อมูลปรับปรุงงานและจัดสรรทรัพยากรอย่างสร้างสรรค์</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/282210 การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลเมืองปทุมธานี 2025-07-23T23:31:31+07:00 ณัฐกณัณฐ์ ธิติกิตตินันท์ natkanan@outlook.com สุริยา รักษาเมือง natkanan@outlook.com พงศ์พัฒน์ จิตตานุรักษ์ natkanan@outlook.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการปฏิบัติงานของบุคลากร 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักภาวนา 4 กับคุณภาพชีวิตการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลเมืองปทุมธานี และ 3. นำเสนอการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลเมืองปทุมธานี ทำวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณโดยศึกษากลุ่มตัวอย่าง 270 คน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น ซึ่งเป็นบุคลากรเทศบาลเมืองปทุมธานีด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ที่ความเชื่อมั่น 0.993 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ กับการวิจัยเชิงคุณภาพดำเนินการโดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 10 รูปหรือคน ซึ่งเลือกโดยเจาะจง โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. คุณภาพชีวิตของบุคลากรเทศบาลเมืองปทุมธานี โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากทุกด้าน 2. หลักภาวนา 4 กับคุณภาพชีวิตของบุคลากรเทศบาลเมืองปทุมธานี โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับมาก (R=.858**) จึงยอมรับสมมติฐานการวิจัย และ 3. การบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตการปฏิบัติงานของบุคลากรเทศบาลเมืองปทุมธานี พบว่า ด้านความพึงพอใจบุคลากรพึงพอใจในชีวิตการทำงาน ภาคภูมิใจที่ได้ทำงานกับองค์กร ด้านอัตตมโนทัศน์ บุคลากรมีความรักและผูกพันต่อองค์กร ช่วยกันรักษาภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร ด้านสุขภาพร่างกายบุคลากรมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่สมบูรณ์ มีร่างกายแข็งแรงพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ด้านสังคมและเศรษฐกิจ บุคลากรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิตครอบครัว มีกิจกรรมทางสังคมเป็นประจำ</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281878 การพัฒนาชุมชนตามแนวพุทธวิถีของนักการเมืองท้องถิ่นในเทศบาลตำบลบางกระบือ อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม 2025-07-08T23:15:45+07:00 พระครูสังฆรักษ์อธิวัฒน์ อธิวฑฺฒโน phramhapnwaspuyychotko@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการพัฒนาชุมชนของนักการเมืองท้องถิ่นในเทศบาลตำบลบางกระบือ อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักราชสังคหวัตถุธรรมกับการพัฒนาชุมชนของนักการเมืองท้องถิ่น และ 3 เสนอแนวทางการพัฒนาชุมชนตามแนวพุทธวิถีของนักการเมืองท้องถิ่นในเทศบาลตำบลบางกระบือ อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี โดยมีการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ด้วยสูตรการคำนวณของทาโร่ ยามาเน่ ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 333 คน ด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.894 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ด้วยการคัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 10 รูปหรือคน โและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการพัฒนาชุมชนของนักการเมืองท้องถิ่นโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2. หลักราชสังคหวัตถุ 4 มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการพัฒนาชุมชนในระดับปานกลาง (R=0.503**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีการประยุกต์ใช้หลักธรรมดังกล่าวจะทำให้การพัฒนาชุมชนมีคุณภาพยิ่งขึ้น 3. แนวทาง<br />การพัฒนาชุมชนตามแนวพุทธวิถีของนักการเมืองท้องถิ่น ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ 1. สัสสเมธะ มุ่งพัฒนาการเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร 2. ปุริสเมธะ ส่งเสริมบุคลากรที่มีคุณธรรมและบริหารงานอย่างโปร่งใส 3. สัมมาปาสะ สนับสนุนอาชีพที่สอดคล้องกับ อัตลักษณ์ท้องถิ่น และ 4. วาจาเปยยะ สื่อสารด้วยความสุภาพเพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวสะท้อนถึงการบูรณาการหลักพุทธธรรมเข้ากับการบริหารท้องถิ่นอย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281671 การพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานเชิงพุทธบูรณาการของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2025-06-30T15:01:24+07:00 เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง kietsn@hotmail.com พระปลัดสมนึก ธีรปญฺโญ kietsn@hotmail.com ภัคชุดา พูนสุวรรณ kietsn@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาสภาพสมรรถนะการปฏิบัติงานของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะการปฏิบัติงานเชิงพุทธบูรณาการ และ 3. นำเสนอแนวทางการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 197 คน โดยทำการสุ่มหาตัวอย่างแบบง่ายด้วยวิธีการเทียบสัดส่วน โดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.935 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบ Stepwise ส่วนเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 14 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. สมรรถนะการปฏิบัติงานของบุคลากรโดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.79, S.D.=0.47) 2. ปัจจัยด้านแรงจูงใจและความรู้สามารถร่วมกันทำนายการพัฒนาสมรรถนะเชิงพุทธบูรณาการ คิดเป็นร้อยละ 23 ขณะที่หลักพละ 4 โดยเฉพาะปัญญาพละและสังคหพละ คิดเป็นร้อยละ 17.2 และ 3. แนวทางการพัฒนาสมรรถนะเชิงพุทธบูรณาการสามารถสรุปในรูปแบบต้นไม้แห่งสมรรถนะ โดยมีรากเป็นหลักพละ 4 ได้แก่ ปัญญาพละ วิริยพละ อนวัชชพละ และสังคหพละ ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนภายในสู่การปฏิบัติงานที่มีคุณธรรมและประสิทธิภาพ ลำต้นเปรียบได้กับองค์ประกอบสมรรถนะหลัก ได้แก่ ความรู้ ทักษะ เจตคติ และแรงจูงใจ ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ส่วนกิ่งใบและผลสะท้อนถึงพฤติกรรมการทำงานที่พึงประสงค์ เช่น การมุ่งผลสัมฤทธิ์ การให้บริการที่มีคุณภาพ การยึดจริยธรรม และการทำงานเป็นทีมอย่างสร้างสรรค์ อันเป็นการพัฒนาสมรรถนะที่ยั่งยืนตามแนวทางของพุทธธรรม</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281660 รูปแบบพุทธวิธีสื่อสารทางการเมืองของพระวีระทู แห่งเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา 2025-07-22T10:18:53+07:00 โปก พะ shin94243@gmail.com ธัชชนันท์ อิศรเดช shin94243@gmail.com สุรพล สุยะพรหม shin94243@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาบริบททางการเมืองของประเทศเมียนมา ในช่วงเวลาปี พ.ศ. 2543-2563 2. ศึกษาการสื่อสารทางการเมืองของพระวีระทู แห่งเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา 3. นำเสนอรูปแบบพุทธวิธีสื่อสารทางการเมืองของพระวีระทู แห่งเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงคุณภาพ<br />เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 18 รูปหรือคน โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการพรรณนาความ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการแจกแบบสอบถามที่มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.965 จากประชาชนกลุ่มตัวอย่างในเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระหว่างปี 2559-2563 พระวีระทูเผชิญบริบทการเมืองเมียนมาที่ตึงเครียด โดยเฉพาะปัญหาในรัฐยะไข่ ท่านสื่อสารปกป้องพุทธศาสนาและชาตินิยมอย่างหนักแน่น แม้ถูกจับกุม ยืนยันอุดมการณ์ ส่งผลให้ถูกมองว่าเป็นพระหัวรุนแรงสนับสนุนกองทัพ 2. พระวีระทูสื่อสารการเมืองด้วยภาพลักษณ์นักปกป้องศาสนาและชาตินิยม มีทักษะโน้มน้าว กล้าพูดตรง ใช้ภาษารุนแรงเพื่อเตือนสติและโจมตีฝ่ายตรงข้ามผ่านการเทศน์ หนังสือ และโซเชียลมีเดีย ส่งผลให้ตื่นรู้ เข้าใจศาสนาและการเมือง และ 3. พระวีระทูใช้พุทธวิธีสื่อสารทางการเมืองตามหลักวาจาสุภาษิต 5 อย่างกล้าหาญ 1. วาจาที่ถูกต้องตามกาล มีเจตนาดีต่อชาติและศาสนา 2. วาจาที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์ ส่งเสริมสิทธิ 3. วาจาที่อ่อนหวาน มีความเสมอภาคเน้นเมตตา 4. วาจาที่เป็นประโยชน์ การสื่อสารที่สร้างขวัญกำลังใจ และ 5. วาจาที่กล่าวด้วยเมตตา มีเจตนาดีต่อศาสนาและบ้านเมือง พร้อมเสียสละทุกอย่างเพื่อความมั่นคง สร้างสันติภาพ</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281777 ปัญหาและแนวทางแก้ไขในการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี 2025-07-08T23:00:43+07:00 กนกวรรณ วิลาวัลย์ p_oh2003@yahoo.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี และ 3. แนวทางการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 263 คน โดยทำการสุ่มหาตัวอย่างแบบง่ายด้วยวิธีการเทียบสัดส่วน โดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.987 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบ stepwise ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 14 รูปหรือคน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาและอุปสรรคในการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.67, S.D.=0.71) 2. ปัจจัยสำคัญที่ส่งผล คือ ด้านปรับปรุงแก้ไข ด้านวางแผน และด้านตรวจสอบการปฏิบัติตามแผน สามารถร่วมกันทำนายการถ่ายโอนภารกิจ คิดเป็นร้อยละ 65.7 ขณะที่อิทธิบาท 4 โดยเฉพาะด้านฉันทะ ด้านวิมังสา และด้านจิตตะ คิดเป็นร้อยละ 77.6 และ 3. แนวทางการบูรณาการหลักพุทธธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี พบว่า หลักการ PDCA และหลักอิทธิบาท 4 มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการจัดการที่เป็นระบบและพัฒนาแรงขับภายในบุคลากร ส่งผลให้การดำเนินงานหลังถ่ายโอนมีความมั่นคง สอดคล้องนโยบาย และตอบสนองประชาชนได้อย่างยั่งยืน</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281420 การประยุกต์หลักสังคหวัตถุธรรมเพื่อส่งเสริมการให้บริการประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกระแชง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 2025-06-28T11:14:49+07:00 พระปลัดรังสรรค์ นิพฺภโย 6301504046@mcu.ac.th สมบัติ นามบุรี 6301504046@mcu.ac.th ธวัชชัย สมอเนื้อ 6301504046@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับการให้บริการประชาชนขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกระแชง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 2. ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุธรรมกับการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านกระแชง และ 3. เสนอแนวทางประยุกต์หลักสังคหวัตถุธรรมเพื่อส่งเสริมการให้บริการประชาชน ดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงปริมาณ จากการแจกแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 358 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 รูปหรือคน วิเคราะห์ด้วยค่าทางสถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การให้บริการประชาชนโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านความเป็นรูปธรรมของบริการมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การตอบสนองต่อผู้รับบริการ และต่ำสุดคือ การให้ความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสังคหวัตถุธรรมกับการให้บริการประชาชนมีระดับปานกลาง (r=.554) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะด้านทานมีค่าสัมประสิทธิ์สูงสุด ขณะที่ปิยวาจา อัตถจริยา และสมานัตตตามีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ แสดงถึงความจำเป็นในการส่งเสริมแต่ละด้านให้สอดคล้องกัน 3. แนวทางประยุกต์หลักสังคหวัตถุธรรมที่เสนอ ได้แก่ การเน้นการให้ด้วยใจ (ทาน) การสื่อสารอย่างสุภาพ (ปิยวาจา) การช่วยเหลือเชิงรุก (อัตถจริยา) และการปฏิบัติที่เสมอต้นและเสมอปลาย (สมานัตตตา) โดยเน้นพัฒนาเจ้าหน้าที่และระบบบริการให้มีคุณภาพและเข้าถึงง่ายและยั่งยืน</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281549 การพัฒนาสมรรถนะการบริหารงานตามหลักสัปปุริสธรรมของบุคลากรเทศบาลตำบลต้นคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี 2025-07-21T14:14:06+07:00 พระสุรชัย ธมฺมธโร 6253504005@mcu.ac.th นพดล ดีไทยสงค์ 6253504005@mcu.ac.th วิชชุกร นาคธน 6253504005@mcu.ac.th พระครูโสภณวีรานุวัตร (นิคม ณฏฺฐวโร) 6253504005@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับสมรรถนะการบริหารของบุคลากรเทศบาลตำบลต้นคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี 2. เปรียบเทียบสมรรถนะการบริหารของบุคลากรเทศบาลตำบลต้นคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3. นำเสนอการพัฒนาสมรรถนะการบริหารงานตามหลักสัปปุริสธรรมของบุคลากรเทศบาลตำบลต้นคราม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสาน โดยเก็บข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อประเมินสมรรถนะการบริหารงานของบุคลากรเทศบาลตำบลต้นคราม จังหวัดสุพรรณบุรี ในส่วนของข้อมูลเชิงปริมาณได้รวบรวมผ่านแบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยสถิติเช่น ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการเปรียบเทียบคู่ LSD. สำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพได้มาจากการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะการบริหารโดยรวมอยู่ในระดับสูง โดยด้านการทำงานเป็นทีมมีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือการวางแผนการทำงาน ส่วนการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ได้คะแนนเฉลี่ยต่ำสุด การวิเคราะห์ตามตัวแปรส่วนบุคคลพบว่า เพศไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่พบความแตกต่างตามอายุ การศึกษา รายได้ และอาชีพ จากผลการวิจัยได้เสนอแนะแนวทางพัฒนาสมรรถนะโดยนำหลักสัปปุริสธรรมทั้ง 7 ประการ มาเป็นแนวทางในการเสริมสร้างความรู้ ความสามารถ และจริยธรรมในการบริหารงานภาครัฐ</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281550 การบูรณาการหลักพละธรรมเพื่อพัฒนาสมรรถนะการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลกฤษณา อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี 2025-07-21T14:20:59+07:00 พระครูสุวรรณสารโกศล (พนม สังข์สุวรรณ) 6253504006@mcu.ac.th นพดล ดีไทยสงค์ 6253504006@mcu.ac.th วิชชุกร นาคธน 6253504006@mcu.ac.th พระครูโสภณวีรานุวัตร (นิคม ณฏฺฐวโร) 6253504006@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับสมรรถนะการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลกฤษณา อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี 2. เปรียบเทียบสมรรถนะการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลกฤษณา อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3. นำเสนอการพัฒนาสมรรถนะการบริหารงานตามหลักพละธรรม ของการบริหารงานขององค์การบริหารส่วนตำบลกฤษณา อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสานวิธี โดยเก็บข้อมูลเชิงปริมาณผ่านแบบสอบถามและข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับสมรรถนะการบริหารงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านการทำงานเป็นทีมมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การวางแผนและการบริหารจัดการ และด้านที่ต่ำสุดคือการตระหนักรู้เรื่องโลกาภิวัตน์ 2. การเปรียบเทียบตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา รายได้ และอาชีพ พบว่า บางปัจจัยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ 3. แนวทางพัฒนาสมรรถนะประกอบด้วย 1. การส่งเสริมการใช้ปัญญาในการวางแผนและตัดสินใจ 2. การส่งเสริมความเพียรและการพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง 3. การส่งเสริมความซื่อสัตย์ โปร่งใส และยึดมั่นในจริยธรรม และ 4. การส่งเสริมความร่วมมือในชุมชนและการสร้างเครือข่ายกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน การบูรณาการหลักพละธรรมจึงเป็นแนวทางที่ช่วยเสริมสร้างสมรรถนะการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างเหมาะสม</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/282166 การบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมเพื่อส่งเสริมประสิทธิผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองราชวัตร อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี 2025-07-22T10:40:16+07:00 ศิรินันท์ วิเศษฐ์สุวรรณ sn6653504018@gmail.com นพดล ดีไทยสงค์ sn6653504018@gmail.com วิชชุกร นาคธน sn6653504018@gmail.com พระครูโสภณวีรานุวัตร (นิคม ณฏฺฐวโร) sn6653504018@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาระดับประสิทธิผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาท้องถิ่นขององค์การบริหารส่วนตำบลหนองราชวัตร อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี 2. เปรียบเทียบประสิทธิผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาท้องถิ่น จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3. นำเสนอแนวทางการบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมในการส่งเสริมประสิทธิผลดังกล่าว การวิจัยใช้ระเบียบวิธีแบบผสมผสาน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ สำหรับข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์ด้วยค่าสถิติเบื้องต้น ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับประสิทธิผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาท้องถิ่นโดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านโครงสร้างมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือด้านความพึงพอใจของประชาชน ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการเรียนรู้ เมื่อเปรียบเทียบตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า อายุ รายได้ และอาชีพแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนเพศและระดับการศึกษาโดยรวม<br />ไม่พบความแตกต่าง แต่เมื่อพิจารณาในรายหัวข้อบางด้านพบว่ามีความแตกต่าง สำหรับแนวทางการบูรณาการหลักอิทธิบาทธรรมเพื่อส่งเสริมประสิทธิผล ประกอบด้วย 1. การส่งเสริมความรักและความเต็มใจในการพัฒนาท้องถิ่น 2. การส่งเสริมความเพียรและความรับผิดชอบต่อภารกิจ 3. การส่งเสริมความตั้งใจและเอาใจใส่ในการดำเนินงาน และ 4. การส่งเสริมการใช้ปัญญาในการพิจารณา วิเคราะห์ และพัฒนางานให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/280420 การบูรณาการหลักพุทธจริยธรรมเพื่อส่งเสริมการบริหารงานของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนนทบุรี 2025-05-19T14:15:26+07:00 ธนิต สินศุภสว่าง sinsuphswangthnit@gmail.com เกียรติศักดิ์ สุขเหลือง sinsuphswangthnit@gmail.com สุรพล สุยะพรหม sinsuphswangthnit@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการบริหารงานของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนนทบุรี 2. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารงานของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนนทบุรี และ 3. นำเสนอการบูรณาการหลักพุทธจริยธรรมเพื่อส่งเสริมการบริหารงานของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนนทบุรี ระเบียบวิธีวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี การวิจัยเชิงปริมาณ ศึกษากลุ่มตัวอย่าง จำนวน 273 คน ด้วยแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ที่ความเชื่อมั่น 0.984 สถิติใช้ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณ การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 19 คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนนทบุรี ในภาพรวมเฉลี่ยทุกด้านอยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยหลักการบริหาร POCCC ส่งผลต่อการบริหารงานของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนนทบุรี ทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 และ 0.05 และสามารถร่วมกันความผันแปรได้ร้อยละ 67.2 ปัจจัยหลักอิทธิบาท 4 ส่งผลต่อการบริหารงานของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนนทบุรีทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01 และสามารถร่วมกันอธิบายความผันแปรองค์การบริหารส่วนตำบลในจังหวัดนนทบุรี ด้านการมุ่งผลสัมฤทธิ์ มีความสามราถในการปฏิบัติงานในเชิงรุก ด้านการยึดมั่นในความถูกต้องและจริยธรรม มีการบริหารงานโดยเน้นความโปร่งใส ด้านความเข้าใจในองค์กรและระบบงาน มีความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน ด้านการบริการเป็นเลิศ มีการอำนวยความสะดวกให้บริการด้วยความเต็มใจ ด้านการทำงานเป็นทีม มีการอำนวยความสะดวกแก่ทุกฝ่ายทุกภาคส่วนอย่างสร้างสรรค์</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/282264 การตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของโมเดลการวัดสมรรถนะของบุคลากรทางการศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 2025-07-28T00:27:20+07:00 สุกัญญา พรมอารักษ์ sukanya.phom@kkumail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของโมเดลการวัดสมรรถนะบุคลากรทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีเชิงสำรวจ (Exploratory Sequential Design) ระยะแรกเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพเพื่อสร้างกรอบแนวคิดและพัฒนาเครื่องมือจากการวิเคราะห์เอกสารและการสัมภาษณ์ ระยะที่สองเป็นการวิจัยเชิงปริมาณเพื่อตรวจสอบโมเดลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 597 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p style="font-weight: 400;">ผลการวิจัยพบว่า โมเดลมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์เป็นอย่างดีโดยมีค่าสถิติดังนี้: X<sup>2</sup> = 79.11, p-value = 0.86, <em>df</em> = 94, X<sup>2</sup> /<em>df</em> = 0.84, GFI = 0.98, CFI = 1.00 และ RMSEA = 0.00 องค์ประกอบของโมเดลทั้ง 4 องค์ประกอบมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมาตรฐานตั้งแต่ 0.82-0.97 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 องค์ประกอบด้านคุณธรรมและจริยธรรมมีค่าน้ำหนักมากที่สุด ผลการยืนยันได้ว่า โมเดลการวัดสมรรถนะที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพด้านความตรงเชิงโครงสร้าง สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อการประเมินและพัฒนาสมรรถนะบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/282691 การศึกษากรอบแนวคิดสมรรถนะในยุค BANI World ของผู้บริหารโรงเรียน 2025-08-21T15:18:58+07:00 เจนจิรา ไขประภาย jenjira.kh67@snru.ac.th นวพร วรรณทอง jenjira.kh67@snru.ac.th วาโร เพ็งสวัสดิ์ jenjira.kh67@snru.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากรอบแนวคิดสมรรถนะในยุค BANI World ของผู้บริหารโรงเรียน ผู้วิจัยได้ใช้การวิจัยเชิงสำรวจโดยกระบวนการวิจัย ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาเอกสารแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 แหล่ง เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบ ขั้นตอนที่ 2 การประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบสมรรถนะในยุค BANI World ของผู้บริหารโรงเรียน โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร และแบบสอบถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่าชนิด 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะในยุค BANI World ของผู้บริหารโรงเรียน ประกอบด้วย6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1. ความยืดหยุ่นทางจิตใจ 2. การมีสติ 3. ความเห็นอกเห็นใจ 4. การปรับตัว 5. การสร้างความโปร่งใส และ 6. การมีสัญชาตญาณ ผลการประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ โดยภาพรวมทุกองค์ประกอบมีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด ผลการศึกษาครั้งนี้ เป็นประโยชน์ต่อการบริหารสถานศึกษาและหน่วยงานอื่น ๆ ที่จะนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะในยุค BANI World ของผู้บริหารโรงเรียน เพราะหากขาดสมรรถนะในยุค BANI World จะนำไปสู่ปัญหาการบริหารจัดการโรงเรียนที่ไม่สามารถรับมือ วางแผน และเตรียมความพร้อมของบุคลากรในการตั้งรับกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วฉับพลัน</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281948 ผลกระทบของคุณภาพการให้บริการแบบออนไลน์สู่ออฟไลน์ต่อความพึงพอใจ และพฤติกรรมของผู้บริโภคสินค้าเกี่ยวกับกีฬาในจีน 2025-07-12T23:20:33+07:00 ซื่อซิน จ้าว zhao_s@rbac.ac.th สำคัญ โรจนถาวร zhao_s@rbac.ac.th พรนิภา พลับพลา zhao_s@rbac.ac.th <p>บทความวิจัยเรื่องนี้มุ่งสำรวจผลกระทบของคุณภาพการให้บริการแบบออนไลน์ สู่ออฟไลน์ หรือ O2O ต่อเจตนาและพฤติกรรมของผู้บริโภคในบริบทของการช็อปปิ้งสินค้าเกี่ยวกับกีฬาออนไลน์ในประเทศจีน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถามที่มีข้อมูลสมบูรณ์ จำนวน 375 คน ผ่านการแจกแบบสอบถามออนไลน์ งานวิจัยระบุองค์ประกอบหลักของคุณภาพบริการออนไลน์ 5 ด้าน ได้แก่ ความเป็นรูปธรรม ความน่าเชื่อถือ การตอบสนอง ความเอาใจใส่ และการสร้างความมั่นใจและศึกษาผลกระทบขององค์ประกอบเหล่านี้ต่อคุณค่าที่รับรู้ ความพึงพอใจของลูกค้า และพฤติกรรมการซื้อ โดยใช้การวิเคราะห์แบบถดถอยกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน หรือ PLS เพื่อประเมินโมเดลการวัดและโมเดลเชิงโครงสร้าง และใช้เทคนิคบูตสแตรปในการประมาณค่าพารามิเตอร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นรูปธรรมและความเอาใจใส่มีผลในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณค่าที่รับรู้ ขณะที่ความน่าเชื่อถือ การตอบสนอง และการสร้างความมั่นใจไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ คุณค่าที่รับรู้มีความสัมพันธ์อย่างเข้มแข็งกับความพึงพอใจของลูกค้าและพฤติกรรมการซื้อ โดยยืนยันว่า การรับรู้คุณค่าที่สูงขึ้นนำไปสู่ความพึงพอใจและความตั้งใจซื้อซ้ำที่มากขึ้น ความไว้วางใจในฐานะปัจจัยส่งผ่านมีบทบาทสำคัญในการส่งผลต่อความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า งานวิจัยนี้เน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพบริการในแต่ละมิติและการสร้างความไว้วางใจของผู้บริโภคเพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของแพลตฟอร์ม O2O พร้อมนำเสนอข้อเสนอเชิงกลยุทธ์แก่ผู้ให้บริการในการปรับปรุงกระบวนการบริการ พัฒนาประสบการณ์ลูกค้า และสร้างความภักดีในระยะยาว</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281077 การพัฒนากฎหมายภาษีสิ่งแวดล้อมสำหรับอุตสาหกรรมในประเทศไทย : มุมมองนิติเศรษฐศาสตร์ 2025-06-20T14:55:14+07:00 จักกฤษ กระต่ายวงษ์พระจันทร์ jakkitk@gmail.com ธัชชนันท์ อิศรเดช jakkitk@gmail.com วรพรรณ จันทรากุลศิริ jakkitk@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งเสนอกรอบการพัฒนากฎหมายภาษีสิ่งแวดล้อมสำหรับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทย โดยใช้แนววิเคราะห์เชิงนิติเศรษฐศาสตร์ เป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหามลพิษอย่างมีประสิทธิภาพของกฎหมายในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นด้านมลพิษจากกิจกรรมอุตสาหกรรม เช่น น้ำเสีย ก๊าซเรือนกระจก และของเสียอันตราย พร้อมเสนอให้ใช้กลไกภาษีสิ่งแวดล้อมตามหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายเพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยมลพิษและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของภาคอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม โดยบทความนี้ใช้การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบกับกรณีศึกษาจากประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา ได้แก่ ประเทศสวีเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์ และประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการออกแบบและบังคับใช้ภาษีสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเทียบกับกรอบกฎหมายสิ่งแวดล้อมไทย ซึ่งยังขาดกลไกจูงใจทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพในการบังคับใช้ การออกแบบภาษีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมควบคู่กับการบริหารจัดการที่โปร่งใส การมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน และการเชื่อมโยงกับนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีสะอาด ซึ่งช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีผลอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ข้อเสนอของบทความนี้เน้นการบูรณาการกฎหมายภาษีสิ่งแวดล้อมเข้ากับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมุ่งส่งเสริมสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นทิศทางสำคัญในการปฏิรูประบบกฎหมายสิ่งแวดล้อมของไทยในระยะยาว</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/280934 การศึกษาระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการตรวจเลือกทหารกองประจำการในมิติของการบังคับใช้และแนวทางปฏิบัติของหน่วยตรวจเลือกทหารกองประจำการ 2025-07-12T22:53:41+07:00 สันติพงศ์ ธรรมปิยะ santipong2238@gmail.com สมภพ ระงับทุกข์ santipong2238@gmail.com พระครูสุนทรประสิทธิธรรม (ประสิทธิ์ ชุตินฺธโร) santipong2238@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ได้ศึกษาระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ในมิติของการบังคับใช้เชิงกฎหมายและแนวทางปฏิบัติจริงในระดับพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษรกับการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตรวจเลือกทหาร และเสนอแนวทางการปรับปรุงทั้งด้านเนื้อหาและกลไกการดำเนินงานให้มีความเป็นธรรม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาพบว่า ระเบียบกองทัพบกเป็นกลไกสำคัญที่แปลงเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติรับราชการทหาร <br />พ.ศ. 2497 ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างมีระบบ โดยกำหนดกระบวนการตรวจเลือกไว้ชัดเจนตั้งแต่ขั้นตอนก่อน ระหว่าง และหลังการตรวจเลือก รวมถึงการจัดจำพวกผู้เข้ารับการตรวจเลือกตามหลักเกณฑ์ด้านสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ตรวจเลือกมักต้องใช้ดุลพินิจในกรณีที่สถานการณ์ไม่ตรงตามแบบแผน เช่น กรณีโรคเรื้อรัง ความพิการ หรือภาวะเพศสภาพ ซึ่งนำไปสู่ความแปรผันของแนวปฏิบัติในแต่ละพื้นที่ และยังได้นำเสนอโมเดลสามมิติแห่งความยุติธรรม (Legal, Operational, Civic) เพื่อสะท้อนว่าความยุติธรรมในระบบตรวจเลือกต้องอาศัยการบูรณาการระหว่างกฎหมาย การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ และกลไกการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยมีข้อเสนอแนะเชิงระบบ ได้แก่ การปรับปรุงระเบียบให้ครอบคลุมสถานการณ์ซับซ้อน การพัฒนาการฝึกอบรมคณะกรรมการตรวจเลือกให้เข้าใจระเบียบเชิงลึก และการสร้างกลไกความโปร่งใสที่สามารถตรวจสอบได้จากทั้งภายในและภายนอก ท้ายของบทความยังได้เสนอแนวทางสำคัญเพื่อสร้างความเชื่อมั่นร่วมในระบบตรวจเลือก ที่สามารถนำไปใช้เป็นกรอบแนวคิดในการพัฒนาระบบการตรวจเลือกทหารให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและหลักสิทธิมนุษยชนในสังคมประชาธิปไตยร่วมสมัยอย่างยั่งยืนด้วย</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281528 แนวคิดการบริหารเชิงพุทธในสังคมร่วมสมัย : บทเรียนจากการเดินทางสู่สังเวชนียสถาน 2025-06-28T11:19:48+07:00 ฝนธิป ศรีวรัญญู fonfarm@gmail.com <p>การศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์หลักการบริหารเชิงพุทธที่สามารถประยุกต์ใช้ในการบริหารงานสมัยใหม่ ผ่านการศึกษาเชิงประจักษ์จากการเดินทางสู่สังเวชนียสถานทั้งสี่แห่ง ได้แก่ ลุมพินี พุทธคยา สารนาธ และกุสินารา การศึกษาใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสังเกตการณ์และการวิเคราะห์บริบททางสังคมวัฒนธรรม ณ สถานที่สำคัญในพุทธประวัติ เพื่อทำความเข้าใจกลยุทธ์การบริหารของพระพุทธเจ้าในการก่อตั้งและพัฒนาพุทธศาสนา ผลการศึกษาพบว่า กลยุทธ์การบริหารของพระพุทธเจ้าประกอบด้วยสามองค์ประกอบหลัก คือ การเลือกกลุ่มเป้าหมายเชิงกลยุทธ์โดยเริ่มจากกลุ่มที่มีความพร้อมและขยายไปสู่ผู้นำทางความคิด การสร้างเครือข่ายและจัดการความหลากหลายทางสังคมผ่านการบริหารความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ และการวางระบบองค์กรที่ยั่งยืนโดยเน้นหลักการและระบบมากกว่าการพึ่งพาบุคคล การศึกษายังพบว่าหลักธรรมทางพุทธศาสนาสามารถเชื่อมโยงกับทฤษฎีการบริหารสมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ผ่านหลักพรหมวิหาร 4 ภาวะผู้นำเชิงสถานการณ์ผ่านหลักสัปปุริสธรรม 7 การแก้ไขปัญหาเชิงระบบผ่านหลักอริยสัจ 4 และการพัฒนาอย่างยั่งยืนผ่านหลักมัชฌิมาปฏิปทา กรอบแนวคิดที่นำเสนอจะเป็นประโยชน์ต่อนักบริหารในการพัฒนาทักษะภาวะผู้นำและการจัดการองค์กร นักรัฐประศาสนศาสตร์ในการศึกษาแนวทางการบริหารที่มีมิติจริยธรรม และผู้กำหนดนโยบายในการสร้างการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน การศึกษานี้มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการบริหารเชิงพุทธและการประยุกต์ใช้หลักธรรมในการบริหารงานสมัยใหม่</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281337 จี-โทเคน : นวัตกรรมการระดมทุนของรัฐบาล 2025-07-31T13:25:57+07:00 ประสิทธิ์ชัย พิภักดี pi.prasitchai@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการระดมทุนของรัฐบาลในมิติใหม่ที่ใช้ นวัตกรรมทางการเงินเข้ามาสนับสนุน โดยออกโทเคนดิจิทัลของรัฐบาลที่เรียกว่า G-Token หรือ Government Token ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติวิธีการระดมทุนแบบใหม่ตามที่กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เสนอภายใต้ชื่อ ไทยแลนด์ดิจิทัลโทเคน โดยมุ่งหมายว่าจะทำให้ประชาชนได้เข้าถึงการลงทุนและการออมเงินในรูปแบบใหม่ ๆ แทนการซื้อพันธบัตรรัฐบาลแบบเดิมที่ใช้อยู่ และเพื่อเป็นการพัฒนาของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลตามนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นวิธีการแบบใหม่ในการระดมทุนหรือการกู้ยืมเงินของรัฐบาล ที่จะเริ่มใช้เป็นครั้งแรกสำหรับประเทศไทยและเป็นที่แรกของโลก การกู้เงินของรัฐบาลตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ได้ระบุวิธีการกู้ไว้ในมาตรา 10 ซึ่งนอกจากจะกระทำได้ด้วยวิธีการทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้แล้ว ในวรรคท้ายของมาตรายังเปิดช่องให้กระทำได้ด้วยวิธีการอื่นใด ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดได้อีกด้วย รัฐบาลจึงใช้โอกาสที่กฎหมายเปิดช่องนี้ในการคิดค้นเครื่องมือใหม่ๆ ที่จะใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอมาจากอดีตและกำลังต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยรัฐบาลได้กำหนดแผนที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จในระยะแรกด้วยวงเงิน 5,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี พ.ศ. 2568</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/280366 ไตรสิกขาเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2025-05-14T10:57:56+07:00 ธนิต สินศุภสว่าง sinsuphswangthnit@gmail.com ตากเพชร เลขาวิจิตร sinsuphswangthnit@gmail.com กนกนุช ตันเจริญ sinsuphswangthnit@gmail.com <p class="1" style="margin: 0cm;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;">บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้หลักไตรสิกขาในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นองค์กรภาครัฐที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงเป็นภารกิจสำคัญที่มุ่งยกระดับศักยภาพบุคลากรทั้งด้านความรู้ ทักษะ <span style="letter-spacing: -.2pt;">และคุณธรรม โดยสอดคล้องกับหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ประกอบด้วยการฝึกอบรม</span> การศึกษา และการพัฒนา ทั้งนี้การลงทุนในมนุษย์ถือเป็นการลงทุนระดับชาติที่ช่วยสร้างประสิทธิภาพและความก้าวหน้าให้แก่องค์กรและประเทศชาติ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ยั่งยืนจำเป็นต้องบูรณาการกับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะไตรสิกขา อันประกอบด้วย ศีล การพัฒนาพฤติกรรมและวินัย สมาธิ การพัฒนาจิตใจ<br />ให้มั่นคง และปัญญา การพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ การประยุกต์ใช้ไตรสิกขาสามารถเสริมสร้างให้บุคลากรมีพฤติกรรมที่เหมาะสม มีสุขภาวะทางจิตใจและมีปัญญาในการแก้ปัญหาอย่างรอบคอบ ส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพและรับผิดชอบต่อสังคมได้ดียิ่งขึ้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรผสานหลักวิชาการด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เข้ากับหลักไตรสิกขาอย่างเป็นระบบ เพื่อให้บุคลากรมีศักยภาพครบทั้งด้านความรู้ คุณธรรม และทักษะการทำงาน สามารถตอบสนองต่อภารกิจขององค์กรและบรรลุเป้าหมายการพัฒนาท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</span></p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/279825 บทบาทของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย 2025-07-02T13:51:01+07:00 โพธิ์คิน ขวาอุ่นหล้า pokim.itr@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์บทบาทของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยพิจารณาถึงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 พร้อมทั้งประเมินผลกระทบของบทบาท ส.ว. ต่อกระบวนการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เห็นภาพรวมของการมีส่วนร่วมของ ส.ว. ในการพัฒนากฎหมายหลักในระบบประชาธิปไตย นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงกฎหมายในการปรับปรุงบทบาทของ ส.ว. ให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย รวมถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดข้อจำกัดจาก ส.ว. บทความนี้มีความสำคัญในการนำเสนอข้อมูลและวิเคราะห์เชิงวิชาการที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนากฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญไทย การศึกษายังชี้ให้เห็นข้อจำกัดสำคัญของบทบาท ส.ว. ที่อาจส่งต่อการปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม เช่น การที่ ส.ว. มีอำนาจโหวตในประเด็นสำคัญทั้งที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง หรือการใช้บทบาทในการที่ไม่สนับสนุนร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางกรณี ข้อค้นพบเหล่านี้นำไปสู่ข้อเสนอแนวทางในการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. เช่น การแก้ไขที่มาและกระบวนการสรรหา ส.ว. เพื่อให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281856 วิญญาณแห่งความโน้มถ่วงในศตวรรษที่ 19 สู่วิวัฒนาการมนุษย์ในยุค AI 2025-08-18T15:20:34+07:00 พระธีรพล ณฏฺฐิโก benedit8263@gmail.com พัชริน จินดาปทีป pbunsawad@gmail.com <p class="1" style="margin: 0cm;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;">บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์วิญญาณแห่งความโน้มถ่วง<span style="letter-spacing: -.2pt;">ในศตวรรษที่ 19 สู่วิวัฒนาการมนุษย์ในยุค </span></span><span style="letter-spacing: -.2pt; font-weight: normal;">AI <span lang="TH">พบว่า มนุษย์ในยุคนี้ผู้ที่สามารถสร้างค่านิยมใหม่</span></span><span lang="TH" style="font-weight: normal;">ด้วยการก้าวข้ามศีลธรรมแบบดั้งเดิม และตระหนักรู้ในศักยภาพสูงสุดของตนเอง ผู้ที่เข้าใจและใช้ประโยชน์จาก </span><span style="font-weight: normal;">AI <span lang="TH">ได้อย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของตนเอง ไม่ใช่ตกเป็นทาสของเทคโนโลยี คุณค่าที่แท้จริงของอภิมนุษย์คือความสุขทางจิตวิญญาณ ในการพัฒนาตนเองสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิม มนุษย์อภิวิวัฒน์จะตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะและความสามารถที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ด้วย </span>AI <span lang="TH">เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน และความฉลาดทางอารมณ์ มนุษย์อภิวิวัฒน์ในมิตินี้คือผู้ที่ไม่ยอมจำนนต่อภาวะจำยอม ไม่ยึดติดกับอดีตอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ใช้ประวัติศาสตร์เป็นบทเรียนและแรงบันดาลใจ วิญญาณแห่งความโน้มถ่วงในบริบท </span>AI <span lang="TH">คือการที่เรายังคงยึดติดกับข้อจำกัดทางเทคนิค และวัตถุประสงค์ที่คับแคบและความกลัวที่มาพร้อมกับการพัฒนา </span>AI <span lang="TH">สิ่งขัดขวางไม่ให้มนุษย์ใช้ </span>AI <span lang="TH">เป็นเครื่องมือในการก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองเพื่อบรรลุความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากกิเลสและความปรารถนาที่ผูกมัด หากมนุษย์ต้องการที่จะบรรลุความเป็นผู้เหนือมนุษย์ โดยใช้ </span>AI <span lang="TH">เป็นตัวช่วย อาจจะต้องก้าวข้ามวิญญาณแห่งความโน้มถ่วงเหล่านี้และมอง </span>AI <span lang="TH">ในฐานะเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เราเข้าถึงพลังใจที่บริสุทธิ์และสละสิ่งที่ผูกมัดทางโลก ก้าวข้ามวิญญาณแห่งความโน้มถ่วงสู่มนุษย์อภิวิวัฒน์ในยุค </span>AI</span></p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/280384 สิทธิของพระภิกษุในทรัพย์สิน มรดก และภาษีอากร : การวิเคราะห์เชิงนิติศาสตร์เปรียบเทียบไทย เนปาล และศรีลังกา 2025-05-14T12:53:00+07:00 พระเมธีวัชรประชาทร (ประยูร นนฺทิโย) jakkitk@gmail.com จักกฤษ กระต่ายวงษ์พระจันทร์ jakkitk@gmail.com <p class="1" style="margin: 0cm;"><span lang="TH" style="font-weight: normal;">บทความนี้มุ่งศึกษาสถานะและสิทธิของพระภิกษุในประเทศไทยในเรื่องการถือ<span style="letter-spacing: -.3pt;">ครองทรัพย์สิน การได้รับมรดก และภาระภาษีอากร ภายใต้กรอบกฎหมายฆราวาส อันสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างข้อบังคับทางกฎหมายของรัฐกับหลักพระธรรมวินัยทางพระพุทธศาสนา</span> โดยวิเคราะห์บทบัญญัติของกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1622-1624 ได้วางหลักจำกัดสิทธิของพระภิกษุในการรับมรดก และระบุให้ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมณเพศตกเป็นของวัดโดยอัตโนมัติ มาตรา 42 (17) แห่งประมวลรัษฎากร พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่สำคัญ จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกับกฎหมายของประเทศเนปาลซึ่งมีระบบ </span><span style="font-weight: normal;">Guthi <span lang="TH">ที่มีรากฐานจากจารีต และศรีลังกาซึ่งใช้ระบบทรัสตี ภายใต้ </span>Buddhist Temporalities Ordinance <span lang="TH">แม้กฎหมายไทยมีความพยายามในการรักษาหลักพระวินัยของพระภิกษุผ่านการจำกัดสิทธิทางทรัพย์สิน แต่ยังมีข้อจำกัดด้านการตีความ เช่น ความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของวัดในฐานะผู้รับทรัพย์ และการจัดการทรัพย์สินในยุคดิจิทัล ขณะที่ศรีลังกามีกลไกควบคุมภายใต้กฎหมายเฉพาะ และเนปาลใช้กลไกจารีตผ่าน </span>Guthi <span lang="TH">ซึ่งมีความยืดหยุ่นมากกว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายของบทความนี้ คือ การปรับถ้อยคำกฎหมายให้ทันสมัย การจัดทำแนวปฏิบัติร่วมระหว่างรัฐกับคณะสงฆ์ การใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างความโปร่งใส และการส่งเสริมการทำพินัยกรรมเชิงศาสนา</span></span></p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jidir/article/view/281552 เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์กับอนาคตของประเทศไทย : โอกาสทางเศรษฐกิจและความท้าทายด้านสังคม 2025-07-31T13:48:48+07:00 โพธิ์คิน ขวาอุ่นหล้า pokim.itr@gmail.com ญาทิตา พ้นภัย pokim.itr@gmail.com พระมหาฉัตรชัย ถาวโร pokim.itr@gmail.com พระครูปลัดพงษ์เทพ สุขิโต pokim.itr@gmail.com <p>การพัฒนาเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) หรือศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจรในประเทศไทยได้กลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างมากทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคมโดยรวม แนวคิดในการจัดตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว และสร้างแหล่งจ้างงานใหม่ ๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง บทความฉบับนี้มุ่งเน้นวิเคราะห์บทบาทของเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ต่ออนาคตของประเทศไทยในมิติต่าง ๆ ได้แก่ มิติทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และกฎหมาย โดยอาศัยข้อมูลจากงานวิจัย บทความวิชาการ และกรณีศึกษาจากต่างประเทศ ทั้งนี้ แม้การจัดตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์จะมีศักยภาพในการสร้างรายได้มหาศาล แต่ก็มีข้อถกเถียงด้านจริยธรรมและความเสี่ยงต่อปัญหาสังคม เช่น การติดการพนัน อาชญากรรม และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะผ่านกรอบกฎหมายและนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ บทความนี้จึงเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อให้การพัฒนาเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมไทยในระยะยาว</p> 2025-10-25T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์