Journal of Information and Learning [JIL] https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil <p><span style="font-weight: 400;"><em>Journal of Information and Learning</em> [JIL] </span><span style="font-weight: 400;">เป็นวารสารวิชาการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ การจัดการสารสนเทศและความรู้ การบริหารจัดการห้องสมุดและศูนย์ข้อมูล เทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสารสนเทศ เทคโนโลยีการศึกษา เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้ และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง</span></p> th-TH <p>Journal of Information and Learning ดำเนินการโดยสำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ โดยเจ้าของลิขสิทธิ์จะมีสิทธิในการทำซ้ำ ดัดแปลง และเผยแพร่งานบทความ ทั้งรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ การทำฉบับสำเนา การแปล และการผลิตซ้ำในรูปแบบต่างๆ ลิขสิทธิ์บทความเป็นของผู้เขียนและสำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี วารสารฯ ขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาตีพิมพ์ตามความเหมาะสม รวมทั้งการตรวจทานแก้ไข การปรับข้อความ หรือขัดเกลาภาษาให้ถูกต้องตามเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับผลการวิจัยและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความถือเป็นความคิดเห็นและอยู่ในความรับผิดชอบของผู้เขียน</p> jil@psu.ac.th (Asst.Prof.Somporn Chuai-aree, Ph.D. (ผศ.ดร.สมพร ช่วยอารีย์)) khanitsorn.r@psu.ac.th (Khanitsorn Rakjitr (คณิศร รักจิตร)) Fri, 26 Apr 2024 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร: สู่กรอบสหวิทยาการเพื่อการวิจัยและกำหนดนโยบาย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/268424 <p>ปัจจุบันเกิดภาวะล้นทะลักและการขาดความน่าเชื่อของข้อมูลข่าวสารที่ไหลเวียนในพื้นที่การสื่อสาร ซึ่งเป็นเรื่องยากในการตรวจสอบความถูกต้องโดยผู้ใช้สื่อทั่วไป ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ที่มีประสิทธิภาพในการผลิต แพร่กระจาย และขยายข้อมูลผิดบิดเบือนข้ามพรมแดนจนทำให้เกิดมลภาวะทางข้อมูลข่าวสารขึ้น ปรากฏการณ์์นี้ได้รับการศึกษาและนำเสนอในรายงานเรื่อง ความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร: สู่กรอบสหวิทยาการเพื่อการวิจัยและกำหนดนโยบาย เป็นรายงานที่ประกอบด้วยแนวคิดความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร ปัญหาของตัวกรองฟองสบู่และห้องแห่งเสียงสะท้อน ระยะและองค์ประกอบของความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร พร้อมกับการนำเสนอกรณีศึกษาที่น่าสนใจ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนข้อวิพากษ์ต่อเนื้อหาในรายงานนี้ พบว่า ยังมีความท้าทายสำหรับผู้ใช้สื่อออนไลน์ในการแยกแยะประเภทความผิดปกติของข้อมูลข่าวสาร ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษกับภาษาอื่น การได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจจากการแพร่กระจายข้อมูลผิดบิดเบือนของเจ้าของแพลตฟอร์ม และการครอบงำทางอุดมการณ์ของแพลตฟอร์มต่าง ๆ</p> ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/268424 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง สารสนเทศและสังคมแห่งการเรียนรู้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/267200 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง สารสนเทศและสังคมแห่งการเรียนรู้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนผ่านสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง สารสนเทศและสังคมแห่งการเรียนรู้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนต่อสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง สารสนเทศและสังคมแห่งการเรียนรู้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Experimental Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาสารสนเทศและสังคมแห่งการเรียนรู้ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง สารสนเทศและสังคมแห่งการเรียนรู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แบบประเมินคุณภาพสื่อ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน ค่าสถิติที่ใช้ในการวิจัย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง สารสนเทศและสังคมแห่งการเรียนรู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก และมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.17/81.71 2) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้สื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง สารสนเทศและสังคมแห่งการเรียนรู้ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในระดับมากที่สุด จากผลการวิจัยพบว่าการพัฒนาสื่ออินโฟกราฟิกช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ได้ดี เนื่องจากสื่อดังกล่าวสามารถทำให้ข้อมูลที่มีความซับซ้อนเป็นไปในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาศักยภาพและทักษะของนักศึกษาในการรับรู้ข้อมูลสารสนเทศ และแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> ชุติมา คำแก้ว, วรากร แซ่พุ่น Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/267200 Fri, 26 Apr 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันการรู้เท่าทันสื่อของเยาวชนไทย กรณีศึกษา: เยาวชนจังหวัดจันทบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/269292 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันการรู้เท่าทันสื่อของเยาวชนในจังหวัดจันทบุรี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม คือ แบบสอบถามแบบมาตราประมาณค่าที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบการรู้เท่าทันสื่อของเยาวชนจังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่าง คือ เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15-24 ปี ในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 300 คน ผลการวิจัยพบว่า มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีค่าดัชนี chi-square/<em>df</em> เท่ากับ 1.67, <em>p</em> เท่ากับ 0.00, ค่า RMSEA เท่ากับ 0.04, ค่า RMR เท่ากับ 0.01, ค่า CFI เท่ากับ 0.94 และค่า TLI เท่ากับ 0.92 จากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันด้วย 5 องค์ประกอบ พบว่า แต่ละองค์ประกอบมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบอยู่ระหว่าง 0.57-0.95 ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมิน องค์ประกอบด้านการเข้าใจสื่อมีค่าน้ำหนักองค์ประกอบมากที่สุด (0.95) รองลงมาองค์ประกอบด้านการประเมินค่า (0.93) องค์ประกอบด้านการวิเคราะห์สื่อ (0.92) องค์ประกอบด้านการใช้สื่อให้เกิดประโยชน์ (0.84) และองค์ประกอบด้านการเปิดรับสื่อ (0.57) ตามลำดับ</p> ภารดี พึ่งสำราญ, จเร เถื่อนพวงแก้ว, กาญจนา สมพื้น Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/269292 Fri, 26 Apr 2024 00:00:00 +0700 พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์และระดับการรู้สารสนเทศของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/268834 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ระดับการรู้สารสนเทศ ความแตกต่างระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคลของนักศึกษากับพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ และระดับการรู้สารสนเทศ ประชากร ได้แก่ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการรู้เท่าทันดิจิทัล ในภาคการศึกษาที่ 2/2565 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ไคสแควร์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษาส่วนใหญ่มีการใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่อวันมากกว่า 3 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ใช้ยูทูบและอินสตาแกรม พฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ เมื่อนักศึกษาเห็นคนอื่นแสดงความคิดเห็น ข้อความหรือรูปภาพที่ไม่เหมาะสม นักศึกษาจะไม่เอามาเป็นเยี่ยงอย่าง 2) ระดับการรู้สารสนเทศที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ นักศึกษาเลือกวิธีการค้นหาข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการได้ 3) ผลวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ พบว่า ตัวแปรเพศ ชั้นปี และคณะที่สังกัดต่างกันมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนักศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ที่ตรงกัน 3 ประเด็น คือ การส่งต่อข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง การส่งต่อข้อความและรูปภาพที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น และการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อค้นหาสิ่งจำเป็นต้องซื้อ 4) ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างคุณลักษณะส่วนบุคคลกับระดับการรู้สารสนเทศ พบว่า ไม่มีความแตกต่างในหัวข้อใดที่ตรงกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 โดยผลการศึกษาที่ได้จะนำไปใช้ในการปรับปรุงวิชาการรู้เท่าทันดิจิทัล และส่งเสริมการผลิตสื่อออนไลน์ที่เป็นช่องทางในการเรียนรู้สำหรับรายวิชาอื่น ๆ ต่อไป</p> อภิรดี สรวิสูตร, อัญญ์ณิชตา รุ่งวิชานิวัฒน์ Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/268834 Fri, 26 Apr 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์และจัดกลุ่มความรู้ภูมิปัญญาด้านการแพทย์พื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ในล้านนา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/269453 <p>การวิจัยเรื่องการวิเคราะห์และการจัดกลุ่มความรู้ด้านการแพทย์พื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ในล้านนา มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และจัดกลุ่มความรู้ด้านการแพทย์พื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ในล้านนา ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหามีแบบวิเคราะห์ภูมิปัญญาด้านการแพทย์พื้นบ้านของกลุ่มชาติพันธุ์ในล้านนาเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทรัพยากรสารสนเทศ จำนวน 256 ชื่อเรื่อง ซึ่งมีวิธีการวิเคราะห์ผลการวิจัย ดังนี้ 1) การสังเคราะห์กลุ่มเนื้อหาที่ได้จากการวิเคราะห์เนื้อหาตามแนวทางการจัดหมวดหมู่ความรู้โดยใช้แนวทางการจัดระบบความรู้แบบดั้งเดิม (Traditional approach) ผลการวิเคราะห์ได้กลุ่มคำศัพท์ จำนวน 1,858 คำ สามารถจัดกลุ่มเนื้อหาได้ 16 กลุ่ม พบว่า กลุ่มเนื้อหาที่มีคำศัพท์มากที่สุด คือ กลุ่มสมุนไพรบำบัด จำนวน 789 คำ คิดเป็นร้อยละ 42.47 กลุ่มความเชื่อและวิธีอธิบายการเจ็บป่วย จำนวน 367 คำ คิดเป็นร้อยละ 19.75 และกลุ่มยาสมุนไพรรักษาโรค จำนวน 177 คำ คิดเป็นร้อยละ 6.30 2) นำผลการจัดกลุ่มเนื้อหามาจัดกลุ่มความรู้ตามแนวทางการจัดระบบความรู้ พิจารณาตามแนวทางการจัดหมวดหมู่ความรู้ โดยบูรณการณ์แนวคิดการจัดหมวดหมู่แบบฟาเซท ในการสังเคราะห์กลุ่มเนื้อหาของทรัพยากรสารสนเทศโดยวิเคราะห์แนวคิดที่มีอยู่ทั้งหมด แล้วพิจารณาจัดกลุ่มความรู้ที่วิเคราะห์ตามลำดับขั้นสามารถจัดกลุ่มความรู้ได้ ดังนี้ (1) 13 หมวด (2) 77 หมวดย่อย (3) 277 หมู่ (4) หมู่ย่อยที่ 1 จำนวน 994 หมู่ย่อย (5) หมู่ย่อยที่ 2 จำนวน 128 หมู่ย่อย และ (6) หมู่ย่อยที่ 3 จำนวน 6 หมู่ย่อย</p> ภคมน เจริญสุข, วรรษพร อารยะพันธ์ Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/269453 Fri, 26 Apr 2024 00:00:00 +0700 การออกแบบและพัฒนาระบบตรวจสอบโครงสร้างหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/268748 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบตรวจสอบโครงสร้างหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพระบบตรวจสอบโครงสร้างหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช และ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจการใช้งานระบบตรวจสอบโครงสร้างหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยประกอบด้วย นักศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ประธานหลักสูตร และเจ้าหน้าที่ เก็บข้อมูลโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบเจาะจง จำนวน 228 คน และผู้เชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาระบบ จำนวน 3 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระบบตรวจสอบโครงสร้างหลักสูตรคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช พัฒนาด้วยวิธีการพัฒนาระบบแบบรวดเร็ว Rapid Application Development (RAD) ระบบอยู่ในรูปแบบเว็บแอปพลิเคชัน และรองรับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ รวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูลเพื่อปรับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบเดียวกันด้วยวิธี ETL ทำให้สามารถตรวจสอบผลการศึกษาตามโครงสร้างหลักสูตรได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ลดระยะเวลา ลดขั้นตอนการทำงาน สามารถนำเสนอสารสนเทศในรูปแบบ Dashboard เชื่อมโยงข้อมูล และแสดงผลด้วย Google Looker Studio ช่วยให้อาจารย์ที่ปรึกษา และประธานหลักสูตรสามารถให้คำปรึกษานักศึกษาได้ตลอดระยะเวลาที่กำลังศึกษาตามโครงสร้างหลักสูตรของคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ผลการประเมินประสิทธิภาพโดยรวมของระบบอยู่ในระดับดีมาก (<em>M</em> = 4.75, <em>SD</em> = 0.69) และผลการประเมินความพึงพอใจของกลุ่มผู้ใช้มีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก (<em>M</em> = 4.66, <em>SD</em> = 0.65)</p> วิสุตร์ เพชรรัตน์, เตชิตา สุทธิรักษ์, กุลวดี จันทร์วิเชียร, พัทธนันท์ อธิตัง Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/268748 Fri, 26 Apr 2024 00:00:00 +0700 การสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับจำปาดะลานสกาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมสมัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/269922 <p>่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมสมัยสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการสืบสานประเพณี วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวกับจำปาดะในพื้นที่ อำเภอลานสกา 2) ออกแบบและพัฒนาสื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมสมัยแบบมีส่วนร่วมกับชุมชน และ 3) ประเมินผลความพึงพอใจของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมสมัย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนามีวิธีการดำเนินการวิจัยแบบผสมผสาน คือ การวิจัยเชิงคุณภาพโดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างและการสนทนากลุ่ม การวิจัยเชิงพัฒนาโดยพัฒนาสื่อเว็บไซต์และสื่อคลิปวิดีโอ และการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบประเมินความพึงพอใจสื่อจากกลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มเป้าหมายมีจำนวน 60 คน ใช้กระบวนการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบโควต้า ประกอบด้วย นักเรียน ประชาชนทั่วไป ครูผู้สอน ปราชญ์ชาวบ้านหรือผู้นำชุมชน และนักวิชาการ ผลประเมินความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายในการใช้สื่อที่พัฒนาขึ้น โดยสื่อประเภทเว็บไซต์ พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.72 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.50 สื่อประเภทคลิปวิดีโอ พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.74 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.51 และผลประเมินความพึงพอใจโดยภาพรวมของสื่อทั้งสอง พบว่า สื่อที่พัฒนาขึ้นนี้ทำให้เข้าใจเนื้อหา ความรู้เกี่ยวกับจำปาดะมากขึ้น มีการบอกวัตถุประสงค์ของสื่อชัดเจน มีการนำเสนอเนื้อหาได้อย่างมีลำดับขั้นตอน ใช้งานง่าย น่าสนใจ ชวนติดตาม มีเนื้อหาสาระสำคัญที่ครอบคลุมและชัดเจน และสามารถเรียนรู้สื่อนี้ได้ตามวัตถุประสงค์ของสื่อ</p> ชวัลรัตน์ ศรีนวลปาน, จีรวัฒน์ นาคสุวรรณ์, วลัยภรณ์ ศรเกลี้ยง, รัตยากร ไทยพันธ์, ไพโรจน์ เสนา, อวยพร ชูแก้ว, กฤตภาส สงศรีอินทร์ Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/269922 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์การจัดการวารสาร Asia Social Issues มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ด้วยเกณฑ์การประเมินวารสารระดับนานาชาติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/269369 <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์การบริหารจัดการวารสาร Asia Social Issues (ASI) มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาบทความที่ปรากฏในวารสาร ASI และวิเคราะห์สภาพการจัดการวารสารที่สอดคล้องกับเกณฑ์การประเมินวารสารระดับนานาชาติ กลุ่มตัวอย่างเป็นบทความที่ได้รับการเผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2561-2565 จำนวน 123 บทความ ทำการศึกษาโดยเก็บข้อมูลแต่ละบทความ ได้แก่ ขอบเขตเนื้อหาบทความ ประเภทของบทความ ประเทศของผู้ส่งบทความ หน่วยงานของผู้เขียน จำนวนผู้เขียนบทความ ตามลำดับ วิเคราะห์โดยใช้สถิติพื้นฐานเชิงพรรณา หลังจากนั้นข้อมูลผลการดำเนินงาน ได้แก่ ค่าการอ้างอิง ประเทศและหน่วยงานของผู้เขียน ข้อมูลกองบรรณาธิการ ข้อมูลการจัดทำเว็บไซต์ และข้อมูลของบทความ จะถูกนำมาวิเคราะห์โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน “Pre-selection criteria” ของศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ขอบเขตเนื้อหาที่พบมากที่สุด คือ อาณาบริเวณศึกษา (ร้อยละ 24.39) ประเภทของบทความที่พบมากที่สุด คือ บทความวิจัย (ร้อยละ 96.75) ผู้เขียนส่วนใหญ่เป็นผู้เขียนในประเทศ (ร้อยละ71.54) และส่วนใหญ่สังกัดหน่วยงานภายนอก (ร้อยละ 47.97) บทความส่วนใหญ่จะมีจำนวนผู้เขียน 1 คน (ร้อยละ 43.90) เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน “Pre-selection criteria” ของ TCI พบค่าการอ้างอิง 81 ครั้ง ในฐานข้อมูล TCI และ Scopus จาก 7 ประเทศ มีบทความจากต่างประเทศ ร้อยละ 36.96 (34 บทความ) และมีกองบรรณาธิการจากต่างประเทศ ร้อยละ 65.85 (27 คน) มีข้อมูลวารสารบนเว็บไซต์เป็นภาษาอังกฤษครบถ้วน มีการจัดการบทความตรงตามเกณฑ์มาตรฐานระดับนานาชาติ จากการวิจัยพบว่าวารสาร ASI มีการดำเนินงานตรงตามเป้าหมายและขอบเขตที่ประกาศไว้และมีการบริหารจัดการเทียบเท่ากับเกณฑ์มาตรฐานระดับนานาชาติ สามารถผลักดันวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูล Scopus เพื่อการจัดอันดับในอนาคต</p> โอปอล์ นิลอาสน์ Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/269369 Fri, 26 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนารายวิชาออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมหาชนโดยบูรณาการพอดแคสต์ร่วมกับแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักศึกษาพยาบาล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/268007 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารายวิชาออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมหาชนบูรณาการพอดแคสต์ร่วมกับแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนรายวิชาออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมหาชนบูรณาการพอดแคสต์ร่วมกับแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อรายวิชาออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมหาชนบูรณาการพอดแคสต์ร่วมกับแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาพยาบาล จำนวน 198 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) รายวิชาออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมหาชนบูรณาการพอดแคสต์ร่วมกับแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติอ้างอิง ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานแบบกลุ่มเดียว (t-test dependent)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) รายวิชาออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมหาชนบูรณาการพอดแคสต์ร่วมกับแนวคิดการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง เรื่อง การพยาบาลผู้ป่วยใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.81, <em>SD</em> = 0.19) 2) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อรายวิชาออนไลน์ระบบเปิดสำหรับมหาชนที่บูรณาการพอดแคสต์พึงพอใจอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.22, <em>SD</em> = 0.76)</p> ขวัญเนตร ปุญญถาวร, โอภาส เกาไศยาภรณ์, จารุวรรณ กฤตย์ประชา Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/268007 Fri, 26 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์แบบเปิดสำหรับมหาชนตามทฤษฎีคอนเนคติวิซึม รายวิชา เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาอภิวัฒน์ เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/271205 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนออนไลน์แบบเปิดสำหรับมหาชนตามทฤษฎีคอนเนคติวิซึมที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน รายวิชา เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาอภิวัฒน์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์แบบเปิดสำหรับมหาชนตามทฤษฎีคอนเนคติวิซึมที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน รายวิชา เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาอภิวัฒน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้เรียนที่ลงทะเบียนเรียนในระบบ PSU MOOC รายวิชา เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาอภิวัฒน์ จำนวน 45 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) เนื้อหาบทเรียนออนไลน์ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) บทเรียนออนไลน์แบบเปิดสำหรับมหาชน 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานแบบกลุ่มเดียว t-test dependent ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาบทเรียนออนไลน์แบบเปิดสำหรับมหาชนมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.83, <em>SD</em> = 0.30) 2) ผลของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนออนไลน์แบบเปิดสำหรับมหาชนตามทฤษฎีคอนเนคติวิซึมที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน รายวิชา เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาอภิวัฒน์ พบว่า ผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> อนุพนธิ์ โกตัน, วิชัย นภาพงศ์, ชไมพร อินทร์แก้ว Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/271205 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทดำของชุมชนไทดำ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/270359 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมของชุมชนไทดำ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม และ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจที่มีต่อโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนวัยเด็กที่มีอายุระหว่าง 7-12 ปี และวัยรุ่นที่มีอายุระหว่าง 13-20 ปี ในชุมชนไทดำ อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จำนวน 48 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำด้วยเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม จำนวน 39 ตัวอักษร แบบประเมินคุณภาพโมเดล 3 มิติ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำก่อนและหลังใช้งาน และแบบประเมินความพึงพอใจโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานแบบกลุ่มเดียว (t-test dependent) ผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำ โดยใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน AR อักษรภาษาไทดำ ขนาดของไฟล์ 176 เมกะไบท์ และมีคุณสมบัติที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถมองเห็นภาพเป็นวัตถุเสมือนจริงในสภาพแวดล้อมจริงได้ในรูปแบบ 3 มิติ มีผลการประเมินคุณภาพโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.75, <em>SD</em> = 0.31) 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังเรียนด้วยโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3) ผลความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนด้วยโมเดล 3 มิติ ตัวอักษรภาษาไทดำภาพรวมอยู่ในระดับ มาก (<em>M</em> = 4.46, <em>SD</em> = 0.14)</p> ภัทร์ณัฐสุดา จารุธีรพันธุ์ Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/270359 Tue, 30 Apr 2024 00:00:00 +0700 ผลการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่องการระบายสี ที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาศิลปะของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านโคกตา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/265847 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะ เรื่อง การระบายสี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนบ้านโคกตา อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 2 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 30 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้มี 3 ชนิด คือ 1) ชุดกิจกรรมศิลปะ จำนวน 3 ชุด 2) แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาศิลปะ เรื่อง การระบายสี สถิติที่ใช้ จำแนกเป็น 2 ประเภท สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ ได้แก่ การหาความเที่ยงตรง การหาค่าความยากง่าย การหาค่าอำนาจจำแนก และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน t-test dependents</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมศิลปะ เพื่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาศิลปะ เรื่อง การระบายสี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.67/83.44 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้ชุดกิจกรรมศิลปะของนักเรียนสูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรมศิลปะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> โนรอาดีลา บินรอเสะ, ชัยวัฒน์ ผดุงพงษ์ Copyright (c) 2024 Journal of Information and Learning https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jil/article/view/265847 Mon, 29 Apr 2024 00:00:00 +0700