โขง-สาละวิน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks <p><strong><u>กำหนดตีพิมพ์เผยแพร่</u></strong> <br /> MSCSJ จัดทำโดย หน่วยวารสาร กองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยนเรศวร เปิดรับบทความจากผู้เขียนทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย บทความที่เสนอขอรับการพิจารณาอาจเขียนเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้ แต่บทคัดย่อต้องมีสองภาษา <strong>จัดพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ในรูปแบบ Online ดังนี้</strong></p> <p><strong>ฉบับที่ 1 ระหว่างเดือน มกราคม-มิถุนายน</strong></p> <p><strong>ฉบับที่ 2 ระหว่างเดือน กรกฎาคม-ธันวาคม</strong></p> <p><strong>หมายเหตุ: เปิดรับบทความตลอดปี</strong></p> <p><strong><u>วัตถุประสงค์และขอบเขต</u></strong><br /> MSCSJ มีนโยบายการจัดพิมพ์เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ และเผยแพร่ผลงานวิจัยในสหสาขาวิชาทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในมิติที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง-สาละวิน ใน 5 สาขา ดังนี้</p> <p>1. สาขาวิชาศิลปะทั่วไปและมนุษยศาสตร์ (General Arts and Humanities)</p> <p>2. สาขาประวัติศาสตร์ (History)</p> <p>3. สาขาภาษาและภาษาศาสตร์ (Language and Linguistics)</p> <p>4. สาขาทัศนศิลป์และการแสดง (Visual Arts and Performing Arts)</p> <p>5. สาขาวัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies)</p> <p><u></u><strong><u>ประเภทผลงานที่รับตีพิมพ์ และวิธีพิจารณาบทความ</u></strong><br /> MSCSJ รับตีพิมพ์ผลงาน 2 ประเภท ได้แก่</p> <p>1. บทความวิจัย (Research Article)</p> <p>2. บทความวิชาการ (Academic Article)</p> <p> โดยบทความจะต้องไม่เคยได้รับการตีพิมพ์ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาเพื่อขอรับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการอื่น บทความทุกบทความจะต้องผ่านการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ <strong>(Peer review)</strong> <strong>ใน</strong><strong>สาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง 3 ท่าน โดยผู้ทรงคุณวุฒิไม่รู้ว่าผู้เขียนเป็นใคร และผู้เขียนไม่รู้ว่าผู้ทรงคุณวุฒิเป็นใคร (Double-blinded Review)</strong> อนึ่ง การพิจารณารับบทความเพื่อลงตีพิมพ์หรือไม่ตีพิมพ์ อยู่ที่ดุลยพินิจของบรรณาธิการถือเป็นอันสิ้นสุด </p> <p><strong><u>การเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ</u></strong><strong> </strong></p> <p><strong>MSCSJ มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทความละ 3,500 บาท </strong>โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ ก็ต่อเมื่อบทความได้ผ่านการพิจารณาของบรรณาธิการฯ และกองบรรณาธิการวารสารฯ พร้อมทั้งได้แก้ไขเนื้อหาและรูปแบบของบทความตามคำแนะนำเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบทความพร้อมเข้าสู่กระบวนการประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) ต่อไป</p> <p><strong><u>วารสารจัดทำในรูปแบบ</u></strong><strong><u><br /></u></strong>อิเล็กทรอนิกส์ ISSN 3027-6284 (Online) <br /> </p> en-US Mekong_salween@nu.ac.th (Mekong-Salween Civilization Studies Journal) mekong_salween@nu.ac.th (นางจรินทร พรมสุวรรณ) Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ภูมิทัศน์ภาษาบนป้ายสาธารณะในนครปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/275594 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้ภาษาและรูปแบบการเขียนบนป้ายสาธารณะในนครปากเซ แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามแนวคิดภูมิทัศน์ภาษาของ Landry and Bourhis (1997) โดยวิเคราะห์จากป้ายสาธารณะทั้งที่เป็นป้ายถาวรและชั่วคราวที่ภาครัฐและเอกชนทำขึ้น จำนวน 858 ป้าย ผลการศึกษาด้านการใช้ภาษาพบตัวอักษร จำนวน 8 ภาษา โดยพบภาษาลาวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 56.17 รูปแบบภาษา พบจำนวน 4 รูปแบบ โดยพบป้ายที่ใช้สองภาษามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 57.23 และด้านรูปแบบการเขียน พบจำนวน 4 รูปแบบ โดยพบป้ายที่เขียนภาษาเดียวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 36.48 ผลการศึกษาแสดงให้เห็นถึงบทบาทของภาษาลาวในฐานะภาษาประจำชาติที่มีความสำคัญต่อการสื่อสารในพื้นที่ ขณะที่ภาษาอื่น ๆ มีบทบาทในการท่องเที่ยวและการค้า อีกทั้ง ยังสะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดการใช้ภาษาและรูปแบบการเขียนบนป้ายสาธารณะในนครปากเซ ได้แก่ (1) นโยบายของรัฐ ที่กำหนดให้ภาษาลาวเป็นภาษาหลักบนป้ายสาธารณะ เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์และความเป็นเอกภาพของชาติ (2) การบูรณาการเข้าสู่สังคมโลกและเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งนำไปสู่การใช้ภาษาอังกฤษและภาษาต่างประเทศอื่น ๆ บนป้ายสาธารณะ โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและการบริการเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและนักลงทุน และ (3) ความสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะบทบาทของภาษาจีน เวียดนาม และไทย ที่สะท้อนถึงอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ภูมิทัศน์ภาษาในนครปากเซจึงสะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันของภาษาและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับบริบททางสังคมและเศรษฐกิจ ตลอดจนการดำเนินนโยบายภาษา ที่มุ่งเน้นการใช้ภาษาลาวควบคู่กับภาษาต่างประเทศในบริบทที่เหมาะสม</p> Papawarin Worrahin; ดุจฉัตร จิตบรรจง, สมัย วรรณอุดร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/275594 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยว ในชุมชนย่านคลองโอ่งอ่าง กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/277025 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ท่องเที่ยวในชุมชนย่านคลองโอ่งอ่าง กรุงเทพมหานคร และวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ท่องเที่ยวในชุมชนย่านคลองโอ่งอ่าง โดยใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 153 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การทดสอบ ความแปรปรวนทางเดียว และการถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของนักท่องเที่ยวโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก กระบวนการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวมีระดับการตัดสินใจโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยเพศที่ต่างกันตัดสินใจท่องเที่ยวแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนประสมทางการตลาดมีผลต่อกระบวนการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่ท่องเที่ยวในชุมชนย่านคลองโอ่งอ่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ซึ่งสามารถพยากรณ์กระบวนการตัดสินใจท่องเที่ยว ของนักท่องเที่ยวในชุมชนย่านคลองโอ่งอ่างได้ร้อยละ 73.00</p> ชลิต เฉียบพิมาย; เฉลิมเกียรติ เฟื่องแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/277025 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบภาพลักษณ์อำเภอหลงอัน มณฑลกว่างซี จากวัฒนธรรมการทำนาข้าว ของชนเผ่าจ้วง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/276865 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักการและวิธีการออกแบบภาพลักษณ์เมืองจาก 6 กรณีศึกษาการออกแบบภาพลักษณ์เมือง เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบภาพลักษณ์เมืองที่สะท้อนความหมายทางวัฒนธรรมการทำนาข้าวของชนเผ่าจ้วง อำเภอหลงอัน งานวิจัยนี้ศึกษาเอกลักษณ์เฉพาะที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมการทำนาข้าวและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชนเผ่าจ้วงในอำเภอหลงอัน มณฑลกว่างซี โดยใช้การวิจัยทางเอกสาร การวิเคราะห์กรณีศึกษา การวิจัยภาคสนาม การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ การทำแบบสอบถามและการประเมินผลการออกแบบ จากการวิเคราะห์ภาพลักษณ์ของเมืองต่าง ๆ เช่น นิวยอร์ก ฮ่องกง ฉงชิ่ง หางโจว อู่ฮั่น และกุ้ยหลินด้วยทฤษฎีสัญศาสตร์ของเพียร์ซ พบว่า หลักการการออกแบบภาพลักษณ์เมืองแบ่งออก 3 ประเภท ได้แก่ 1) เครื่องหมายเชิงสัญลักษณ์ โดยออกแบบภาพลักษณ์เมืองให้เรียบง่ายแลเข้าใจได้ง่าย เพื่อง่ายต่อการจดจำและเผยแพร่ 2) สัญลักษณ์วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ ในการออกแบบต้องให้ความสำคัญต่อสัญลักษณ์วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อเพิ่มความภาคภูมิใจแก่วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ 3) สัญลักษณ์ของภูมิภาค ในการออกแบบต้องมุ่งเน้นลักษณะเฉพาะของพื้นที่ เพื่อสร้างจุดต่างจากสัญลักษณ์ของเมืองอื่น ๆ ในการประชาสัมพันธ์เมือง นอกจากนี้ยังได้วิธีการออกแบบภาพลักษณ์เมือง 3 วิธี ได้แก่ 1) การสร้างสัญลักษณ์ด้วยแนวคิดการสร้างแบรนด์ นำแนวคิดการพัฒนาองค์รวมของเมืองสกัดเป็นคำสำคัญหรือสโลแกน โดยใช้ภาพสัญลักษณ์ในการนำเสนอและนำมาเป็นส่วนประกอบในการออกแบบภาพลักษณ์ 2) การสร้างสัญลักษณ์กราฟิกด้วยนามธรรม นำภาพวัตถุที่เป็นตัวแทนของเมืองสังเคราะห์ให้เป็นนามธรรม และสร้างสรรค์ให้เป็นสัญลักษณ์ภาพใหม่ 3) การสร้างสัญลักษณ์ของสีสันด้วยจินตภาพ นำสีที่เป็นตัวแทนของเมืองมานำเสนอตามจินตภาพ โดยใช้อารมณ์ความรู้สึกของสีสันและความหมายเชิงสัญลักษณ์ในการสื่อความหมายของลักษณะและความหมายทางจิตวิญญาณของเมือง จากนั้นนำไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบสร้างสรรค์ ซึ่งในกระบวนการออกแบบภาพลักษณ์ตามแนวคิดของแบรนด์ ได้สร้างสรรค์ระบบการออกแบบภาพลักษณ์ของเมืองที่มีแนวคิดแบรนด์อย่าง 'บ้านเกิดแห่งวัฒนธรรมน่า' โดยใช้ 'พลั่วหินขนาดใหญ่' เป็นสัญลักษณ์กราฟิกหลัก มีสีเขียวและสีทองเป็นภาพลักษณ์ทางสีสัน และมี 'วัว' กับ 'นก' เป็นมาสคอต เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์และความหมายแฝงของวัฒนธรรมการทำนาข้าว</p> เสี่ยวถิง สวี่; เสกสรรค์ ตันยาภิรมย์, รสา สุนทรายุทธ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/276865 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาเปรียบเทียบวัฒนธรรมการทำงานของคนเจนเนอเรชั่นซีระหว่างนักศึกษาฝึกงาน และบุคลากรในองค์กรการท่องเที่ยวและการบริการไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/278272 <p>ประชากรเจนเนอเรชั่นซีเป็นกลุ่มวัยทำงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดแรงงาน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการของประเทศไทยมีความต้องการประชากรกลุ่มนี้เข้ามาทำงานเพิ่มขึ้น การวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาวัฒนธรรมของคนเจนเนอเรชั่นซีที่มีประสบการณ์ในการฝึกงานและกำลังทำงานในองค์กรด้านการท่องเที่ยวและการบริการ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์วัฒนธรรมการทำงานของคนเจนเนอเรชั่นซีโดยการประเมินตนเอง และเพื่อจำแนกความแตกต่างของการรับรู้วัฒนธรรมการทำงานระหว่างพนักงานและนักศึกษาฝึกงาน การวิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามแบบมีโครงสร้างในการเก็บข้อมูลกับประชากรที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปี ใช้วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวก โดยใช้สูตรของโคแครนแบบไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาฝึกงานและเป็นบุคลากร กลุ่มละ 200 ตัวอย่าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณาเพื่ออธิบายการรับรู้วัฒนธรรมการทำงานและการวิเคราะห์เปรียบเทียบแบบกลุ่มที่เป็นอิสระต่อกัน t-Test เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างของการรับรู้วัฒนธรรมการทำงานของกลุ่มตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างรับรู้คุณลักษณะที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมการทำงานในระดับมากที่สุด มีจำนวน 6 คุณลักษณะ และรับรู้ในระดับมาก จำนวน 18 คุณลักษณะ ผลการวิเคราะห์ความแตกต่างของการรับรู้วัฒนธรรมการทำงานของพนักงานและนักศึกษาฝึกงานเจนเนอเรชั่นซีพบว่า มีความแตกต่างกันโดยมีระดับนัยยะสำคัญทางสถิติ 0.001 จำนวน 14 คุณลักษณะและระดับนัยยะสำคัญทางสถิติ 0.05 จำนวน 2 คุณลักษณะ ผลการศึกษาให้ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์แก่แผนกทัพยากรมนุษย์เพื่อใช้ในการจ้างงานและธำรงรักษาประชากรกลุ่มเจนเนอเรชั่นซีแก่องค์กรการท่องเที่ยวและการบริการของประเทศไทย</p> เพชรศรี นนท์ศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/278272 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 ชื่อถนนในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก: การศึกษาตามแนวภูมิทัศน์ภาษาศาสตร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/276557 <p>ชื่อถนนในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกมีลักษณะที่โดดเด่นเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นพระนามของพระมหากษัตริย์และชื่อของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย แต่ข้อมูลเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองพิษณุโลกกับบุคคลสำคัญที่นำมาตั้งเป็นชื่อถนน รวมถึงที่มาของชื่อถนนที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ในสมัยหลังยังมีไม่ครบถ้วน บทความวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาที่มาของชื่อถนนในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกในปัจจุบัน และวิเคราะห์การสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ของชื่อถนนในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกโดยใช้กรอบทฤษฎีภูมิทัศน์ภาษาศาสตร์ (Linguistic Landscape) เพื่อสะท้อนให้เห็นแนวคิดในการเลือกชื่อดังกล่าวมาตั้งเป็นชื่อถนนซึ่งอยู่ในพื้นที่สาธารณะ โดยเก็บรวบรวมชื่อถนนในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกจากป้ายชื่อถนน เว็บไซต์ของจังหวัดพิษณุโลก เว็บไซต์การท่องเที่ยวจังหวัดพิษณุโลก เว็บไซต์แผนที่จังหวัดพิษณุโลก (Google Maps) และเอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ รวมจำนวน 58 ชื่อ ผลการศึกษาพบว่าที่มาของชื่อถนนมาจาก 7 แหล่ง เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ชื่อของชนชั้นปกครอง ชื่อหรือคำที่สื่อถึงผู้เกี่ยวข้องกับการสร้างถนนหรือผู้ใช้ถนนนั้นในการสัญจร ชื่อของสถานที่ ชื่อเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ชื่อของสัตว์ ชื่อของเครื่องใช้ และชื่อของโครงการภาครัฐ เมื่อศึกษาชื่อถนนตามกรอบทฤษฎีภูมิทัศน์ภาษาศาสตร์พบว่า ชื่อถนนสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เมืองพิษณุโลกในด้านประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม 7 ประการ ได้แก่ 1) สื่อถึงการให้ความสำคัญกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์เมืองพิษณุโลก 2) สื่อถึงการให้ความสำคัญกับทหารเอกของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3) สื่อถึงการให้ความสำคัญกับการกระทำยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 4) สื่อถึงความเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา 5) สื่อถึงการยกย่องประชาชนที่มอบที่ดินของตนเพื่อสร้างเป็นถนนสาธารณะหรือระลึกถึงผู้เกี่ยวข้องกับการสร้างถนนรวมถึงบุคคลสำคัญผู้เคยใช้ถนนนั้นในการสัญจร 6) สื่อถึงตำแหน่งสิ่งก่อสร้างสำคัญของเมืองทั้งในอดีตและในปัจจุบัน และ 7) สื่อถึงการบริหารงานของภาครัฐเพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดิน นอกจากนี้ชื่อถนนยังมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งของถนนในผังเมืองเขตเทศบาลนครพิษณุโลก กล่าวคือ ชื่อถนนที่มาจากพระนามของพระมหากษัตริย์ พระมเหสี และพระมหาอุปราช ส่วนใหญ่จะอยู่ในวงรัศมี 1 กิโลเมตรจากสถานีรถไฟพิษณุโลกและวงเวียนหอนาฬิกาซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองอันแสดงถึงการเคารพเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ผู้ทรงมีบทบาทสำคัญต่อเมืองพิษณุโลก วงรัศมีถัดออกไปเป็นชื่อของขุนนาง ส่วนชื่อของสัตว์จะอยู่ไกลจากจุดศูนย์กลางของเมืองมากที่สุด ผลการศึกษาจึงแสดงให้เห็นว่าชื่อถนนในเขตเทศบาลนครพิษณุโลกทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ในการสะท้อนแนวคิดการตั้งชื่อถนนที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเมืองพิษณุโลก รวมถึงแสดงให้เห็นอัตลักษณ์ของพิษณุโลกด้านความเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ผ่านภาษาในพื้นที่สาธารณะ</p> วรารัชต์ มหามนตรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/276557 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 รูปแบบและขนาดการเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวสู่ท้องถิ่น: กรณีศึกษาถนนคนเดินเชียงคาน จังหวัดเลย ประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/277918 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและประมาณการขนาดการเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากที่พักแรมและร้านอาหารสู่ท้องถิ่นในบริเวณถนนคนเดินเชียงคาน จังหวัดเลย โดยประยุกต์ใช้กรอบแนวทางการเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวสู่ท้องถิ่นที่เสนอโดย Mitchell &amp; Ashley (2006) และการจัดทำบัญชีประชาชาติด้านการท่องเที่ยวเป็นพื้นฐานการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้เยี่ยมเยือน ผู้ประกอบการ และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อให้ได้มาซึ่งรูปแบบและขนาดของการเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ผลการศึกษาพบว่า การจ้างแรงงานท้องถิ่นเป็นรูปแบบการเชื่อมโยงที่ดำเนินการมากที่สุด ขณะที่การสร้างพันธมิตร/เครือข่าย/ความร่วมมือในท้องถิ่นถือเป็นความท้าทายสำคัญ ผลการประเมินพบว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากที่พักแรมและร้านอาหารที่เชื่อมโยงสู่ท้องถิ่นมีมูลค่า 115.76 ล้านบาท และมีโอกาสเชื่อมโยงสู่ท้องถิ่น 52.07 ล้านบาท โดยรายรับจากที่พักแรมเชื่อมโยงสู่ท้องถิ่นในสัดส่วนที่สูงกว่าร้านอาหารเล็กน้อย แต่ร้านอาหารกลับมีสัดส่วนที่มีโอกาสเชื่อมโยงรายรับสู่ท้องถิ่นมากกว่าหากมีการส่งเสริมให้ใช้ผลิตผลทางการเกษตรของท้องถิ่นแทนการซื้อจากภายนอก ดังนั้นการสร้างโอกาสในการเชื่อมโยงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ เช่น การพัฒนาระบบดิจิทัลเพื่อเป็นสื่อกลางเชื่อมโยง การออกแบบสินค้า/บริการบนพื้นฐานทุนชุมชน การเชื่อมต่อ/เพิ่มห่วงโซ่อุปทานกับการท่องเที่ยวชุมชน เป็นต้น</p> กันต์สินี กันทะวงศ์วาร; อัครพงศ์ อั้นทอง, ศิริพร กิรติการกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/277918 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 ประติมานวิทยาของภาพสลักพุทธประวัติตอนมารผจญ จากทับหลังปราสาทพิมาย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/277465 <p>บทความวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สัญลักษณ์ทางศาสนา โดยเน้นไปที่ภาพสลักพุทธประวัติตอนมารผจญที่ปราสาทพิมาย โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพแบบไม่ประจักษ์ ผ่านการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง พร้อมทบทวนทฤษฎีเกี่ยวกับประติมานวิทยาเป็นเครื่องมือในการตีความและวิเคราะห์สัญลักษณ์ทางศาสนา ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าประติมานวิทยาเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความเข้าใจสัญลักษณ์ในงานศิลปะ โดยเฉพาะภาพสลักทับหลังตอนมารผจญซึ่งสะท้อนแนวคิดของพุทธศาสนานิกายมหายาน ทับหลังดังกล่าวแสดงภาพพระพุทธเจ้าทรงเอาชนะพญามารและบริวารผ่านการรักษาความสงบและใช้ปัญญา การตีความเชิงสัญลักษณ์แสดงถึงการปลดปล่อยจากอุปสรรคภายในจิตใจและการบรรลุธรรม โดยเน้นถึงการต่อสู้กับกิเลสตามแนวคิดของพุทธศาสนามหายาน นอกจากนี้ การศึกษายังพบว่าทับหลังมารผจญมีบทบาทสำคัญในการสะท้อนการแพร่ขยายของพุทธศาสนาในยุคอาณาจักรขอม และเป็นเครื่องหมายที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะกับศาสนาในยุคสมัยนั้น</p> ทวีศักดิ์ หงษ์เจริญ; สิริน ฉกามานนท์, ณัฏฐริญา ชินะพัฒนวงศ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/277465 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 โครงสร้างของคำเรียกสีในสิ่งแวดล้อมภูเขา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/276232 <p>ภาษามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสังคมวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ผู้คนจะใช้คำศัพท์ที่มาจากภาษาเพื่ออธิบายความหมายของสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสังคมวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ คำเรียกสีมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและความซับซ้อนของสังคมวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐานที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในบริบทภูเขา โดยใช้แนวคิดการคัดเลือกข้อมูลคำเรียกสีไม่พื้นฐานของ Berlin &amp; Kay (1969) และ Kay (1975) เครื่องมือการเก็บคำเรียกสีนำมาจากแผ่นสีของ RAL K7 CLASSIC (2021) จำนวน 93 แผ่นสี เพื่อนำไปสัมภาษณ์ผู้บอกภาษาหลักจำนวน 4 คน อายุระหว่าง 40-50 ปี ในพื้นที่วิจัยคือเทือกเขาภูเขียว อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ วิเคราะห์คำเรียกสีตามแนวคิดภาษาศาสตร์เชิงสังคมวัฒนธรรมของ Bucholtz and Hall (2005, 2008) และ Hodges (2015) งานวิจัยนี้ใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพและนำเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า คำเรียกสีไม่พื้นฐานมีจำนวน 372 คำ ทุกคำต้องปรากฏคำขยายเสมอ โดยคำขยายเหล่านั้นจะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมในบริบทภูเขาโดยเฉพาะพืช โครงสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐานมีทั้งหมด 26 โครงสร้าง จัดเป็นกลุ่มโครงสร้างได้ 7 โครงสร้าง โครงสร้างที่พบมากที่สุด คือ โครงสร้างกลุ่มที่ 1 ได้แก่ โครงสร้าง สี+(คำขยาย+คำหลัก) จำนวน 95 สี (25.54%) รองลงมา คือ สี+(คำหลัก+คำขยาย) จำนวน 91 สี (24.46%) และ สี+(คำขยายหลัก) จำนวน 74 สี (19.89%) ความซับซ้อนของโครงสร้างคำเรียกสีไม่พื้นฐานที่หลากหลายสะท้อนให้เห็นการมองโลกที่ละเอียดและซับซ้อนซึ่งเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต วัฒนธรรมชุมชน ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากภูเขา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปัจจัยลักษณะภูมิศาสตร์และการใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์มีความสัมพันธ์กับคำเรียกสีไม่พื้นฐาน ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแบบการวิเคราะห์คำเรียกสีในสิ่งแวดล้อมประเภทอื่นได้</p> เพ็ญประภา จุมมาลี; รัตนา จันทร์เทาว์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/276232 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 ไทดำ: วัฒนธรรมการใช้ผ้าจากอัตลักษณ์ภูมิปัญญาสู่ความร่วมสมัยในบริบทใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/275752 <p>งานวิจัยเรื่อง ไทดำ: วัฒนธรรมการใช้ผ้าจากอัตลักษณ์ภูมิปัญญาสู่ความร่วมสมัยในบริบทใหม่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาอัตลักษณ์การแต่งกาย ลวดลายผ้าและวัฒนธรรมการใช้ผ้าจากอัตลักษณ์ภูมิปัญญาชาติพันธุ์ไทดำ จังหวัดนครปฐม และจังหวัดราชบุรี 2) ออกแบบและนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาและต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย และ 3) เผยแพร่องค์ความรู้มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ้าทอชาติพันธุ์ไทดำ โดยศึกษาทั้งด้านรูปธรรมและนามธรรม ผลการวิจัยพบว่า 1) ชาติพันธุ์ไทดำมีการสืบทอดองค์ความรู้เรื่องวัฒนธรรมการใช้ผ้าที่มีอัตลักษณ์โดดเด่น โดยทางรูปธรรมพบว่ามีการทอผ้าซิ่นลายแตงโมโดยใช้สีดำเป็นพื้นหลัก สลับลายทอขวางด้วยเส้นสีฟ้าอ่อนหรือสีขาว การปักปะและการตัดเย็บละเอียดประณีต ทางนามธรรมพบว่าลวดลายและสีสันในผืนผ้ามีความหมายแฝงแทบทั้งสิ้น เป็นการสื่อถึงวิถีชีวิต ความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณ และการดำรงอยู่ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยการใช้ผ้าในพิธีกรรมสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ 2) ภาพลักษณ์ใหม่จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ผสานอัตลักษณ์ดั้งเดิมเข้ากับแนวคิดการออกแบบร่วมสมัย โดยการปรับขนาด สัดส่วน และรูปแบบของลวดลายให้เหมาะกับการใช้งานในบริบทใหม่ ต่อยอดด้วยการเปลี่ยนหน้าที่ใช้สอยจากเครื่องแต่งกายสู่ของใช้ของตกแต่งบ้านในชีวิตประจำวัน เช่น พรมปูพื้น หมอนอิง เบาะรองนั่ง และกระเป๋าแบบต่างๆ อีกทั้งยังปรับใช้เทคนิคการผลิตที่เหมาะกับวิธีการทอและตัดเย็บแบบดั้งเดิม และ 3) เผยแพร่ผลงานสร้างสรรค์จากผืนผ้าชาติพันธุ์ไทดำในภาพลักษณ์ใหม่เป็นองค์ความรู้จากภูมิปัญญาด้วยการจัดแสดงนิทรรศการเป็นการกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงาน เปลี่ยนมุมมองการใช้ผืนผ้าให้มีความร่วมสมัย</p> ประภากร สุคนธมณี; วรุษา อุตระ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/275752 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเพิ่มมูลค่าประสบการณ์การท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ด้วยเทคโนโลยี AR https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/277941 <p>การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ อย่างไรก็ตาม การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดด้านการเข้าถึง ความน่าสนใจ และความมีส่วนร่วมของผู้เยี่ยมชม เทคโนโลยี AR เป็นนวัตกรรมที่สามารถเสริมสร้างประสบการณ์เชิงโต้ตอบ ทำให้ข้อมูลเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มีความเข้าใจง่ายและเข้าถึงได้มากขึ้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR ในการเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ออกแบบต้นแบบระบบ AR เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ของนักท่องเที่ยว และวิเคราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยี AR ต่อการเข้าถึงข้อมูลและการเรียนรู้ วิธีการวิจัยประกอบด้วยการศึกษาทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการนำเทคโนโลยี AR มาใช้ในแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การออกแบบและพัฒนาต้นแบบ AR ที่รองรับการนำเสนอข้อมูลเชิงโต้ตอบ และการประเมินผลกระทบของเทคโนโลยีนี้ต่อผู้ใช้ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่าได้แนวทางในการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยี AR สามารถเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมได้โดยช่วยให้ผู้ใช้สามารถสำรวจแหล่งท่องเที่ยวผ่านภาพเคลื่อนไหวและแบบจำลอง 3 มิติ ลดข้อจำกัดด้านกายภาพ และกระตุ้นการเรียนรู้แบบอินเทอร์แอคทีฟ รวมถึงผลการวิเคราะห์ผลกระทบของเทคโนโลยี AR จากนักท่องเที่ยวในจังหวัดพิษณุโลก 60 คน ที่มีแนวโน้มในการใช้เทคโนโลยี AR มาช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านการพัฒนาแอปพลิเคชันนำเที่ยวและบริการเสริมที่เกี่ยวข้อง ข้อค้นพบเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า AR เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนอข้อมูลทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ในเชิงโต้ตอบ อย่างไรก็ตาม ยังมีความจำเป็นในการพัฒนาระบบให้มีความเสถียรยิ่งขึ้นและตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลาย ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อปรับปรุงแนวทางการนำเสนอข้อมูลในพิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าและประสบการณ์ของนักท่องเที่ยวในอนาคต </p> กนกกาญจน์ เสน่ห์ นมะหุต ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/277941 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์เนื้อหาดิจิทัลของอัตลักษณ์ชุมชนที่เสนอผ่านแพลตฟอร์มยูทูบโดยยูทูบเบอร์: กรณีศึกษาบ้านสันเจริญ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/278704 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์มุมมองการนำเสนอเนื้อหาอัตลักษณ์ของชุมชนท่องเที่ยวบ้านสันเจริญ รวมถึงวิเคราะห์และสังเคราะห์การสร้างการรับรู้ วาทกรรมในการนำเสนอ และผลกระทบจากการนำเสนอดังกล่าวโดยยูทูบเบอร์บนแพลตฟอร์มยูทูบ การศึกษาประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วิทยา ผ่านการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมจากคลิปวิดีโอ 130 รายการ การวิเคราะห์แก่นสาระควบคู่กับการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาจากคลิปวิดีโอ 35 รายการ ที่นำเสนอในช่วง พ.ศ. 2560-2568 ผลการศึกษาพบว่า ยูทูบเบอร์นำเสนออัตลักษณ์ชุมชน 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ 1) การสร้างภาพ "สวรรค์ที่ซ่อนเร้น" 2) การเล่าเรื่องเชิงประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงจากพื้นที่ปลูกฝิ่นสู่แหล่งผลิตกาแฟคุณภาพ 3) การนำเสนอภาพความท้าทายและการผจญภัย และ 4) การสร้างภาพวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่แปลกตาของชาวเมี่ยน การรับรู้อัตลักษณ์ชุมชน ยูทูบเบอร์ประกอบสร้างผ่านชุดวาทกรรม 4 ชุด คือ ความสวยงามของธรรมชาติ กาแฟคุณภาพสูง ความเป็นชุมชนต้นแบบ และการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ซึ่งส่งผลให้ชุมชนเกิดการปรับตัวเพื่อตอบสนองภาพลักษณ์ที่ถูกนำเสนอ ข้อเสนอแนะจากการศึกษาคือ ชุมชนควรพัฒนากระบวนการสื่อสารภายในให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่เป็นที่รับรู้จากภายนอก และจัดทำข้อมูลดิจิทัลเพื่อสร้างความเข้าใจและความคาดหวังที่เหมาะสมแก่ผู้เยี่ยมเยือน</p> กีรติ ตระการศิริวานิช; อัครพงศ์ อั้นทอง, ศิริพร กิรติการกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/278704 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700 ศิลปะการใช้สี: การประยุกต์และวิวัฒนาการของการสีย้อมพืชในผ้าหยุนจิน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/276016 <p>ผ้าหยุนจินเป็นสมบัติล้ำค่าของการทอผ้าไหมจีนแบบดั้งเดิม มีต้นกำเนิดที่หนานจิง มีชื่อเสียงในด้านทักษะการทอผ้าอันวิจิตรบรรจงและลวดลายสีสันอันสวยงาม ผ้าหยุนจินเป็นหนึ่งในสามผ้าทอที่มีชื่อเสียงของจีนในสมัยโบราณ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ คุณค่าทางนิเวศวิทยาและวัฒนธรรมของการย้อมสีพืชในงานศิลปะผ้าหยุนจิน จัดเรียงวิถีการพัฒนาของระบบสีของผ้าหยุนจินในสมัยราชวงศ์หยวน หมิงและชิง การสำรวจเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของสีย้อมจากพืชต่อระบบนิเวศ ความสมบูรณ์และเอกลักษณ์ของระบบสีผ้าหยุนจิน พร้อมทำการประเมินการปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณค่าของการพัฒนาที่ยั่งยืนในสังคมยุคใหม่ ใช้วิธีการวิจัยเอกสารอ้างอิง วิธีการสำรวจภาคสนาม วิธีการวิเคราะห์แบบสหวิทยาการและวิธีการวิเคราะห์กรณีศึกษา เพื่อจัดเรียงข้อมูลด้านประวัติศาสตร์และงานหัตถกรรมของผ้าหยุนจินจากเอกสารอ้างอิง รับข้อมูลปฐมภูมิผ่านการสำรวจภาคสนาม วิเคราะห์ความหมายแฝงทางวัฒนธรรมของระบบสีจากมุมมองแบบสหวิทยาการ พร้อมทั้งเลือกผ้าทอที่มีความโดดเด่นเพื่อทำการวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับองค์ประกอบของสีและความหมายเชิงสัญลักษณ์ การวิจัยแสดงให้เห็นว่า การย้อมสีจากพืชซึ่งเป็นแหล่งสำคัญของระบบสีของผ้าหยุนจิน ไม่เพียงแต่ทำให้ผ้าหยุนจินมีโทนสีที่หลากหลายและรูปแบบศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการฟื้นฟูและนวัตกรรมสมัยใหม่อีกด้วย ในด้านการฟื้นฟู ครอบคลุมถึงการฟื้นฟูระบบสีดั้งเดิม การฟื้นฟูเทคนิคการย้อมสีแบบโบราณ และการสร้างสรรค์การจับคู่สีทางประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อรักษาความแท้จริงทางวัฒนธรรมและตอบสนองต่อความต้องการด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในด้านนวัตกรรมการย้อมสีจากพืชถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมสิ่งทอแฟชั่น มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งช่วยส่งเสริมการพัฒนาสมัยใหม่ของผ้าหยุนจิน การวิจัยยังได้ขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้วัฒนธรรมผ้าหยุนจินในสังคมยุคใหม่ เปิดเส้นทางใหม่สำหรับการคุ้มครองและความทันสมัยของการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ เน้นย้ำถึงคุณค่าทางนิเวศวิทยาของการย้อมสีจากพืชและศักยภาพในด้านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม</p> ฮั่นชิง เก๋อ; ชูศักดิ์ สุวิมลเสถียร, จันทนา คชประเสริฐ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jnuks/article/view/276016 Mon, 23 Jun 2025 00:00:00 +0700