วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ <strong> ISSN</strong> 2985-0045 (Online)</span></span></p> <div id="publicationFrequency"><strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">Scheduled to be Published </span></span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">2 I</span></span></strong><strong><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ssues P</span></span></strong><span style="vertical-align: inherit;"><strong><span style="vertical-align: inherit;">er Year <br /></span></strong><span style="vertical-align: inherit;">Issue 1 (January - June); </span><span style="vertical-align: inherit;">Issue 2 (July-December)</span></span><em><strong> </strong></em></div> en-US <ul style="background-color: transparent; color: #000000; cursor: text; font-family: &amp;quot; noto sans&amp;quot;,arial,helvetica,sans-serif; font-size: 14px; font-style: normal; font-variant: normal; font-weight: 400; letter-spacing: normal; orphans: 2; outline-color: transparent; outline-style: none; outline-width: 0px; text-align: left; text-decoration: none; text-indent: 0px; text-transform: none; -webkit-text-stroke-width: 0px; white-space: normal; word-spacing: 0px;"> <li class="show" style="cursor: text; outline-color: transparent; outline-style: none; outline-width: 0px;">ผู้เขียนต้องยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กองบรรณาธิการวารสารกำหนด และผู้เขียนต้องยินยอมให้บรรณาธิการ แก้ไขความสมบูรณ์ของบทความได้ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนเผยแพร่</li> <li class="show" style="cursor: text; outline-color: transparent; outline-style: none; outline-width: 0px;">ลิขสิทธิ์บทความเป็นของผู้เขียน แต่วารสารเทคโนโลยีภาคใต้คงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการตีพิมพ์ครั้งแรก โดยเหตุที่บทความนี้ปรากฏในวารสารที่เข้าถึงได้จึงอนุญาตให้นำบทความไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา แต่มิใช่เพื่อการพาณิชย์</li> </ul> journal.sct@gmail.com (ศ.เกียรติคุณ ดร.นิตย์ศรี แสงเดือน, Professor emeritus Dr. Nitsri Sangduen) prawitri@gmail.com (น.ส.ประวิตรี ดุกทอง, Ms.Prawitri Dugtong) Thu, 31 Jul 2025 13:28:21 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 จากวิกฤตสิ่งแวดล้อมสู่ความกังวลด้านความมั่นคง: ศึกษากรณีภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เกิดขึ้นจากผู้อพยพวิกฤตสภาพภูมิอากาศในประเทศจีน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/275158 <p>การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหัวข้อที่ได้รับการพูดถึงอย่างกว้างขวาง ทว่าหนึ่งในผลกระทบที่ไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงมากนัก คือ ประเด็นเรื่อง “ผู้อพยพจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งในปัจจุบันยังขาดคำนิยามที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันและกรอบนโยบายที่ชัดเจนในการจัดการกับพวกเขา ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในประเทศจีน มีประชากรจำนวนมากที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานเนื่องจากผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ เขตปกครองตนเองมองโกเลียได้เผชิญกับพายุหิมะรุนแรง พายุทราย และการระบาดของตั๊กแตน พื้นที่ชายฝั่งทะเล เช่น เซี่ยงไฮ้ ประสบกับน้ำท่วมและพายุไต้ฝุ่น ขณะที่มณฑลอื่น ๆ ก็ต่อสู้กับคลื่นความร้อนที่รุนแรงมากขึ้น ผู้อพยพที่เกิดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ทำให้จำนวนผู้อพยพภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก แนวโน้มใหม่นี้กำลังกลายเป็นประเด็นที่น่ากังวลโดยเฉพาะเมื่อมีการคาดการณ์ถึงการเสื่อมสภาพของสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นต่อไป บทความฉบับนี้ศึกษากรณีภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เกิดจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนผู้อพยพจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศในประเทศจีนเป็นตัวอย่างโดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในการคิดค้นยุทธศาสตร์เชิงรุกสำหรับการจัดการกับประเด็นเร่งด่วนนี้ เนื่องด้วยสาเหตุของการอพยพย้ายถิ่นฐานจากสภาพภูมิอากาศมีรากฐานมาจากการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ทุกประเทศจึงมีความเสี่ยงที่จะได้ประสบ หากไม่มีการจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ปัญหาที่ในขณะนี้ยังคงเป็นเรื่องภายในประเทศ อาจมีศักยภาพที่จะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นวิกฤตระดับโลกได้ในอนาคต</p> กสิณา สัณฑกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/275158 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 วารสารฉบับเต็ม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/282467 <p>-</p> ประวิตรี ดุกทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/282467 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 การจัดการศักยภาพเชิงบูรณาการของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่ความเป็นเมืองไมซ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/274048 <p>การจัดการศักยภาพเชิงบูรณาการของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่ความเป็นเมืองไมซ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินศักยภาพของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่ความเป็นเมืองไมซ์ 2) ระบุปัจจัยในการจัดการเชิงบูรณาการของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่ความเป็นเมืองไมซ์ และ 3) เสนอแนวทางการจัดการศักยภาพเชิงบูรณาการของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่ความเป็นเมืองไมซ์ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับการพัฒนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่ความเป็นเมืองไมซ์ กลุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน จำนวนทั้งหมด 15 คน วิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกใช้การวิเคราะห์แก่นสาระ วิเคราะห์ด้านการจัดการศักยภาพเชิงบูรณาการของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่ความเป็นเมืองไมซ์ ผลการวิจัย พบว่า 1) การประเมินศักยภาพของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1.1) ด้านความสะดวกในการเข้าสู่เมือง เป็นศูนย์กลางสามารถเชื่อมโยงจากภาคกลางกับภาคใต้ 1.2) ด้านการสนับสนุนการจัดการ งานไมซ์จากเมืองที่จัดงานขาดความร่วมมือกับหน่วยงานอื่น ๆ 1.3) ด้านกิจกรรมเพิ่มเติมนอกเหนือจากการประชุม จุดแข็งด้านการท่องเที่ยวหลากหลายรูปแบบที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์และรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ 1.4) ด้านที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก มีการให้บริการด้านที่พักจำนวนมาก แต่ระบบขนส่งสาธารณะภายในพื้นที่ยังไม่เพียงพอ 1.5) ด้านสถานที่จัดงานและสิ่งอำนวยความสะดวก ยังไม่มีสถานที่จัดการประชุมขนาดใหญ่ 1.6) ด้านภาพลักษณ์และความมีชื่อเสียงของเมืองเป็นที่รู้จักของคนทั้งในและต่างประเทศแต่ยังมีปัญหาด้านการจราจรที่ติดขัดในเขตเมือง 1.7) ด้านสภาพแวดล้อมของเมือง ยังขาดระบบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ และ 1.8) ด้านความเสี่ยงและการบริหารจัดการความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติต่ำ 2) ปัจจัยในการจัดการเชิงบูรณาการของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่ความเป็นเมืองไมซ์ให้ความสำคัญในการจัดการด้านพื้นฐานเน้นการทำงานตามเป้าหมายขององค์กร แต่ยังขาดการประสานงานในหน่วยงานต่าง ๆ การจัดการคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมและสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยังไม่เพียงพอและไม่ได้รับมาตรฐาน และ 3) แนวทางการจัดการศักยภาพเชิงบูรณาการของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์สู่การเป็นเมืองไมซ์ คือ ข้อมูลสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินนโยบายการพัฒนาเมืองและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ สร้างความร่วมมือกันทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำงานบูรณาการร่วมกัน พร้อมทั้งยกระดับคุณภาพและบริการเพิ่มขีดความสามารถในการยกระดับสู่ความเป็นสากล</p> อังคเณ บุญเกิด, ภคมน โภคะธีรกุล, ฐิติมา โห้ลำยอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/274048 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการชุมชนโฮมสเตย์ บ้านหว้าน ตำบลน้ำคำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/276627 <p>การศึกษานี้มุ่งพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการโฮมสเตย์บ้านหว้าน โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างทักษะผู้ประกอบการ การนำแนวคิดการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและความน่าสนใจของโฮมสเตย์สำหรับนักท่องเที่ยวในอนาคต งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษากระบวนการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการชุมชนโฮมสเตย์ บ้านหว้าน ตำบลน้ำคำ อำเภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาศักยภาพดังกล่าว งานวิจัยนี้เป็นงานเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 1) ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐงานพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและงานบริการและมาตรฐานท่องเที่ยว 3 คน 2) เจ้าของบ้าน/ผู้ประกอบการโฮมสเตย์บ้านหว้าน 10 คน 3) ตัวแทนจากคณะกรรมการการท่องเที่ยวชุมชน 5 คน และ 4) ตัวแทนจากผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว 2 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 20 คน การเลือกกลุ่มตัวอย่างเน้นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของนักท่องเที่ยว ข้อมูลที่เก็บรวบรวมถูกนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหา เพื่อสังเคราะห์ผลลัพธ์ที่มีความแม่นยำและครบถ้วนตามวัตถุประสงค์ ผลการศึกษา พบว่า 1) กระบวนการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการชุมชนโฮมสเตย์บ้านหว้าน ประกอบด้วย 7 กระบวนการสำคัญ (1) ความสามารถในการสื่อสาร (2) การทำงานเป็นทีม (3) ทักษะการบริการ (4) การพัฒนาบุคลิกภาพ (5) การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี (6) การมีจิตบริการอย่างมืออาชีพ และ (7) การรอบรู้สถานการณ์ภายนอก ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง 2) แนวทางการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการประกอบด้วย 4 แนวทางสำคัญ (1) การพัฒนาคนในชุมชนเชิงบวกที่ส่งเสริมความสัมพันธ์และการมีส่วนร่วม (2) การพัฒนากระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์ (3) การพัฒนาการคิดและการตัดสินใจที่แม่นยำ และ (4) การพัฒนาอย่างยั่งยืน เน้นผลลัพธ์ที่สำคัญของการพัฒนา คือ ความสุขที่แท้จริงของคน ในชุมชนในการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน</p> พิชญาพร ศรีบุญเรือง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/276627 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาศักยภาพและยกระดับผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเพื่อหนุนเสริม การท่องเที่ยวทางราง วิถีถิ่นเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/274455 <p>การท่องเที่ยวทางรางในพื้นที่วิถีถิ่นเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ยังขาดการศึกษาที่ครอบคลุมเกี่ยวกับพฤติกรรม ความพึงพอใจ และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวและยกระดับการให้บริการให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ นอกจากนี้ การท่องเที่ยวทางรางยังต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวก และการสื่อสารการตลาดที่ยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้การพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ยังไม่บรรลุศักยภาพอย่างเต็มที่ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัย ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวทางรางของนักท่องเที่ยวในพื้นที่วิถีถิ่นเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจด้านส่วนประสมการตลาดบริการการท่องเที่ยวทางรางในพื้นที่วิถีถิ่นเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อส่วนประสมการตลาดบริการการท่องเที่ยวทางรางในพื้นที่วิถีถิ่นเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช และ 4) เพื่อเสนอแนวทางในการพัฒนาศักยภาพและยกระดับผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวทางรางในพื้นที่วิถีถิ่นเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม จากกลุ่มตัวอย่างนักท่องเที่ยวชาวไทย จำนวน 370 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงสถิติไคสแควร์ เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร ผลการวิจัย พบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นพนักงานเอกชนเพศหญิง อายุระหว่าง 31-40 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี สถานภาพสมรส และมีรายได้เฉลี่ย 20,001-30,000 บาทต่อเดือน ด้านพฤติกรรมการท่องเที่ยวพบว่า ส่วนใหญ่เคยเดินทางมาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง โดยรับทราบข้อมูลจากครอบครัวและคนใกล้ชิด นิยมเดินทางคนเดียว พักค้าง 1 คืน และชื่นชอบการท่องเที่ยวแหล่งธรรมชาติ ด้านความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.33) โดยมีความพึงพอใจสูงสุดในด้านสินค้าและบริการ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 3.81) และต่ำสุดในด้านลักษณะทางกายภาพ (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />= 2.97) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์พบว่า อายุ อาชีพ รายได้ ประสบการณ์การท่องเที่ยว แหล่งข้อมูล วัตถุประสงค์การเดินทาง ช่วงเวลา และลักษณะการเดินทางมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในระดับปานกลาง โดยผลการวิจัยนำไปสู่การเสนอแนวทางการพัฒนา 5 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก การพัฒนาการสื่อสารการตลาดและประชาสัมพันธ์ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ แนวทางดังกล่าวจะช่วยยกระดับศักยภาพการท่องเที่ยวทางรางในพื้นที่ให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> กิรฐากร บุญรอด, ฐิติมา รัตนพงษ์, เพียงพิศ ศรีประเสริฐ, พรรณนภา เขียวน้อย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/274455 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 โอกาส ความเป็นไปได้ และผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง ที่มีต่อนักศึกษาหลักสูตรเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อธุรกิจ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/273053 <p>การนำปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ เพื่อวิเคราะห์ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง เพื่อสำรวจความเห็นของนักศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการปรับใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างในการพัฒนาทักษะของตนเอง 4 ด้านที่จำเป็นของหลักสูตร คือ การศึกษา การพัฒนาซอฟต์แวร์ ศิลปะ และธุรกิจ และเพื่อประเมินผลกระทบของการใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างที่มีต่อนักศึกษาทั้งในด้านการเรียนรู้ ทัศนคติ และการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือนักศึกษาสาขาเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อธุรกิจ มหาวิทยาลัยศิลปากร ชั้นปีที่ 4 จำนวน 48 คน ผู้สอนได้เลือกกรณีศึกษาในการนำปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างไปใช้กับ 4 ด้าน ที่สอดคล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตร คือ การศึกษา การพัฒนาซอฟต์แวร์ การออกแบบและศิลปะ และด้านธุรกิจ ระยะเวลาการวิจัย 2 เดือน โดยเริ่มจากการจัดสอนเครื่องมือทางปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างในแต่ละด้านให้นักศึกษาทดลองปฏิบัติตาม แล้วเก็บผลการทำงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละด้าน เก็บแบบสอบถามเพื่อนำมาวิเคราะห์และประเมินผล ผลการใช้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างทำให้นักศึกษามีความสามารถในการประยุกต์ใช้ได้มากขึ้นทั้ง 48 คน การใช้งานปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง ในด้านต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นภายในระยะเวลา 1 เดือน โดยร้อยละ 60.42 เป็นการใช้งานด้านแชทบอท จำนวนความถี่ที่ใช้งานต่อเดือนเพิ่มขึ้นจากไม่เคยใช้งานเป็น 20 ครั้งต่อเดือน ถึงร้อยละ 18.75 และมีความถี่ในการใช้งานมากที่สุดที่จำนวน 1-5 ครั้งต่อเดือน (ร้อยละ 41.67) สาเหตุที่นักศึกษาเลือกใช้ ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง นักศึกษาใช้เพื่อทำการบ้าน หรืองานที่ได้รับมอบหมายมากที่สุด รองลงมา คือ การเขียนโปรแกรม และการแปลภาษา ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน และใช้สำหรับตกแต่งวิดีโอน้อยที่สุด ความคิดเห็นของนักศึกษาในด้านโอกาส ความเป็นไปได้ และผลกระทบในภาพรวมทุกหัวข้อของทั้ง 4 ด้านในระดับมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักศึกษามีความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้างโดยตระหนักถึงโอกาส ความเป็นไปได้ และผลกระทบจากการที่ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ ซึ่งผู้สอนสามารถใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์ของปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง แนะนำให้กับนักศึกษาได้ใช้ โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ค้นคว้า ทำงานที่มอบหมายได้จากเทคโนโลยีนี้ และเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงผลการใช้งานที่ช่วยให้ประสิทธิภาพการเรียนของนักศึกษาดีขึ้นอย่างไร เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมต่อไปกับการปรับตัวรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ในอนาคต</p> ถิรจิต แสนพล, กวิศรา พรายมี, เจษฎา แก้ววิทย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/273053 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หุ่นยนต์ร่วมสอน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/272800 <p>การจัดการเรียนการสอนโดยการใช้หุ่นยนต์ร่วมสอนในยุคดิจิทัลที่ส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งการวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของหุ่นยนต์ต่อการจัดการเรียนการสอน ข้อดีและข้อจำกัดของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หุ่นยนต์ร่วมสอน และเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หุ่นยนต์ร่วมสอน ด้วยวิธีการวิจัยแบบผสมวิธี โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบขั้นตอนเชิงสำรวจ ในระยะแรกใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์ครูผู้สอนวิชาวิทยาการคำนวน คอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ จำนวน 12 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง และในระยะที่สองใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในโรงเรียนสามจังหวัดชายแดนใต้ จำนวน 226 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานประกอบด้วย One-Way ANOVA และวิธีการถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า หุ่นยนต์มีบทบาทในการจัดการเรียนการสอนเนื่องจากช่วยเพิ่มประสบการณ์การเรียนการสอน และการเป็นผู้ช่วยสอน ข้อดีจากการนำหุ่นยนต์มาร่วมจัดการเรียนการสอน ได้แก่ มีความแม่นยำของข้อมูล มีการสะสมข้อมูลได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ข้อจำกัดของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หุ่นยนต์ร่วมสอน ได้แก่ ทัศนคติของครูผู้สอน การป้อนข้อมูลที่มีความผิดพลาดแก่หุ่นยนต์ ส่วนปัจจัยความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หุ่นยนต์ร่วมสอน ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายในการพัฒนาหุ่นยนต์ กรอบความคิดของผู้บริหารและครูผู้สอน ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้หุ่นยนต์ร่วมสอนของครูในโรงเรียนสามจังหวัดชายแดนใต้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ผลการวิจัยสามารถเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัย สร้างความตระหนักรู้และสร้างทัศนคติเชิงบวกแก่ครูต่อการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในยุคดิจิทัล</p> จารุณี การี, อาฟีฟี ลาเต๊ะ, มูนีเร๊าะ ผดุง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/272800 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 มาตรวัดการรับรู้ความสามารถตนเองในการวิจัย: การวิเคราะห์คุณสมบัติจิตมิติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/273782 <p>มาตรวัดการรับรู้ความสามารถตนเองในการวิจัยเป็นมาตรวัดความมั่นใจและความเชื่อของนักศึกษาที่มีต่อความสามารถในการทำวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความเหมาะสมของรายการคำถามในมาตรวัดการรับรู้ความสามารถตนเองในการวิจัยที่พัฒนาขึ้นและเพื่อตรวจสอบคุณลักษณะจิตมิติของมาตรวัดในด้านความตรงเชิงโครงสร้างและความเที่ยงตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักศึกษาบัณฑิตศึกษาที่กำลังศึกษาในปีการศึกษา 2566 จำนวน 260 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น ผู้วิจัยได้แปลข้อคำถามในมาตรวัดจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยและผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญทางภาษาก่อนเก็บรวบรวมข้อมูลกับตัวอย่างนักศึกษา ผลการวิเคราะห์คุณลักษณะจิตมิติของมาตรวัด พบว่า ขนาดตัวอย่างที่ใช้มีความเหมาะสมเมื่อทดสอบด้วย Kaiser-Meyer-Olkin (KMO) โดยมีค่าเท่ากับ 0.94 และผลการวิเคราะห์ Bartlett's Test of Sphericity พบว่า ข้อคำถามทั้ง 17 ข้อ มีความสัมพันธ์เพียงพอที่จะวิเคราะห์องค์ประกอบ (c<sup>2</sup>=2699.97, <em>df</em>=136, <em>p</em>&lt;.001) ผลการตรวจสอบความตรงเชิงโครงสร้างของมาตรวัดด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า โมเดลการวัดตามทฤษฎีมีความเหมาะสมกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดี (GFI=0.99, CFI=0.95, TLI=0.94, RMSEA = 0.07 (90% CI [.05, .08], PNFI=0.73) และมาตรวัดมีค่าความเที่ยงแบบความสอดคล้องภายในด้วยวิธี Cronbach’s Alpha เท่ากับ 0.94 โดยผลจากการศึกษาสามารถนำมาตรวัดนี้ใช้เป็นเครื่องมือกำกับติดตามนักศึกษาในหลักสูตร เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้และทักษะวิจัยให้แก่นักศึกษาและใช้ประกอบการประเมินผลการดำเนินงานหลักสูตรได้อย่างเหมาะสม</p> ทิตยา ศรีสุวรรณ, จุฑา ธรรมชาติ, ศุภกาญจน์ บัวทิพย์, ชิดชนก เชิงเชาว์, จิระวัฒน์ ตันสกุล, บุษบรรณ เชิดเกียรติสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/273782 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดนครศรีธรรมราช https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/276443 <p>สืบเนื่องจากการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของสัดส่วนผู้สูงอายุ ส่งผลให้การเตรียมความพร้อมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุผ่านรูปแบบการบูรณาการการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ผ่านมาทุกภาคส่วนมีการดำเนินการดังกล่าว แต่ไม่สอดคล้องกับบริบทการปฏิบัติในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองทรัพยากร และปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้ เพื่อวิเคราะห์สภาพทั่วไปในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ ตลอดถึงการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย เพื่อนำไปสู่การเสนอนวัตกรรมการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยใช้การเก็บข้อมูลจากเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกจาก<br />ผู้ที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นสภาพทั่วไปและความต้องการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ จากภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ตัวแทนผู้สูงอายุ และนักวิชาการ โดยใช้วิธีการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและตรวจสอบความถูกต้องด้วยการวิเคราะห์แบบสามเส้า ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหาของผู้สูงอายุพบประเด็นปัญหาทุกด้านและการรวมกลุ่มของผู้สูงอายุจะส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้ง 5 ด้าน แต่ปัญหาสุขภาพเป็นปัญหาเร่งด่วน จำเป็นต้องสร้างกลไกการดูแลโดยครอบครัวและชุมชน ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีผู้สูงอายุและบุคคลในครอบครัวตื่นตัวไม่ดีเท่าที่ควร จำเป็นต้องมีหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เข้ามาส่งเสริมให้ความรู้ 2) การบริหารจัดการของภาคีเครือข่ายขาดการบูรณาการข้อมูลและไม่ทราบภารกิจซึ่งกันและกันส่งผลให้ไม่เกิดการประสานและการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร 3) นวัตกรรมการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย 3.1 การสร้างกระบวนการเรียนรู้ 3.2 การบูรณาการภาคส่วนต่าง ๆ 3.3 การรวมกลุ่ม 3.4 การเชื่อมโยงแผนระหว่างองค์กร และ 3.5 การสร้างความสัมพันธ์กันต่อเนื่อง ดังนั้น การศึกษานี้ จะเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากการบริหารจัดการของภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุครอบคลุมทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสุขภาพ ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเทคโนโลยี ในการแก้ไขปัญหาตรงตามความต้องการและเหมาะสมกับบริบทพื้นที่อย่างยั่งยืน</p> ปวีณ์สุดา จันหุณี, สุเชาวน์ มีหนองหว้า, สุดารัตน์ สุดสมบูรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/276443 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 ผลกระทบของความสามารถทางเทคโนโลยีสารสนเทศและบุพปัจจัยต่อ ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินอัจฉริยะของโรงพยาบาลภาคเอกชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/272273 <p>ความท้าทายของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่มีความซับซ้อน และการดูแลอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ยังขาดรูปแบบที่ชัดเจนและแน่นอน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการดูแลผู้ป่วยและการทำงานของพนักงานในระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบของความสามารถทางเทคโนโลยีสารสนเทศและปัจจัยที่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินงานของระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินอัจฉริยะในโรงพยาบาลภาคเอกชน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพนักงานระดับปฏิบัติการจำนวน 411 ราย ที่มีความสามารถในการพูด อ่าน และเขียนภาษาไทย มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป รวบรวมข้อมูลผ่านแบบสอบถามและวิเคราะห์ด้วยตัวแบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัย พบว่า ความสามารถทางเทคโนโลยีสารสนเทศและปัจจัยที่เกี่ยวข้องมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินอัจฉริยะ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางสูงสุดที่ 0.243 และค่า R<sup>2</sup>=0.991 ซึ่งหมายความว่า ตัวแปรทั้งหมดสามารถอธิบายความแปรปรวนของประสิทธิผลได้ถึงร้อยละ 99.00 ดังนั้น การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินอัจฉริยะในภาคเอกชนจำเป็นต้องมีการจัดการองค์ความรู้และการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง ขับเคลื่อนด้วยทีมที่ทรงพลัง และการบูรณาการความร่วมมือจากภาคีเครือข่าย อันจะนำไปสู่การสร้างบรรยากาศความปลอดภัยและ การสนับสนุนบุคลากรในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ซึ่งจะช่วยให้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินสามารถให้บริการตามมาตรฐานคุณภาพด้านความปลอดภัยได้ครอบคลุมทั้งผู้ป่วย บุคลากรและสังคม ต่อไป</p> กฤษวโรตนม์ ภัทร์เชษฐ์โภคิน, อภิญญา สารสม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/272273 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 การออกแบบแดชบอร์ดคลังสินค้า บนพื้นฐานตัวชี้วัดประสิทธิภาพโลจิสติกส์ ภาคอุตสาหกรรม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/272424 <p>ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ทั้งการกำหนดกลยุทธ์การบริหารงานเพื่อสร้างความได้เปรียบ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม องค์กรหรือผู้บริหารไม่สามารถดึงข้อมูลออกมาใช้หรือเข้าใจและตีความข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบแดชบอร์ดงานบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์บนพื้นฐานตัวชี้วัดประสิทธิภาพโลจิสติกส์ ภาคอุตสาหกรรม ส่วนงานคลังสินค้า โดยโรงงานอตุสาหกรรมตัวอย่างเป็นโรงงานผลิต จำหน่ายน้ำยาทำความสะอาด และนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ โดยการออกแบบแดชบอร์ดนี้ใช้ตัวชี้วัดที่เกิดจากการพิจารณา 9 กิจกรรมโลจิสติกส์ ร่วมกับ มุมมอง 3 มิติ ได้แก่ มิติด้านต้นทุน ด้านเวลา และ ด้านความน่าเชื่อถือ โดยออกแบบแดชบอร์ดใน 3 มุมมองผู้ใช้งาน ผลการวิจัย พบว่า แดชบอร์ดแสดงผลของตัวชี้วัด สามารถแบ่งการแสดงผลได้ 3 ส่วน คือ 1) สำหรับการมองภาพรวม 2) สำหรับการวิเคราะห์ และ 3) สำหรับการปฏิบัติงาน ซึ่งก่อให้เกิดการดำเนินการ ส่งผลให้มูลค่าการถือครองสินค้าต่อยอดขายลดลงจาก 2.08 เท่า เหลือ 1.90 เท่า ระยะเวลาเฉลี่ยการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปลดลงจาก 468 วัน เหลือ 450 วัน ซึ่งสอดคล้องกับผลการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้งานที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนการประเมินอยู่ที่ 3.56 คะแนน จาก 4 คะแนน และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.13 ทั้งนี้การออกแบบแดชบอร์ดสำหรับคลังสินค้านี้ สามารถนำไปเป็นแนวทางในการออกแบบแดชบอร์ดสำหรับงานอื่น ๆ โดยเริ่มต้นจากการใช้ตัวชี้วัดสำหรับธุรกิจนั้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้ข้อมูลมาพัฒนาการดำเนินธุรกิจจริง</p> ปวริศ พระปฐมนาวี, คเณศ พันธุ์สวาสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/272424 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 ศึกษาแนวทางการนำวิธีระงับข้อพิพาททางเลือกมาใช้ในข้อพิพาท เกี่ยวกับการบุกรุกที่สาธารณะ: ศึกษาเฉพาะพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/272985 <p>การศึกษาวิจัยแนวทางการนำวิธีระงับข้อพิพาททางเลือกมาใช้ในข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการบุกรุกที่สาธารณะในพื้นที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความรู้ความเข้าใจเรื่องกระบวนพิจารณาทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่ตำบลเขาพนม อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ ศึกษาแนวทางการระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชนจากปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะที่ไม่ต้องนำไปสู่การพิจารณาคดีในศาลและก่อให้เกิดความสมานฉันท์ โดยใช้ข้อมูลจากเอกสารงานวิจัย กฎหมาย กฎกระทรวง ระเบียบกระทรวงมหาดไทย การอภิปรายกลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึกจากบุคคลที่มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ทั้งจากภาครัฐและประชาชน จำนวน 22 คน จากข้อมูลที่ได้มาทั้งหมดเมื่อนำมาวิเคราะห์ พบว่า แม้ภาครัฐจะมีการออกนโยบายและมาตรการทางกฎหมายมากมายหลายฉบับมาใช้แก้ปัญหาการบุกรุกและเพื่อลดคดีบุกรุกที่ดินของรัฐแล้วก็ตาม ปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะก็หาได้ลดน้อยถอยลงตามความเข้มข้นของมาตรการทางกฎหมายแต่อย่างใดไม่ เพราะกฎหมายที่รัฐใช้มักมุ่งเน้นที่การปราบปรามและลงโทษซึ่งรัฐเป็นผู้ดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว โดยขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในลักษณะเชิงไกล่เกลี่ย ป้องกัน และนับวันยิ่งทวีความขัดแย้งที่รุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน จากปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อเป็นการลดปัญหาข้อพิพาทและการฟ้องร้องจนเป็นคดีขึ้นสู่ศาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงควรมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการนำวิธีระงับข้อพิพาททางเลือก หรือวิธีระงับข้อพิพาทนอกศาลมาใช้แทนการฟ้องร้องประชาชนในพื้นที่ให้เป็นคดีและต้องรับผิดในทางอาญาสถานเดียว</p> จินตนา อุณหะไวทยะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/272985 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 มุมมองของผู้สอนภาษาอังกฤษต่อการเรียนรู้แบบร่วมมือในยุคดิจิทัล: บทบาทของภาษาอังกฤษและความพร้อมของหลักสูตรในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/275961 <p>งานวิจัยนี้ศึกษามุมมองของผู้สอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล) เกี่ยวกับการบูรณาการการเรียนรู้แบบร่วมมือและการใช้เครื่องมือดิจิทัลในชั้นเรียน โดยเน้นบทบาทของภาษาอังกฤษในฐานะสื่อกลางในการสื่อสาร และประเมินความพร้อมของหลักสูตรที่มีอยู่ในการรองรับการเรียนรู้แบบร่วมมือ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสานทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและการสำรวจจากผู้สอน และเสริมด้วยข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเรียนรู้แบบร่วมมือและการใช้เครื่องมือดิจิทัลในชั้นเรียน ผลการศึกษาพบว่า 87% ของผู้สอนมองว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือช่วยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักเรียนและการคิดวิเคราะห์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ โดย 70% ของผู้สอนระบุว่าเครื่องมือดิจิทัล เช่น ฟอรัมออนไลน์ แพลตฟอร์มแชทกลุ่ม และการประชุมทางวิดีโอ ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่มและส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษในบริบทจริง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในพื้นที่ที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาหลัก ทั้งนี้ยังพบอุปสรรคในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จำกัด การพัฒนาวิชาชีพที่ไม่เพียงพอ และความไม่ยืดหยุ่นของหลักสูตร การศึกษานี้เสนอแนะให้มีการปฏิรูปหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้แบบร่วมมือและการรู้เท่าทันดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาวิชาชีพที่มุ่งเน้น และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แบบร่วมมือในชั้นเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษ</p> มัฮซูม สะตีแม, คอซียะห์ ญัลบานี, โศรยา สาและ, บิลกิส อัคเตอร์, อิลฮัม เจะหนุ, ฮารตีนี เจะหมิง, รูฮานา สาแมง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/275961 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700 การเสริมความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยโดยใช้ประโยชน์ จากวิดีโอการนำเสนอในหัวข้อที่น่าสนใจ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/273747 <p>ในยุคที่ภาษาอังกฤษมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในฐานะภาษากลางระดับโลก นักศึกษาไทยมักพบความท้าทายเฉพาะในการพัฒนาความคล่องแคล่วในการพูด เนื่องจากโอกาสในการฝึกฝนภาษานอกกรอบการศึกษาแบบดั้งเดิมมีข้อจำกัด การศึกษานี้ได้สำรวจความมีประสิทธิภาพของการมอบหมายงานในรูปแบบวิดีโอเป็นเครื่องมือการสอนเพื่อเสริมทักษะการพูดในหมู่นักศึกษาไทยระดับปริญญาตรี โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ซึ่งรวมถึงทั้งวิธีเชิงปริมาณและวิธีเชิงคุณภาพในการประเมินผลกระทบ นักศึกษาจำนวน 14 คน ได้รับเลือกโดยการสุ่มตามความสะดวกและได้รับมอบหมายให้จัดทำวิดีโอการนำเสนอรายสัปดาห์ที่มีความยาว 4-5 นาที ในหัวข้อที่หลากหลาย รวมถึงการเล่าเรื่องเกี่ยวกับตนเอง โดยใช้สถานที่ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในการนำเสนอ การรวบรวมข้อเสนอแนะแต่ละรายได้ดำเนินการผ่านแบบสอบถามที่ประกอบด้วยข้อคำถามในรูปแบบมาตรวัดลิเคิร์ต 10 ข้อ โดยมีการให้คะแนนตั้งแต่ 1 (ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง) ถึง 5 (เห็นด้วยอย่างยิ่ง) เพื่อวัดประสิทธิภาพที่รับรู้ ความมั่นใจ และความพึงพอใจ การวิเคราะห์เชิงปริมาณของคำตอบในแบบสอบถามแบบลิเคิร์ต พบว่ามีการปรับปรุงที่สำคัญในหลายด้าน ความมั่นใจในการพูดของผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 โดยคะแนนเฉลี่ยเพิ่มจาก 3.7 เป็น 4.5 (p &lt; .01) ความพึงพอใจมีค่าเฉลี่ยที่ 3.92 (S.D. = 0.83) ความมั่นใจ 4.14 (SD = 0.64) และประสิทธิภาพในการเรียนรู้ 4.00 (S.D. = 0.67) ซึ่งทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงการปรับปรุงที่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) ยกเว้นการคงความสนใจซึ่งมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าอยู่ที่ 3.50 (S.D. = 0.51) ข้อเสนอแนะเชิงคุณภาพสนับสนุนผลลัพธ์ดังกล่าว โดยเน้นว่าการฝึกซ้อมช่วยลดความวิตกกังวลและเพิ่มความมั่นใจ โดยร้อยละ 71 ของผู้เข้าร่วม สังเกตเห็นการพัฒนาในเรื่องความสะดวกสบายและการนำเสนออย่างมีนัยสำคัญ ความหลากหลายของสถานที่และอิสระในการสร้างสรรค์ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการเรียนรู้ด้วย การศึกษาได้ข้อสรุปว่า การบูรณาการการมอบหมายงานในรูปแบบวิดีโอกับการเรียนรู้ภาษา เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะการพูด รวมถึงการออกเสียง ความคล่องแคล่ว และคำศัพท์ ผู้เข้าร่วมแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นและความวิตกกังวลที่ลดลง โดยได้รับประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการฝึกซ้อม การวิจัยในอนาคตควรพิจารณาการศึกษาเชิงระยะยาวเพื่อประเมินผลกระทบระยะยาวของการแทรกแซงดังกล่าวต่อการเรียนรู้ภาษาและความชำนาญที่ยั่งยืน</p> คณาสิน ตันสกุล, อาลียัส แนปิแน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารเทคโนโลยีภาคใต้ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/journal_sct/article/view/273747 Thu, 31 Jul 2025 00:00:00 +0700