วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;"วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น"&nbsp; เดิมชื่อ "วารสารเสลภูมิวิชาการ" เป็นวารสารสำหรับการเผยแพร่ผลงานวิชาการและผลงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาผู้สนใจทั่วไปและแขนงวิชาที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นผลงานในเชิงบูรณาการหลักการบริหารจัดการนิติบุคคล รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ การจัดการ สังคมวิทยา พัฒนาสังคม การศึกษา และสหวิทยาการทางสังคมศาสตร์ที่เชื่อมโยงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกให้กับปัญหาที่อยู่ในความสนใจของสังคม โดยมีรูปแบบการตีพิมพ์ฉบับพิมพ์ ISSN (Print): 2630-0842 ตั้งแต่ปีที่ 1 ฉบับที่ 1: 2558 และได้เริ่มจัดจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ISSN (Online): 2673-0928 &nbsp;ตั้งแต่ปีที่ 5 ฉบับที่ 1: 2562&nbsp; เป็นต้นไป วารสารเสลภูมิวิชาการ แจ้งเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "<strong>วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น&nbsp;</strong><strong>Journal of Legal Entity Management and Local Innovation&nbsp;&nbsp;</strong>ISSN (Print): 2697-6161&nbsp; มีกำหนดเผยแพร่วารสารฉบับปกติ (Regular Issues) ปีละ 6 ฉบับ ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป</p> en-US selaphum.academic@gmail.com (-) selaphum.academic@gmail.com (-) Mon, 21 Aug 2023 11:25:53 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 คุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266574 <p>วัตถุประสงค์งานวิจัยนี้คือ (1) เพื่อศึกษาคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร (2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ความพึงพอใจในการใช้บริการที่มีต่อคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร (3) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 ราย ผลการวิจัยพบว่า &nbsp;1) คุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านความเป็นรูปธรรมของบริการ ด้านการรู้จักและเข้าใจลูกค้า ด้านการให้ความเชื่อมั่นต่อลูกค้า &nbsp;ด้านการตอบสนองต่อลูกค้า และด้านความเชื่อถือไว้วางใจได้ 2) ความพึงพอใจของลูกค้ามีความสัมพันธ์กับคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 &nbsp;และ 3) การเปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ที่แตกต่างกันมีผลต่อคุณภาพการให้บริการด้านสินเชื่อของธนาคารออมสิน สาขาสลกบาตร จังหวัดกำแพงเพชร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> คุณากร สืบสายอ่อน, ลัสดา ยาวิละ, จิระภา งามสุทธิ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266574 Sun, 27 Aug 2023 00:00:00 +0700 กลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจร้านขนมจีนน้ำยาในวิถีปกติก้าวต่อไป (Next Normal)ในเขตอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263935 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจร้านขนมจีนน้ำยาในวิถีปกติก้าวต่อไป 2) เปรียบเทียบกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจร้านขนมจีนน้ำยาในวิถีปกติก้าวต่อไป จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภค และ 3) เปรียบเทียบกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจร้านขนมจีนน้ำยาในวิถีปกติก้าวต่อไป จำแนกตามพฤติกรรมการใช้บริการร้านขนมจีนน้ำยาของผู้บริโภค กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่มาใช้บริการร้านขนมจีนน้ำยาในเขตอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 384 คน โดยการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1) กลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจร้านขนมจีนน้ำยาในวิถีปกติก้าวต่อไป ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ รองลงมา คือ กลยุทธ์ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ กลยุทธ์ด้านกระบวนการ 2) ผู้บริโภคที่มีระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจร้านขนมจีนน้ำยาในวิถีปกติก้าวต่อไป ในภาพรวม แตกต่างกัน อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3) ผู้บริโภคที่มีความถี่ในการใช้บริการร้านขนมจีนน้ำยา วันที่ไปใช้บริการร้านขนมจีนน้ำยา ช่วงเวลาไปใช้บริการร้านขนมจีนน้ำยาบ่อยที่สุด บุคคลที่ไปใช้บริการร้านขนมจีนน้ำยาด้วยกัน จำนวนคนที่ไปใช้บริการร้านขนมจีนน้ำยาด้วยกัน และบุคคลที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจใช้บริการร้านขนมจีนน้ำยา ต่างกัน มีความคิดเห็นต่อกลยุทธ์ทางการตลาดของธุรกิจร้านขนมจีนน้ำยาในวิถีปกติก้าวต่อไป ในภาพรวม แตกต่างกัน อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p> อรรถพล มณีกูลพันธ์, กิติมา ทามาลี ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263935 Sun, 27 Aug 2023 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา ในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266684 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นต่อองค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 และ 2) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และข้าราชการครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากำแพงเพชร จำนวน 330 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ระดับความคิดเห็นของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 พบว่า ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบพบว่า องค์ประกอบที่มีระดับความคิดเห็นมากที่สุด คือ องค์ประกอบที่ 1 ด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และคุณธรรมจริยธรรม มีค่าเฉลี่ย ( &nbsp;= 4.27) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.=.01) และองค์ประกอบที่มีระดับความคิดเห็นน้อยที่สุด คือ องค์ประกอบที่ 3 ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรแบบมีส่วนร่วม มีค่าเฉลี่ย ( &nbsp;= 4.12) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.= .01) 2) องค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1&nbsp; ด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และคุณธรรมจริยธรรม มีค่าน้ำหนักขององค์ประกอบอยู่ระหว่าง .839-.962&nbsp; &nbsp;องค์ประกอบที่ 2&nbsp; ด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีค่าน้ำหนักขององค์ประกอบอยู่ระหว่าง .721-.856 องค์ประกอบที่ 3&nbsp; ด้านการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรแบบมีส่วนร่วม มีค่าน้ำหนักขององค์ประกอบอยู่ระหว่าง .900-.943 องค์ประกอบที่ 4&nbsp; ด้านการบริหารทรัพยากรภายในองค์กร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;มีค่าน้ำหนักของประกอบอยู่ระหว่าง .621-.760 และองค์ประกอบที่ 5&nbsp; ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วม มีค่าน้ำหนักขององค์ประกอบอยู่ระหว่าง .812-.882 ทั้ง 5 องค์ประกอบสามารถอธิบายความแปรปรวนทั้งหมดได้ร้อยละ 74.934</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</p> วรรณพล บูรัมย์, ชัชภูมิ สีชมภู, สุรเชษฐ์ บุญยรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266684 Mon, 28 Aug 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่ออาหารท้องถิ่นภาคเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264891 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงอาหารจังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาด(10P’s) ของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่ออาหารท้องถิ่นภาคเหนือของจังหวัดเชียงใหม่ และ 3) เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อส่วนประสมทางการตลาด(10P’s) จำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 405 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อทำการทดความแตกต่าง t-Test และ F-Test และวิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างเป็นรายคู่ โดยใช้ Scheffe Analysis ผลการศึกษา พบว่า 1) นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงอาหารของจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 54.07 อายุ 36 – 50 ปี ร้อยละ 41.73 สถานภาพโสด ร้อยละ 54.32 มีระดับการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 56.54 ประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ 26.64 รายได้ต่อเดือน ต่ำกว่า 15,000 บาท ร้อยละ 41.73 ภูมิลำเนาอยู่ในภาคกลาง ร้อยละ 34.32 ตามลำดับ 2) ส่วนประสมทางการตลาด(10P’s) ของนักท่องเที่ยวระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่ออาหารท้องถิ่นภาคเหนือ ในภาพรวม พบว่า ในภาพรวมนักท่องเที่ยวชาวไทยมีความคิดเห็นต่อระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีต่ออาหารท้องถิ่นภาคเหนือ อยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยมีความคิดเห็นต่อระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดมากที่สุด คือ ด้านลักษณะเฉพาะของพื้นที่ รองลงมา คือ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านกายภาพ ด้านบุคคล ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านกระบวนการ ด้านพันธมิตรทางธุรกิจ ด้านราคา และด้านโปรแกรมการท่องเที่ยว และด้านที่นักท่องเที่ยวชาวไทยมีระดับความคิดเห็นต่อระดับความสำคัญของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดน้อยที่สุด คือ ด้านการส่งเสริมการตลาด</p> อภิไทย แก้วจรัส, ชวลีย์ ณ ถลาง, เสรี วงษ์มณฑา ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264891 Mon, 28 Aug 2023 00:00:00 +0700 การบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์ วิทยาลัยนอร์เทิร์น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263071 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) ศึกษาระดับการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น และ 2.) การเปรียบเทียบระดับการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ คณะผู้บริหารหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น จำนวน 30 คน เนื่องจากข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ให้ข้อมูลการตอบที่มีความสำคัญและต้องให้ผู้ตอบสมัครใจในการให้ข้อมูลแบบสอบถาม การสมัครใจในการให้ข้อมูลของการวิจัยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการและแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแตกต่างด้วยค่า t-test ผลการศึกษาพบว่า ระดับการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับด้านที่มีค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านทีมงานร่วมแรงร่วมใจ ด้านการเป็นผู้นำร่วม ด้านโครงสร้างสนับสนุนชุมชน ด้านชุมชนกัลยาณมิตร ด้านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพัฒนาวิชาชีพ ด้านวิสัยทัศน์ร่วม ตามลำดับ การทดสอบสมมติฐานลักษณะสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านเพศ ระดับการศึกษาและประสบการณ์ทำงานมีค่าเฉลี่ยเกี่ยวกับระดับการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น ไม่แตกต่างกัน ส่วนลักษณะสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามทางด้านอายุ แตกต่างกันมีระดับการบริหารจัดการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> จตุพร แพงจักร, ปภาดา หอมจันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263071 Mon, 28 Aug 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ในจังหวัดสมุทรสาคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264333 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว 2) การตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) นำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมทางการตลาดและการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม ทำการเก็บกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ภายในจังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการไม่อาศัยความน่าจะเป็น และใช้วิธีสุ่มแบบบังเอิญ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, F-test และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ขบเคี้ยว อยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.82 และ 3.73 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ .753 และ .742 ตามลำดับ 2) ปัจจัยส่วนบุคคลในด้านสถานภาพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในขณะที่ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา วัตถุประสงค์ของการซื้อขนมขบเคี้ยว ค่าใช้จ่ายในการซื้อขนมขบเคี้ยว และความถี่ต่อการตัดสินใจซื้อขนมขบเคี้ยว ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด บุคคล กระบวนการ และลักษณะทางกายภาพ มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ในจังหวัดสมุทครสาคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (R<sup>2</sup>=.726**)</p> จันทรวัทน์ แก้วทอง, ทิฆัมพร พันลึกเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264333 Tue, 29 Aug 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ เทศบาลตำบลสันทราย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266753 <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ และ 2) เสนอรูปแบบการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทยในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลสันทราย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่มีกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่มเพื่อศึกษาประสบการณ์ด้านสุขภาพชุมชนจากผู้สูงอายุ จำนวน 150 คน ตลอดจนผู้บริหารของเทศบาลตำบลสันทราย จำนวน 8 คน และแพทย์แผนไทยวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ จำนวน 10 คน ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่ที่นํามาวิเคราะห์นั้นเป็นข้อความบรรยายที่ได้จากการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม การสัมภาษณ์ และการจดบันทึกข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า สภาพปัญหาของผู้สูงอายุแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) ปัญหาเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2) ปัญหาเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุจากความเสื่อมของร่างกาย และ 3) ปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์และสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ ในขณะที่ความต้องการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) การดูแลรักษาโรคด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และ 2) การพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงนำเสนอรูปแบบการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุออกเป็น 2 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมดูแลรักษาโรคด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย และ 2) กิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทยในชุมชน</p> หนึ่งฤทัย เสาร์จันทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266753 Tue, 29 Aug 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในเขตพื้นที่ เทศบาลตำบลสันทราย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264398 <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ และ 2) เสนอรูปแบบการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทยในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลสันทราย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพที่มีกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสนทนากลุ่มเพื่อศึกษาประสบการณ์ด้านสุขภาพชุมชนจากผู้สูงอายุ จำนวน 150 คน ตลอดจนผู้บริหารของเทศบาลตำบลสันทราย จำนวน 8 คน และแพทย์แผนไทยวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ จำนวน 10 คน ผลการศึกษาพบว่า สภาพปัญหาของผู้สูงอายุแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1) ปัญหาเกี่ยวกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 2) ปัญหาเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยที่มีสาเหตุจากความเสื่อมของร่างกาย และ 3) ปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์และสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ ในขณะที่ความต้องการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) การดูแลรักษาโรคด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย และ 2) การพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงนำเสนอรูปแบบการดูแลสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุออกเป็น 2 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมดูแลรักษาโรคด้วยกรรมวิธีการแพทย์แผนไทย และ 2) กิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุด้วยการแพทย์แผนไทยในชุมชน</p> พรนิภา สิทธิสระดู่, ปริพัช เงินงาม, ฐิติรัตน์ ชัยชนะ, กนกอร เพียรสูงเนิน, วรรณพร สุริยะคุปต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264398 Tue, 29 Aug 2023 00:00:00 +0700 รูปแบบการสื่อสารและการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยว อย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264620 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารของชุมชนที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก 2) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก 3) เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารและการมีส่วนร่วมของชุมชนส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ร่องกล้า หมู่ 10 ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านร่องกล้า หมู่ที่ 10 ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลกที่มีอายุ 18 ขึ้นไป จำนวน 186 คน จังหวัดพิษณุโลก โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการถดถอยแบบพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการสื่อสารด้านการสื่อสารแบบบนลงล่าง ด้านการสื่อสารแบบล่างขึ้นบน ด้านการสื่อสารแบบแนวนอน ด้านการสื่อสารแบบแนวไขว้ และการมีส่วนร่วมด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ มีผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก สำหรับการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณระหว่างรูปแบบการสื่อสารและการมีส่วนร่วมที่ส่งผลต่อการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ชุมชนบ้านร่องกล้า อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก สามารถพยากรณ์ได้ถูกต้องร้อยละ 27.60</p> สุภาพร กลิ่นนาค, ธัมมะทินนา ศรีสุพรรณ, ประสิทธิชัย นรากรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264620 Tue, 29 Aug 2023 00:00:00 +0700 การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของบริษัท ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมทรัพยากร มีผลต่อมูลค่ากิจการตามราคาตลาด https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265541 <p>การวิจัยเรื่องนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ&nbsp; มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัทกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมทรัพยากรที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์&nbsp; มีผลต่อมูลค่ากิจการตามราคาตลาด&nbsp; ประชากรเป็นบริษัทกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมทรัพยากรที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย&nbsp; จำนวน 68 บริษัท&nbsp; ได้ข้อมูลนำมาวิเคราะห์ทั้งสิ้นจำนวน 204 ข้อมูล ผู้วิจัยใช้การเก็บรวบรวมงบการเงิน&nbsp; แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1)&nbsp; และรายงานประจำปี&nbsp; รอบระยะเวลาบัญชีปี พ.ศ. 2562 - พ.ศ. 2564 รวมระยะเวลา 3 ปี&nbsp; การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา&nbsp; การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์&nbsp; และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ณ ระดับนัยสำคัญที่ 0.05 &nbsp;&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า&nbsp; การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม&nbsp; ไม่มีผลเชิงบวกต่อมูลค่ากิจการตามราคาตลาด 5 ตัวแปร ได้แก่&nbsp; อัตราส่วนมูลค่าราคาตลาดต่อสินทรัพย์รวม <strong>&nbsp;</strong>อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม &nbsp;อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น &nbsp;อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น&nbsp; และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น &nbsp;ส่วนการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน&nbsp; มีผลเชิงบวกต่ออัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม&nbsp; ที่ระดับนัยสำคัญ ทางสถิติ 0.05&nbsp; การเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ไม่มีผลเชิงบวกต่อมูลค่ากิจการตามราคาตลาดในด้าน อัตราส่วนมูลค่าราคาตลาดต่อสินทรัพย์รวมอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น&nbsp; อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น &nbsp;และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น &nbsp;ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p>&nbsp;</p> ศิริกัลยา ตันมิ่ง, จิรพงษ์ จันทร์งาม ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265541 Tue, 29 Aug 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263075 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและการเปรียบเทียบการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น จำนวน 15 คน เนื่องจากข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ให้ข้อมูลการตอบที่มีความสำคัญและต้องให้ผู้ตอบสมัครใจในการให้ข้อมูลแบบสอบถามการสมัครใจในการให้ข้อมูลของการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยาย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติทดสอบ ค่าที (t-test) ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way Analysis of Variance)&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า ระดับการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น โดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅= 4.02, S.D.= 0.74) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านมีระดับการพัฒนาอยู่ใน ระดับมาก ได้แก่ ด้านการประสานงาน ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ ด้านการสื่อสาร ด้านการมีเป้าหมายเดียวกัน ด้านความร่วมมือและการทดสอบการเปรียบเทียบลักษณะสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน มีระดับค่าเฉลี่ยเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีมของผู้บริหารหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการอุตสาหกรรม คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น ไม่แตกต่างกัน อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ศักดิ์ดา เกิดการ, เตชะธร สุขชัยศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263075 Tue, 29 Aug 2023 00:00:00 +0700 การตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของผู้ชายผ่านช่องทางออนไลน์บนเฟซบุ๊กของ ผู้บริโภคในเขตจังหวัดเชียงใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263077 <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสวนผสมทางการตลาดเฉพาะด้านผลิตภัณฑ์และด้านการสงเสริมการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของผู้ชายผ่านช่องทางออนไลน์บนเฟซบุ๊กผู้บริโภคในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มคนผู้ชายที่เคยซื้อสินค้าผ่านทางแอพพลิเคชั่น ออนไลน์ ที่อยู่ในกลุ่มผู้บริโภคในเขตจังหวัดเชียงใหม่ โดยไม่ทราบกลุ่มจำนวนประชากร ซึ่งใช้การสุ่มตัวอย่างเพื่อมาเป็นตัวแทนในการศึกษาแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบโควตาและเจาะจงพื้นที่จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการและใช้มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยาย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบโดยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ระดับปัจจัยสวนผสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และด้านการสงเสริมการตลาด พบว่า ระดับปัจจัยสวนผสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และด้านการส่งเสริมการตลาดโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ในทุกด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์และด้านด้านการส่งเสริมการตลาด</p> ศิริอมร กาวีระ, อชิรวิทย์ โชคโภคินพงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263077 Tue, 29 Aug 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหา ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ลำดับและอนุกรม โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 4E×2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266693 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 4E×2 สำหรับพัฒนาการเรียนการสอน เรื่อง ลำดับและอนุกรม และ 2) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง ลำดับและอนุกรม โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 4E×2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้ง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 27 คน ที่ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม จากทั้งหมด 5 ห้องเรียนโรงเรียนมัธยมสังคีตวิทยา กรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัด &nbsp;การเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 4E×2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การคำนวณค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 4E×2 สำหรับพัฒนาการเรียนการสอน เรื่อง ลำดับและอนุกรม ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นคว้า ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป และขั้นที่ 4 ขยายความคิด โดยในแต่ละขั้นตอนจะมีการสะท้อนการรู้คิดและการประเมินผลระหว่างเรียนไปพร้อม ๆ กัน 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง ลำดับและอนุกรม หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 4E×2 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> มณฑา วันชัย, ชานนท์ จันทรา, ต้องตา สมใจเพ็ง ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266693 Tue, 29 Aug 2023 00:00:00 +0700 บทบาทของผู้บริหารคณะสหเวชศาสตร์ที่มีต่อการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263093 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระดับผู้บริหารคณะสหเวชศาสตร์ที่มีต่อการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น กลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหาร คณะสหเวชศาสตร์ วิทยาลัยนอร์เทิร์น &nbsp;จำนวน 30 คน เนื่องจากข้อมูลกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ให้ข้อมูลการตอบที่มีความสำคัญและต้องให้ผู้ตอบสมัครใจในการให้ข้อมูลแบบสอบถาม การสมัครใจในการให้ข้อมูลของการวิจัยเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการและแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแตกต่างด้วยค่า t-test และ F-test ผลการวิจัยพบว่า ระดับบทบาทของผู้บริหารคณะสหเวชศาสตร์ที่มีต่อการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น โดยรวมอยู่ในระดับมาก การทดสอบสมมติฐานลักษณะสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านเพศ อายุ ประสบการณ์การทำงาน มีระดับค่าเฉลี่ยเกี่ยวกับระดับบทบาทของผู้บริหารคณะสหเวชศาสตร์ที่มีต่อการส่งเสริมงานวิจัยในชั้นเรียนของหลักสูตรการแพทย์แผนไทยบัณฑิต คณะสหเวชศาสตร์, วิทยาลัยนอร์เทิร์น ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ปภาดา หอมจันทร์, จตุพร แพงจักร ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263093 Wed, 30 Aug 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264064 <p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2) เพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 400 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปโดยใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา เพื่อหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มากกว่าครึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน หย่อนใจ โดยส่วนใหญ่เดินทางมาท่องเที่ยวกับเพื่อน/กลุ่มเพื่อน มีผู้ร่วมเดินทาง 10 คนขึ้นไป และมากกว่าครึ่งเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุด ซึ่งเคยเดินทางมาท่องเที่ยวแล้วมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไป ส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายมากกว่า 10,000 บาทขึ้นไป โดยทราบข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยวจากอินเตอร์เน็ต และมากกว่าครึ่งกลับมาท่องเที่ยวแน่นอน และพบว่าในภาพรวมนักท่องเที่ยว<br>มีความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ (10 P’s) ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคคล ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านกระบวนการ ด้านการรับรู้ภาพลักษณ์ ด้านการรวมผลิตภัณฑ์ และด้านนโยบายของสถานประกอบการอยู่ในระดับมากที่สุด</p> สุนิสา มามาก, เสรี วงษ์มณฑา, ผกามาศ ชัยรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264064 Wed, 30 Aug 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท สำหรับนักศึกษาพยาบาล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264236 <div> <p><span lang="TH">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ </span><span lang="EN-US">1) </span><span lang="TH">เพื่อพัฒนา</span><span lang="TH">สื่อการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท สำหรับนักศึกษาพยาบาล </span><span lang="EN-US">2)</span><span lang="TH"> เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการเรียนด้วย</span><span lang="TH">สื่อการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท สำหรับนักศึกษาพยาบาล </span><span lang="EN-US">3)</span><span lang="TH"> เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจของนักศึกษาพยาบาลในการใช้</span><span lang="TH">สื่อการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท สำหรับนักศึกษาพยาบาล สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ </span><span lang="EN-US">1 </span><span lang="TH">ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน </span><span lang="EN-US">30 </span><span lang="TH">คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ </span><span lang="EN-US">1) </span><span lang="TH">สื่อการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท สำหรับนักศึกษาพยาบาล </span><span lang="EN-US">2) </span><span lang="TH">แบบทดสอบความรู้เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วย</span><span lang="TH">สื่อการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท สำหรับนักศึกษาพยาบาล และ </span><span lang="EN-US">3) </span><span lang="TH">แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้</span><span lang="TH">สื่อการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท สำหรับนักศึกษาพยาบาล ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่า </span><span lang="EN-US">t</span></p> </div> <div> <p><span lang="TH">ผลการวิจัยพบว่า </span><span lang="EN-US">1) </span><span lang="TH">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ </span><span lang="EN-US">.05 2) </span><span lang="TH">ความคิดเห็นของนักศึกษาพยาบาลที่มีต่อการใช้สื่อการสอนในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด </span><span lang="EN-US">(</span><span lang="EN-US">𝑥̅</span><span lang="EN-US">=4.54, S.D.=0.49)</span></p> </div> <div> <p><span lang="TH">สื่อการสอนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท สำหรับนักศึกษาพยาบาล มีประสิทธิภาพสามารถนำไปใช้ทบทวนเนื้อหากายวิภาคศาสตร์ระบบประสาท เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นเพื่อนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลต่อไป</span></p> </div> ตุลนาฒ ทวนธง ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264236 Wed, 30 Aug 2023 00:00:00 +0700 การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ในจังหวัดสมุทรสาคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264334 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ และการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว 2) ปัจจัยการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนม&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ขบเคี้ยว โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ทำการเก็บตัวอย่างกับผู้ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ในจังหวัดสมุทครสาร จำนวน 400 คน โดยวิธีการไม่อาศัยความน่าจะเป็น และใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, F-test และการวิเคราะห์สมการถดถอยอย่างง่ายแบบ Enter</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ และการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.66 และ 3.74 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ .777 และ .786 ตามลำดับ 2) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ อาชีพ และความถี่ต่อการตัดสินใจซื้อขนมขบเคี้ยว ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว ภายในจังหวัดสมุทรสาคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการในด้านการโฆษณา การส่งเสริมการขาย การประชาสัมพันธ์ และการขายโดยพนักงาน มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว มีค่าอิทธิพลอยู่ที่ .538 หรือคิดเป็นร้อยละ 53.80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ธัญลักษณ์ รอดทับทัน, ทิฆัมพร พันลึกเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264334 Wed, 30 Aug 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของวิศวกรในองค์กร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264335 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับแรงจูงใจการปฏิบัติงาน และประสิทธิภาพการทำงาน 2) ประสิทธิภาพการทำงาน แยกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) นำเสนออิทธิพลแรงจูงใจในการปฏิบัติงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบบสอบถาม ทำการเก็บกับกลุ่มตัวอย่าง คือ วิศวกรในองค์กร จำนวน 400 คน ด้วยวิธีการอาศัยความน่าจะเป็น และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test, F-test และการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ แบบ Enter</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และประสิทธิภาพการทำงาน อยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.81 และ 4.07 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ .736 และ .498 2) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ สถานภาพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของวิศวกรในองค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ได้แก่ ด้านความมั่นคงในการทำงาน ด้านสวัสดิการและค่าตอบแทน ด้านโอกาสก้าวหน้าในอนาคต ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน และด้านนโยบายและการบริหารงาน มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการทำงานของวิศวกรในองค์กรในภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอยู่ที่ .05 (R<sup>2</sup>.517) หรือคิดเป็นร้อยละ 51.70</p> อรุณ นวกิจเจริญยิ่ง, ฉัตรพล มณีกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264335 Wed, 30 Aug 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาสภาพการบริหารงานโรงเรียนคุณธรรม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 จังหวัดพิษณุโลก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263901 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานโรงเรียนคุณธรรม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 จังหวัดพิษณุโลก ได้ศึกษาตามกระบวนการบริหารโรงเรียนคุณธรรม 6 ขั้นตอน ของศูนย์โรงเรียนคุณธรรม ได้แก่ 1)การสร้างการรับรู้ และ การยอมรับ 2)การสร้างครูแกนนำและนักเรียนแกนนำ 3)การกำหนดคุณธรรม อัตลักษณ์ของโรงเรียน 4)การกำหนดวิธีบรรลุคุณธรรมอัตลักษณ์ของโรงเรียน 5)การลงมือปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายการเปลี่ยนแปลง และ6)สร้างกลไกการขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรม ใช้กลุ่มประชากรในการศึกษาสภาพการบริหารงานโรงเรียนคุณธรรม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 จังหวัดพิษณุโลก จำนวนทั้งสิ้น 92 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าสภาพการบริหารงานโรงเรียนคุณธรรม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 จังหวัดพิษณุโลก ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ขั้นตอนที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การสร้างกลไกการขับเคลื่อนโรงเรียนคุณธรรม และขั้นตอนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ขั้นตอนการสร้างครูแกนนำและนักเรียนแกนนำ</p> กันต์ฤทัย งานวิชา, ณิรดา เวชญาลักษณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263901 Wed, 30 Aug 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาประสบการณ์นักท่องเที่ยวเพื่อพัฒนา การท่องเที่ยวเชิงศาสนาในประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264689 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการท่องเที่ยวของแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่มีความสำคัญต่อนักท่องเที่ยว และ 2) ศึกษาประเภทของประสบการณ์การท่องเที่ยวของแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่นักท่องเที่ยวได้รับ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมายังแหล่งท่องเที่ยวเชิงศาสนาในเกาะรัตนโกสินทร์ จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่าองค์ประกอบการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญได้แก่ความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว การจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมหรือประเพณี และทัศนียภาพความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวพึงพอใจต่อองค์ประกอบการท่องเที่ยวในสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นมากที่สุด รองลงมาได้แก่ บรรยากาศ สภาพภูมิอากาศที่ดี และความมีมิตรไมตรีของบุคลากร &nbsp;นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญต่อองค์ประกอบการท่องเที่ยวมากแต่ได้รับความพึงพอใจน้อย ได้แก่ ความสงบร่มเย็นของแหล่งท่องเที่ยว ความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ทัศนียภาพของแหล่งท่องเที่ยว ราคาสินค้าและบริการ และนักท่องเที่ยวเชิงศาสนาได้รับประสบการณ์ด้านสุนทรียะมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ประสบการณ์ด้านการบริการ ประสบการณ์ด้านการหลีกหนี ประสบการณ์ด้านการเรียนรู้ ตามลำดับ และนักท่องเที่ยวเชิงศาสนาได้รับประสบการณ์เชิงสังคมน้อยที่สุด</p> ปวีดา สามัญเขตรกรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264689 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 รูปแบบการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266797 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ บุคลากรในโรงเรียนดีเด่นขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 จำนวน 4 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครู และกรรมการสถานศึกษา จำนวน 52 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา ตัวแทนคณะกรรมการสถานศึกษา ครูฝ่ายบริหารงานงบประมาณ ครูฝ่ายบริหารงานวิชาการ ครูฝ่ายบริหารงานบุคคล และฝ่ายบริหารงานทั่วไป โรงเรียนละ 1 คน ในโรงเรียนดีเด่นขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่</p> <p>การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 จำนวน 4 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ประกอบด้วย แนวคิดและหลักการในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา วิธีการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา วิธีการจัดการทรัพยากรเพื่อการศึกษา บุคคล องค์กรเอกชนและหน่วยงานที่สนับสนุนการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา และปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา</p> วสุพล ม่วงเล็ก, ชัชภูมิ สีชมภู, สุกัญญา รุจิเมธาภาส ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266797 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266586 <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับปัจจัยการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อศึกษาระดับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก และเพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ผู้บริหารและครูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 296 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 88 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าถดถอยพหุคูณผลการวิจัยพบว่า ระดับปัจจัยการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาและระดับการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และปัจจัยการบริหารทรัพยากรทางการศึกษาที่ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็ก พบว่า ปัจจัยทั้ง 5 ด้านได้แก่ ด้านทรัพยากรบุคคล ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ด้านการจัดการ และด้านสารสนเทศ ส่งผลต่อการบริหารงานวิชาการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สัมประสิทธิ์การทำนาย (R<sup>2</sup>) เท่ากับ 0.967 แสดงว่าโดยรวมแล้วปัจจัยการบริหารทรัพยากรทางการศึกษามีอิทธิพลโดยรวมต่อการบริหารงานวิชาการ ประมาณ 0.967 หรือมีอำนาจการทำนายร้อยละ 96.70</p> สุทธิกรณ์ วรรณสมพร, ชัชภูมิ สีชมภู, สุรเชษฐ์ บุญยรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266586 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 อิทธิพลของสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกที่มีผลต่อการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลของข้าราชการทหารในสังกัดค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265408 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของอิทธิพลสภาพแวดล้อมภายในต่อการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลของข้าราชการทหารสังกัดค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของอิทธิพลสภาพแวดล้อมภายนอกต่อการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลของข้าราชการทหารสังกัดค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการทหารสังกัดค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 336 คน โดยมีการวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงอนุมาน โดยการวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า สภาพแวดล้อมภายในและสภาพแวดล้อมมีอิทธิพลทางบวกต่อการวางแผนทางการเงินด้านช่องทางในการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล,วัตถุประสงค์ในการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล,กรอบระยะเวลาการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล,รูปแบบการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลและบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p><strong> </strong></p> วชิรวิทย์ หมื่นจงใจดี, จิรพงษ์ จันทร์งาม ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265408 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองเพชรบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264007 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพจริงในปัจจุบัน ความคาดหวังที่พึงประสงค์ ความต้องการจำเป็น และเสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูโรงเรียนสังกัดเทศบาลเมืองเพชรบุรี โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี(Mixed Method) กลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารโรงเรียนและครู 118 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและการสนทนากลุ่ม โดยการวิเคราะห์เนื้อหาและการหาดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNI <sub>modified</sub>) ผลการวิจัยพบว่า สภาพจริงในปัจจุบันและความคาดหวังที่พึงประสงค์ของการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในภาพรวมอยู่ในระดับมากคือ การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา ในการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครู คือค่านิยมและวิสัยทัศน์ร่วม อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ความต้องการจำเป็นสูงสุดคือการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา มีค่าดัชนี (PNI <sub>modified</sub> = 0.16) และโครงสร้างสนับสนุนชุมชน มีค่าดัชนี (PNI <sub>modified</sub> = 0.13) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการ และการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูมี 48 แนวทางพัฒนา ในการเชื่อมโยงแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการและการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของครูที่สำคัญคือ การสนับสนุนและส่งเสริมให้ครูมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการทำวิจัยในชั้นเรียนสู่นำไปปฏิบัติกับโครงสร้างสนับสนุนชุมชนการเพิ่มช่องทางการใช้ข้อมูลระบบดิจิตอล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสร้างนวัตกรรม</p> ชัชชญา พีระธรณิศร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264007 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 อิทธิพลของความสามารถการทำกำไรและประสิทธิภาพการดำเนินงาน นโยบายทางการเงินที่มีผลต่อผลตอบแทนและมูลค่าหลักทรัพย์ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภค https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265409 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของความสามารถการทำกำไรและประสิทธิภาพการดำเนินงาน นโยบายทางการเงินที่มีผลต่อผลตอบแทนและมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรม สินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าอุปโภคบริโภค การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากงบการเงินที่มีข้อมูลครบถ้วน 84 บริษัท ช่วงปี พ.ศ.2562 – 2564 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของตัวแปร การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นมีผลกระทบเชิงบวกต่ออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนกับที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราส่วนเงินสดต่อกำไรมีผลกระทบเชิงบวกต่อราคาหลักทรัพย์ต่อจำนวนหุ้มสามัญ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราส่วนเงินสดต่อกำไรและอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น มีผลกระทบเชิงบวกต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวมมีผลกระทบเชิงบวกต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินสดต่อการทำกำไร ไม่มีผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราส่วนเงินสดต่อการทำกำไร อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ไม่มีผลกระทบกับอัตราการจ่ายเงินปันผล ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ไม่มีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ต่อจำนวนหุ้มสามัญ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร และอัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้ ไม่มีผลกระทบกับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร และอัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้ ไม่มีผลกระทบกับอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร และอัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้ ไม่มีผลกระทบกับราคาหลักทรัพย์ต่อจำนวนหุ้นสามัญ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ถาวร และอัตราส่วนหมุนเวียนลูกหนี้ไม่มีผลกระทบกับมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนความสามารถชำระดอกเบี้ย และอัตราส่วนความสามารถชำระภาระผูกพัน ไม่มีผลกระทบเชิงบวกต่ออัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนความสามารถชำระดอกเบี้ย และอัตราส่วนความสามารถชำระภาระผูกพัน ไม่มีผลกระทบเชิงบวกต่ออัตราการจ่ายเงินปันผล ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น อัตราส่วนความสามารถชำระดอกเบี้ย และอัตราส่วนความสามารถชำระภาระผูกพัน ไม่มีผลกระทบเชิงบวกต่อราคาหลักทรัพย์ต่อจำนวนหุ้นสามัญ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และอัตราส่วนความสามารถชำระภาระผูกพัน ไม่มีผลกระทบเชิงบวกต่อมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> ณัชชา อาบสา, พรทิวา แสงเขียว ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265409 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 ผลกระทบของสภาพคล่องและผลการดำเนินงานทางการเงินที่ส่งผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265480 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพคล่องที่วัดด้วยอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานทางการเงินและมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 2) ศึกษาสภาพคล่องที่วัดด้วยทุนหมุนเวียนที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานทางการเงินและมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 3) ศึกษาผลการดำเนินงานทางการเงินที่ส่งผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นข้อมูลงบการเงิน รวบรวมข้อมูลย้อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึง 2564 รวม 3 ปี กลุ่มตัวอย่างคือ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค จำนวน 55 บริษัท ได้ข้อมูลนำมาวิเคราะห์ทั้งสิ้นจำนวน 165 รายบริษัทรายปี (Firm years) โดยมีการวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าสูงสุด (Maximum) ค่าต่ำสุด (Minimum) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการวิเคราะห์เชิงอนุมาน โดยการวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า สภาพคล่องที่วัดด้วยอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current ratio) ส่งผลกระทบเชิงบวกกับกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และส่งผลกระทบเชิงบวกกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนสภาพคล่องที่วัดด้วยทุนหมุนเวียน (Working capital) ส่งผลกระทบเชิงบวกกับกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และผลการดำเนินงานที่วัดด้วยกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> ณภาภัช นันทะน้อย, ดารณี เอื้อชนะจิต ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265480 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณโดยใช้รูปแบบการเรียนรู้ แบบร่วมมือ CIRC สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266045 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIRC และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIRC <br>กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 สาขาการสอนภาษาไทย จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIRC, แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน, แบบฝึกทักษะการอ่านและแบบทดสอบย่อยหลังการทำกิจกรรม, แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIRC วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ย () ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบค่า t –test dependent หลังจากทำแบบทดสอบเพื่อวัดทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณก่อนเรียน-หลังเรียน พบว่า เมื่อจัดการเรียนการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIRC นักศึกษามีทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 โดยคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ( = 26.79, S.D. = 0.30) สูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน( = 15.45, S.D. = 0.33) เป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIRC พบว่า นักศึกษามีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.51 แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ CIRC สามารถพัฒนาทักษะการอ่านอย่างมีวิจารณญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> จันทร์จิรา หาวิชา, ชญานิศ พันธุ์จินดาวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266045 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264404 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุงเขต2 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุงเขต2 จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดของสถานศึกษา และ3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุงเขต 2 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน กำหนดขนาดจากตารางเครซี่มอร์แกนได้กลุ่มตัวอย่าง 306 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย โดยการจับสลากแบบไม่ใส่คืน เครื่องมือ คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>การทดสอบที (t-test) และการทดสอบเอฟ (F-test ) ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุงเขต 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน</li> <li class="show">ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 จําแนกตามวุฒิการศึกษาพบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน แต่เมื่อพิจารณารายด้านแล้วพบว่า ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหารแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และด้านการใช้เทคโนโลยีในการประเมินผลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน พบว่า ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 เมื่อพิจารณารายด้านแล้วพบว่าด้านการมีจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร และด้านการใช้เทคโนโลยีในการประเมินผล มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จําแนกตามจําแนกตามขนาดของสถานศึกษาพบว่าภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01เมื่อพิจารณารายด้านแล้วพบว่า ด้านการมีวิสัยทัศน์ทางเทคโนโลยี ด้านการมีจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี ด้านการใช้เทคโนโลยีในการบริหาร และด้านการใช้เทคโนโลยีในการประเมินผล แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และด้านการใช้เทคโนโลยีในการเรียนการสอนแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ครูมีข้อเสนอแนะต่อภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 พบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาควรหมั่นศึกษาหาความรู้ อย่างสม่ำเสมอในเรื่องเทคโนโลยี และควรเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการใช้เทคโนโลยี รวมถึงจัดหาอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวกและมีการจัดอบรมส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีให้กับครู บุคลากร และนักเรียน อย่างทั่วถึง&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;&nbsp;</li> </ol> อัษฎา ขาวคง, ตรัยภูมินทร์ ตรีตรีศวร ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264404 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยของทุนมนุษย์และอัตราส่วนกระแสเงินสด ที่มีผลต่ออัตราผลตอบแทนและกำไรในอนาคตที่ส่งผลกับมูลค่ากิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265432 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยของทุนมนุษย์และอัตราส่วนกระแสเงินสด ที่มีผลต่ออัตราผลตอบแทนและกำไรในอนาคตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากงบการเงินที่มีข้อมูลครบถ้วน 131 บริษัท ช่วงปี พ.ศ.2562 – 2564 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของตัวแปร การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า ทุนมนุษย์และอัตราส่วนกระแสเงินสด เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่ออัตราผลตอบแทนและกำไรในอนาคตของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ โดยทุนมนุษย์มีผลต่ออัตราผลตอบแทนในอนาคตเชิงบวก และอัตราส่วนกระแสเงินสดมีผลต่อกำไรในอนาคตเชิงบวก ซึ่งอธิบายได้ว่า การเพิ่มทุนมนุษย์สำหรับการพัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงาน สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตและผลตอบแทน ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ในส่วนของผลวิจัยอิทธิพลของอัตราส่วนสภาพคล่องและอัตราสวนกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน กับกำไรในอนาตค พบว่า อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ ระยะเวลาเก็บหนี้ อัตราหมุนเวียนของสินค้าคงเหลือ ไม่มีผลกระทบกับกำไรในอนาคต ในขณะเดียวกันอัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว มีผลกระทบเชิงบวกกับกำไรในอนาคต นอกจากนั้นยังพบว่า กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานต่อหนี้สินรวม กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานต่อกำไรสุทธิ ไม่มีผลกระทบกับกำไรในอนาคต แต่อัตรากระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ยมีผลกระทบเชิงบวกกับกำไรในอนาคต</p> พรประไพ แต่งเจริญพาณิชย์, ประเวศ เพ็ญวุฒิกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265432 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการระดมทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กที่สามารถ ดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง (Stand Alone) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265143 <p>การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานปัจจุบันและปัญหาการระดมทรัพยากรทางการศึกษา 2) เพื่อหาแนวทางการระดมทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง (Stand Alone) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 รูปแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ระยะที่ 1 คือ ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็กที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง (Stand Alone) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 65 โรงเรียน รวม 317 คน ระยะที่ 2 คือ กลุ่มตัวอย่างได้มาจากการกำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนที่มีแนวปฏิบัติ<br>ที่ดี (Best Practice) ในการระดมทรัพยากรทางการศึกษา จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานปัจจุบันในการระดมทรัพยากรทางการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.070 และปัญหาการระดมทรัพยากรทางการศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับน้อย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.229 และ 2) แนวทางการระดมทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กที่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง (Stand Alone) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 1 มี 7 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านการศึกษา วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ 2) ด้านการวิเคราะห์ทางเลือก 3) ด้านการแต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงาน 4) ด้านการจัดทำแผน 5) ด้านการดำเนินงานตามแผน 6) ด้านการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผล และ 7) ด้านการสรุปและรายงานผล โดยชุมชนมีบทบาทต่อการดำเนินการในทุกด้าน ดังนั้นโรงเรียนควรสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนและให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการระดมทรัพยากรทางการศึกษาตั้งแต่การเข้ามาร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ ร่วมดำเนินการ ร่วมติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผล และร่วมสรุปผลการดำเนินการระดมทรัพยากรทางการศึกษาของโรงเรียน</p> สาริณี สังไทย, หยกแก้ว กมลวรเดช, สุรเชษฐ์ บุญยรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265143 Thu, 31 Aug 2023 00:00:00 +0700 การจัดการความรู้ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264559 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการความรู้ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ศึกษาความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ศึกษาเปรียบเทียบการจัดการความรู้ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้กับการจัดการความรู้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 134 คน ได้แก่ บุคลากรของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยค่าสถิติทดสอบ t-Test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) และค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน กำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า (1) การจัดการความรู้ของบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ภาพรวม อยู่ในระดับมาก ด้านการแสวงหาและการสร้างความรู้ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือด้านการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ และด้านจัดเก็บความรู้ (2) ความเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้กับการจัดการความรู้ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านภาวะผู้นำ มีค่าเฉลี่ยมากสุด รองลงมาคือด้านการเรียนรู้ และด้านความรู้ (3) การเปรียบเทียบระดับการจัดการความรู้ของบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด พบว่า พนักงานที่มีตำแหน่งต่างกันมีความระดับการจัดการความรู้ไม่แตกต่างกัน ในขณะที่พนักงานที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน ต่างกันมีระดับการจัดการความรู้ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 (4) ความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรแห่งการเรียนรู้กับความคิดเห็นต่อการจัดการความรู้ของบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด พบว่า มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับการจัดการความรู้ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> วัชรินทร์ เสดสีกาง, ณัฐวีณ์ บุนนาค ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264559 Fri, 01 Sep 2023 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264416 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานี จำนวน 230 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาพบว่าประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่าบุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปทุมธานีที่มีปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่างกัน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานไม่ต่างกัน ในขณะที่แรงจูงใจในการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์ในระดับมากกับประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดปทุมธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;"> </span></span></p> แสงอรุณ มีคติธรรม, ภิรดา ชัยรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264416 Fri, 01 Sep 2023 00:00:00 +0700 การบริหารที่ส่งผลต่อการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสงขลาเขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264405 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารของโรงเรียนขนาดเล็ก <strong>2)</strong> เพื่อศึกษาการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนขนาดเล็ก<strong> และ 3) </strong>เพื่อศึกษาการบริหารที่ส่งผลต่อการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนขนาดเล็ก<strong> สังกัดสำนักงานเขตพื้นท</strong>ี่<strong>การศึกษาประถมศึกษาสงขลา เขต </strong><strong>1</strong> กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารและครู กลุ่มตัวอย่างจำนวน 201 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์ข้อมูลการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารโรงเรียนขนาดเล็กโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการบริหารบุคคล การบริหารทั่วไป ด้านการบริหารวิชาการ และด้านการบริหารงบประมาณ ตามลำดับ 2) การประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนขนาดเล็ก โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้านกระบวนการบริหารและการจัดการ และด้านคุณภาพผู้เรียนตามลำดับ 3) การบริหารโรงเรียนที่ส่งผลต่อการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียนขนาดเล็ก ได้แก่ การบริการงานวิชาการ การบริหารงานทั่วไป และการบริหารงานงบประมาณ โดยทั้ง 3 ด้านสามารถอธิบายความแปรปรวนของการประกันคุณภาพภายในได้ร้อยละ 80.70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001</p> ภัทรานิษฐ์ บุญฤทธิ์, นวรัตน์ ไวชมภู ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264405 Fri, 01 Sep 2023 00:00:00 +0700 การสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารในศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 จังหวัดพิษณุโลก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263980 <p>บทความวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหารในศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 7 จังหวัดพิษณุโลก การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยใช้กลุ่มประชากรในการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 92 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า การสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของผู้บริหาร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านฐานะของอาชีพ</p> ยุพเรศ นนท์ศรี, ณิรดา เวชญาลักษณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263980 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 การประเมินผลการดำเนินงานด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตามนโยบายพลิกโฉมมหาวิทยาลัยสู่เป้าหมายการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263653 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการดำเนินงานด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย &nbsp;ตามนโยบายพลิกโฉมมหาวิทยาลัยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย สู่เป้าหมายการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยื่น เก็บรวบรวมข้อมูลจากผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ประจำปีงบประมาณ 2563 และข้อมูลโดยการการสัมภาษณ์ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายสู่เป้าหมายการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยื่น โดยการวิเคราะห์ทางสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื่อหา (Content Analysis) และนำเสนอข้อมูลเชิงบรรยาย</p> <p>จากการศึกษาประเมินการดำเนินงานด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตามนโยบายพลิกโฉมมหาวิทยาลัยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลการศึกษา พบว่า จำนวนร้อยละของงานวิจัยและผลงานวิชาการ ประจำปีงบประมาณ 2563 จำแนกตามกลุ่ม SDG ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีจำนวน 292 ผลงาน โดยกลุ่ม SDG ที่มีจำนวนผลงานมากที่สุด คือ&nbsp; SDG 4: Quality Education (การศึกษาที่มีคุณภาพและเท่าเทียม) จำนวน 93 ผลงาน คิดเป็นร้อยละ 31.85 รองลงมาคือ SDG 8: Decent Work and Economic Growth (การเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน) จำนวน 44 ผลงาน คิดเป็น ร้อยละ 15.07 และ SDG 9: Industry, Innovation and Infrastructure (อุตสาหกรรมนวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน) จำนวน 37 ผลงาน คิดเป็นร้อยละ 12.67 และจากการศึกษาการประเมินการดำเนินงานด้านการวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตามนโยบายพลิกโฉมมหาวิทยาลัยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals–SDGs) ของมหาวิทยาลัย 1,115 แห่ง จาก 94 ประเทศทั่วโลกของสหประชาชาติ จากข้อมูล SDGs ทั้ง 17 ด้าน พบว่า SDG 5 : SDG 5 : Gender Equality (ความเท่าเทียมทางเพศ) มีคะแนน SDG ของคะแนนโดยรวมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 37.39 รองลงมา คือ SDG 8 : Decent Work and Economic Growth (การเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน) มีคะแนน SDG ของคะแนนโดยรวม คิดเป็นร้อยละ 31.00 และ SDG 16: Peace, Justice and Strong Institutions (สันติภาพ ยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง) มีคะแนน SDG ของคะแนนโดยรวมน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 22.00</p> <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; จากการศึกษาแนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานตามพันธกิจและยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงควรกำหนดจุดเน้นด้านงานวิจัย งานสร้างสรรค์ และนวัตกรรมที่โดดเด่นที่ตอบโจทย์เป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยใช้ความเข้มแข็งทางวิชาการเป็นหลักในการพัฒนา มีการวางแนวทางการดำเนินการเพื่อให้ผลลัพธ์ในด้านสัดส่วนผลงานวิจัยและผลงานสร้างสรรค์ นวัตกรรมที่มีความสอดคล้องกับบริบทของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ส่งเสริมสนับสนุนงานวิจัยของอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน รวมถึงมีวางแนวทางการต่อยอดงานวิจัยและงานสร้างสรรค์ให้สามารถนำไปต่อยอดเป็นนวัตกรรมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของมหาวิทยาลัยในด้านผลงานวิจัยเชิงประยุกต์และการพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้มีการจดทะเบียนผลงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การจดสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ อนุสิทธิบัตร รวมถึงการพัฒนากระบวนการประเมินการดำเนินงานตามพันธกิจด้านงานวิจัย งานสร้างสรรค์และนวัตกรรมให้มีความครอบคลุมมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ผลกระทบที่เกิดขึ้น และการสร้างคุณค่า เพื่อแสดงถึงความสำเร็จและเกิดประโยชน์ต่อท้องถิ่น สังคม และประเทศชาติ</p> ทิพย์วัลย์ ศรีพรม, ยุทธศิลป์ ชูมณี, เกศกานดา เชื้อสะอาด, สุรีพร คำสม, จิรายุทธ กาบปัญโญ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/263653 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 คุณภาพชีวิตการทำงานและความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264411 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาระดับความความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานกับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร จำนวน 112 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t– test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) โดยมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงานของข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร ภาพรวมพบว่า มีคุณภาพชีวิตการทำงานอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.81) สำหรับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานครภาพรวมมีความผูกพันต่อองค์การอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 4.04) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุ ต่างกันมีคุณภาพชีวิตการทำงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และยังพบว่าคุณภาพชีวิตการทำงานมีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการสำนักงานเขตสาทร กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<img title="\vec{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\vec{x}"></p> วจี ทีภูเขียว, ลดาวัลย์ ไข่คำ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264411 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264640 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน 2) ศึกษาระดับผลการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในกับผลการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน และ4) สร้างสมการพยากรณ์ผลการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครูผู้สอนจากโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงาน การศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา ปีการศึกษา 2565 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยการเทียบสัดส่วนจากตารางสำเร็จรูปของเครจซี่ และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 162 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามใช้สูตรการหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ .987 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าสถิติ ได้แก่ การหาค่าความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’sProduct Moment Correlation Coefficient) และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน(Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.50, S.D. =0.06) 2. การดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา โดยภาพรวมอยูในระดับมากที่สุด ( = 4.65, S.D. =0.10) 3. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในกับผลการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดสงขลา ได้แก่ ปัจจัยด้านผู้บริหารและนโยบาย ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ ปัจจัยด้านบุคลากร และปัจจัยด้านทรัพยากรและสิ่งสนับสนุน 4. ปัจจัยที่สามารถร่วมกันทำนายผลการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดสงขลา พบว่า มี 2 ตัวแปร คือ ตัวแปรด้านการบริหารงานวิชาการ และตัวแปรด้านทรัพยากรและสิ่งสนับสนุน สามารถเขียนในรูปคะแนนดิบได้ คือ </p> <p> = 4.783 + 0.93(X<sub>3</sub>) + 0.134(X<sub>5</sub>)</p> สมาน ติสรณะกุล, สุดาพร ทองสวัสดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264640 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 การตัดสินใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมบริการของกลุ่มผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264624 <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตัดสินใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามของกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน: กลุ่มอุตสาหกรรมบริการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานครในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 เขต ได้แก่ เขตวัฒนา เขตพญาไท เขตห้วยขวาง เขตจตุจักร และเขตราษฎร์บูรณะ โดยไม่ทราบกลุ่มจำนวนประชากร ซึ่งใช้การสุ่มตัวอย่างเพื่อมาเป็นตัวแทน การศึกษาแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบโควตา จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยาย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ ค่าที ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร: กลุ่มอุตสาหกรรมบริการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยภาพรวมระดับการตัดสินใจลงทุน อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านและการเมือง ด้านทางเศรษฐกิจ และด้านอื่น ๆ ที่มีความไม่แน่นอน การทดสอบการเปรียบเทียบเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย พบว่า ในทุกด้านระดับการตัดสินใจลงทุนอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านเกี่ยวกับตัวหลักทรัพย์ ด้านเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ ด้านสังคม ลักษณะสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านเพศ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน อาชีพ มีระดับค่าเฉลี่ยเกี่ยวกับต่อการตัดสินใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ไม่แตกต่างกัน มีอย่างนัยสำคัญที่ 0.05</p> จตุรวัฒน์ ธนิษฐ์นันท์, ชัญญาณิษฐ์ ธนิษฐ์นันท์, ขจรอรรถพณ พงศ์วิริทธิ์ธร, ชวลิต หงส์เลิศสกุล, ศิกาญจน์มณี ไซเออร์ส ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264624 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาเครือข่ายของภาครัฐ: กรณีศึกษา เครือข่ายอุตสาหกรรมป้องกันประเทศแบบพึ่งพาตนเอง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264673 <p>การวิจัยเรื่อง การพัฒนาเครือข่ายของภาครัฐ: กรณีศึกษา เครือข่ายอุตสาหกรรมป้องกันประเทศแบบพึ่งพาตนเอง มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการพัฒนาเครือข่ายของภาครัฐในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศแบบพึ่งพาตนเอง 2. เพื่อศึกษารูปแบบเครือข่ายของภาครัฐในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศแบบพึ่งพาตนเอง 3. เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานและพัฒนาเครือข่ายของภาครัฐในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศแบบพึ่งพาตนเอง โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูลสัมภาษณ์วิจัยจะเป็นการพิจารณาเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง กลุ่มตัวอย่างผู้ให้สัมภาษณ์แต่ละคนต้องมีหน้าที่ หรือการปฏิบัติงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เลือกสัมภาษณ์ทั้งระดับผู้บริหาร และระดับผู้ปฏิบัติงานจำนวน 30 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลในทุกมิติ ทั้งในเชิงนโยบาย และเชิงปฏิบัติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผลการวิจัยพบว่า การส่งเสริมการสร้างความร่วมมือในภาคีเครือข่าย เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการดำเนินงานและพัฒนาเครือข่ายของภาครัฐในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศสู่การพึ่งพาตนเอง&nbsp; ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับการมุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับภาคเอกชน เพื่อสนับสนุนการสร้างความร่วมมือในภาคีเครือข่ายตามหลักแนวคิดความมั่นคงแบบร่วมมือกัน (Cooperative Security) อันเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ต้องอาศัยความร่วมมือ (Cooperation) ระหว่างรัฐ และหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการฝึกศึกษา ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนา และความร่วมมือภาคการผลิต เพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงภายในและเป็นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมของชาติ</p> <p><strong>&nbsp;</strong></p> วรรณพร มีสุข, อรนันท์ กลันทปุระ, ภิรดา ชัยรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264673 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของหนังตะลุงจังหวัดสุพรรณบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265174 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของหนังตะลุงจังหวัดสุพรรณบุรี ประชากรที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นคณะหนังตะลุงจังหวัดสุพรรณบุรี และคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยกำหนดคุณสมบัติที่ว่าต้องเป็นคณะหนังตะลุงที่อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี ผู้ก่อตั้งคณะหรือเจ้าของคณะหนังตะลุงต้องเป็นคนจังหวัดสุพรรณบุรีโดยกำเนิด มีถิ่นฐานอาศัยอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และมีความชำนาญในการแสดงหนังตะลุง จำนวน 5 คณะ ได้แก่ หนังตะลุงคณะเสงี่ยมศิลป์สุพรรณบุรี หนังตะลุงคณะเจริญแสงศิลป์สุพรรณบุรี หนังตะลุงคณะน้องเก้งศิลป์สุพรรณบุรี หนังตะลุงคณะกณิศศิลป์สุพรรณบุรี และหนังตะลุงคณะเพชรดาวน้อยสุพรรณบุรี การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นนำแนวคิดทฤษฎีทฤษฎีโครงสร้าง – หน้าที่มาจัดเรียงประเด็นจากความเหมือนหรือความต่างในแต่ละหัวข้อจนได้ข้อสรุปถึงปัจจัยการดำรงอยู่ โดยวิเคราะห์เชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ผลต่อการดำรงอยู่ของหนังจะลุงจังหวัดสุพรรณบุรีล้วนมาจากวิถีชีวิตทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัฒนธรรม ประเพณี ความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสังคมสู่ความทันสมัยคล้ายกับสังคมเมือง รับความทันสมัยจากตะวันตกเข้ามาไม่ว่าจะเป็นการค้า ตลาด การบริโภค อุปโภค และเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคม โดยสภาพสังคมหรือยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรผู้คนจังหวัดสุพรรณบุรียังคงรักษาวัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ ไว้คงเดิมภายใต้บริบทสังคมที่มีความเป็นสมัยใหม่ มีการพัฒนารูปแบบการแสดงหนังตะลุงควบคู่ไปกับการอนุรักษณ์วัฒนธรรมหนังตะลุงรวมทั้งศิลปวัฒนธรรมของสุพรรณบุรีที่ความเป็นเอกลักษณ์เป็นตัวตนของหนังตะลุงสุพรรณบุรี</p> ธารารัตน์ รุ่งอโณทัยกุล, เทพิกา รอดสการ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265174 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 ผลกระทบความสามารถในการทำกำไรโครงสร้างทางการเงินและผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีต่อมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265445 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบความสามารถในการทำกำไรโครงสร้างทางการเงินและผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีต่อมูลค่าหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากงบการเงินที่มีข้อมูลครบถ้วน87บริษัทช่วงปีพ.ศ.2562 – 2564วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ค่าร้อยละค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของตัวแปรการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผลกระทบความสามารถในการทำกำไรที่มีต่อมูลค่าหลักทรัพย์ผลวิเคราะห์พบว่าอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นส่งผลกระทบเชิงบวกต่อมูลค่าหลักทรัพย์ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 เป็นไปได้ว่าอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นส่งผลให้มูลค่าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน,ผลกระทบโครงสร้างทางการเงินที่มีต่อมูลค่าหลักทรัพย์ผลวิเคราะห์พบว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของสินทรัพย์และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นส่งผลกระทบเชิงลบต่อมูลค่าหลักทรัพย์ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และผลกระทบผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีต่อมูลค่าหลักทรัพย์ผลวิเคราะห์พบว่าอัตรากำไรต่อหุ้นส่งผลกระทบเชิงบวกต่อมูลค่าหลักทรัพย์ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> ธัญดา กล่อมสูงเนิน, มัตธิมา กรงเต้น ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265445 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 ผลกระทบของกระแสเงินสด ความสามารถในการทำกำไร ความสามารถในการชำระหนี้ที่มีต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กลุ่ม SET100 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265473 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของกระแสเงินสด ความสามารถในการทำกำไร ความสามารถในการชำระหนี้ที่มีต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กลุ่ม SET100 &nbsp;การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากงบการเงินที่มีข้อมูลครบถ้วน 74 บริษัท ช่วงปี พ.ศ.2562 – 2564 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติโดยใช้การวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเพื่ออธิบายลักษณะทั่วไปของตัวแปร การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรอิสระ และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเพื่อทดสอบสมมติฐานการวิจัย</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ผลการศึกษาพบว่า กระแสเงินสดที่ส่งผลต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ได้แก่ กระแสเงินสดกิจกรรมลงทุน (CFO) และกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (CFF) ส่งผลกระทบเชิงลบต่อมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ส่วนกระแสเงินสดที่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรได้แก่ กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (CFO) ส่งผลกระทบเชิงบวกต่ออัตราส่วนกำไรขั้นต้น และกระแสเงินสดจากกิจกรรมลงทุน (CFI) ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตราส่วนกำไรสุทธิ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> กันยารัตน์ หนองหว้า, ดารณี เอื้อชนะจิต ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265473 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับประสิทธิภาพในการดำเนินงานและผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265560 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการทำกำไรกับประสิทธิภาพในการดำเนินงานและผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ระหว่างปี 2562-2564 ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษารวมทั้งสิ้น 342 ข้อมูล โดยยกเว้นบริษัทที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน และทำการวิเคราะห์ผลทางสถิติ โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการทำกำไรที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านอัตราหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร (FAT) ได้แก่ อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE)&nbsp; &nbsp;ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ความสามารถในการทำกำไรที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านอัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์รวม (TAT) ได้แก่ อัตรากำไรสุทธิ (NPM) อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> พรพิมล ทวนทอง, เบญจพร โมกขะเวส ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265560 Sat, 02 Sep 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาประสิทธิภาพของการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการและการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาดของผู้ถือบัตรเดบิตออมสิน อินสแตนท์ กรณีศึกษา: ธนาคารออมสินสาขา สำนักพหลโยธิน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265994 <p>การศึกษาประสิทธิภาพของการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการและการตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาดของผู้ถือบัตรเดบิตออมสิน อินสแตนท์ กรณีศึกษา ธนาคารออมสินสาขา สำนักพหลโยธิน เครื่องมือในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก กลุ่มตัวอย่างคือ ลูกค้าผู้ถือบัตรเดบิตออมสิน อินสแตนท์ ของธนาคารออมสิน ที่เข้ามาใช้บริการที่ธนาคารสาขาสำนักพหลโยธิน จำนวน 360 คน และสัมภาษณ์ผู้บริหารและพนักงาน 5 คน กลุ่มลูกค้าที่เคยเข้าร่วมกิจกรรม 10 คน และกลุ่มลูกค้าที่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรม 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย แจกแจงความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ผลการศึกษาพบว่า สาเหตุที่ทำให้การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ไม่ประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาดไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ เกิดจากสาเหตุหลัก 4 ด้าน คือ ด้านบุคคล ด้านการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ด้านพนักงาน และด้านกิจกรรมทางการตลาด แนวทางในการแก้ปัญหา คือ แนวทางที่ 1 การจัดอบรมให้กับพนักงานที่ประจำสาขา โดยมุ่งเน้นการเพิ่มทักษะเกี่ยวกับการให้บริการ การแนะนำผลิตภัณฑ์บัตรเดบิต แนวทางที่ 2 เพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ ด้วยการพัฒนา Application MyMo ของธนาคาร ให้สามารถแจ้งเตือนและแสดงข้อมูลรายละเอียดของกิจกรรมทางการตลาด และแนวทางที่ 3 ปรับกลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาด ด้วยการเพิ่มการโฆษณาผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ การทำป้ายโฆษณาตาม BTS, MRT และห้างสรรพสินค้า ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ลักษณะประชาการศาสตร์ ด้านเพศ อายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน แตกต่างกัน ประเมินการตัดสินใจเข้าร่วมในกิจกรรมทางการตลาด แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ด้านการโฆษณา ด้านการขายโดยใช้พนักงาน และด้านการประชาสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเข้าร่วมในกิจกรรมทางการตลาดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ ด้านการเสนอแนะบริการที่เป็นประโยชน์ และด้านการสื่อสารกับลูกค้า มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจเข้าร่วมในกิจกรรมทางการตลาดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>&nbsp;</p> ณัฐวัฒน์ คูบุญญอารักษ์, สิริพันธ์ วงศ์อินทวัง ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265994 Sun, 03 Sep 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาเปรียบเทียบการใช้งานระบบสารบรรณแบบเดิมกับระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล กรณีศึกษา เทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265425 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษา รูปแบบการทำงานของระบบสารบรรณแบบเดิมกับระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้งานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ของเทศบาลตำบลหนองไผ่ล้อม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ศึกษาวิจัยจากการเลือกแบบเจาะจง คือ ผู้บริหารจำนวน 4 คน และเจ้าหน้าที่ที่ใช้งานระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง และนำข้อมูลที่มาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การตีความ ถอดแบบสัมภาษณ์ นำเสนอข้อมูลในรูปแบบเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) การนำระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในการทำงานสารบรรณ ทำให้การรับ-ส่งหนังสือ และการค้นหาหนังสือมีความรวดเร็วมากขึ้น ช่วยลดขั้นตอนการทำงานในการส่งต่อหนังสือไปยังส่วนงานอื่นๆ และยังทำให้ปริมาณการใช้กระดาษลดลง&nbsp; 2) คุณภาพของระบบ มีความใช้งานง่ายและสะดวกสบาย โดยเจ้าหน้าที่สามารถเปิดดูหนังสือราชการที่เข้ามาในระบบได้ทุกที่ผ่านอุปกรณ์สื่อสารได้ คุณภาพของข้อมูล ตัวระบบถูกออกแบบมาให้เนื้อหาข้อมูลมีความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ การเก็บรักษาหนังสือราชการได้ยาวนานกว่าระบบเดิม 3) ปัญหาที่พบของผู้เข้าใช้ระบบ พบว่า ขั้นตอนการสมัครเข้าใช้งานมีความยุ่งยาก และซับซ้อน เนื่องจากมีการรักษาความปลอดภัยในระบบ ทำให้ผู้ใช้งานบางรายมองว่าระบบเดิมดีกว่า เพราะไม่ถนัดที่จะทำงานในระบบคอมพิวเตอร์</p> ปรภาส์ คงเกษมภิบาล, ปานปั้น รองหานาม ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265425 Sun, 03 Sep 2023 00:00:00 +0700 การมีส่วนร่วมของพนักงานในการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคม ด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265641 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของพนักงานโรงไฟฟ้าในจังหวัดสระบุรี ในการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป ทัศนคติต่อความรับผิดชอบต่อสังคม ระบบส่งเสริมการดำเนินงาน และการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย จากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นพนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงไฟฟ้าทั้งหมด จำนวน 312 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและไคสแควร์ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05</p> <p>จากแบบสอบถามที่ได้รับกลับคืนจำนวน 284 คน คิดเป็นร้อยละ 91 ผลการศึกษาพบว่า พนักงานส่วนใหญ่เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 83.1 มีอายุในช่วง 25-35 ปี คิดเป็นร้อยละ 48.6&nbsp; อยู่ส่วนงานเดินเครื่องคิดเป็นร้อยละ 52.5 มีอายุงานในโรงไฟฟ้าน้อยกว่า 3 ปี คิดเป็นร้อยละ 50.4 และร้อยละ 80.6 ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ร้อยละ 68 มีระดับทัศนคติต่อความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยที่ระดับดีถึงดีมาก ร้อยละ 70 มีความเห็นด้วยในระดับเห็นด้วยมากถึงมากที่สุดต่อระบบส่งเสริมการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของบริษัท แต่มีระดับการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย อยู่ในระดับน้อยถึงปานกลาง อยู่ถึงร้อยละ 76 ผลการศึกษาด้านปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับเงินเดือน การรับรู้ข่าวสาร และส่วนงานมีความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมของพนักงานในการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ส่วนระดับเงินเดือนและอายุงาน มีความสัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมในการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย และยังพบว่าทัศนคติ และระบบส่งเสริมการดำเนินงานมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษานี้สรุปได้ว่า นอกเหนือจากปัจจัยส่วนบุคคล ทัศนคติและระบบส่งเสริมการดำเนินงานที่ดีแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน และการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของพนักงานโรงไฟฟ้าในจังหวัดสระบุรี</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>คำสำคัญ (</strong><strong>Keywords</strong><strong>)</strong><strong>:</strong> การมีส่วนร่วม, การดำเนินงานความรับผิดชอบต่อสังคม, สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย</p> สมบูรณ์ ใจประการ ใจประการ, ลักษณา เหล่าเกียรติ, ชนกานต์ สกุลแถว, มงคล รัชชะ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265641 Sun, 03 Sep 2023 00:00:00 +0700 อัตลักษณ์ทางดนตรีของลำตัดแม่ศรีนวล ขำอาจ ศิลปินแห่งชาติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266925 <p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องอัตลักษณ์ทางดนตรีของลำตัดแม่ศรีนวล ขำอาจ ศิลปินแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบและอัตลักษณ์ทางดนตรีในการขับร้องเพลงพื้นบ้านลำตัดของแม่ศรีนวล ขำอาจศิลปินแห่งชาติ ผลการศึกษาพบว่าแม่ศรีนวล ขำอาจ<br />เริ่มฝึกหัดขับร้องและแสดงเพลงพื้นบ้านลำตัดเมื่อปี พ.ศ.2505 หลักจากได้รับการถ่ายทอดจากนายเต๊ะ นิมา บิดาของนายหวังดี นิมาหรือครูหวังเต๊ะ ต่อมาจึงศึกษาเพิ่มเติมจากครูหวังเต๊ะศิลปินแห่งชาติ การขับร้องของแม่ศรีนวล ขำอาจ เป็นการขับร้องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในเรื่องน้ำเสียงที่มีความกังวานสดใส มีการใช้เทคนิคครั่นเสียงหรือลูกคอที่เหมาะสมสอดรับกับจังหวะดนตรีเป็นอย่างดี ตลอดจนการแต่งกาย และการใช้ภาษาสุภาพที่เป็นเอกลักษณ์ของคณะลำตัดที่ได้รับการปลูกฝังจากครูหวังเต๊ะ ทำนองเพลงลำตัดของแม่ศรีนวล ขำอาจ ที่นับเป็นเอกลักษณ์สำคัญจำนวน 7 ทำนอง ได้รับถ่ายทอดจากครูเต๊ะ นิมา คือ 1)ทำนองกลาง เมื่อปี พ.ศ.2505 ได้รับถ่ายทอดจากครูหวังดี นิมา คือ 2)ทำนองเพราะ เมื่อปี พ.ศ.2507 3)ทำนองกระพือ เมื่อปีพ.ศ.2509 4)ทำนองโศก เมื่อปี พ.ศ.2516 5)ทำนองมอญ 6)ทำนองลาว เมื่อปี พ.ศ.2518 และ7)ทำนองแขก เมื่อปี พ.ศ.2519 ตามลำดับ แม่ศรีนวล ขำอาจ ใช้ความรู้ความสามารถทางการขับร้องลำตัดเพื่อรับใช้สังคมในด้านความบันเทิง ด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเภทเพลงพื้นบ้านภาคกลางผ่านการแสดงและการถ่ายทอดให้กับเยาวชน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 จนถึงปัจจุบัน</p> ฑีฆภัส สนธินุช, สุรศักด์ จำนงค์สาร ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266925 Sun, 03 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัญหาและอุปสรรคของพนักงานรักษาความปลอดภัยรับอนุญาตในการปฏิบัติหน้าที่ ตามพระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. 2558 กรณีศึกษา อิมแพ็ค เมืองทองธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266926 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไขให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยรับอนุญาตในการปฏิบัติหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. 2558 ประชากรคือ บริษัทผู้ประกอบธุรกิจรักษาความปลอดภัย พนักงานรักษาความปลอดภัยรับอนุญาต ผู้ว่าจ้าง อิมแพ็ค เมืองทองธานี และนายทะเบียนกลางและนายทะเบียนจังหวัดนนทบุรี รวมทั้งสิ้น 13 คน ผู้วิจัยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview)</p> <p>&nbsp;ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาและอุปสรรคของพนักงานรักษาความปลอดภัยรับอนุญาตในการปฏิบัติหน้าที่มี 4 ประเด็นคือ 1) ด้านคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ได้แก่ สัญชาติ วุฒิการศึกษา ลักษณะต้องห้าม 2) ด้านการฝึกอบรมและสถานฝึกอบรมหลักสูตรการรักษาความปลอดภัย ได้แก่ ค่าใช้จ่ายและมาตรฐานการฝึกอบรม 3) การขอรับอนุญาตประกอบธุรกิจรักษาความปลอดภัย พนักงานรักษาความปลอดภัยและการว่าจ้าง ได้แก่ ระยะเวลาการขึ้นทะเบียน การทำสัญญาว่าจ้าง และค่าใช้จ่าย 4) การปฏิบัติที่ตามพระราชบัญญัติธุรกิจความปลอดภัย พ.ศ.2558 ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับตำรวจ ผู้ช่วยเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองและพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ติดบัตรประจำตัว ส่วนแนวทางแก้ปัญหามี 4 ประเด็น คือ 1) ไม่กำหนดวุฒิการศึกษา ในการขอสมัครเข้ารับเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย 2) กำหนดลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้ที่พ้นโทษมาแล้ว จาก 3 ปี เป็น 1 ปี สามารถสมัครเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยรับอนุญาตได้ 3) บริษัทรักษาความปลอดภัยสามารถเปิดสถานฝึกอบรมได้โดยมีจำนวนผู้อบรมตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ส่วนบุคคลที่เคยเป็นทหาร ตำรวจ อาสาสมัครหรือเคยผ่านการเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยมาแล้ว 1 ปีขึ้นไป ให้อบรมหลักสูตรระยะสั้น 16 ชั่วโมง 4) ระหว่างรอผลการอนุญาตในระยะเวลาภายใน 60 วัน สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้</p> สิริพร เมธีผาติกุล, พงศ์กุลธร โรจน์วิรุฬห์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266926 Mon, 04 Sep 2023 00:00:00 +0700 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน; อัตลักษณ์และความรู้สึกเป็นเจ้าของ; เด็กปฐมวัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266905 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานเพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์และความรู้สึกเป็นเจ้าของในเด็กปฐมวัย: กรณีศึกษาชุมชนบ้านน้ำเกี๋ยน อ.ภูเพียง จ.น่าน กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กปฐมวัยชายและหญิงที่มีอายุระหว่าง 5-6 ปีที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านน้ำเกี๋ยน จังหวัดน่าน จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แผนการจัดการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน จำนวน 2 โครงการ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ และแบบสังเกตพฤติกรรมการมีอัตลักษณ์และความรู้สึกเป็นเจ้าของประกอบด้วยพฤติกรรม&nbsp; 4 ด้าน คือ 1.ด้านการมีอัตลักษณ์เฉพาะตัว และรู้สึกถึงการเห็นคุณค่าและยอมรับในตัวตน 2.ด้านการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม&nbsp; 3.ด้านการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคม <br>4.ด้านการมองเห็นความสามารถในตนเอง โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ การวิเคราะห์เนื้อหา และบรรยายเชิงพรรณนา</p> <p>&nbsp;</p> <p>ในการวิจัยผู้วิจัยพบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐานมีคะแนนเฉลี่ยการมีอัตลักษณ์และความรู้สึกเป็นเจ้าของในเด็กปฐมวัยสูงขึ้นกว่าก่อนได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน โดยด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการมองเห็นความสามารถในตนเอง ที่ประกอบด้วย การศึกษาหาความรู้การทำกิจกรรมที่หลากหลาย สามารถแบ่งปันความรู้ทักษะต่างๆกับผู้อื่น มีความมั่นใจในตนเองเรียนรู้สิ่งต่างๆและมีการเชื่อมโยงความเป็นอยู่ของคนในครอบครัว ชุมชน และวัฒนธรรมที่แวดล้อม และด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ประกอบด้วย การที่เด็กปฐมวัยรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อน บอกเล่าความแตกต่างระหว่างครอบครัวของตนเองและผู้อื่น การมีส่วนร่วมในกิจกรรมประเพณีของชุมชน เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสมาชิกในชุมชนรวมถึงสถานที่ต่างๆในชุมชนของตนเอง และบทบาทหน้าที่ และอาชีพของบุคคลในชุมชนได้</p> พรวิมล ปาผล, ปิยะนันท์ หิรัณย์ชโลทร, ชลาธิป สมาหิโต ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266905 Mon, 04 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษาโดยบูรณาการการสร้างความเป็นพลเมืองในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/267006 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมโดยบูรณาการการสร้างความเป็นพลเมืองในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจากการบูรณาการการสร้างความเป็นพลเมือง ประชากร คือ ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จำนวน 9 คน ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 590 คน โรงเรียนสาธิตสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูผู้สอนรายวิชาสังคมศึกษาฯ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 3 คน ผู้เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 จำนวน 31 คน โดยการเลือกระดับชั้นแบบเจาะจง (Purposive Sampling)&nbsp; แล้วสุ่มห้องเรียนอย่างง่าย (Simple Random Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน&nbsp; ผลการพัฒนาหลักสูตรสังคมศึกษาโดยบูรณาการการสร้างความเป็นพลเมืองในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น&nbsp; พบว่า หลักสูตรฯ ที่พัฒนาขึ้นมีส่วนประกอบ ได้แก่ หลักการและเหตุผล กรอบแนวคิด จุดหมายของหลักสูตร สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ จุดเน้นความเป็นพลเมือง ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้โดยบูรณาการการสร้างความเป็นพลเมือง โครงสร้างหลักสูตร คำอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา และแผนการจัดการเรียนรู้ &nbsp;ผลการใช้หลักสูตรฯ พบว่า ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาสังคมศึกษา ค่าเฉลี่ยของคะแนนอยู่ในระดับดี (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_phv&amp;space;\bar{x}">= 22.74 คะแนน หรือมีค่าร้อยละ 75.80)&nbsp; ความรู้ด้านความเป็นพลเมืองของผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยของคะแนนในระดับพอใช้ (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_phv&amp;space;\bar{x}">= 12.81 คะแนน หรือมีค่าร้อยละ 64.05)&nbsp; พฤติกรรมความเป็นพลเมืองของผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยในระดับดีเยี่ยม (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_phv&amp;space;\bar{x}">= 4.58, S.D. = 0.56) และผู้เรียนมีความพึงพอใจในการใช้หลักสูตรอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_phv&amp;space;\bar{x}">= 4.15, S.D. = 0.80)</p> <p>The objectives of this research are as follows: 1) to develop the curriculum for the subject group of Social Studies, Religion, and Culture by integrating civic education in junior high school. 2) to study the outcomes of implementing the curriculum for the subject group of Social Studies, Religion, and Culture in junior high school through the integration of civic education. The population consists of 9 teachers who teach Social Studies, Religion and Culture subject, and 590 students in grades 7-9 at Panyapiwat Institute of Management Demonstration School. The sample group consists of 3 Social Studies, Religion and Culture teachers at the first year of lower secondary education, and 31 students from the 1/3 class of the first year of lower secondary education. The sampling method used is purposive sampling to select specific grade levels and simple random sampling to select classroom, considering that students in each class have different abilities. The data analysis will be conducted using the mean and standard deviation. The components of the curriculum include principles and rationale, conceptual framework, curriculum objectives, content and learning standards, emphasis on civic education, indicators and learning content through civic education integration, curriculum structure, course descriptions and lesson plan. The results of using the social studies curriculum based on the measurement of learning outcomes in the subject, showed that students had an average score at a good level (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_phv&amp;space;\bar{x}">= 22.74 or 75.80%). The results of measuring knowledge in civic education showed that students had an average score at an acceptable level (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_phv&amp;space;\bar{x}">= 12.81 or 64.05%). The results of observing citizenship behavior showed that students had an excellent average score (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_phv&amp;space;\bar{x}">= 4.58, S.D. = 0.56). Students expressed a high level of satisfaction with the use of the curriculum (<img title="\bar{x}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\fn_phv&amp;space;\bar{x}">= 4.15, S.D. = 0.80).</p> <p>&nbsp;</p> ผกามาส สิงห์จาย, วิภารัตน์ มูสิกะเจริญ, สิทธิกร สุมาลี ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/267006 Mon, 04 Sep 2023 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ของผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266505 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลและความสัมพันธ์ระหว่างทักษะในศตวรรษที่ 21กับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; กลุ่มตัวอย่างคือ ครู ในสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัด สำนักงานเขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร จำนวน 180 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม&nbsp; &nbsp; &nbsp;การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Person’s product moment correlation coefficient) ค่านัยสำคัญทางสถิติที่ใช้ ในการวิเคราะห์ครั้งนี้กำหนดไว้ที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้อำนวยการสถานศึกษาแตกต่างกันและ ทักษะในศตวรรษที่ 21 มีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร ในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> สโรชินี จิตกิจติจำรัส, วัลลภ รัฐฉัตรานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266505 Mon, 04 Sep 2023 00:00:00 +0700 ผลการจัดกิจกรรมงานบ้านที่มีต่อการตระหนักรู้ในตนเองของเด็กปฐมวัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266821 <p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมงานบ้านที่มีต่อการตระหนักรู้ในตนเองของเด็กปฐมวัย กลุ่มเป้าหมายได้แก่ เด็กปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนชุมชนวัดบัวแก้วเกษร(วรพงศ์อนุกูล) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 &nbsp;อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี จำนวน 16 คน เครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมงานบ้าน จำนวน 20 แผน และ 2) แบบประเมินพฤติกรรมการตระหนักรู้ในตนเองของเด็กปฐมวัย 3) แบบบันทึกพฤติกรรมการตระหนักรู้ในตนเองของเด็กปฐมวัย วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยมีการตระหนักรู้ดีขึ้นหลังจากได้รับการจัดกิจกรรมงานบ้าน โดยเด็กมีคะแนนเฉลี่ยด้านความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตนเองสูงกว่าด้านการประเมินความสามารถตนเอง เด็กกล้าพูดแสดงความคิดเห็นและทำกิจกรรมในสถานการณ์ต่างๆ พูดได้ชัดเจนไม่เขินอาย สามารถเลือกทำกิจกรรมที่ตนเองชอบและถนัดได้ชัดเจนขึ้น สามารถให้เหตุผลประกอบในสิ่งที่ตนเองเลือกได้ดีขึ้น</p> <p>&nbsp;</p> <p>&nbsp;</p> นงนภัส เก่งสาริกิจ, ชลาธิป สมาหิโต , ปิยะนันท์ หิรัณย์ชโลทร ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266821 Mon, 04 Sep 2023 00:00:00 +0700 การเพิ่มศักยภาพตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีความสัมพันธ์กับการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่ของกลุ่มหัตถกรรมล้านนา จังหวัดเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266575 <p>การเพิ่มศักยภาพตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่มีความสัมพันธ์กับการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่ มุ่งวิเคราะห์การเสริมค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเสริมค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์กับการบริหารจัดการธุรกิจสมัยใหม่ของกลุ่มหัตถกรรมล้านนา จังหวัดเชียงราย เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลของการศึกษาเชิงคุณภาพ จากการวิเคราะห์และสังเคราะห์เอกสารและด้วยแบบสัมภาษณ์จาก 40 กลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูลสำคัญ การศึกษาเชิงปริมาณ จากการสำรวจด้วยแบบสอบถามจาก 400 กลุ่มตัวอย่างในการดำเนินการ ในการนี้ปัจจัยการเสริมค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ประกอบด้วยปัจจัยทุนทางสังคม ปัจจัยการตลาดเชิงสร้างสรรค์ ปัจจัยศักยภาพเครือข่ายทางสังคม และปัจจัยกระบวนการพัฒนา สำหรับปัจจัยการเสริมทักษะการเรียนรู้วิธีการทำงานที่ดีที่สุด เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการสร้างบุคลากรที่มีทักษะและความสามารถที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ผู้นำที่เป็นตัวอย่าง โครงสร้างงานที่ชัดเจนและการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบที่ชัดเจน รวมถึงปัจจัยการส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะในองค์กร ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่สังเกตได้เป็นบวก (correlation) โดยมีขนาดความสัมพันธ์ระหว่าง 0.159 ถึง 0.437 ที่ปัจจัยต่างๆ สัมพันธ์สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งทุนทางสังคมและกระบวนการพัฒนามีความสัมพันธ์กับการเสริมทักษะการเรียนรู้วิธีการทำงานที่ดีที่สุดมากที่สุด โดยค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 0.437, 0.398 ตามลำดับ รองลงมา การตลาดเชิงสร้างสรรค์มีความสัมพันธ์กับกระบวนการพัฒนามีค่าความสัมพันธ์เท่ากับ 0.293 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> สุภมล ดวงตา, กัสมา กาซ้อน, นิศารัตน์ ไชยวงศ์ศักดา ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266575 Tue, 05 Sep 2023 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานพัสดุกับประสิทธิภาพการทำงาน ของผู้ปฏิบัติงานพัสดุของการประปาส่วนภูมิภาคเขต 9 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264962 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานพัสดุ ได้แก่ การจัดหาพัสดุ การควบคุมพัสดุ การตรวจสอบพัสดุและการจำหน่ายพัสดุกับประสิทธิภาพการทำงานของผู้ปฏิบัติงานพัสดุของการประปาภูมิภาคเขต 9 และ 2) เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขการบริหารงานพัสดุของการประปาส่วนภูมิภาคเขต 9 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ผู้ปฏิบัติงานพัสดุของการประปาส่วนภูมิภาคเขต 9 ประกอบด้วย ผู้จัดการการประปาส่วนภูมิภาคสาขา หัวหน้างานพัสดุ พนักงานพัสดุ จำนวน 87 คน โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสถิติเชิงอ้างอิง เพื่อทดสอบสมมติฐานและวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Pearson Correlation) การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานพัสดุ ได้แก่ การควบคุมพัสดุ การตรวจสอบพัสดุและการจำหน่ายพัสดุ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการทำงานของผู้ปฏิบัติงานพัสดุของการประปาภูมิภาคเขต 9 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.01 2) กระบวนการจัดซื้อพัสดุอาจมีความยุ่งยากสลับซับซ้อน ส่งผลให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงานจนเกิดความล่าช้า จึงทำให้ประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานลดลง ควรเพิ่ม เน้นย้ำ หรือลดภาระของงานจัดซื้อพัสดุ หรือควรมีการทบทวนด้านการจัดซื้อพัสดุ และส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงานพัสดุได้รับการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับระเบียนและข้อบังคับต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานจัดซื้อจัดจ้างอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานให้มากขึ้น</p> ทิพย์สุดา ฟองสมุทร, ปานฉัตร อาการักษ์ , อัครเดช ฉวีรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264962 Tue, 05 Sep 2023 00:00:00 +0700 แนวทางในการพัฒนาโครงการจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจ ของกองพันทหารสื่อสารที่ 21 กองทัพภาคที่ 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265915 <p>แนวทางในการพัฒนาโครงการจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจของกองพันทหารสื่อสารที่ 21 กองทัพภาคที่ 1 มีวัตถุประสงค์การวิจัย คือ 1) เพื่อศึกษาบริบทของการดำเนินโครงการจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจของกองพันทหารสื่อสารที่ 21 กองทัพภาคที่ 1 2) เพื่อศึกษาผลการดำเนินโครงการที่เกิดขึ้นแล้วของโครงการจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจของกองพันทหารสื่อสารที่ 21 กองทัพภาคที่ 1 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาจิตอาสาในการดำเนินโครงการจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจของกองพันทหารสื่อสารที่ 21 กองทัพภาคที่ 1 โดยใช้วิธีการดำเนินวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 กลุ่มผู้บังคับบัญชาผู้รับนโยบายมาแปลงเป็นแผนดำเนินการ จำนวน 1 คน กลุ่มที่ 2 กลุ่มเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามแผนดำเนินการ <br />จำนวน 15 คน รวมทั้งสิ้น 16 คน การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การตรวจสอบข้อมูลแบบ 3 เส้า ผลการศึกษาพบว่า 1) บริบทของการดำเนินโครงการจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจนั้นผู้บังคับบัญชารวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานโดยส่วนใหญ่แล้วได้ปฏิบัติงานจิตอาสาครบทุกประเภท อันได้แก่ 1.1) จิตอาสาพัฒนา 1.2) จิตอาสาภัยพิบัติ 1.3) จิตอาสาเฉพาะกิจ เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานจิตอาสารวมถึงได้รับการอบรบก่อนปฏิบัติงานจริง และการกำกับดูแลในการปฏิบัติงานจิตอาสาด้วย 2) ผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจในแต่ละด้านได้ประสบความสำเร็จ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบุคคล ชุมชน สถานที่ สิ่งแวดล้อม ในหลากหลายรูปแบบโดยส่งผลกระทบออกไปเป็นวงกว้างและเกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น 3) แนวทางในการพัฒนาจิตอาสาในการดำเนินโครงการจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจ คือ 3.1) ควรจัดให้มีการอบรมจิตอาสาบ่อย ๆ และมีการอบรมขยายผลให้กับสมาชิกจิตอาสาที่เข้ามาใหม่ตลอดทั้งปีก่อนทำงานจริง 3.2) หน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบควรมีการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมจากการประชาสัมพันธ์ของสำนักพระราชวัง 3.3) ควรมีการหมุนเวียนงานจิตอาสาให้สมาชิกจิตอาสา ได้มีโอกาสทำงานจิตอาสาในด้านอื่น ๆ 3.4) การสนับสนุนจิตอาสาไม่ว่าจะเป็น อาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงอุปกรณ์ในการทำงานจิตอาสาจะต้องพร้อมเสมอเมื่อมีการทำงานจิตอาสา</p> วีรภัทร กาญจนามงคลชัย, วิจิตรา ศรีสอน ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265915 Tue, 05 Sep 2023 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ของสัดส่วนการถือหุ้นของรายย่อย อัตราส่วนทางการเงิน และราคาหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266667 <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของสัดส่วนการถือหุ้นของรายย่อยอัตราส่วนทางการเงิน และราคาหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จำนวน 170 ตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; จากระบบข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระหว่างรอบระยะเวลาบัญชี ปี พ.ศ. 2561-2565 ซึ่งอยู่ในรายงานข้อมูลประจำปี 56-1 และรายงานประจำปีของบริษัท สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสถิติเชิงอ้างอิง เพื่อทดสอบสมมติฐานและวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Pearson Correlation) การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ (Multiple Regression Analysis) &nbsp;ผลการวิจัยพบว่า อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) และอัตรากำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) มีความสัมพันธ์เชิงบวก&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;กับราคาหลักทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.10 และ 0.01 ตามลำดับ แต่สัดส่วน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การถือหุ้นของรายย่อย (FF) และอัตราเงินปันผลตอบแทน (DY) มีความสัมพันธ์เชิงลบกับราคาหลักทรัพย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>คำสำคัญ (Keywords): </strong>สัดส่วนการถือหุ้นของรายย่อย; อัตราส่วนทางการเงิน; ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย; กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี</p> สรัญญา เทือกธรรมมา, วัฒนา ยืนยง, ปานฉัตร อาการักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266667 Tue, 05 Sep 2023 00:00:00 +0700 การเปิดรับข่าวสารของผู้มีอิทธิพลทางสังคมที่เป็นโรคซึมเศร้ากับ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าและการเห็นคุณค่าในตนเอง ของกลุ่มเจนเนอเรชั่นซีในจังหวัดเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264248 <p>ผู้มีอิทธิพลทางสังคมมีอิทธิพลมากต่อความคิดและพฤติกรรมของคนสังคมในปัจจุบัน ข่าวสารเกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้มีอิทธิพลทางสังคมที่เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ จึงย่อมได้รับความสนใจ มีผลต่อความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและมีผลต่อความคิดในด้านต่างๆ ของผู้รับสารด้วย งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลทางสังคมที่เป็นโรคซึมเศร้า ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า และการเห็นคุณค่าในตนเองของกลุ่ม Generation Z อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณด้วยการสำรวจในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ กลุ่ม Gen Z ที่อาศัยในจังหวัดเชียงราย จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงบรรยายและใช้สถิติเชิงอ้างอิงด้วยการหาความแตกต่างของค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว รวมทั้งใช้การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลทางสังคมที่เป็นโรคซึมเศร้ามีความสัมพันธ์ในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์เท่ากับ 0.65 หรือมีความสัมพันธ์ระดับมาก รวมทั้งพบว่า ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าของกลุ่มตัวอย่างมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับการเห็นคุณค่าในตนเองโดยมีค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์เท่ากับ 0.88 หรือมีความสัมพันธ์ระดับมาก</p> เสริมศิริ นิลดำ, ศิริพรรณ จีนะบุญเรือง, กษิดิศ ใจผาวัง, นิเวศ จีนะบุญเรือง, กรกนก นิลดำ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264248 Tue, 05 Sep 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาแนวทางเพื่อพัฒนาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการตลาด คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265210 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเลือกเรียนของนักศึกษาสาขาวิชาการตลาด 2) ศึกษาการนำความรู้จากรายวิชาในหลักสูตรการตลาด คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย ไปใช้ในการประกอบอาชีพงานด้านการตลาด โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษา บัณฑิตสาขาวิชาการตลาด และผู้ปฏิบัติงานสายอาชีพการตลาด หรือผู้ประกอบการในสถานประกอบการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยส่งผลต่อการเลือกเรียนของนักศึกษาสาขาวิชาการตลาดให้ระดับความคิดเห็นในด้านการเลือกอาชีพเป็นอันดับแรก 2) ความต้องการในการเลือกเรียนสาขาการตลาดของนักศึกษาสาขาวิชาการตลาด ให้ระดับความคิดเห็นในด้านวิชาเรียนเป็นอันดับแรก 3) การนำความรู้จากรายวิชาในหลักสูตรการตลาดไปใช้ในการประกอบอาชีพของผู้ปฏิบัติงานการตลาดในสถานประกอบการ อันดับที่หนึ่ง คือ กลุ่มวิชาเนื้อหาบังคับการตลาด เช่น การตลาดดิจิทัล รองลงมาคือ คือ กลุ่มวิชาเนื้อหาใหม่สำหรับการพัฒนาเป็นนักตลาดดิจิทัล เช่น การจัดการแคมเปญการสื่อสารการตลาดดิจิทัล การสร้างเนื้อหาเพื่อการตลาด</p> วรรณวิสา ไพศรี, อรจิต ชัชวาลย์, จารุพร มีทรัพย์ทอง, กิติยา คีรีวงก์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265210 Tue, 05 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันกับองค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264642 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยลักษณะงานที่ปฏิบัติที่ส่งผลต่อความ ผูกพันกับองค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน 2) ศึกษาระดับปัจจัยคุณภาพชีวิตในการท างานที่ ส่งผลต่อความผูกพันกับองค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน 3) ศึกษาระดับความผูกพันกับองค์กร ของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน 4) เปรียบเทียบระดับความผูกพันกับองค์กรของบุคลากรสถาบัน อาชีวศึกษาเอกชน จ าแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 5) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันกับองค์กรของ บุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การศึกษา ได้แก่ บุคลากรผู้ที่ปฏิบัติงานในสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี จ านวน 127 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยง (Reliability) เท่ากับ 0.958 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน วิเคราะห์ความแตกต่างด้วยค่า Independent Sample t-test, และ F-test (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ระดับปัจจัยลักษณะงานที่ปฏิบัติที่มีผลต่อความผูกพันกับองค์กรของบุคลากรสถาบัน อาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านลักษณะการท างานที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และ ด้านความเป็นเอกลักษณะของงาน และมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก คือ ด้านการมีอิสระในการท างาน และด้าน ความหลากหลายในการท างาน ตามล าดับ ระดับปัจจัยคุณภาพชีวิตในการท างานที่มีผลต่อความผูกพันกับ องค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี โดยรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาในรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านลักษณะการ บริหาร และมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก คือ ด้านสมดุลระหว่างชีวิตการท างานกับชีวิตส่วนตัว ด้านค่าตอบแทน ที่ยุติธรรมและเพียงพอ ด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย ด้านความสัมพันธ์อันดีในการท างาน ร่วมกัน และด้านความก้าวหน้าและความมั่งคงในการท างาน ตามล าดับ ระดับความผูกพันต่อองค์กรของ บุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี โดยรวมมีค่าเฉลี่ย</p> <p><br><br>2 <br><br>อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงล าดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านความรู้สึก ด้านการคงอยู่ และด้านบรรทัดฐานทางสังคม ตามล าดับ ลักษณะสถานภาพของผู้ตอบแบบ สอบที่แตกต่างกันทางด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน และระยะเวลาที่ปฏิบัติงาน มีระดับ ความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี ไม่แตกต่างกัน ส่วนลักษณะสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบที่แตกต่างกันทางด้านสถานภาพการ สมรส มีระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนใน เครือไฮเทค เทคโนโลยี แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยลักษณะงานที่ปฏิบัติด้าน ลักษณะการท างานที่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (X1.4) ด้านความเป็นเอกลักษณะของงาน (X1.3) และด้านความ หลากหลายในการท างาน (X1.1) ส่งผลต่อความผูกพันกับองค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งสามารถ อธิบายการผันแปรของระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี ได้ร้อยละ 60 (R2 =0.60) ปัจจัยคุณภาพชีวิตในการท างานด้าน ความสัมพันธ์อันดีในการท างานร่วมกัน (X1.4) ด้านความก้าวหน้าและความมั่งคงในการท างาน (X1.3) และ ด้านค่าตอบแทนที่ยุติธรรมและเพียงพอ (X1.1) ส่งผลต่อความผูกพันกับองค์กรของบุคลากรสถาบัน อาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่ง สามารถอธิบายการผันแปรของระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค เทคโนโลยี ได้ร้อยละ 63 (R2 =0.63) <br><br>ค าส าคัญ: ความผูกพันต่อองค์กร; บุคลากรสถาบันอาชีวศึกษาเอกชน; วิทยาลัยเอกชนในเครือไฮเทค</p> สุดารัตน์ ทิพนานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264642 Tue, 05 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264643 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชนเอกชน 2) ศึกษาระดับปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ เลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชนเอกชน 3) ศึกษาระดับการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับ อาชีวศึกษาเอกชน 4) เปรียบเทียบระดับการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กับปัจจัย ส่วนบุคคล 5) เปรียบเทียบปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน เอกชน และ 6) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษา เอกชนเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ กับปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียน นักศึกษาที่เลือกเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ ประจำปีการศึกษา 2564 ในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จ านวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเที่ยง (Reliability) เท่ากับ 0.915 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ ความแตกต่างด้วยค่า Independent Sample t-test, F-test (One-way ANOVA) ผลการศึกษาพบว่า ระดับปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัย เทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ดังนี้ ด้านบุคลิกภาพ ด้านความต้องการ ด้าน ทัศนคติ ด้านการเรียนรู้ และด้านการรับรู้ ตามลำดับ ระดับปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้า ศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ใน ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ดังนี้ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ที่สุด คือ ด้านตัวกระตุ้นทางการตลาด และด้านสภาพแวดล้อม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก คือ ด้านวัฒนธรรม ด้าน ครอบครัว ด้านสภาพเศรษฐกิจ และด้านสังคม ตามลำดับ ระดับการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับ อาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ มาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ดังนี้ ด้านชื่อเสียงของวิทยาลัย ด้านเหตุผลส่วนตัว ด้านอิทธิพลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับกับการตัดสินใจ</p> <p><br><br>2 <br><br>และด้านความคาดหวังด้านอาชีพ ตามลำดับลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่าง กันทางด้านเพศ เกรดเฉลี่ยสะสม รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัว และระดับการศึกษาของผู้ปกครอง มีระดับการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศ เพชรบูรณ์ ไม่แตกต่างกัน ส่วนลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้าน สถานศึกษาเดิม มีระดับการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัย เทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ลักษณะปัจจัยส่วน บุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านเพศ สถานศึกษาเดิม และระดับการศึกษาของ ผู้ปกครอง มีปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ ไม่แตกต่างกัน ส่วนลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบ แบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านเกรตเฉลี่ยสะสม รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัว มีปัจจัยภายในที่ ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยี สารสนเทศเพชรบูรณ์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลของ ผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านเพศ เกรตเฉลี่ยสะสม สถานศึกษาเดิม และระดับการศึกษาของ ผู้ปกครอง มีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ ไม่แตกต่างกัน ส่วนลักษณะปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบ แบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครอบครัว มีปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการ ตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อระดับอาชีวศึกษาเอกชน กรณีศึกษา วิทยาลัยเทคโนโลยีสารสนเทศเพชรบูรณ์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 <br><br>คำสำคัญ: ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ; อาชีวศึกษาเอกชน </p> สุกัญญา คำยุก, สิรินี ว่องวิไลรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264643 Tue, 05 Sep 2023 00:00:00 +0700 การประยุกตใชการบัญชีบริหารที่สงผลตอความสําเร็จของผูประกอบการ ธุรกิจขายอุปกรณกอสรางในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264644 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค)เพื่อ 1.) ศึกษาระดับการประยุกต)ใช6การบัญชีบริหารของ ผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) 2.) ศึกษาระดับ ความสําเร็จของผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) 3.) เปรียบเทียบระดับการประยุกต)ใช6การบัญชีบริหารของผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6างใน อําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) กับปEจจัยส&gt;วนบุคคล 4.) เปรียบเทียบระดับความสําเร็จของ ผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) กับปEจจัยส&gt;วนบุคคล และ 5.) ศึกษาการประยุกต)ใช6การบัญชีบริหารที่ส&gt;งผลต&gt;อความสําเร็จของผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ) ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) กลุ&gt;มตัวอย&gt;างที่ใช6ในการศึกษา ได6แก&gt; เจ6าของธุรกิจขาย อุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพันจังหวัดเพชรบูรณ) จํานวน 104 คน เครื่องมือที่ใช6เปLนแบบสอบถาม แบบประมาณค&gt;า 5 ระดับ สถิติที่ใช6ในการวิเคราะห)ข6อมูล ได6แก&gt; ค&gt;าความถี่ ค&gt;าเฉลี่ย ค&gt;าส&gt;วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห)ความแตกต&gt;างด6วยค&gt;า Independent Sample t-test การวิเคราะห)ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-Way Analysis of Variance : ANOVA) และการวิเคราะห)การถดถอยพหุคูณแบบมีขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว&gt;า ระดับการประยุกต)ใช6การบัญชีบริหารของ ผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) โดยรวมมีค&gt;าเฉลี่ยอยู&gt;ในระดับ มาก เมื่อพิจารณารายด6าน มีค&gt;าเฉลี่ยอยู&gt;ในระดับมากทุกด6าน โดยเรียงลําดับจากมากไปน6อย ดังนี้ ด6านการ ควบคุม ด6านการวางแผน ด6านการสั่งการ ด6านการจัดการต6นทุน และด6านการตัดสินใจ ตามลําดับ ระดับ ความสําเร็จของธุรกิจขายส&gt;งอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) โดยรวมมีค&gt;าเฉลี่ยอยู&gt; ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด6าน มีค&gt;าเฉลี่ยอยู&gt;ในระดับมากทุกด6าน โดยเรียงลําดับจากมากไปน6อย ดังนี้ ด6าน การจัดหาและใช6ทรัพยากร ด6านการบรรลุเป_าหมาย ด6านความพึงพอใจของทุกฝaาย และด6านกระบวนการ ปฏิบัติงาน ตามลําดับ ลักษณะสถานภาพของผู6ตอบแบบสอบถามที่แตกต&gt;างกันทางด6านเพศ อายุ ระดับ การศึกษา รายได6ต&gt;อปc และรูปแบบธุรกิจ โดยภาพรวม มีระดับการประยุกต)ใช6การบัญชีบริหารของ ผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) ไม&gt;แตกต&gt;างกัน ลักษณะ สถานภาพของผู6ตอบแบบสอบถามที่แตกต&gt;างกันทางด6านอายุ ระดับการศึกษา และรายได6ต&gt;อปc โดย</p> <p><br><br>2 <br><br>ภาพรวม มีระดับความสําเร็จของผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัด เพชรบูรณ) ไม&gt;แตกต&gt;างกัน ส&gt;วนลักษณะสถานภาพของผู6ตอบแบบสอบถามที่แตกต&gt;างกันทางด6านเพศ และ รูปแบบธุรกิจ โดยภาพรวม มีระดับความสําเร็จของผู6ประกอบการธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึง สามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) แตกต&gt;างกันอย&gt;างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การประยุกต)ใช6การบัญชี บริหารด6านการวางแผน (X1) ด6านการจัดการต6นทุน (X5) ด6านการสั่งการ (X3) ส&gt;งผลต&gt;อความสําเร็จของ ผู6ประกอบการธุรกิจขายส&gt;งอุปกรณ)ก&gt;อสร6างในอําเภอบึงสามพัน จังหวัดเพชรบูรณ) อย&gt;างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05 ซึ่งสามารถอธิบายการผันแปรของระดับความสําเร็จของผู6ประกอบการผู6ประกอบการธุรกิจ ขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6าง ได6ร6อยละ 75 (R2 = 0.75) <br><br>คําสําคัญ: การบัญชีบริหาร; ความสําเร็จของผู6ประกอบการ; ธุรกิจขายอุปกรณ)ก&gt;อสร6าง</p> วรรณนิสา วงษา, สิรินี ว่องวิไลรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264644 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนอำเภอศรีสาคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264736 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของครูในอำเภอศรีสาคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 2) เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของครูในอำเภอศรีสาคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 จำแนกตามเพศ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน และขนาดของสถานศึกษาที่ปฏิบัติงาน และ 3) ศึกษาแนวทางการเสริมสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของครูในอำเภอศรีสาคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูในโรงเรียนอำเภอศรีสาคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 ปีการศึกษา 2565 กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากตารางเครซี่มอร์แกนได้กลุ่มตัวอย่าง 175 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย โดยการจับสลากแบบไม่ใส่คืน เครื่องมือ คือ แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบน การทดสอบที (t-test) และการทดสอบเอฟ (F-test ) ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของครูในอำเภอศรีสาคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 ในภาพรวม ครูมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก</li> <li class="show">แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของครูในอำเภอศรีสาคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 พบว่า ครูเพศชายและเพศหญิงมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกันมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ครูที่มีประสบการณ์ทำงานแตกต่างกันมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกัน และครูที่อยู่ในโรงเรียนขนาดต่างกันมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">แนวการเสริมสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนอำเภอศรีสาคร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 พบว่า การมอบหมายงานที่ท้าทายความสามารถหรือมอบตำแหน่งใหม่ในการปฏิบัติงาน การมอบรางวัล การประชุมทีมงาน เพื่อปรึกษาวางแผนก่อนการปฏิบัติงานทุกครั้งจะช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานได้</li> </ol> <p><strong>คำสำคัญ (</strong><strong>Keywords): </strong>แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานของครู</p> อธิวัฒน์ หมั่นกิจ, ตรัยภูมินทร์ ตรีตรีศวร ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264736 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง นิราศภูเขาทอง โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264869 <p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง นิราศภูเขาทอง ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง นิราศภูเขาทอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม เป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการเรียนวรรณคดีเรื่อง นิราศภูเขาทอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนทุ่งโพธิ์ทะเลพิทยา จำนวน 1 ห้อง 36 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster sampling) เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วรรณคดีเรื่อง นิราศภูเขาทอง สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม จำนวน 4 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง นิราศภูเขาทองที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบหาค่าที (t - test)ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง นิราศภูเขาทองโดยจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดีเรื่อง นิราศภูเขาทอง โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม ผลการทดสอบค่า t-test เท่ากับ 12.38 คิดเป็นร้อยละ 85.28 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3) ผลคะแนนความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ CIPPA MODEL ร่วมกับเกม มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.17 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.19 อยู่ในระดับมาก</p> <p> </p> ณิชนันทน์ จูด้วง, กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264869 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เรื่อง พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณี หนีนางผีเสื้อ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเกมการศึกษา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264907 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เรื่อง พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเกมการศึกษา 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี เรื่อง พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ หลังการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเกมการศึกษากับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเกมการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา<br>ปีที่ 3 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านผาท่าพล จำนวน 12 คน โดยเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเกมการศึกษา จำนวน 6 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test dependent และการทดสอบ t-test one sample</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเกมการศึกษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวรรณคดี หลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเกมการศึกษา มีผลการทดสอบสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br>ที่ระดับ .05</li> <li class="show">ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ร่วมกับเกมการศึกษาอยู่ในระดับมาก</li> </ol> <p>&nbsp;</p> พิกุล จันทร์นาลาว, กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264907 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลขององค์กรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264935 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลขององค์กรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) 2) ศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลขององค์กรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ พนักงานผู้ปฏิบัติงานอยู่ในองค์กรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) จำนวน 365 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลขององค์กรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) ที่มีเพศแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลขององค์กรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) ไม่แตกต่างกัน ในขณะที่พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) ที่มีอายุ ระดับการศึกษา และตำแหน่งงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จสู่การเป็นองค์กรดิจิทัลขององค์กรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (สำนักงานใหญ่) แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> วรพร ตังคณานุกูลชัย, อรนันท์ กลันทปุระ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264935 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 อิทธิพลของกลยุทธ์การตลาดแบบ 4E และการรับรู้คุณค่าตราสินค้าที่ส่งผล ต่อความภักดีของผู้ใช้บริการสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ในเขตเทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264981 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของกลยุทธ์การตลาด 4E และการรับรู้คุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ในเขตเทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในครั้งนี้ ได้แก่ ผู้ใช้บริการสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย 7 แห่ง จำนวน 385 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพลของตัวแปร (Path Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ระดับกลยุทธ์การตลาดแบบ 4E ในมุมมองของผู้ใช้บริการ ระดับการรับรู้คุณค่าตราสินค้า และระดับความภักดีของผู้ใช้บริการสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ในเขตเทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากทุกรายการ ส่วนกลยุทธ์การตลาดแบบ 4E และการรับรู้คุณค่าตราสินค้าส่งผลต่อความภักดีของผู้ใช้บริการสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ในเขตเทศบาลนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งปัจจัยทั้งสองส่งผลต่อความภักดีได้ร้อยละ 69.50 (R<sup>2</sup> = 0.695) เมื่อพิจารณารายปัจจัยพบว่า กลยุทธ์การตลาด 4E ส่งอิทธิพลทางบวกทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านการรับรู้ตราสินค้าสู่ความภักดีของผู้ใช้บริการ ค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยรวมเท่ากับ 0.703 โดยอิทธิพลทางบวกโดยทางตรงกับความภักดีของผู้ใช้บริการและการรับรู้คุณค่าตราสินค้า มีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ 0.716 และ 0.841 ตามลำดับ ส่วนการรับรู้คุณค่าตราสินค้ามีอิทธิพลทางบวกต่อความภักดีของผู้ใช้บริการ มีค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยเท่ากับ 0.836 อย่างมีนัยสำคัญที่ทางสถิติที่ระดับ .01 </p> สุภัทรา อุณหพัฒนา, พีรญา ชื่นวงศ์, กษิดิศ ใจผาวัง ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264981 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยสมองเป็นฐาน ร่วมกับเกมการศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265138 <p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์1)เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคสมองเป็นนฐาน ร่วมกับเกมการศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 2)เพื่อเปรียบเทียบทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคสมองเป็นนฐาน ร่วมกับเกมการศึกษา 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคสมองเป็นนฐาน ร่วมกับเกมการศึกษา โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน&nbsp;&nbsp; บ้านน้ำริน 1 ห้องเรียน จำนวน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยสมองเป็นฐาน ร่วมกับเกมการศึกษา 2) แบบทดสอบการอ่านสะกดคำ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจการอ่านสะกดคำของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยสมองเป็นฐาน ร่วมกับเกมการศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test dependent ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลการหาประสิทธิภาพการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำด้วยเทคนิคสมองเป็นฐาน ร่วมกับเกมการศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.89/88.44 ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์การอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ด้วยเทคนิคสมองเป็นฐาน ร่วมกับเกมการศึกษา หลังการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ผลต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคสมองเป็นฐาน ร่วมกับเกมการศึกษา โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก</p> กันยารัตน์ พุดตาลดง, กาญจนา วิชญาปกรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265138 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำ ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับชุดการสอนสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265139 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนสะกดคำ ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับชุดการสอน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับชุดการสอน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ประชากร ได้แก่ นักเรียนโรงเรียนบ้านหนองปรือ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลกเขต 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 181 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านหนองปรือ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 2 ภาคเรียนที่ 2&nbsp; ปีการศึกษา 2565 จำนวน 15 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการสอนแบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับชุดการสอน จำนวน 4 แผน 2) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ชุดการสอน เรื่อง การเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 4) แบบประเมินความพึงพอใจมีต่อการจัดการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับชุดการสอน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test แบบ dependent ประสิทธิภาพ ( <em>)</em> &nbsp;ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนสะกดคำ ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับชุดการสอน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 87.00/90.67 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ 2) ผลการจัดการเรียนรู้การเขียนสะกดคำก่อนและหลังเรียน ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับชุดการสอน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าคะแนนสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับชุดการสอน อยู่ในระดับมากที่สุด ( ค่าเฉลี่ย = 4.65, S.D. = 0.47)</p> อุทุมพร มาโยม, กาญจนา วิชญาปกรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265139 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ร่วมกับเกมการศึกษาสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265137 <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">การวิจัยครั้งนี้จะมาแทนที่เพื่อ1) เพื่อเติมเต็มทักษะการเติมคำสำหรับนักเรียนในชั้นต่างๆ ปีที่ 2 โดยจัดการเรียนรู้เทคนิค STAD เต็มเกมการศึกษาระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะต่างๆ คำศัพท์สำหรับนักเรียนในชั้นต่างๆ ปีที่ 2 โดยเรียนรู้การจัดการเทคนิค STAD ครบเกมการศึกษาที่มีข้อกำหนดไว้แล้ว 80 3) เพื่อศึกษาก็ขอให้ทำตามชั้นต่างๆ ในชั้นปีที่ 2 ต่อไปนี้จะจัดการเรียนรู้การเรียนรู้ เทคนิค STAD สนุกกับเกมการศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นต่างๆ ปีที่ 2 บ้านวังโพรง อำเภอเนินมะปราง เอกพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน เลือกโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ช่วยให้งานวิจัย เนื้อหาประกอบด้วย 1) แผนให้ผู้เรียนรู้โดยจัดการเรียนรู้แบบแมกเทคนิค STAD ครบเกมการศึกษาจำนวน 6 แผน 12 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถเสริมทักษะขอพรจำนวน 20 ข้อ 3)แบบวัดเมื่อคืนนี้ในชั้นก่อนหน้านี้ 2 ก่อนหน้านี้อย่าลืมเรียนรู้เทคนิค STAD เต็มไปด้วยเกมการศึกษา สถิติฐานข้อมูลที่วิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย เชิญมาที่นี่ ส่วนตัวอย่างการทดสอบมาตรฐาน t-test ขึ้นอยู่กับ&nbsp;</span></span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;"><span style="vertical-align: inherit;">ผลการศึกษาพบว่า 1) ผลลัพธ์ที่ได้พัฒนาทักษะการเติมคำสำหรับนักเรียนในชั้นต่างๆ ปีที่ 2 โดยจัดการเรียนรู้เทคนิค STAD เต็มไปด้วยเกมการศึกษาหลังจัดการเรียนรู้ทุกคนก่อนเรียนอย่างสำคัญที่สถิติ ระดับ 0.5 2) ผลลัพธ์ที่ได้เต็มไปด้วยทักษะเหล่านี้เติมเต็มคำนักเรียนในชั้นต่างๆ ทุกปี 2 มีคะแนนสอบเฉลี่ยเท่ากับ 17.70 ส่วนที่จะได้มาตรฐาน (SD) เท่ากับ 1.69 โดยทุกคนมีเกณฑ์ทั้งหมด 80 3) ผลลัพธ์ให้นักเรียนได้ถาม ชั้นปีที่ 2 ได้รับการจัดการเรียนรู้และเรียนรู้เทคนิค STAD ครบเกมการศึกษา มี 4.62 ส่วนที่ได้รับมาตรฐาน 0.59 มีค่าพอที่จะทำให้มากที่สุด</span></span></p> มณฑาทิพย์ จวงแย้ม, กฤธยากาญจน์ โตพิทักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265137 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265136 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และ ความต้องการจำเป็นและเสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 2 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบเชิงบรรยาย (Descriptive Research) กลุ่มประชากร คือ ครู จํานวน 134 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถามมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยการวิเคราะห์เนื้อหา และการหาค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ( PNI <sub>modified</sub> ) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์การบริหารงานบุคคลในโรงเรียนขนาดเล็ก ในภาพรวมพบว่า ด้านการพัฒนาบุคลากร อยู่ในระดับมาก และความต้องการจําเป็นสูงสุดคือ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง มีค่าดัชนี (PNI <sub>modified</sub> = 0.032) 2) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลในโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 2 คือ การวิเคราะห์ความต้องการและการกำหนดคุณสมบัติของตำแหน่งบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา การสรรหาและบรรจุแต่งตั้งที่มีกระบวนการอย่างเป็นระบบ มีความยุติธรรม โปร่งใสและตรวจสอบได้</p> พัชรียา มัทธนัง, ชัชชญา พีระธรณิศร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265136 Wed, 06 Sep 2023 00:00:00 +0700 การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ ในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265348 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของ (2) ประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ (3) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ และ (4) แนวทางการพัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วมและพัฒนาประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ ในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ ครู จำนวน 136 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยอย่างง่าย ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์โดยวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้ (1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ ในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 3 โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (2) ประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ ในเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 3 โดยรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (3) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาส่งผลต่อประสิทธิผลของศูนย์การศึกษาพิเศษ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 โดยสามารถทำนาย ได้ร้อยละ 58 (4) แนวทางการพัฒนาการบริหารแบบมีส่วนร่วมและพัฒนาประสิทธิผล ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ ในสถานศึกษาอย่างทั่วถึงตลอดจนให้ความรู้และความเข้าใจ มีการร่วมวางแผน มีการกำหนดนโยบายที่เหมาะสม และให้ครูมีส่วนร่วมในการเสนอความคิดเห็นในการปฏิบัติงาน</p> ณัฐพงษ์ คำเขิน, นวรัตน์ ไวชมภู, นิรันดร์ จุลทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265348 Fri, 08 Sep 2023 00:00:00 +0700 การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264924 <p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูที่มีต่อการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยจำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร 2 ปีการศึกษา 2565 และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิและสุ่มอย่างง่าย โดยกำหนดขนาดตัวอย่างอาศัยตารางสำเร็จรูปของโคเฮ็น (Cohen, Manion and Morrison, 2011) ได้จำนวน 365 คน และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา จำนวน 54 ข้อ วิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นตามวิธีของครอนบาคมีค่าเท่ากับ 0.993 และอำนาจจำแนกรายข้ออยู่ระหว่าง 0.724 - 0.932 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างโดยใช้การทดสอบค่าที (t-test) และวิเคราะห์ค่าความแปรปรวน และการทดสอบรายคู่ตามวิธีเชฟเฟ่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นของครูต่อการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีความคิดเห็นเฉลี่ยเท่ากับ 3.87 และรายด้านมีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน โดยภาพรวมมีความแตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 &nbsp;และจำแนกตามขนาดของสถานศึกษาโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน</p> มธุรดา ศรีสุข, กัลยมน อินทุสุต ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264924 Fri, 08 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบละครเวทีสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับ สมาร์ท ทีชชิ่ง เพื่อส่งเสริมทักษะด้านวรรณคดีไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265361 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบละครเวทีสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับสมาร์ท ทีชชิ่ง เพื่อส่งเสริมทักษะด้านวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2) ศึกษาผลของการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบละครเวทีสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับ สมาร์ท ทีชชิ่ง เพื่อส่งเสริมทักษะด้านวรรณคดีไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2&nbsp; กลุ่มเป้าหมายวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านหนองหญ้าไซ สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2 ที่เรียนในรายวิชาภาษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 19 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่&nbsp; 1. แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบละครสร้างสรรค์ จำนวน 5 แผน 2. ใบงานระหว่างเรียนทั้งหมด 3 ฉบับ และแบบฝึกหัดระหว่างเรียนทั้งหมด 1 เรื่อง 2 ตอน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบละครเวทีสร้างสรรค์เป็นฐานร่วมกับ สมาร์ท ทีชชิ่ง เพื่อส่งเสริมทักษะด้านวรรณคดีไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ประกอบด้วยกิจกรรมจำนวน 5 กิจกรรม มีหลักการสำคัญที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ผ่านการนำทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติผ่านการใช้ทักษะด้านวรรณคดีไทย ในแต่ละกิจกรรมมีขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม 8 ขั้นตอน ได้แก่ 1. แนวคิดเนื้อหา 2. เชื่อมโยงความรู้ 3. สร้างความรู้เอง 4. แรงจูงใจ 5. ทักษะความเชี่ยวชาญ 6. ผลสะท้อนกลับ 7. บรรยากาศชั้นเรียน 8. การกำกับการเรียนรู้ของตนเอง 2) นักเรียนมีค่าเฉลี่ยคะแนนหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เท่ากับ 77.89 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด</p> วัชรวร วงศ์กัณหา, อนุชา พิมศักดิ์, ชนิดา พันธุ์โสภณ, ธีรภัทร สินธุเดช, ทัศมณ คูจินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265361 Fri, 08 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับ สถานการณ์จำลอง เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้การเงิน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265401 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้การเงิน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์ 75/75 2) เพื่อทดลองใช้กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง 2.1) เพื่อเปรียบเทียบความรู้ทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง 2.2) เพื่อศึกษาเจตคติทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง 2.3) เพื่อศึกษาพฤติกรรมทางการเงินของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง ดำเนินการวิจัยตามกระบวนการวิจัยและพัฒนา&nbsp; กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนวัดคลองมะเกลือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3&nbsp; จำนวน 22 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง และแบบวัดความฉลาดรู้การเงิน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และการทดสอบที</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">1. กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้การเงิน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ77.13/78.13 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้&nbsp;</li> <li class="show">2. ผลการทดลองใช้กิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้การเงิน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp; 2.1 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความรู้ทางการเงิน หลังการได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้&nbsp; ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์&nbsp; ด้วยวิธีการแบบเปิดร่วมกับสถานการณ์จำลอง สูงกว่าก่อนการได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้&nbsp; อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ&nbsp; .05&nbsp;</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp; 2.2 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยด้านเจตคติทางการเงินเท่ากับ 43.86 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.3</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp; 2.3 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยด้านพฤติกรรมทางการเงินเท่ากับ 49.55 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 8.0</p> วันทนีย์ ทองมี, กอบสุข คงมนัส ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265401 Fri, 08 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้การควบคุมป้องกันโรคโคโรนาไวรัส (โควิด-19) ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตตำบลน้ำรึม อำเภอเมือง จังหวัดตาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265478 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันตนเองในการปฏิบัติงานเฝ้าระวังการระบาดของโรคโควิด-19 กลุ่มตัวอย่างคืออาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเขตตำบลน้ำรึม อำเภอเมือง จังหวัดตาก ซึ่งศึกษาประชากรทั้งหมดจำนวน 410 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุคูณเชิงเส้น ผลการศึกษาพบว่าอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มีความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันตนเองในระดับดีมาก ร้อยละ 85.12 และ 80.24 ตามลำดับ โดยปัจจัยที่มีผลต่อความรอบรู้ด้านขภาพที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ p &lt; 0.05 จำแนกรายด้านคือ ด้านความรู้ความเข้าใจ มีปัจจัยเดียวคือการใช้สื่อสังคมออนไลน์โดยทำนายได้ร้อยละ 2.54 ด้านการเข้าถึงข้อมูลมี 3 ปัจจัยคือเขตที่อยู่อาศัย การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุกในชุมชน และการเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ ร่วมทำนายได้ร้อยละ 17.92 ด้านการรู้เท่าทันสื่อมี 4 ปัจจัย คือรายได้ การรับรู้การบริการสุขภาพเชิงรุกของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุกและการเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ ร่วมทำนายได้ร้อยละ 22.45 ด้านการจัดการตนเองมี 3 ปัจจัย คือรายได้ การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุก และการเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ ร่วมทำนายได้ร้อยละ 12.73 และด้านการสื่อสารซักถามโต้ตอบมี 4 ปัจจัย คือรายได้ การรับรู้การบริการสุขภาพเชิงรุก การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุก และการเรียนรู้จากการสังเกตต้นแบบ ร่วมทำนายได้ร้อยละ 18.40 ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันตนเองที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ p &lt; 0.05 ได้แก่ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ด้านการจัดการตนเอง การเข้าถึงข้อมูลและการตัดสินใจเลือกปฏิบัติรวมถึงปัจจัยเขตที่อยู่อาศัย ร่วมทำนายได้ถึงร้อยละ 40.90 ข้อเสนอแนะพัฒนาส่งเสริมให้อสม.เข้าร่วมกิจกรรมเชิงรุกในชุมชนให้มากขึ้น เช่นกิจกรรมการค้นหากลุ่มเสี่ยง การคัดกรองโรคเชิงรุกเป็นต้น เนื่องจากมีผลต่อความรอบรู้ด้านสุขภาพ ด้านการเข้าถึงข้อมูล ด้านการรู้เท่าทันสื่อ ด้านการจัดการตนเอง และด้านการสื่อสารซักถามโต้ตอบ</p> เมธี สุทธศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265478 Mon, 11 Sep 2023 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการแต่งโคลงสี่สุภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนแกลง“วิทยสถาวร” ที่สอนโดยใช้หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะกับการสอนแบบปกติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265513 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างหนังสือแบบฝึกเสริมทักษะวิชาภาษาไทย เรื่องการแต่งโคลงสี่สุภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่องการแต่งโคลงสี่สุภาพของนักเรียน&nbsp; ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างการสอนโดยใช้หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะกับการสอนแบบปกติ&nbsp; 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการสอนโดยใช้หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะวิชาภาษาไทย เรื่องการแต่งโคลงสี่สุภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียน&nbsp;&nbsp;&nbsp; ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 โรงเรียนแกลง“วิทยสถาวร” จังหวัดระยอง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) จากนั้นจับสลากเลือกนักเรียน 2 ห้อง โดยนักเรียนห้องที่ 1 เป็นกลุ่มทดลองสอนโดยใช้หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/5 และนักเรียนห้องที่ 2 เป็นกลุ่มควบคุมสอนโดยใช้การสอนแบบปกติ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่สอนโดยใช้หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะ จำนวน 8 แผน แผนการจัดการเรียนรู้แบบปกติ จำนวน&nbsp; 8 แผน หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะจำนวน 8 เล่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การแต่งโคลงสี่สุภาพ ปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการสอนโดยใช้หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่องการแต่งโคลงสี่สุภาพ จำนวน 10 ข้อ โดยใช้เกณฑ์การให้คะแนนซึ่งผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญและหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)&nbsp; การทดสอบค่า (t-test) แบบ independent ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1) หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะ วิชาภาษาไทย เรื่องการแต่งโคลงสี่สุภาพ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 โดยมีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ (84.16/86.76 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือ&nbsp;&nbsp;&nbsp; แบบฝึกเสริมทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยหลังเรียน เรื่อง การแต่งโคลงสี่สุภาพ &nbsp;&nbsp;&nbsp;สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะ มีความพึงพอใจต่อการใช้หนังสือแบบฝึกเสริมทักษะอยู่ในระดับมากขึ้นไป</p> สัมฤทธิ์ มีทรัพย์มั่น, สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265513 Mon, 11 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คำนาม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ ห้องเรียนกลับด้านร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265519 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำนาม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flip Classroom) ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; เรื่อง คำนาม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน (Flip Classroom) ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์กับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบ แบบห้องเรียนกลับด้าน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;(Flip Classroom) ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา&nbsp;&nbsp;&nbsp; ปีที่ 3 โรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี (ประสิทธิ์อุปถัมภ์) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;1 ห้องเรียน รวมจำนวนทั้งสิ้น 15 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนชุมชนบ้านคณฑี (ประสิทธิ์อุปถัมภ์) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 รวมจำนวนทั้งสิ้น 8 คน โดยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ใน&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านเรื่อง คำนาม ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ 2) นิทานอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง คำนาม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำนาม และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านเรื่อง คำนาม ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test dependent และ t-test one sample ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง คำนาม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 &nbsp;&nbsp;&nbsp;หลังการจัดเรียนรู้โดยแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flip Classroom) ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;สูงกว่าก่อนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flip Classroom) ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คำนาม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หลังการจัดเรียนรู้โดยแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flip Classroom) ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดเรียนรู้เรื่องคำนาม โดยแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flip Classroom) ร่วมกับนิทานอิเล็กทรอนิกส์ อยู่ในระดับมากที่สุด</p> วันวิสาข์ ม่วงงาม, ทรงภพ ขุนมธุรส ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265519 Mon, 11 Sep 2023 00:00:00 +0700 คุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลวัดโบสถ์ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265533 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลวัดโบสถ์ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี และเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลวัดโบสถ์ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลวัดโบสถ์ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 369 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่า t-test และการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) ค่านัยสำคัญทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ กำหนดไว้ที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลวัดโบสถ์ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี โดยภาพรวม มีคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลในด้านระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่างกัน มีคุณภาพชีวิตแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนปัจจัยส่วนบุคคลในด้านเพศ อายุ และสถานภาพ ต่างกัน มีคุณภาพชีวิตไม่แตกต่างกัน</p> ทัศนียา ชาวโพธิ์หลวง, อรนันท์ กลันทปุระ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265533 Mon, 11 Sep 2023 00:00:00 +0700 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี STAR ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ที่ส่งเสริมมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวปริมาตรพีระมิด กรวยและทรงกลม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265558 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี STAR ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ที่ส่งเสริมมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ 2) เพื่อศึกษามโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กลวิธี STAR ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra เรื่อง พื้นที่ผิวปริมาตร พีระมิด กรวยและทรงกลม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยมีผู้เข้าร่วมวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 12 คน จากโรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ในการศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยใช้รูปแบบการวิจัยปฏิบัติการ&nbsp; ในชั้นเรียน จำนวน 3 วงจรปฏิบัติการ ระยะเวลาทั้งหมด 13 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบสะท้อนผลการจัดการเรียนรู้และแบบวัดมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ ผลที่ได้จากการศึกษานำไปวิเคราะห์โดยใช้สถิติดังนี้ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละและ t-test one sample รวมไปถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1. แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยโดยใช้กลวิธี STAR ร่วมกับโปรแกรม GeoGebra ที่ส่งเสริมมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ เรื่อง พื้นที่ผิวปริมาตร พีระมิด กรวยและทรงกลม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประเด็นที่ผู้สอนควรเน้น ดังนี้ ควรมีการทบทวนความรู้พื้นฐานที่จำเป็นเพื่อให้นักเรียนสามารถนำมาต่อยอดกับเนื้อหาที่เรียนปัจจุบัน ควรแนะนำวิธีการใช้โปรแกรม GeoGebra เบื้องต้น รวมไปถึงพื้นฐานการใช้สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์จากคอมพิวเตอร์และในขณะการจัดการเรียนการสอนควรให้นักเรียนวิเคราะห์โจทย์โดยเริ่มจากการให้พูดออกมาเป็นประโยค</p> <p>2. นักเรียนมีมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 65 อย่างมีระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยได้คะแนนเฉลี่ย 17.83 จากคะแนนเต็ม 24 คะแนนคิดเป็นร้อยละ 74.29 ทั้งนี้เมื่อวิเคราะห์ข้อสอบเป็นรายข้อ พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มความเข้าใจที่ถูกต้องสมบูรณ์ (Completed Understanding: CU)</p> ปทุมมา อยู่สอน, รัชฎา วิริยะพงศ์, วนินทร พูนไพบูลย์พิพัฒน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265558 Mon, 11 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาบทเรียนผ่าน Google Classroom ร่วมกับแอปพลิเคชันด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ภาษาอังกฤษสำหรับงานเกษตร เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน สำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265582 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและประเมินคุณภาพของบทเรียนผ่าน Google Classroom ร่วมกับแอปพลิเคชันด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ภาษาอังกฤษสำหรับงานเกษตร &nbsp;2) เพื่อเปรียบเทียบผลประเมินความสามารถในการอ่านของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยบทเรียนผ่าน Google Classroom ร่วมกับแอปพลิเคชันด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ภาษาอังกฤษสำหรับงานเกษตร สำหรับนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 3 วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีแพร่ ปีการศึกษา 2565 จำนวน 20 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ภาษาอังกฤษสำหรับงานเกษตร 2) บทเรียนผ่าน Google Classroom ร่วมกับแอปพลิเคชันด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ภาษาอังกฤษสำหรับงานเกษตร 3) แบบประเมินคุณภาพบทเรียนผ่าน Google Classroom ร่วมกับแอปพลิเคชันด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ภาษาอังกฤษสำหรับงานเกษตร 4) แบบประเมินความสามารถในการอ่าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนผ่าน Google Classroom ร่วมกับแอปพลิเคชันด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ภาษาอังกฤษสำหรับงานเกษตร ที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมาก <br>( x ̅ = 4.75, S.D.= 0.43 ) ด้านคุณภาพบทเรียนอยู่ในระดับดีมาก ( x ̅ = 4.50 ,S.D.= 0.29) &nbsp;2) นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนผ่าน Google Classroom ร่วมกับแอปพลิเคชันด้วยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่อง ภาษาอังกฤษสำหรับงานเกษตร มีผลประเมินความสามารถในการอ่านหลังการใช้บทเรียนสูงกว่าก่อนใช้บทเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>&nbsp;</p> ภัทรวิน แจ้งใจ, พิชญาภา ยวงสร้อย ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265582 Mon, 11 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล ของบุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266028 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับปัจจัยทางการบริหารและการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล (2) ศึกษาเปรียบเทียบการบริหารตามหลักธรรมาภิบาล และ (3) ศึกษาปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัย คือ บุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนม จำนวน 296 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way Analysis of Variance) ตารางเปรียบเทียบการวิเคราะห์ t-test Independent (t-test) และการวิเคราะห์ One way ANOVA (F-test) หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณเชิงเส้นตรง (Multiple Linear Regressions) ผลการวิจัย พบว่า (1) ระดับปัจจัยทางการบริหารและการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนม โดยรวมมีการบริหารจัดการอยู่ในระดับมาก (2) การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนม จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับการศึกษา สังกัด ประเภทบุคลากร ตำแหน่งวิชาชีพ ระยะเวลาการปฏิบัติงาน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ รายได้ต่อเดือน ไม่แตกต่างกัน (3) ปัจจัยทางการบริหารที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เรียงลำดับจากตัวแปรที่มีผลต่อการผันแปรในตัวแปรตามในแบบคะแนนมาตรฐานมากที่สุดไปหาน้อย ดังนี้ ด้านวัฒนธรรมองค์กร (Z<sub>4</sub> Beta = .730) ด้านกลยุทธ์องค์กร (Z<sub>3</sub> Beta = .522) และด้านโครงสร้างองค์กร (Z<sub>2</sub> Beta = .217) (4) แนวทางและข้อเสนอแนะการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของบุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนม ได้แก่ มหาวิทยาลัยควรส่งเสริมการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโปร่งใส มีความซื่อสัตย์สุจริต สามารถตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ได้ กำหนดแผนการปฏิบัติราชการให้มีความชัดเจน ครบถ้วน ทันสมัย จัดสรรทรัพยากรบุคคลให้เหมาะสมกับโครงสร้าง มอบหมายหน้าที่ให้กับบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ใช้เทคโนโลยี อุปกรณ์ที่ทันสมัยในการปฏิบัติหน้าที่ กระจายอำนาจเพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน ส่งเสริมให้บุคลากร มีความก้าวหน้าในตำแหน่ง ปรับปรุงกฏหมาย ระเบียบ ข้อบังคับให้มีความทันสมัย และสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง</p> ปพิชญศรา ใสหมี, เขมิกา ทองเรือง, วรววุฒิ อินทนนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266028 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูผู้สอน กลุ่มอำเภอบางปลาม้า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265500 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูผู้สอนกลุ่มอำเภอบางปลาม้า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 1 และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูผู้สอนกลุ่มอำเภอบางปลาม้า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 1 โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างคือ ครูผู้สอนกลุ่มอำเภอบางปลาม้า จำนวน 185 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเครื่องมือที่ใช้สัมภาษณ์เป็นการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง จากผู้บริหารสถานศึกษา และครูผู้สอน จำนวน 5 คน โดยการวิเคราะห์เนื้อหาและการหาดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNI <sub>modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูผู้สอนกลุ่มอำเภอบางปลาม้า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับปานกลางและสภาพที่พึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมากและค่าดัชนีการจัดลำดับความ</p> <p>ต้องการจำเป็น (PNI <sub>modified</sub>) &nbsp;โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย&nbsp; คือ การมีส่วนร่วมด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การมีส่วนร่วมด้านการพัฒนาและใช้สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา การมีส่วนร่วมด้านการวัด ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน การมีส่วนร่วมด้านการนิเทศการศึกษาและการมีส่วนร่วมด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) แนวทางการพัฒนาการมีส่วนร่วมในการบริหารงานวิชาการของครูผู้สอนกลุ่มอำเภอบางปลาม้าสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุพรรณบุรี เขต 1 โดยรวมทั้ง 5 ด้าน โดยมีประเด็นในการพัฒนาที่ได้จากการจัดลำดับความต้องการจำเป็นที่มีค่าดัชนีสูงสุด 3 ลำดับของแต่ละด้านมาเป็นประเด็นในการพัฒนา รวมประเด็นในการพัฒนาทั้งหมด 15 ประเด็น</p> นันทนา หนูนุรัตน์, จุลดิศ คัญทัพ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265500 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265084 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ 2) สร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ทำนายความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สัดกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ โดยมีตัวแปรพยากรณ์ ได้แก่ การรับรู้ความสามารถตนเอง, การสนับสนุนจากครอบครัว, แรงจูงใจ, พฤติกรรมการสอนของครู และมโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ ตัวแปรเกณฑ์ คือ ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ จำนวน 250 คน โดยใช้การสุ่มแบบสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และการวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ความสามารถตนเอง (SE) ในทิศทางบวกระดับต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์มีความสัมพันธ์กับการสนับสนุนจากครอบครัว (SF) แรงจูงใจ (MO) มโนทัศน์ทางคณิตศาสตร์ (MC) ในทิศทางบวกระดับต่ำอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสอนของครู (BT) ในทิศทางลบระดับต่ำอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 2) สมการพยากรณ์ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ มีรายละเอียด ดังนี้</p> <p> สมการพยากรณ์ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่</p> <p>Y = 6.800 + 1.942SE*</p> <p> สมการพยากรณ์ความฉลาดรู้ด้านคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Zy = .148SE*</p> สุรเดช ขามพลา, นันทิมา นาคาพงศ์ อัศวรักษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265084 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่อง ทางสติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265615 <p>สติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ &nbsp;และ 3) สร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครูของโรงเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ปีการศึกษา 2565 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยการเทียบสัดส่วนจากตารางสำเร็จรูปของเครจซี่ และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 165 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ เท่ากับ .947 ซึ่งค่าความเชื่อมั่นด้านปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน เท่ากับ .929 ส่วนค่าความเชื่อมั่นด้านประสิทธิผลของโรงเรียน เท่ากับ .961 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าสถิติ ได้แก่ การหาค่าความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis)</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า 1) ประสิทธิผลของโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.27, S.D. =0.56) 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.34, S.D. =0.58) และ 3) ปัจจัยที่สามารถร่วมกันทำนายประสิทธิผลของโรงเรียนสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ พบว่า มี 3 ตัวแปร คือ ตัวแปรด้านผู้ปกครองและชุมชน ตัวแปรด้านโรงเรียน และตัวแปรด้านนักเรียน สามารถเขียนในรูปคะแนนดิบได้ คือ&nbsp; Y = 0.513 + 0.296(X<sub>5</sub>) + 0.309(X<sub>4</sub>) + 0.260(X<sub>3</sub>) และเขียนในรูปสมการวิเคราะห์การถดถอยในรูปคะแนนมาตรฐานได้ คือ Z = 0.339(Z<sub>5</sub>) + 0.301(Z<sub>4</sub>) + 0.295(Z<sub>3</sub>)</p> ณฏฐพัชร เขียวมณีนัย, นิรันดร์ จุลทรัพย์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265615 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบสารสนเทศบัญชีเงินเดือนของบุคลากร มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265700 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาระบบสารสนเทศบัญชีเงินเดือนของบุคลากร มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี โดยดำเนินการตามระเบียบวิธีการพัฒนาวงจรการพัฒนาระบบ (System Development Life Cycle) เริ่มจากกการศึกษาหาปัญหาระบบ และทำงานเก็บข้อมูลปัจจุบัน โดยใช้การสังเกตทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ สัมภาษณ์ความต้องการของผู้ใช้ และการวิเคราะห์เอกสาร จากนั้นทำการสังเคราะห์ข้อมูลเพื่ออกแบบและพัฒนาระบบงานใหม่ โดยใช้โปรแกรม Microsoft Visual Studio 2008 ใช้เทคโนโลยี ASP.NET และระบบจัดการฐานข้อมูล Microsoft SQL Server 2008 ผลการวิจัยพบว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี มีระบบสารสนเทศบัญชีเงินเดือนของบุคลากร มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ซึ่งประกอบด้วย 1) ระบบการบันทึกการเข้าใช้ระบบ 2) รายงานเงินเดือนส่วนบุคคล 3) รายงานรายละเอียดเงินเดือนรายเดือน และ 4) การจัดการข้อมูลผู้ใช้</p> จิรันธนิน ทองธิราช, ปฐวี ประทาน ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265700 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 รูปแบบการพัฒนาความยั่งยืนในประเพณีงานนมัสการรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265096 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตลักษณ์และแนวทางในการพัฒนาความยั่งยืนในการท่องเที่ยวนมัสการรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี วิธีการศึกษาในงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแนวประวัติศาสตร์ เทคนิคการวิจัยประกอบด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ข้อค้นพบจากการวิจัยพบว่า งานนมัสการมีอัตลักษณ์จากการกราบสักการะรอยพระพุทธบาท ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการทำบุญหลายขั้นตอน รวมทั้งเรื่องเล่าเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์จากการได้มานมัสการ ส่วนแนวทางในการพัฒนาความยั่งยืนในการท่องเที่ยวของงานนมัสการ ควรให้ความสำคัญต่อกิจกรรมการท่องเที่ยวต่อเนื่องหลังจาการไปร่วมงานนมัสการแล้วซึ่งประกอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและสินค้าท่องเที่ยวของท้องถิ่น</p> พระมหาหงษ์สา ดิษชัง, ชัยยนต์ ประดิษฐศิลป์, จำลอง แสนเสนาะ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265096 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิที่ติดต่อผ่านดินในนักเรียนศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265479 <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นเชิงสหสัมพันธ์ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลโดยจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับการตรวจอุจาระและการใช้แบบสอบถามจำนวน 85 คน โดยในการวิจัยครั้งนี้ตรวจอุจาจระด้วยกล้องจุลทรรศน์ทำการตรวจหาไข่พยาธิในอุจจาระโดยวิธี Kato’s thick smear technique และผู้ให้ข้อ มูลตอบแบบสอบถามคือผู้ปกครองนักเรียน โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ.2565 ถึงเดือน มีนาคม พ.ศ.2566 การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Chi-square test</p> <p>ผลการศึกษาพบว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 62.35 และเพศชายคิดเป็นร้อยละ 37.65 อายุของนักเรียนส่วนมากอยู่ในช่วง 15-19 ปี คิดเป็นร้อยละ 47.06 รองลงมาอายุ 10-14 ปี คิดเป็นร้อยละ 38.82 ภาวะโภชนาการ ส่วนใหญ่น้ำหนักตามเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 81.18 รองมาน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 11.76 อัตราความชุกของโรคหนอนพยาธิในทางเดินอาหารตรวจพบไข่หนอนพยาธิทางเดินอาหาร คิดเป็นร้อยละ 10.59 พบในเพศชายคิดเป็นร้อยละ 21.88 และเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 3.77 พบในช่วงอายุ15-19 ปีคิดเป็นร้อยละ 12.50 รองลงมาอายุ 10-14 ปี คิดเป็นร้อยละ 12.12 ภาวะโภชนาการ ส่วนมากพบน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์คิดเป็นร้อยละ 70.00 รองลงมาน้ำหนัค่อนข้างน้อย คิดเป็นร้อยละ 20.00 ลักษณะการกระจายของหนอนพยาธิจำแนกตามชนิดพบพยาธิไส้เดือนมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 7.06 รองลงมาได้แก่พยาธิปากขอคิดเป็นร้อยละ 2.35 และพยาธิเข็มหมุดร้อยละ 1.18 พยาธิไส้เดือนและพยาธิเข็มหมุดในนักเรียนชายมากกว่านักเรียนหญิง คิดเป็นร้อยละ 12.50 และเป็นร้อยละ 3.13 ตามลำดับ ความชุกของโรคหนอนพยาธิทางเดินอาหารมีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการของนักเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ p-value &lt; 0.05 ส่วนอายุ เพศและระดับชั้นเรียนของนักเรียนไม่มีความสัมพันธ์กับกับความชุกของโรคหนอนพยาธิทางเดินอาหาร</p> <p>ข้อเสนอแนะหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ควรจัดให้มีผู้นำนักเรียนส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตามนโยบายโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้นักเรียนเป็นผู้นำในการส่งเสริมและป้องกันโรคในโรงเรียน ครอบครัวและชุมชน เพื่อสร้างความรู้ในด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคหนอนพยาธิให้แก่ชุมชน</p> เมธี สุทธศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265479 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 คุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265872 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษาและแนวทางการพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของครู ในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการครู ในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จำนวน 152 คน เครื่องมือเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">คุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อย ดังนี้ ด้านวิชาการ ด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านการพัฒนาตนเองในเชิงบริหาร ด้านสังคมและชุมชน ด้านการจัดระบบ และด้านการบริหารจัดการ</li> </ol> <p>&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; 2. แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะผู้บริหารสถานศึกษา ในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 มีแนวทางดังนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความยุติธรรม ยึดความถูกต้องเป็นแนวทางการทำงาน ให้เกียรติทุกคนอย่างเท่าเทียม ทำงานด้วยหลักประชาธิปไตย ยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น มีการติดตาม ตรวจสอบ ปรับปรุง พัฒนาระบบสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง แบ่งฝ่ายงานและหน้าที่รับผิดชอบชัดเจน ทั้งขอบข่ายงานและตัวบุคคล มอบหมายภาระงานตรงกับความสามารถ ศักยภาพของแต่ละบุคคล มีการสร้างความสัมพันธ์หรือกิจกรรมที่ดีร่วมกับชุมชน โดยสถานศึกษาเป็นศูนย์กลางการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยให้ชุมชนใช้อาคารสถานที่ และผู้บริหารต้องศึกษาแนวโน้มทางการศึกษา เพื่อวางแผนกลยุทธ์ในการพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพและมีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด</p> สมบูรณ์ เตียนขุนทด, สมใจ เดชบำรุง, สมบัติ เดชบำรุง ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265872 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรีเขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265874 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา เพื่อศึกษาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้บริหารโรงเรียนหรือรักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียน ข้าราชการครูในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 จำนวน 152 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.984 และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในกลุ่มพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ <br>ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล ด้านการมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ ด้านการสร้างแรงบันดาลใจ ด้านการกระตุ้นทางปัญญา</li> </ol> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; &nbsp;2. แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูในกลุ่มพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 มีแนวทางดังนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีการศึกษาสังเกตความสามารถในการทำงานของบุคลากร ส่งเสริม สนับสนุนในการทำงานของบุคลากร ให้คำแนะนำในการทำงานของบุคลากรทุกคน ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ การเข้าถึงให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นกัลยาณมิตร วางแผน หาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน การดำเนินการแก้ปัญหา ติดตาม ตรวจสอบ เก็บข้อมูลการดำเนินการแก้ปัญหา ให้คำปรึกษาและแนวทางในการช่วยเหลือบุคลากร ยินดีในความสำเร็จด้วยความจริงใจ</p> โอภาส แซ่อุ้ย, สมใจ เดชบำรุง, สมบัติ เดชบำรุง ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265874 Tue, 12 Sep 2023 00:00:00 +0700 แรงจูงใจในการทำงานของครู ในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265873 <p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) แรงจูงใจในการทำงานของครูในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 2) แนวทางการพัฒนาแรงจูงใจในการทำงานของครู ในกลุ่มเครือข่ายพัฒนาการศึกษาที่ 8 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1 โดยงานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงพรรณา และใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในการทำงานของครูตามแนวคิดของ เฮิร์ซเบิร์ก เมาสเนอร์และสไนเดอร์แมน (Herzberg, Mausner and Snyderman) ผลการวิจัยพบว่า 1.แรงจูงใจในการทำงานของครู โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ด้านที่ค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านปัจจัยค้ำจุน และด้านที่ค่าเฉลี่ยรองลงมาคือ ด้านปัจจัยจูงใจ 2.แนวทางการพัฒนาแรงจูงใจในการทำงานของครู ได้แก่การบริหารงานขององค์กรควรศึกษาความสามารถของครูแต่ละคนให้ชัดเจน และมอบหมายงานให้ตรงกับความสามารถตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ให้เกียรติทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีการจัดกิจกรรมนันทนาการเพื่อให้ทุกคนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สนับสนุนการพัฒนาความก้าวหน้าให้กับครู และนำหลักประชาธิปไตยมาใช้ในการทำงาน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ร่วมสร้างแนวทางการวิเคราะห์ปัญหาและหาทางออกให้ครู และให้ความช่วยเหลือแก่เพื่อนร่วมงานและควรกระจายงานไปให้ครูทุกคนเพื่อที่ครูจะได้เต็มที่กับงานที่ได้รับมอบหมาย และควรชี้แจงรายละเอียดของงานให้คุณครูเข้าใจอย่างชัดเจน</p> ทัศน์พล เทียนดำ, สมใจ เดชบำรุง, สมบัติ เดชบำรุง ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265873 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 คุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรกรมวิชาการเกษตร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265301 <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรกรมวิชาการเกษตร 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรกรมวิชาการเกษตรจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศองค์การกับคุณภาพชีวิตการทำงานของบุคลากรกรมวิชาการเกษตร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรกรมวิชาการเกษตร จำนวน 385 คน โดยใช้แบบสอบถาม และการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน นัยสำคัญทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ กำหนดไว้ที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรกรมวิชาการเกษตร มีคุณภาพชีวิตในการทำงานอยู่ในระดับสูง ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า <br />ปัจจัยส่วยบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และระยะเวลาการทำงานต่างกันมีคุณภาพชีวิตการทำงานไม่แตกต่างกัน และบรรยากาศองค์การมีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตในการทำงานของบุคลากรกรมวิชาการเกษตร อย่างที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> พัชริญาณ์ จีนคง, ลดาวัลย์ ไข่คำ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265301 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266009 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 จำแนกตามวุฒิการศึกษา ตำแหน่ง และขนาดของสถานศึกษา ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นของครูที่มีต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก การเปรียบเทียบความคิดเห็นขอครูที่มีต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 ครูที่มีวุฒิการศึกษาต่างกันมีความเห็นต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน ครูที่มีตำแหน่งในสถานศึกษาที่มีขนาดต่างกันมีความคิดเห็นต่อบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน</p> ณัฐรินี คันศร, คึกฤทธิ์ ศิลาลาย ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266009 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 ลำคอนสะหวัน : อัตลักษณ์การแสดงดั้งเดิมแขวงสะหวันนะเขตในยุคจินตนาการใหม่ ของ สปป.ลาว https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266078 <p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง การแสดงพื้นถิ่น : อัตลักษณ์และการปรับปรนทางวัฒนธรรมยุคจินตนาการใหม่ แขวงสะหวันนะเขต สปป.ลาว มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) อัตลักษณ์การแสดงแบบดั้งเดิมของลำคอนสะหวัน 2) การแสดงคอนสะหวันหลังการปรับปรนทางวัฒนธรรมในยุคจินตนาการใหม่&nbsp; มีการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการเก็บข้อมูลภาคสนาม โดยนำเสนอในรูปแบบพรรณาวิเคราะห์ ได้ผลการวิจัยดังนี้ 1) อัตลักษณ์การแสดงลำคอนสะหวัน แขวงสะหวันนะเขต สปป. ลาว โดยปราชญ์ (หมอลำ) ได้มีการแต่งบทกลอนพรรณนาความงามของธรรมชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณี และความรัก จังหวะทำนองเป็นไปตามสำเนียงของท้องถิ่นแขวงสะหวันนะเขต โอกาสในการคืองานเฉลิมฉลองในเทศกาลประเพณีเมื่อเกิดความสนุกสนานมีการฟ้อนรำไปตามจังหวะมีท่าฟ้อนที่เป็นอิสระเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเป็นมรดกภูมิปัญญาจึงมีการเรียนรู้จดจำสืบต่อกันมา 2) การขับลำคอนสะหวันประจำถิ่นได้ลดบทบาทลงตามเหตุการณ์ทางการเมือง ตั้งแต่ยุคอาณานิคมฝรั่งเศส ยุคสังคมนิยม มาจนถึงยุคจินตนาการใหม่ พ.ศ. 2529 มีการผ่อนปรนแต่ละท้องถิ่นมีการรื้อฟื้นภูมิปัญญา แต่เนื้อหายังถูกควบคุมเกี่ยวกับการสร้างชาติ การสื่อสารประชาสัมพันธ์ตอบสนองรัฐ คุณธรรมจริยธรรม และการเกี้ยวพาราสี ระหว่างคู่ขับร้อง ทำนองร้องยังคงเอกลักษณดั้งเดิม มีการปรับปรนในด้านการแต่งกาย เครื่องดนตรีและการฟ้อนรำ ในภาพรวมถึงแม้จะมีร่องรอยของความเป็นท้องถิ่นแต่แนวโน้มที่เปลี่ยนไปตามสมัยนิยม ภายใต้ยุคดิจิทัลที่นำสื่อภายนอกเข้ามาภายในวัฒนธรรม แต่ในทางกลับกันสื่อก็สามารถสื่อสารและเผยแพร่วัฒนธรรมด้านการแสดงให้แพร่กระจายออกไปอย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่สอดคล้องกันด้วยเช่นกัน</p> <p>&nbsp;</p> สิริยาพร สาลีพันธ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266078 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 สภาพการดำเนินงานการบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266119 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานการบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติกของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง 2) เปรียบเทียบสภาพดำเนินงานการบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง จำแนกตาม อายุ ตำแหน่ง และขนาดสถานศึกษา 3) รวบรวมข้อเสนอแนะการบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มบริหารงาน และครูผู้สอนห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง จำนวน 80 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามประเมินค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่า IOC ระหว่าง 0.67-1.00 และมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบ และสถิติทดสอบเอฟ ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินงานการบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานการบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง ภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีตำแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานการบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง ภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ตำแหน่งที่แตกต่างกัน มีสภาพการดำเนินการงานการบริหารจัดการ ด้านการบริหารงานวิชาการแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ขนาดสถานศึกษาต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการดำเนินงานการบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนานสำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่าง ภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 5) การบริหารจัดการห้องเรียนคู่ขนาน สำหรับบุคคลออทิสติก ของโรงเรียนในเขตภาคใต้ตอนล่างควรมีการส่งเสริมการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา ควรมีงบประมาณที่เพียงพอ และควรมีบุคลากรที่มีความรู้</p> <p><strong> </strong></p> สุดาพร มุรานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266119 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266204 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยในการตัดสินใจเลือกเรียนโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา 2) เพื่อศึกษาการตัดสินใจเลือกเรียนโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลาหาแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา และ 4) เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มครูผู้สอนและผู้ปกครอง จำนวน 10 คน โดยใช้การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และนักเรียนที่กำลังศึกษาในโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา จำนวน 383 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล มีค่าความเชื่อมั่นตัวแปรพยากรณ์ เท่ากับ .942 และตัวแปรเกณฑ์ เท่ากับ .966 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกเรียนโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา ทั้ง 4&nbsp;ด้านอยู่ในระดับมาก 2) การตัดสินใจเลือกเรียนโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา ทั้ง 7 ด้านอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา พบว่า ปัจจัยด้านวัฒนธรรม ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยด้านจิตวิทยา ร่วมกันส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกเรียนโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 4) แนวทางการพัฒนาโรงเรียนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลา (1) ครูผู้สอนและผู้ปกครองควรแนะนำในส่วนของผลดีและผลเสียของการเรียนดนตรี (2) ผู้ปกครองควรหน้าที่เลือกสถานที่ให้บุตรหลาน โรงเรียนที่มีคุณภาพมีชื่อเสียงจะต้องมีราคาสูงกว่าโรงเรียนที่ไม่เป็นที่รู้จัก (3) โรงเรียนสอนดนตรีเอกชนในจังหวัดสงขลาควรให้ความสำคัญด้านราคา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของจังหวัดสงขลาในปัจจุบันไม่ดีจึงส่งผลกระทบต่อผู้ปกครอง และปัญหาเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอ</p> ภูดิศ ร่มสกุล, สุดาพร ทองสวัสดิ์, จรัส อติวิทยาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266204 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 นวัตกรรมการจัดการธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ผลิตในเขตภาคกลางตอนล่าง 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266341 <p>การวิจัย เรื่อง นวัตกรรมการจัดการธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ผลิตในเขตภาคกลางตอนล่าง 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) สภาพปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลต่อการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 (2) นวัตกรรมการจัดการธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ผลิตในเขตภาคกลางตอนล่าง 2 ที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และ (3) รูปแบบการพัฒนานวัตกรรมการจัดการธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ผลิตในเขตภาคกลางตอนล่าง 2 เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมขอมูลจากแบบสัมภาษณเชิงลึกกับผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ผลิตในเขตภาคกลางตอนล่าง 2 จำนวน 20 แห่ง โดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากจังหวัดเพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการจำนวนมาก วิเคราะห์ผลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลต่อการพัฒนาพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ประกอบด้วย ปัญหาด้านปัจจัยนำเข้า ได้แก่ ต้นทุน ข้อกฎหมาย ขั้นตอนการขอใบอนุญาตตามข้อกำหนด ปัญหาด้านกระบวนการ ได้แก่ ความเสี่ยงด้านสภาพพื้นที่ ความเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ ภัยพิบัติ กระบวนการผลิตเพื่อจำหน่าย ปัญหาด้านผลผลิต ได้แก่ ความเข้าใจของประชาชน ผลกระทบต่อพื้นที่ 2) นวัตกรรมการจัดการธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ผลิตในเขตภาคกลางตอนล่าง 2 ที่ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ประกอบด้วย (1) เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีราคาถูกลง ทำให้สามารถแข่งขันด้านราคากับไฟฟ้าที่มาจากแหล่งผลิตอื่นๆ ได้ (2) นวัตกรรมด้านการโครงสร้างองค์กร และ (3) นวัตกรรมด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและระบบควบคุมคุณภาพมาตรฐาน 3) รูปแบบการพัฒนานวัตกรรมการจัดการธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของผู้ผลิตในเขตภาคกลางตอนล่าง 2 ประกอบด้วย 6Ps คือ Plan/Policy, Process/Products, Place, Power of Participatory, Public Relations, Promotion, People</p> ชญาณิศา ฐาณิชญาณัณ , ชัชวาล แสงทองล้วน, กาญจนา พันธุ์เอี่ยม, สุพัตรา ยอดสุรางค์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266341 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266381 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนวัดปุรณาวาส สังกัดสำนักงานเขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD), สถิติทดสอบค่าที แบบไม่อิสระจากกัน (t-test Dependent) ผลการวิจัย พบว่า 1) ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้านสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแนวคิดห้องเรียนกลับด้าน มีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ชุติมา เจตอธิการ, อุบลวรรณ ส่งเสริม ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266381 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพทรัพยากรการท่องเที่ยวและกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม ตำบลเข็กน้อย อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265625 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าม้งบ้านเข็กน้อย 2) ศึกษาศักยภาพการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าม้ง บ้านเข็กน้อย 3) ศึกษาความต้องการของนักท่องเที่ยวในการจัดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าม้งบ้านเข็กน้อย และ 4) นำเสนอร่างรูปแบบและกิจกรรมทางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าม้งบ้านเข็กน้อย ผู้วิจัยทำการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มได้แก่ ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชน จำนวน 30 คน และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) มีกลุ่มตัวอย่างคือ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในตำบลเข็กน้อย จำนวน 400 คน &nbsp;ผู้วิจัยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน&nbsp; จากนั้นตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า และนำเสนอแบบพรรณนา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li class="show">ผลการศึกษาอัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าม้งบ้านเข็กน้อย พบว่าชาวเขาเผ่าม้งบ้านเข็กน้อยยังคงมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น และยังคงดำรงอยู่กับชุมชน ประกอบด้วย 8 ด้าน ได้แก่ ด้านอาหาร ด้านการแต่งกาย ด้านที่อยู่อาศัย ด้านประเพณี ด้านภาษา ด้านอาชีพ ด้านความเชื่อ และด้านศิลปะพื้นบ้าน</li> <li class="show">ผลการศึกษาศักยภาพการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าม้งบ้านเข็กน้อย พบว่ามีศักยภาพในการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม โดยมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจและโดดเด่น อีกทั้งตำบลเข็กน้อยยังเป็นศูนย์รวมชาวเขาเผ่าม้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และยังคงมีวิถีชีวิตขนบธรรมเนียมประเพณีในแบบชนเผ่าม้งดั้งเดิม มีภูมิปัญญา และดำรงอยู่ตามกฎจารีตประเพณีของชาวเขาเผ่าม้ง</li> <li class="show">ผลการศึกษาความต้องการของนักท่องเที่ยวในการจัดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าม้งบ้านเข็กน้อย พบว่านักท่องเที่ยวมีความต้องการโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยสูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ ความสวยงามของสภาพภูมิทัศน์โดยรวมของแหล่งท่องเที่ยว ความเพียงพอของร้านอาหาร และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้นักท่องเที่ยวได้ให้ข้อเสนอแนะนักท่องเที่ยวได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม ซึ่งผู้วิจัยได้รวบรวมไว้เป็น 3 ประเด็น ประกอบด้วย ด้านการบริการการท่องเที่ยว ด้านการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว และด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม</li> </ol> วิภารัศมิ์ พรพฤฒิพันธุ์, จุฬา เจริญวงค์, สดุดี คำมี ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265625 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาการจัดการทรัพยากรมนุษย์เพื่อความยั่งยืนของ องค์กรพัฒนาเอกชน (กิจการเพื่อสังคม) จังหวัดตาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266464 <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาความยั่งยืน การเปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการบริหารทรัพยากรมนุษย์องค์กรพัฒนาเอกชน (กิจการเพื่อสังคม) จังหวัดตาก ตามปัจจัยส่วนบุคคลเพื่อหาแนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์อย่างยั่งยืนในองค์กรพัฒนาเอกชน(กิจการเพื่อสังคม) จังหวัดตาก ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมในจังหวัดตาก โดยไม่ทราบกลุ่มจำนวนประชากร ซึ่งใช้การสุ่มตัวอย่างเพื่อมาเป็นตัวแทน การศึกษาแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น โดยใช้การเลือกตัวอย่างแบบโควตา จำนวน 250 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ และแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยาย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ ค่าที ความแปรปรวนแบบทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาความยั่งยืนในภาพรวมโดยรวมอยู่ในระดับมาก การทดสอบสมมติฐานของการวิจัยในการศึกษาพบว่า ข้อมูลผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตามเชื้อชาติที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในกิจการเพื่อสังคม จังหวัดตาก แตกต่างกัน ในด้านกระบวนการสรรหา ด้านกระบวนการบริหารค่าตอบแทน และด้านกระบวนการประเมินผลการปฏิบัติงาน โดยข้อมูลผู้ตอบแบบสอบถามจำแนกตาม เพศ อายุ และตำแหน่ง ที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในกิจการเพื่อสังคม จังหวัดตาก ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> ประยูร อัสสกาญจน์, ขจรอรรถพณ พงศ์วิริทธิ์ธร, วลัยลักษณ์ พันธุรี , วีรพงษ์ สุทาวัน, ศิกาญจน์มณี ไซเออร์ส ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266464 Wed, 13 Sep 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง จำนวนเต็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266495 <p>การวิจัยเรื่องการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง จำนวนเต็ม ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนแห่งหนึ่ง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 201 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนการรู้วิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็ม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็ม <br />3) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง จำนวนเต็ม โดยใช้แนวคิด เกมมิฟิเคชันร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง จำนวนเต็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันร่วมกับการจัดการเรียนรู้ แบบผสมผสานสูงกว่าเกณฑ์การประเมิน 60% โดยมีคะแนนเฉลี่ยหลังการเรียนเท่ากับ 9.07 คะแนน จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 60.47 และนักเรียนมีความคิดเห็นว่าการใช้แนวคิดเกมมิฟิเคชันร่วมกับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ช่วยให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้น เกิดแรงจูงใจในการเรียนและการทำกิจกรรม</p> กรกช บุญหยง, ต้องตา สมใจเพ็ง, ชานนท์ จันทรา ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266495 Thu, 14 Sep 2023 00:00:00 +0700 การกลายเป็นสินค้าของยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยว https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266653 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสร้างตัวตนของยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยวในการสร้างอิทธิพลต่อผู้ติดตามและผู้รับชมผ่านเนื้อหาที่สร้างขึ้นในช่องของตน และศึกษาเนื้อหาที่ได้รับความนิยม ใช้ระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ โดยวิธีการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์เอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัย<br />ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างตัวตน ผู้สร้างอิทธิพลทางสื่อสังคม และสำรวจข้อมูลผู้สร้างอิทธิพลทางสื่อสังคม <br />ผ่านช่องในแพลตฟอร์มยูทูบ (YouTube) อาศัยการรวบรวมข้อมูลจากช่องยูทูบและคลิปวิดีโอ<br />ของยูทูบเบอร์กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 10 ราย เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นและอภิปรายผลการศึกษาจากการศึกษาพบว่า การสร้างตัวตนของยูทูบเบอร์เพื่อสร้างอิทธิพลต่อผู้ติดตามผ่านเนื้อหาที่สร้างขึ้นในช่องของตน โดยยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยวนั้น มีทั้งผู้ไม่มีชื่อเสียงมาก่อนและผู้มีชื่อเสียงมาก่อนอยู่แล้ว แม้เรื่องของชื่อเสียงและฐานแฟนคลับอาจดูเป็นทุนที่ได้เปรียบของเหล่าดาราศิลปินที่หันมาเป็นยูทูบเบอร์ แต่ก็อาจไม่เสมอไป เพราะธรรมชาติในการเลือกรับชมบนช่องทางนี้ ทุกอย่างอยู่ที่ความสนใจของผู้รับชม การทำคอนเทนต์และการสร้างตัวตนขึ้นมาให้มีลักษณะเฉพาะตัว คือ จุดดึงดูดสำคัญที่สุดในการคิดจะเพิ่มช่องทางเพื่อนำเสนอตัวเองผ่านโลกออนไลน์ ยูทูบเบอร์แต่ละคนมีสไตล์การท่องเที่ยวและมีความคิดสร้างสรรค์ในการนำเสนอในรูปแบบของตัวเอง สร้างตัวตนที่ไม่เหมือนใคร ในแต่ละคนมีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ในลักษณะร่วมที่พบว่าคล้ายคลึงกัน คือ 1.การไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยไป สถานที่ที่ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักหรือได้รับความนิยมมากนัก 2.การให้ข้อมูล ทั้งข้อมูลทั่วไปและการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในคลิปวิดีโอนั้น ๆ 3. ชื่อคลิปมีความน่าสนใจ 4.การผลิตคลิปวิดีโอ (Production) ที่มีคุณภาพดี แต่อย่างไรก็ตาม รายได้จากการเป็น YouTuber นั้น หากต้องการทำเป็นอาชีพหลัก จะไม่สามารถพึ่งรายได้จากค่าโฆษณาจากยูทูบเพียงอย่างเดียว เมื่อช่องประสบความสำเร็จมีฐานคนดูเยอะ ก็จะมีโอกาสที่ผู้สนับสนุน (Sponsor) มาซื้อโฆษณากับยูทูบเบอร์โดยตรง หรือจ้างทำคลิป ซึ่งรายได้ตรงนั้นจะสูงกว่าค่าตอบแทนที่ได้จาก YouTube Ads มาก จึงเป็นเหตุผลนำไปสู่ความพยายามสร้างตัวตนขึ้นมาของบุคคลธรรมดาที่ในตอนแรกพยายามทำให้ตนเองเป็นผู้ผลิตและสุดท้ายได้กลายเป็นสินค้าไปในที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจ ผ่านการสร้างสรรค์เนื้อหาบนแพลตฟอร์มยูทูบในการทำให้ผู้รับชมหรือผู้บริโภคเกิดความชื่นชอบ เกิดความเชื่อบางสิ่งบางอย่างจากการรีวิวหรือบอกเล่าของพวกเขา สามารถโน้มน้าวความคิดเห็นหรือพฤติกรรมของผู้อื่น และเลือกที่จะติดตาม ด้วยความสำคัญของยูทูบเบอร์นี้เองที่ทำให้แบรนด์สินค้าเริ่มลงทุนกับการจ้างผู้มีอิทธิพลต่อความเชื่อของคนบางกลุ่ม ที่ไม่จำเป็นต้องถึงกับดังระดับดารา ซึ่งค่าตัวคงแพงมาก และหันมาจ้างยูทูบเบอร์ ที่มีตัวตนอยู่บนโลกออนไลน์ ที่ใครก็มักจะติดตามช่องของพวกเขาตามเนื้อหาที่สนใจ</p> อาภานุช ชัยยุทโธ, กุลลินี มุทธากลิน ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266653 Thu, 14 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจใช้บริการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ของนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266676 <p style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span lang="TH" style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการตัดสินใจใช้บริการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐกรุงเทพมหานคร และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจใช้บริการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ของนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ กรุงเทพมหานคร ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้ คือ นิสิตนักศึกษาที่กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ กรุงเทพมหานคร จำนวน </span><span style="font-size: 16.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">400 <span lang="TH">คน การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และใช้โปรแกรมในการวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าความถี่</span><span lang="TH">ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบไคสแควร์ ผลการศึกษา พบว่า นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ กรุงเทพมหานคร มีความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับมาก การตัดสินใจใช้บริการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ โดยรวมอยู่ในระดับตัดสินใจเป็นประจำ ข้อมูลพื้นฐานกับการตัดสินใจใช้บริการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่มีความสัมพันธ์กับเพศและรายได้ต่อเดือนของนิสิต อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .</span>01 <span lang="TH">และ .</span>05 <span lang="TH">และส่วนประสมทางการตลาดกับโดยรวมมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจใช้บริการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .</span>001</span></p> ถิรวัฒน์ ถิรวัฒน์ , อังคณา ขันตรีจิตรานนท์, สุวิมล อุไกรษา ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266676 Mon, 18 Sep 2023 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน เรื่อง กำหนดการเชิงเส้น ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266702 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียนรู้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้ปัญหาเป็นฐาน และ 2) ศึกษาแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่องกำหนดการเชิงเส้น กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนโพธิสารพิทยากร จำนวน 38 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 แผน และแบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า 1) มีนักเรียนที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระดับดีขึ้นไปร้อยละ 68.42 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมดและร้อยละของค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบเท่ากับ 65.92 และ 2) แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานที่ส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ คือ 1) การกำหนดสถานการณ์ปัญหาที่เป็นสถานการณ์จริงหรือใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง 2) การใช้คำถามนำเพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหาและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และ 3) ให้นักเรียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวคิดเพื่อให้นักเรียนได้ปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหาให้ดีมากที่สุด</p> ภูมิพัฒน์ สุดเสน่ห์, วันดี เกษมสุขพิพัฒน์, ต้องตา สมใจเพ็ง ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266702 Mon, 18 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการระดับประถมศึกษา โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ (ชุมชนบ้านน้ำโท้ง- บ้านฮ่อมอุปถัมภ์) จังหวัดลำปาง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266752 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาหลักสูตรบูรณาการแนวคิดไทยแลนด์4.0 กับวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาในระดับประถมศึกษาโรงเรียนอนุบาลแม่ทะ(ชุมชนบ้านน้ำโท้ง - บ้านฮ่อมอุปถัมภ์) จังหวัดลำปาง 2) เพื่อศึกษาผลการใช้หลักสูตรบูรณาการฯ ประชากร คือ ครูระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ระดับชั้นละ 1 คนรวม 3 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ระดับชั้นละ 1 ห้อง รวม 3 ห้องเรียน รวมจำนวน 33 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย&nbsp; ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา&nbsp; ผลการวิจัย พบว่า 1) หลักสูตรบูรณาการแนวคิดไทยแลนด์4.0 กับวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาในระดับประถมศึกษาโรงเรียนอนุบาลแม่ทะ (ชุมชนบ้านน้ำโท้ง – บ้านฮ่อมอุปถัมภ์) จังหวัดลำปาง ที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบ ได้แก่&nbsp; หลักการและเหตุผล&nbsp; กรอบแนวคิด จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ผลการเรียนรู้ คำอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ และแผนการจัดการเรียนรู้ ผลการประเมินคุณภาพหลักสูตรโดยผู้ทรงคุณวุฒิ&nbsp; พบว่า คุณภาพของหลักสูตรมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการวิจัยหลังจากการทดลองใช้หลักสูตร พบว่า ความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับการบริหารหลักสูตรมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการประเมินความคิดเห็นของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรมีค่าเฉลี่ยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการเรียนรู้ด้านทักษะการคิดของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่&nbsp; 4 – 6 พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดในทุกระดับชั้น และผลการเรียนรู้ด้านทักษะชีวิตของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ระดับมาก และระดับมาก ตามลำดับ</p> สุภาภรณ์ มาชัยวงศ์, สิทธิกร สุมาลี, วิภารัตน์ มูสิกะเจริญ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266752 Mon, 18 Sep 2023 00:00:00 +0700 แรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266756 <p>การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน 2) ศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดชลบุรี รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ โดยกลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานบริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดชลบุรี จำนวน 313 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย แจกแจงความถี่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การแจกแจงแบบที สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ด้านปัจจัยจูงใจโดยรวมอยู่ในระดับมาก&nbsp; ( =4.16) และปัจจัยแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ด้านปัจจัยค้ำจุน ของพนักงานบริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดชลบุรี โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.14) 2) ลักษณะทางประชากรศาสตร์ ด้านระดับการศึกษา ด้านสถานภาพ และด้านตำแหน่งที่แตกต่างกันมีผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดชลบุรี แตกต่างกัน และ 3) แรงจูงใจ ปัจจัยจูงใจ ด้านการได้รับการยอมรับนับถือ ความรับผิดชอบ ความก้าวหน้า และแรงจูงใจปัจจัยค้ำจุน ด้านเงินเดือน หรือ ค่าตอบแทน ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น นโยบายและการบริหาร และสภาพแวดล้อมการทำงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในจังหวัดชลบุรีโดยรวม</p> ณัติรุจน์ นพหิรัณย์กิจ, จิราพร ระโหฐาน ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266756 Mon, 18 Sep 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์อย่างมืออาชีพ ตามหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266759 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะของผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ที่กำลังพัฒนากับสมรรถนะของผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ที่ประสบความสำเร็จในจังหวัดเชียงราย 2) เปรียบเทียบสมรรถนะของผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ในข้อที่ 1 และ 3) สร้างแนวทางในการพัฒนาสมรรถนะของผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์อย่างมืออาชีพ ตามหลักการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ การเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้างชนิดปลายเปิดกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ที่ จำนวน 19 คน และวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ที่กำลังพัฒนาธุรกิจมีสมรรถนะจำนวน 8 ด้าน และผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ที่ประสบความสำเร็จนั้นมีสมรรถนะที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชุมชนประสบความสำเร็จ จำนวน 13 ด้าน และเมื่อเปรียบเทียบสมรรถนะของผู้ประกอบการทั้ง 2 ชุมชนแล้วพบว่า ผู้ประกอบการทั้ง 2 ชุมชนมีสมรรถนะบางด้านที่ทับซ้อนกัน การประยุกต์ใช้สมรรถนะเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามเส้นทางการเป็นผู้ประกอบการ โดยผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยประสบการณ์ ในขณะที่ผู้ประกอบการที่กำลังพัฒนาอาศัยความคล่องตัว ความสามารถในการปรับตัว และความสามารถในการตรวจสอบความคิดของตนเพื่อปูทางไปสู่ความสำเร็จ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สำหรับแนวทางการพัฒนาสมรรถนะของผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์อย่างมืออาชีพ ประกอบด้วย 1) เริ่มต้นด้วยการกำหนดสมรรถนะหลักที่จำเป็นสำหรับการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจโฮมสเตย์ 2) ดำเนินการประเมินตนเองเพื่อระบุจุดแข็งและด้านที่ต้องปรับปรุงโดยสัมพันธ์กับสมรรถนะหลัก 3) กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและทำได้ในแต่ละสมรรถนะที่ต้องการพัฒนา 4) เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 5) ขอคำปรึกษาหรือคำแนะนำจากผู้ประกอบการโฮมสเตย์มีประสบการณ์หรือผู้เชี่ยวชาญ 6) ใช้ความรู้และทักษะที่คุณได้รับจากประสบการณ์จริง 7) สร้างเครือข่ายและการทำงานร่วมกันกับผู้ประกอบการโฮมสเตย์รายอื่น 8) การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง</p> อัจฉราภัทร์ เขมอัครเจตต์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266759 Mon, 18 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาการตลาดแบบบูรณาการในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี ตามรอยกวีนิพนธ์นิราศเมืองเพชรของกวีเอกสุนทรภู่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266791 <p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์1.เพื่อศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์ของการท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี 2.เพื่อศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ต่อส่วนประสมทางการตลาดบริการของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของจังหวัดเพชรบุรีตามรอยกวีนิพนธ์นิราศเมืองเพชรของกวีเอกสุนทรภู่ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาครั้งนี้มีจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติใช้ในการศึกษา คือ ค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) ระดับความเชื่อมั่นหรือระดับนัยสำคัญที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 หรือระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่าส่วนใหญ่ 1.นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบุรี ร้อยละ 52.25 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 30.00 มีอายุ 20 ถึง 29 ปี ร้อยละ 51.50 มีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 59.00 มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 37.25 มีอาชีพอิสระ ร้อยละ 27.75 มีรายได้ต่อเดือน 15,001 – 20,000 บาท 2.ทัศนคติที่มีต่อส่วนประสมทางการตลาดของนักท่องเที่ยว ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยวมีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยว ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวมีความคุ้มค่า มีป้ายราคาสินค้า ราคาอาหารและราคาสินค้าของฝากของที่ระลึกมีความชัดเจน ราคาสินค้าของฝากของที่ระลึกมีความเหมาะสม นักท่องเที่ยวสามารถจองที่พัก ร้านอาหาร กิจกรรม ผ่านสื่อออนไลน์ได้สะดวก และมีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวทางเว็บไซด์ทำให้เข้าถึงได้ง่ายมีการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง และสื่อในการส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวมีความหลากหลาย เช่น สื่อออนไลน์ สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ฯลฯ มีเจ้าหน้าที่มีความเต็มใจในการให้บริการและเอาใจใส่ต่อนักท่องเที่ยว และแหล่งท่องเที่ยวที่มีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถในการให้ข้อมูลอย่างรวดเร็วถูกต้อง มีแหล่งท่องเที่ยวมีความหลากหลาย และบรรยากาศของแหล่งท่องเที่ยวมีความสวยงาม มีขั้นตอนการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน และภายในแหล่งท่องเที่ยวมีข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติในแหล่งท่องเที่ยว มีกิจกรรมในการบริการสามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่มีทักษะ มีความรู้ในการให้ข้อมูลเฉพาะด้านเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่มีข้อมูลที่ทันสมัยทันต่อเหตุการณ์สามารถเข้าใจและอธิบายสถานการณ์การท่องเที่ยวในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี</p> ยุทธภูมิ สุวรรณเวช, เสรี วงษ์มณฑา, ชวลีย์ ณ ถลาง, ชุษณะ เตชคณา ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266791 Tue, 19 Sep 2023 00:00:00 +0700 การบริหารการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูนเขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266350 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางในการบริหารการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2&nbsp;&nbsp; ประชากร ได้แก่&nbsp; ผู้บริหารสถานศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูนเขต 2 ในปีการศึกษา 2565 จำนวน 79 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา&nbsp;</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันในการบริหารการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูนเขต 2 ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก และมีสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด 2) แนวทางในการบริหารการนิเทศของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้เชิงรุกในสถานศึกษา สังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำพูน เขต 2 ประกอบด้วย ด้านการประชุมครูก่อนการสังเกต (Plan) &nbsp;6 แนวทาง ด้านการสังเกตชั้นเรียน (Do) &nbsp;3 แนวทาง&nbsp; ด้านการวิเคราะห์และตีความหมาย (Check) &nbsp;3 แนวทาง ด้านการประชุมครูภายหลังการสอน (Act) &nbsp;&nbsp;3 แนวทาง และ ด้านการสะท้อนผล (After Action Review) &nbsp;5 แนวทาง</p> จันทร์จิรา อ่อนพรม, ปณตนนท์ เถียรประภากุล ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266350 Tue, 19 Sep 2023 00:00:00 +0700 การศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บริการต่อส่วนประสมทางการตลาด(7Ps) ของร้านชาบูชิ (Shabushi) ในจังหวัดอุบลราชธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262068 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ของร้านชาบูชิในจังหวัดอุบลราชธานี โดยการวิจัยครั้งเป็นวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ บุคคลทั่วไปที่ใช้บริการร้านชาบูชิในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ คือ การแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า การประเมินความพึงพอใจการศึกษาความพึงพอใจของผู้ใช้บริการต่อส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ของร้านชาบูชิ (Shabushi) ในจังหวัดอุบลราชธานี ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มากกว่าคิดเป็นร้อยละ 52.00 ด้านอายุ พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 16-25 ปี คิดเป็นร้อยละ 63.00 ด้านระดับการศึกษา พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีระดับการศึกษา ปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 61.00 ด้านอาชีพ พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีอาชีพ นักเรียน/นักศึกษา คิดเป็นร้อยละ 64.00 รายได้ต่อเดือน พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีรายต่อเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 70.80 สถานภาพ พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีสถานภาพโสดคิดเป็นร้อย 87.00 ภูมิลำเนา พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี คิดเป็นร้อยละ 81.30 ความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยรวม (=4.12) ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความพึงพอใจใน ด้านการส่งเสริมการตลาด (=4.16) ด้านบุคคล (=4.16)ด้านลักษณะทางกายภาพ (=4.16) ด้านกระบวนการ (=4.15) ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (=4.15)ด้านผลิตภัณฑ์ (=4.08) และด้านราคา (=4.05) ตามลำดับ</p> กาญจนา คำวงค์, จันทมณี เสริมทรัพย์, ธนาภรณ์ ผุยผล, ธิตา ปาชา, วนิดา ทิมน้อย, สุชาดา ทองศรี, รฐา จันทวารา, กิตต์กวินเดชน์ วงศ์หมั่น ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262068 Tue, 19 Sep 2023 00:00:00 +0700 พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ผู้ชาย GEN Z https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266289 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับปัจจัยการยอมรับและการใช้เทคโนโลยี ความเชื่อมั่น และพฤติกรรมความตั้งใจซื้อของออนไลน์ 2) ปัจจัยพฤติกรรมความตั้งใจซื้อของออนไลน์ แยกตามปัจจัยการยอมรับและการใช้เทคโนโลยี และความเชื่อมั่น และ 3) ปัจจัยการยอมรับและการใช้เทคโนโลยี และปัจจัยความเชื่อมั่นที่ส่งผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจซื้อของออนไลน์ โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม ทำการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ชาย Generation Z ภายในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างไม่อาศัยความน่าจะเป็น และสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ F-test และการวิเคราะห์สมการถดถอยอย่างง่ายพหุคูณแบบ Enter</p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า 1) ระดับการยอมรับและการใช้เทคโนโลยี ความเชื่อมั่น และพฤติกรรมความตั้งใจซื้อของออนไลน์ อยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.54, 4.58 และ 4.58 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ .437, .419 และ .452 ตามลำดับ 2) ปัจจัยการยอมรับและการใช้เทคโนโลยี (F-test=17.100) และความเชื่อมั่น (F-test=79.576) ส่งผลต่อพฤติกรรมความตั้งใจซื้อของออนไลน์ของผู้ชาย Generation Z อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ปัจจัยการยอมรับและการใช้เทคโนโลยี และความเชื่อมั่น สามารถพยาการณ์ค่าอิทธิพลต่อพฤติกรรมความตั้งใจซื้อของออนไลน์ของผู้ชาย Generation Z ได้ร้อยละ 71.40 (R<sup>2</sup>=.741)</p> ทิวพรรณ สุธรรม, ทิฆัมพร พันลึกเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266289 Wed, 20 Sep 2023 00:00:00 +0700 แบบจำลองการเดินทางการซื้อสินค้า และบริการของลูกค้า Starbucks ของคน Generation Y https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266290 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับส่วนประสมทางการตลาด และการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ 2) เปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ แยกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ โดยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม ทำการเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคือ ผู้ที่มีการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการภายใน Starbucks ของคน Generation Y จำนวน 400 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างไม่อาศัยความน่าจะเป็น และสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test, F-test และการวิเคราะห์สมการถดถอยอย่างง่ายพหุคูณแบบ Enter</p> <p>ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า 1) ระดับส่วนประสมทางการตลาด และการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ อยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.16 และ 4.09 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ .581 และ .678 ตามลำดับ 2) ปัจจัยส่วนบุคคลด้านระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการภายใน Starbucks ของคน Generation Y อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด สามารถพยาการณ์ค่าอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการภายใน Starbucks ของคน Generation Y ได้ร้อยละ 84.30 (R<sup>2</sup>=.843)</p> ณัฐิดา แสนสุข, ทิฆัมพร พันลึกเดช ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266290 Wed, 20 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266336 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษากรอบแนวคิดการวิจัยเบื้องต้นของปัจจัยด้านสมรรถนะผู้บริหาร ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ และปัจจัยด้านบรรยากาศองค์การ ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 3) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านสมรรถนะผู้บริหาร ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ และปัจจัยด้านบรรยากาศองค์การ ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านสมรรถนะผู้บริหาร ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ และปัจจัยด้านบรรยากาศองค์การ กับประสิทธิผลของโรงเรียน 5) เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียน จากปัจจัยด้านสมรรถนะผู้บริหาร ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ และปัจจัยด้านบรรยากาศองค์การ 6) เพื่อตรวจสอบสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียน ที่สร้างจากปัจจัยด้านสมรรถนะผู้บริหาร ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ และปัจจัยด้านบรรยากาศองค์การ โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสาน ใช้แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1. กรอบแนวคิดแนวคิดการวิจัยเบื้องต้นของตัวแปรพยากรณ์ทั้ง 3 ด้าน และตัวแปรประสิทธิผลของโรงเรียน มีความครอบคลุม สอดคล้อง และสามารถนำมาใช้ในการศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียนและปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนในบริบทการจัดการศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 ได้</p> <p>2. ประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก</p> <p>3. ปัจจัยด้านสมรรถนะผู้บริหาร ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ ปัจจัยด้านบรรยากาศองค์การ ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก</p> <p>4. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านสมรรถนะผู้บริหาร ปัจจัยด้านการบริหารงานวิชาการ และปัจจัยด้านบรรยากาศองค์การ ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 พบว่า ทุกปัจจัยมีความสัมพันธ์กันในทางบวก</p> <p>5. สมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 มีดังนี้</p> <p>&nbsp;Z = .26 Z 3.2 + .13 Z 2.5 + .17 Z 2.3 + .16 Z 3.3 + .14 Z 3.1 + .12 Z 2.4</p> <p>6. ผลจากการตรวจเยี่ยมพื้นที่และการสัมภาษณ์เชิงลึก เพื่อตรวจสอบสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชลบุรี เขต 3 พบว่า ผลการสัมภาษณ์สอดคล้องกับสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียนซึ่งได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามในการวิจัยระยะที่ 2&nbsp;</p> ตุลยา พงษ์ทอง, ภัคณัฏฐ์ จันทนวรานนท์ สมพงษ์ธรรม ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266336 Wed, 20 Sep 2023 00:00:00 +0700 Influence of Social Media Marketing Strategy toward Marketing Performance https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264548 <p>Businesses of all stripes are working on social media in an attempt to capture new audiences and maintain their relationships with current clients in light of the growing numbers of consumers using social media. Social media has undeniably gained more influence in the internet community. Most firms currently use social media platforms of all kinds as part of their plan for social media marketing. However, in this regard, more research has to be done on how social media marketing strategy impacts marketing performance. Therefore, the purpose of this research is to investigate the relationship between the social media marketing strategy (SMMS) dimension and marketing outcomes. 233 willing respondents who had made purchases on all social media platforms filled up surveys. Regression analysis was employed to verify the hypotheses. The findings show that Proactive Competitor Learning Capability and Product Diversity Presentation Awareness have the strongest positive impact on all marketing results. Market Response Timeliness Orientation is still not significant to marketing operation excellence, despite the P-value of Customer Communication Channel Focus being close to the significance value. Additionally, the principal SME marketing strategy and social media marketing are discussed, highlighting the need for SME creation of social media sites and ongoing presence on them. The finding not only provides contributions but also recommendations for future research.</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong>Keywords: </strong><em>Digital Marketing, Social Media Marketing Strategy, Customer Communication Channel Focus, Product Diversity Presentation Awareness, Proactive Capability, Market Response Timeline Orientation, Marketing Performance</em></p> Nonathip Boonnoon ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264548 Wed, 20 Sep 2023 00:00:00 +0700 A Development of Grammar Achievement by Using Grammar Exercises with Macro Model Learning for Grade 8 Students Thungphothalepittaya School https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265008 <p>This article aimed to (1) develop and assess the effectiveness of grammar exercises for grade 8 students (2) compare students’ learning achievement before and after using grammar exercises with Macro Model learning for grade 8 students (3) study students’ satisfaction towards the grammar exercises with Macro Model learning for grade 8 students. The samples were 30 students from grade 8 at Thungphothalepittaya school. They were selected by cluster random sampling.&nbsp; The research instruments consisted of grammar exercises for grade 8 students, lesson plans with Macro Model learning, English grammar learning achievement test with 4 multiple choices and satisfaction questionnaires. The quantitative data were analyzed using mean, standard deviation, E1/E2 and t-test dependent. The research results were found as follows;</p> <ol> <li class="show">The results of the appropriateness assessment of the grammar exercises by experts were at the highest level (= 4.64, S.D. = 0.35) and the effectiveness of grammar exercises for grade 8 students was 83.56/84.33.</li> <li class="show">The students’ learning achievement for grade 8 after using grammar exercises with macro model learning were significantly higher than before at the .05 level.</li> <li class="show">The result of studying students’ satisfaction toward the grammar exercises with Macro Model learning was at the highest level (= 4.54, S.D. = 0.57).</li> </ol> Ratima Bussricharoen, Henry Yuh Anchunda ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265008 Wed, 20 Sep 2023 00:00:00 +0700 ทัศนคติของประชาชนต่อการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลในการกำหนด นโยบายโครงการคนละครึ่ง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264828 <p>บทความวิชาการฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติของประชาชนที่มีต่อนโยบายการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลในการกำหนดนโยบายโครงการคนละครึ่ง บทความวิชาการนี้ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ บทความ งานวิจัย ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ทราบว่า นโยบายสาธารณะเป็นนโยบายที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การกำหนดนโยบายจำเป็นที่จะต้องพิจารณาควบคู่ไปกับหลักธรรมาภิบาล โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐบาล เอกชน และประชาชน เพื่อให้นโยบายมีความโปร่งใส ไม่ทุจริต และสามารถตรวจสอบได้ ซึ่งจะส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของรัฐบาล หลักธรรมาภิบาลประกอบด้วย 6 หลักการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า ดังนั้นบทความวิชาการฉบับนี้จะเป็นข้อมูลสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำผลที่ได้จากการศึกษาไปประยุกต์ใช้ เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานและพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนให้มากที่สุด</p> พลอยไพลิน ต้นเจริญพงศ์, นัทนิชา โชติพิทยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264828 Thu, 21 Sep 2023 00:00:00 +0700 แรงจูงใจต่อการไปทำงานบนเรือสำราญระดับโลก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264667 <p>บทความนี้ มุ่งนำเสนอเกี่ยวกับแรงจูงใจต่อการไปทำงานบนเรือสำราญระดับโลก อาชีพการบริการบนเรือสำราญ ถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่สร้างรายได้ค่อนข้างสูง จึงเป็นอีกหนึ่งมิติที่เป็นแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจเดินทางไปทำงานบนเรือสำราญ ซึ่งบทความวิชาการครั้งนี้มุ่งศึกษาวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการไปทำงานบนเรือสำราญของกลุ่มบุคคลที่มีความสนใจในการไปทำงานบนเรือสำราญปัจจุบันการทำงานเป็นพนักงานบริการบนเรือสำราญ<strong> </strong>ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการประกอบอาชีพที่หลาย ๆ คนสนใจ เพราะสวัสดิการและค่าตอบแทนที่จะได้รับตลอดระยะเวลาการทำงานสั้น ๆ ในช่วง 6-8 เดือน หรือ 8-10 เดือน ก็มีรายได้มากกว่าการเป็นพนักงานประจำหลายเท่า เรียกว่าการทำงานนี้สามารถสร้างรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำในระยะเวลาที่ไม่นาน รวมถึงได้มีโอกาสเที่ยวรอบโลกอีกด้วย</p> <p> </p> <p> </p> <p> </p> วรวลัญช์ ธนัชปิยะธันย์, ชญาณิศา วงษ์พันธุ์, ศราวุธ ทองแท้ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264667 Thu, 21 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาองค์กร 4.0 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264886 <p>บทความวิชาการเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษานโยบายและแนวทางในการพัฒนาการรถไฟแห่งประเทศไทยสู่การเป็นองค์กร 4.0 บทความวิชาการนี้ศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ บทความ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องทำให้ทราบว่า ประเทศไทย 4.0 มีแนวคิดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับบริบทการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้กำหนดวิสัยทัศน์ว่า ยกระดับการบริหารและพัฒนาทุนมนุษย์ให้บรรลุเป้าหมายและสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรสู่การเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเชื่อมต่อและการขนส่งที่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงมีพันธกิจและ แผนยุทธศาสตร์การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management Strategy: HCMS) พ.ศ. 2566-2570 เพื่อการเอาตัวรอดทางธุรกิจ พร้อมรับมือกับความท้าทายในภายหน้า โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเข้ามาพัฒนาองค์กร และบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> จีรศักดิ์ เอมน้อย, นัทนิชา โชติพิทยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264886 Thu, 21 Sep 2023 00:00:00 +0700 พลทหารกองประจำการทหารใหม่กับการเสริมสร้างสุขภาพที่ดี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265239 <p>บทความฉบับนี้ได้ทำการศึกษาใน 3 ประเด็นในการศึกษา ได้แก่ ประเด็นแรก การศึกษาเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของพลทหารกองประจำการทหารใหม่ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำหรับการสร้างเสริมสุขภาพ การวางแผนแก้ไขปัญหาสุขภาพต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพในทางที่ดีขึ้น ทั้งในด้านพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การไม่สูบบุหรี่ และการไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ประเด็นที่สองแนวคิดเกี่ยวกับความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพ เพื่อให้คนเกิดพฤติกรรมสุขภาพที่ดี มีความรู้ในการปฏิบัติตน ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ การเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพ และมีแนวทางในการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพที่ดี และประเด็นสุดท้ายคือแนวปฏิบัติที่ดีของพลทหารกองประจำการทหารใหม่กับการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีคือมีการเสริมสร้างและประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรม ในกระบวนการเสริมสร้าง การเรียนรู้ ทั้งในด้านสื่อสุขภาพ การจัดกิจกรรมเรียนรู้ด้านสุขภาพ การเฝ้าระวังพฤติกรรมตนเอง&nbsp; การมีความรอบรู้เกี่ยวกับสุขภาพที่ดีและพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องพร้อมกับส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสารด้านสุขภาพ มีการจัดกิจกรรมเรียนรู้ด้านสุขภาพที่หลากหลายรูปแบบ รวมถึงการประเมินพฤติกรรมสุขภาพด้วยตนเอง เพื่อให้ตรวจสอบสุขภาพของตนเองอยู่เป็นระยะ</p> กิตติศักดิ์ บุญคำ, วิจิตรา ศรีสอน ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265239 Fri, 22 Sep 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5 ศุภมิตร จังหวัดสงขลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266404 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5 ศุภมิตร จังหวัดสงขลา 2) เพื่อเปรียบเทียบแนวทางการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5 ศุภมิตร จังหวัดสงขลา จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน ประสบการณ์การทำงานและขนาดของสถานศึกษา 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะต่อแนวทางการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5 ศุภมิตร จังหวัดสงขลา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5 ศุภมิตร จังหวัดสงขลา จำนวน 181 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับกับเท่า .997 โดยกำหนดค่าความสอดคล้องระหว่าง 0.67-1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แอลฟาครอนบาค ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5 ศุภมิตร จังหวัดสงขลา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5 ศุภมิตร จังหวัดสงขลา จำแนกตามเพศ โดยภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามระดับการศึกษาโดยภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามตำแหน่ง โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน โดยภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และจำแนกตามขนาดสถานศึกษา โดยภาพรวมมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของผู้บริหารและครูโรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษาในเครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษา 5 ศุภมิตร จังหวัดสงขลา ปรากฏดังนี้ ควรมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนในเครือข่าย ร่วมกันพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ผู้บริหาร และครูควรมีส่วนร่วมในการนิเทศแลกเปลี่ยน เรียนรู้และสนับสนุนทรัพยากร เทคโนโลยีที่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาและผู้เรียนมีทักษะชีวิต ตลอดจนการเรียนรู้สมรรถนะการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม</p> อิสระพงศ์ โสพิกุล, อริสรา บุญรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266404 Fri, 22 Sep 2023 00:00:00 +0700 หลักความเป็นกลางกับการเพิ่มบทบาทของศาลในการไต่สวนมูลฟ้อง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266536 <p>บทความนี้ มุ่งนำเสนอหลักความเป็นกลางกับการเพิ่มบทบาทของศาลในการไต่สวนมูลฟ้อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์หลักความเป็นกลาง (Impartiality) กับบทบาทของศาลในการไต่สวนมูลฟ้องที่มีเพิ่มขึ้นภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165/2 ซึ่งหลักความเป็นกลางนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิที่จะได้รับความเสมอภาคต่อหน้าศาลและได้รับการดำเนินคดีอย่างเป็นธรรม (Equality Before The Court and Tribunals and Right to A Fair Trial) เนื่องจากเป็นองค์ประกอบสำคัญในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม<br>อันเป็นหลักประกันของหลักนิติธรรม บทความนี้ทำการศึกษาจากแนวคิดและหลักการของหลักความเป็นกลาง และหลักเกณฑ์การไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งนำไปสู่การวิเคราะห์หลักความเป็นกลางกับการเพิ่มบทบาทของศาลในการไต่สวนมูลฟ้อง จากบทบาทของศาลดังกล่าว ซึ่งศาลได้เข้าไปมีบทบาท<br>ในการพิจารณาหลักฐานเพื่อพิสูจน์เกี่ยวกับการกระทำของจำเลย ที่ถือได้ว่าศาลได้มีความเห็นล่วงหน้าเกี่ยวกับการพิจารณาคดีแล้ว ดังนั้น การบริหารจัดการคดีเพื่อไม่ให้เกิดผู้พิพากษาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและองค์คณะในชั้นพิจารณาคดีเป็นองค์คณะเดียวกันจึงมีความสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อมิให้กระทบต่อหลักความเป็นกลางอันเป็นซึ่งเปรียบเสมือนหลักประกันความยุติธรรมของศาลได้</p> จิรัสยาพร ธนพลศาสตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266536 Fri, 22 Sep 2023 00:00:00 +0700 The Mechanism of the Relationship Between Online Training Learning Motivation and Learning Effect of Teachers in Secondary Vocational Colleges, CHINA https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266619 <p>Secondary vocational education belongs to the core content of vocational education. This study was set up in objectives of study to search for the relationship between online training learning motivation and learning effect of teachers in secondary vocational college in China. Based on 406 online secondary vocational teachers online training data analysis found that the online teaching learners knowledge background, learning motivation and learning effect has significant correlation between teachers learning motivation for online training learning effect has significant positive influence, learning investment in learning motivation and partial mediation between the learning effect. Accordingly, in online teaching, it is necessary to build a systematic teacher support system, optimize the external environment of online training and learning, design a variety of online training incentive strategies, improve learners' self-efficacy, carry out rich interactive activities, and promote the transformation of secondary vocational teacher support into internal motivation of learning.</p> Shuhua Li Ch, Eksiri Niyomsilp ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266619 Fri, 22 Sep 2023 00:00:00 +0700 A Phonological Study of Rakhine Language Used in Manaung City in Rakhine State of Myanmar: A Case Study of Consonants and Vowel Sounds. https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266828 <p>This thesis was entitled “A Phonological Study of Rakhine Language Used in Manaung City in Rakhine State of Myanmar: A Case Study of Consonants and Vowel Sounds”. The objectives of this study were 1) to examine the word sound system of Rakhine language spoken in Manaung City in Rakhine state of Myanmar, and 2) to analyze the word sound system of Rakhine language based on the phonology spoken in Manaung City in Rakhine state of Myanmar.</p> <p> This research study employed a qualitative method in nature in order to study the word sound system of the Rakhine language spoken in Kyetyoe, Zaratkonekhin, Natepyin and Thitpone villages in Manaung City in the Rakhine State of Myanmar. The population and sample of the study were 5 villagers from the mentioned earlier villages of Manaung City in the Rakhine State of Myanmar and the researcher selected 6 villagers among them for this research.</p> <p> The research tools were used books, informants, journals, and theses. The data used in this study were collected at the above-mentioned villages, Manaung City, Rakhine State of Myanmar from the speeches of Rakhine native speakers and the data analyses were Phonological word, syllable, phoneme, and assimilation.</p> <p><strong> The result of this research was found that</strong><strong>:</strong></p> <p> The result of the study shows that the tones of the final syllable of a statement seem to cause to be falling or rising. There are 4 types of phonological words: monosyllabic words, disyllabic words, tri-syllabic words and tetra-syllabic words. There are 3 types of syllables: pre-syllable, minor syllable and major syllable. The structure of the syllable is C1 (C3) (C4) V1 (C2). The phonological system is composed of 34 consonant phonemes /b, p, ph, d, t, th, g, k, kh, ʔ, dʑ, tɕ, tɕh, θ, z, s, sh, ɕ, h, m, m̥, n, n̥, ɲ, ɲ̥, ŋ, ŋ̥, l, l̥, r, r̥, w, w̥, j/. There are 21 vowel phonemes which are divided into 3 sets: 1) six plain vowels: /i, e, a, u, o, ɔ/. 2) Eight glottal vowels: /iˀ, ɛˀ, aˀ, ɔˀ, eiˀ, ouˀ, aiˀ, auˀ/. And 3) seven nasal vowels: /ɛ̃, ã, ɔ̃, eĩ, oũ, aĩ, aũ/. There are four tones: (1) high-rising-falling, (2) high-falling and (3) high-rising ending with a glottal constriction of the breath (slow glottal closure).</p> Dha Ma Thi Ha ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266828 Fri, 22 Sep 2023 00:00:00 +0700 Reading for Comprehension, Retention and Building Knowledge: What the Research says about how to Enhance and Build Student Knowledge Across Curriculum Areas https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266351 <p>The present study investigated research into reading skills, developing skills as a reader, and lifelong literacy. Reading across curricular areas and the value of developing depth skills as a reader formed the foundation for inquiry into how skills are and can be improved across school years and beyond. The content of current research was analyzed with a view to discovering key themes and processes integral to reading development and ongoing as well as long term improvement. The main thrust of the study was fourfold: elements and skills that create a competent reader, developing life-long reading skills in students, building reading knowledge across curriculum areas and devloping a lifetime love of reading.</p> Andrew M. Goodman , Robert A. Mcbain, Yan Ye, Bampen Maitreesophon ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266351 Fri, 22 Sep 2023 00:00:00 +0700 ความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อการกำเนิดพรรคการเมืองและการสิ้นสภาพ ของพรรคการเมือง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/261993 <p>การศึกษาความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อการกำเนิดพรรคการเมืองและการสิ้นสภาพของพรรคการเมืองเป็นการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิของการกำเนิดพรรคการเมือง ในกรณีของประเทศไทยนั้นถือกำเนิดพรรคการเมืองในช่วงปี พ.ศ. 2475-2476 ต่อมารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2489 ได้บัญญัติให้ก่อให้เกิดการตั้งพรรคการเมืองขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ก็ยังไม่มีกฎหมายรองรับเป็นการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง จนกระทั่งมีการจัดตั้ง “พรรคประชาธิปัตย์” เมื่อวันที่ 5 เมษายน2489 มีนายควง อภัยวงษ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และได้มีพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2498 เป็นกฎหมายพรรคการเมืองฉบับแรกที่กำหนดให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเป็นอย่างการ และในปี พ.ศ. 2511 ได้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จและประกาศใช้ จึงได้มีการจัดตั้งและการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการในการศึกษาความรู้ความเข้าใจของประชาชนต่อการกำเนิดพรรคการเมืองและการสิ้นสภาพของพรรคการเมือง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับการกำเนิดพรรคการเมืองและการสิ้นสภาพของพรรคการเมืองและการไปฟังการปราศรัยของพรรคการเมือง/นักการเมืองเป็นไปตามหลักการของระบอบประชาธิปไตยว่าด้วยหลักการปกครองตนเอง ประชาธิปไตยจะเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายต่าง ๆ การแสดงความคิดเห็นโดยตรงและการให้ตัวแทนที่เลือกแล้วเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แทนซึ่งเป็นวิธีทางอ้อม วิธีการทั้งสองแบบนี้จะยึดเสียงข้างมากเป็นข้อยุติในปัญหาต่าง ๆ และหลักเสรีภาพ ประชาธิปไตยเชื่อว่าเสรีภาพเป็นสิ่งที่ดีงามและเป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและส่วนรวม</p> เบญจมาภรณ์ แก้วระคน, วัลลภ พิริยวรรธนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/261993 Fri, 22 Sep 2023 00:00:00 +0700 ตัวการในกระบวนการกล่อมเกลาการเรียนรู้ทางการเมืองและความตื่นตัวทางการเมือง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/261980 <p>การศึกษาตัวการในกระบวนการกล่อมเกลาการเรียนรู้ทางการเมืองและความตื่นตัวทางการเมืองนั้น ผู้เขียนได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับตัวการสำคัญในกระบวนการกล่อมเกลาการเรียนรู้ทางการเมือง ซึ่งประกอบด้วยสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา กลุ่มเพื่อน สื่อมวลชนและสถาบันการเมือง ซึ่งส่งผลต่อการทำหน้าที่เนื่องจากเป็นสถาบันที่สร้างค่านิยมและปทัสถานโดยเฉพาะอย่างยิ่งศรัทธาของประชาชนต่อรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยทั้งหมดนั้นส่งผลต่อความตื่นตัวทางการเมือง ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยที่มีรากฐานสำคัญมาจากวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย เมื่อถูกหล่อหลอมทางการเมืองจากปัจจัยพื้นฐานสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นทางการเมืองก็คือ ความสนใจทางการเมืองในด้านของวุฒิภาวะทางการเมืองของผู้สมัครและผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ข่าวสารข้อมูล ความรู้และจิตสำนึกของการที่จะพยายามจรรโลงระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย วัฒนธรรมทางการเมืองที่เน้นสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ความยุติธรรมโดยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งของการเลือกตั้ง การจัดหลักสูตรวิชาเกี่ยวกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มุ่งเน้นในการบ่มเพาะจิตสำนึกเรื่องอุดมการณ์ จริยธรรมทางการเมือง มารยาททางการเมือง กระบวนการทางการเมืองแบบประชาธิปไตยที่พึงประสงค์ นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดการเข้าร่วมรับฟังปราศรัยทางการเมือง การรับฟังข่าวสารทางการเมืองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การสนทนาประเด็นทางการเมืองการร่วมรณรงค์หาเสียง การออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งทุกระดับ และการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง<br>ความตื่นตัวทางการเมืองคือสภาวะของประชาชนที่มีความสนใจในการเมือง หรือการเลือกตั้งโดยมีตัวแปรที่สำคัญคือวุฒิภาวะทางการเมืองและจิตสำนึกของการที่จะจรรโลงระบอบการปกครองวัฒนธรรมทางการเมืองนั่นเอง</p> ปกรณ์ เปรมทอง, วัลลภ พิริยวรรธนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/261980 Sat, 23 Sep 2023 00:00:00 +0700 รูปแบบการเมืองภาคพลเมืองของประชาชนบนพื้นฐานประชาธิปไตย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265875 <p>การศึกษารูปแบบการเมืองภาคพลเมืองของประชาชนบนพื้นฐานประชาธิปไตยประกอบด้วย 3 แนวคิดที่สำคัญ กล่าวคือ 1. ความหมายของการเมืองภาคพลเมือง เป็นสถานการณ์ที่ประชาชนได้รับสิทธิและเสรีภาพในการเข้ามามีส่วนร่วมทางนโยบาย มีการกระจายอำนาจให้ประชาชนสามารถกำหนดวิถีชีวิตของตนเองโดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นภายใต้กรอบของกฎหมาย 2. รูปแบบการเมืองภาคพลเมืองประกอบด้วยรูปแบบที่สำคัญได้แก่ การออกเสียงประชามติ ประชาพิจารณ์ การอภิปรายสาธารณะ การริเริ่มกฎหมายโดยประชาชน รูปแบบอื่น ๆ การนัดหยุดงาน การชุมนุมประท้วง ซึ่งทุกรูปแบบนั้นอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มีบทบัญญัติที่รองรับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้หลายประการด้วยกัน และ 3. การพัฒนาการทางการเมืองภาคพลเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาการทางการเมืองภาคพลเมืองโดยส่งเสริมให้มีระเบียบวิธีที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งสามารถใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขของกฎหมาย รัฐธรรมนูญ โอกาส สิทธิและเสรีภาพทางการเมืองตลอดจนการจัดการในการใช้ทรัพยากรทางการเมืองที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประสิทธิผลทางการเมืองได้ด้วย</p> ลฏาภา นวลอินทร์, วิจิตรา ศรีสอน ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265875 Sat, 23 Sep 2023 00:00:00 +0700 การปรับเปลี่ยนบทบาทของรัฐ: ข้อจำกัดและความท้าทายภายใต้แนวคิดการบริหารกิจการสาธารณะแนวใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264412 <p>บทความนี้มุ่งนำเสนอแนวคิดการบริหารกิจการสาธารณะแนวใหม่ (New Public Governance) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่ออภิปรายและแสดงให้เห็นความสำคัญของแนวคิด และนำไปวิเคราะห์ถึงข้อจำกัดและความท้าทายในการนำไปประยุกต์ใช้กับการบริหารกิจการสาธารณะของไทย โดยแนวคิดการบริหารกิจการสาธารณะแนวใหม่ให้ความสำคัญกับหลายภาคส่วนในสังคม เป็นการรวมเอาผลประโยชน์สาธารณะเข้าไว้ด้วยกัน สนับสนุนให้มีการร่วมกันตัดสินใจของตัวแสดงที่หลากหลาย ให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่าย (network) ภาคีหุ้นส่วน (partnership) และการเปิดเวทีอภิปรายสาธารณะ (deliberative forums) ที่เป็นการสร้างพื้นที่ให้กับภาคสังคมในการเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารกิจการสาธารณะ อย่างไรก็ดี การบริหารกิจการสาธารณะของรัฐไทยที่เป็นระบบการเมืองแบบปิดได้กลายเป็นปัญหาและข้อจำกัด เพราะการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ในสังคมย่อมเกิดขึ้นได้ยากในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ในแง่ของโครงสร้างโอกาสทางสังคมยังไม่เปิดกว้างมากพอในการทำให้เกิดค่านิยมร่วมเรื่องประชาธิปไตยและค่านิยมเรื่องผลประโยชน์สาธารณะและระบบราชการที่ฝังรากลึกในการบริหารงานภาครัฐของไทยเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการบริหารกิจการสาธารณะร่วมกันระหว่างภาครัฐกับภาคสังคม ความท้าทายของการบริหารงานภาครัฐไทยจึงเป็นเรื่องของความร่วมมือกันทำงานระหว่างหน่วยงานราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนต่างๆในสังคม การจัดบริการสาธารณะในรูปแบบใหม่ๆ ต้องหันมาสร้างการรับรู้ของสังคมให้มีการสร้างคุณค่าร่วมหรือสำนึกร่วม และเห็นความสำคัญของความเป็นสาธารณะก็จะนำไปสู่เป้าหมายของสังคมนั่นคือการบริหารกิจการสาธารณะ (public governance) เพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะนั่นเอง</p> สันต์ชัย รัตนะขวัญ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264412 Sat, 23 Sep 2023 00:00:00 +0700 ChatGPT แชทบอทอัจฉริยะในศตวรรษที่ 21 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266776 <p>บทความวิชาการนี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับ แชทจีพีที (ChatGPT) ซึ่งเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์หรือแชทบอทที่สามารถโต้ตอบสื่อสารผ่านข้อความกับคนได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีความฉลาดเช่นเดียวกับมนุษย์ และมีลักษณะพิเศษคือมีความสามารถในการเรียนรู้ ปรับตัว แก้ปัญหา ตัดสินใจ และเข้าใจภาษามนุษย์ โดยแชทจีพีทีมีการจัดเก็บข้อมูลในทุกศาสตร์สาขาทั้งด้านการทหาร การแพทย์ การศึกษา ธุรกิจ โลจิสติกส์&nbsp; ความบันเทิงลงในฐานข้อมูลที่มีขนาดใหญ่เรียกว่า Big Data ซึ่งช่วยสร้างการตอบสนองต่อคำถามและคำสั่งที่หลากหลายได้เหมือนมนุษย์ และมีการตอบสนองแบบเรียลไทม์ มีการประมวลผลด้วยภาษาที่มีความสละสลวย มีความสามารถในการเขียนโปรแกรม เขียนบทความ เขียนงานวิชาการ เขียนแผนธุรกิจ แปลภาษา เขียนเรียงความ สรุปเนื้อหา ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของแชทจีพีทีทำให้หลายองค์กรหน่วยงานทั่วโลกนำมาใช้พัฒนาระบบการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน</p> สิริพร อินทสนธิ์, รุ่งเรือง ทองศรี ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266776 Thu, 28 Sep 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารของมหาวิทยาลัยในจังหวัดปทุธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266672 <p>งานวิจัยครั้งนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1.ศึกษาปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียน 2.ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียน 3.เสนอแนวทางการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียน งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยแบบผสมผสาน ระหว่างงานวิจัยเชิงปริมาณและงานวิจัยเชิงคุณภาพ งานวิจัยเชิงคุณภาพมีการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ เพื่อศึกษาปัญหาการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียน ใช้แบบสอบถาม และ แบบสอบถามปลายเปิด เพื่อเสนอแนวทางการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียน และการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียน โดยทำการเก็บจากนักศึกษา ในมหาวิทยาลัย ในเขต จังหวัด ปทุมธานี จำนวน 400 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาในการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียน ได้แก่ จำนวนนักศึกษาที่มีมากเกินไปในชั้นเรียน ความวิตกกังวลในการใช้ภาษาเพื่อสื่อสารกับเพื่อนในชั้นเรียน การต้องการเวลาเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร หัวข้อในการสนทนามีผลต่อการใช้ภาษาในการสื่อสารในชั้นเรียนส่งผลต่อการใช้ภาษาในการสื่อสารในชั้นเรียน 2. ระดับความคิดเห็นของนักศึกษาต่อพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียนอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน โดยจำแนกตามตัวแปรที่ได้ศึกษา พบว่าความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารในชั้นเรียน ด้านอาจารย์ผู้สอนมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา ได้แก่ เนื้อหาในการเรียน สื่อการเรียนการสอน กิจกรรมในห้องเรียน และด้าน การประเมินการเรียนการสอน ตามลำดับ 3. แนวทางการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร พบว่า มีการเสนอ 5 แนวทางในด้านแนวทางการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ได้แก่ ออกแบบขนาดของห้องเรียนภาษาให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมเพื่อการสื่อสาร การให้เวลาในการเตรียมความพร้อม การเลือกหัวข้อที่มีความเหมาะสมตรงกับความสนใจของผู้เรียน การสร้างกิจกรรมนอกห้องเรียนเพื่อส่งเสริมและ สนับสนุนสิ่งเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างแรงจูงใจ และ ผู้สอนการพูดควรเป็นผู้ที่เป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการใช้ภาษา</p> ตนุยา เพชรสง, ชลธิชา กาญจนพัน์ประภา ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266672 Thu, 28 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาบทเรียนดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266638 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของบทเรียนดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์หลังเรียนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และ 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์หลังเรียนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนลาดปลาเค้าพิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 จำนวน 8 ห้องเรียน รวมนักเรียน 225 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนลาดปลาเค้าพิทยาคม&nbsp; สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2&nbsp; ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 2 ห้องเรียน รวม 70 คน กำหนดให้ผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1&nbsp; เป็นกลุ่มควบคุม จำนวน 35 คน และผู้เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2&nbsp; เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 35 คน โดยกลุ่มตัวอย่างได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ที่มีผู้เรียนคละความสามารถและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่แตกต่างกัน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาการออกแบบกราฟิกด้วยโปรแกรมตกแต่งภาพ 2) บทเรียนดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ และ4) แบบวัดทักษะปฏิบัติด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์</p> <p>สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบ t-test แบบ Independent Samples ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 80.60/86.96 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนด้วยบทเรียนดิจิทัลร่วมกับการจัดการเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ หลังเรียนของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05&nbsp; และ 3) คะแนนทักษะปฏิบัติด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ของผู้เรียนหลังเรียน ของกลุ่มทดลองสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ธนารักษ์ สารเถื่อนแก้ว ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266638 Thu, 28 Sep 2023 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการให้บริการและความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266517 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) คุณภาพการให้บริการและความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ประกันตน 2) เปรียบเทียบความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ประกันตนของสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการให้บริการและความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน การทดสอบ t-test, F-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับคุณภาพการให้บริการมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ความเป็นรูปธรรมของการบริการ ความเชื่อมั่นไว้วางใจได้ และความพร้อมในการตอบสนองต่อผู้รับบริการมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนระดับความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากเช่นกัน 2) เปรียบเทียบความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำ จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีปัจจัยด้านอายุต่างกัน มีระดับความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยด้านเพศ สถานภาพ ระดับการศึกษา และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีระดับความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำที่ไม่แตกต่างกัน และ 3) คุณภาพการให้บริการมีความสัมพันธ์กับความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำของผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ของสำนักงานประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพ-มหานครโดยรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> มัญชุภา วรวงศ์เวทย์, ธัญนันท์ บุญอยู่ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266517 Thu, 28 Sep 2023 00:00:00 +0700 อัตลักษณ์วัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชนไทยวน ตำบลต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266397 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยใช้อัตลักษณ์วัฒนธรรมไทยวนของชุมชนต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิเคราะห์เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือผู้นำชุมชน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ประธานกลุ่มทอผ้า กลุ่มเยาวชน และผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวบรวมข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ชุมชน อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมชุมชน และวิเคราะห์การใช้อัตลักษณ์วัฒนธรรมของไทยวน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของชุมชน นำเสนอแบบการบรรยายพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ไทยวนชุมชนต้นตาล อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ที่ได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ และได้นำเสนออัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยใช้การนำเสนอด้านการท่องเที่ยวได้แก่ 1) การนำเสนออัตลักษณ์เชิงกายภาพประกอบด้วย ตลาดท่าน้ำโบราณบ้านต้นตาล หอวัฒนธรรมพื้นบ้านไทยวน วัดและสิ่งปลูกสร้างในชุมชนและ 2) การนำเสนออัตลักษณ์วัฒนธรรมประกอบด้วย ภาษา การแสดง การแต่งกาย และอาหาร&nbsp;</p> คมกริช บุญเขียว ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266397 Thu, 28 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ เรื่อง ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้รูปแบบกิจกรรมการสร้างแบบจำลอง ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266385 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ เรื่อง ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้รูปแบบกิจกรรมการสร้างแบบจำลองตามแนวคิดสะเต็มศึกษา 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อรูปแบบกิจกรรมการสร้างแบบจำลองตามแนวคิดสะเต็มศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง จำนวน 41 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา 2) แบบประเมินทักษะการคิดสร้างสรรค์ และ3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบกิจกรรมการสร้างแบบจำลองตามแนวคิดสะเต็มศึกษาสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีทักษะการคิดสร้างสรรค์ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 2.46 คิดเป็นร้อยละ 81.98 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.16 และมีทักษะการคิดสร้างสรรค์ด้านความละเอียดลออมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 2.83 คิดเป็นร้อยละ 94.33 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.11 2) ความพึงพอใจของนักเรียนต่อรูปแบบกิจกรรมการสร้างแบบจำลองตามแนวคิดสะเต็มศึกษาอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ย 4.27 คิดเป็นร้อยละ 85.40 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.85</p> พัชราภร พูลบุญ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/266385 Thu, 28 Sep 2023 00:00:00 +0700 การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษากับความผูกพันต่อองค์การ ของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265820 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การของผู้บริหารสถานศึกษาและครู และ3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษากับความผูกพันต่อองค์การของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร จำนวน 274 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามชนิดมาตราประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านบุคคลแห่งการเรียนรู้ รองลงมา คือด้านแบบแผนทางความคิด และด้านการคิดอย่างเป็นระบบ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการเรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม 2) ความผูกพันต่อองค์การของผู้บริหารสถานศึกษาและครู โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านความเชื่อมั่นการยอมรับเป้าหมาย และค่านิยมขององค์การ รองลงมา คือ ด้านความเต็มใจเพื่อสร้างความสำเร็จขององค์การ ด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านความต้องการรักษาความเป็นสมาชิกขององค์การ3) ความสัมพันธ์ระหว่างการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษากับความผูกพันต่อองค์การของผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร<br>มีความสัมพันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูง (r =.647**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> เบญจรัตน์ ควรเสนาะ, สถิรพร เชาวน์ชัย, ฉลอง ชาตรูประชีวิน ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265820 Fri, 29 Sep 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265800 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 2) เพื่อศึกษาคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษาที่ส่งผลกับคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 4) เพื่อค้นหาตัวแปรพยากรณ์และสร้างสมการพยากรณ์ความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ผู้บริหาร จำนวน 65 คน โดยเลือกแบบเจาะจง และข้าราชการครู จำนวน 186 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และมอร์แกน โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามปัจจัยความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียรสัน (Pearson’s Correlation Coefficient) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบปกติ (Multiple Linear Regression Analysis) 1) ระดับปัจจัยความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) การศึกษาคุณภาพผู้เรียนของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ค่าสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 พบว่า มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อยู่ระหว่าง 0.366-0.435 และปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 ที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์สูงสุด ได้แก่ ปัจจัยด้านการจัดสรรอัตราครูและบุคลากรทางการศึกษา และปัจจัยที่มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่ำที่สุด ได้แก่ ปัจจัยด้านภูมิลำเนาและสภาพแวดล้อม และ 4) ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบปกติของปัจจัยความเหลื่อมล้ำในสถานศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแพร่ เขต 1 จำนวน 1 ตัว ได้แก่ <br>ปัจจัยด้านการจัดสรรอัตราครูและบุคลากรทางการศึกษา (X<sub>3</sub>) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ 0.471 และกำลังสองของ<br>ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R<sup>2 </sup>) มีอำนาจพยากรณ์ได้ร้อยละ 22.20 มีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์เท่ากับ 0.489 ซึ่งสามารถเขียนสมการณ์พยากรณ์ ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐาน ตามลำดับ ดังนี้</p> <p><img title="\hat{Y}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\hat{Y}">= 2.262 + 0.242X<sub>3</sub></p> <p><img title="\hat{Z_{y}}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\hat{Z_{y}}"> = 0.288X<sub>3</sub></p> อนันตญา คำลือ, ฉลอง ชาตรูประชีวิน, สถิรพร เชาวน์ชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265800 Fri, 29 Sep 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการสื่อสารด้านการนำเสนอผลงานของนักศึกษาชั้นปี 3 สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265795 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารด้านการนำเสนอผลงานของนักศึกษา&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยชั้นปีที่ 3 และ 2) เพื่อประเมินผลการพัฒนาทักษะการสื่อสารด้านการนำเสนอผลงานของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยชั้นปีที่ 3 เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยใช้แบบประเมินการนำเสนอผลงานเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ที่เรียนในรายวิชาการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 55 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบประเมิน 4 ด้าน คือ 1) ด้านบุคลิกภาพ 2) ด้านการเรียบเรียงข้อมูล 3) ด้านการใช้ภาษาได้คล่องแคล่วถูกต้องชัดเจน และ 4) ด้านเนื้อหาสาระครบถ้วนของบทเรียน สถิติพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่าการพัฒนาทักษะการสื่อสารด้านการนำเสนอผลงานของนักศึกษาสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยชั้นปี 3 มีผลการประเมินรายด้านดังนี้ คือ 1) ด้านบุคลิกภาพและด้านการเรียบเรียงข้อมูล มีค่าเฉลี่ย = 64.00, SD = 8.53 2) ด้านเนื้อหาสาระครบถ้วนของบทเรียนและด้านด้านการใช้ภาษาได้คล่องแคล่วถูกต้องชัดเจน มีค่าเฉลี่ย = 63.00, SD =8.40 และมีค่าเฉลี่ยรวมทุกด้าน = 63.50, SD =8.47</p> ณัฐทิญาภรณ์ การะเกตุ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265795 Fri, 29 Sep 2023 00:00:00 +0700 Self-Esteem in English Learning among Higher Education Students: A Qualitative Study in Thailand https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265594 <p>Self-esteem can be defined as the conviction that one possesses either value or capability. Both the beliefs that one holds about oneself (such as "I am loved" and "I am deserving") and the emotional states that a person goes through (such as triumph, depression, pride, and shame) are included in self-esteem. The concept of self-esteem is intriguing due to the fact that it can accurately predict a variety of outcomes, such as academic accomplishment, contentment, marital and relationship satisfaction, and even criminal behaviour. Despite the typical and temporary shifts that occur in one's self-esteem, psychologists typically see self-esteem as an enduring personality attribute known as "trait self-esteem." Some synonyms for self-esteem are "self-worth," "self-regard," "self-respect," and "self-integrity." This study aimed to explain the crucial self-esteem in learning English as a foreign language. The purposeful sample comprised six Thai English as a Foreign Language (EFL) students majoring in English at Thai universities. (1) Thai higher education students; (2) English learner program; and (3) Thai university enrollment in the year 2023. Experts examined the validity of the content of the qualitative questions. Students of English as a foreign language (EFL) in Thai universities of higher education perceived self-esteem as a crucial factor in English learning. High academic achievers are highly associated with EFL institute students' self-esteem. English is crucial for future daily life and employment, particularly for the younger generation. Students could use technology and mobile devices to study English. The appeal of English learning depends on instructors' techniques to motivate students. This study concentrates on self-esteem, motivation, and the utilization of technological devices. It may not encompass other factors that may influence the performance of English learners. It seems necessary to conduct additional research into additional variables.</p> Penpim Phuangsuwan, Supaprawat Siripipatthanakul , Chok Nyen Vui, Sutithep Siripipattanakul ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265594 Fri, 29 Sep 2023 00:00:00 +0700 การสื่อสารคุณลักษณะของผู้นำท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265510 <p>การสื่อสารเป็นกุญแจสำคัญในการถ่ายทอด แลกเปลี่ยนข้อมูล ความต้องการ ความรู้สึก จากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารเพื่อหวังผลให้เกิดความคิด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือเพื่อให้ทำตามความต้องการ โดยเฉพาะการสื่อสารเพื่อหวังผลประโยชน์ในทางการเมือง ที่ต้องการโน้มน้าวใจให้ประชาชนโดยทั่วไปหันมาเลือกตนเองในการเข้าสู่ตำแหน่งของผู้นำท้องถิ่น บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารคุณลักษณะของผู้นำท้องถิ่น โดยผู้นำท้องถิ่นที่พึงประสงค์ของประชาชนต้องประกอบด้วยคุณลักษณะหลายประการ ความมีสติปัญญา รอบรู้ เฉลียวฉลาดในการแก้ปัญหา มีทักษะความสามารถ มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาทางสังคม เป็นที่ไว้วางใจ เคารพนับถือ รวมถึงมีอิทธิพลต่อผู้อื่นในการตัดสินใจ มีความเชื่อมั่น กล้าหาญ คล่องแคล่ว กระตือรือร้น รู้จักปรับตัว มีความคิดเชิงบวก มีความคิดสร้างสรรค์ มีความอยากรู้อยากเห็น และมีความอดทน มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ยุติธรรม รักษาผลประโยชน์ผู้ใต้บังคับบัญชา นอกจากนี้จะต้องมีการสื่อสารออกมาให้ประชาชน และผู้ใต้บังคับบัญชานั้นรับทราบและรับรู้ได้ถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์นั้น โดยผ่านช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสม และเลือกเนื้อหาที่จะสื่อสารไปให้ถึงให้ตรงใจกับผู้ฟัง จึงจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำอย่างแท้จริง และเกิดความไว้วางใจ อันจะนำไปสู่การให้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เนื่องจากการปฏิบัติงานในตำแหน่งของผู้นำท้องถิ่นนั้นจะต้องทำหน้าที่รับผิดชอบทั้งในส่วนของการอำนวยการ สั่งการ และที่สำคัญที่สุดคือการประสานงาน เพื่อให้งานบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ต้องการได้ การมีทักษะในการสื่อสารเพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จความความเต็มใจ และสื่อสารไปยังประชาชนให้เกิดความยอมรับจนไว้เนื้อเชื่อใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ท้องถิ่นพัฒนาไปข้างหน้าได้นั่นเอง</p> กานต์ศุภณัฐ์ สุวรรณนิคม, หฤทัย ปํญญาวุฒิตระกูล, กานต์ บุญศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/265510 Fri, 29 Sep 2023 00:00:00 +0700 “กินแตง แหลงใต้ แลควายเล เข๋ซาเล้ง”: รูปแบบและศักยภาพชุมชนในการจัดการทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเกาะสุกร จังหวัดตรัง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264246 <p>บทความวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบและศักยภาพชุมชนในการจัดการทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเกาะสุกร จังหวัดตรัง ผ่านกรอบแนวคิด “กินแตง แหลงใต้ แลควายเล เข๋ซาเล้ง” ในพื้นที่ชุมชนเกาะสุกร อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพให้ความสำคัญกับการจัดการทุนวัฒนธรรมและศักยภาพของชุมชน เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลหลักในชุมชน จำนวน 30 คน ประกอบด้วย ชาวบ้านในพื้นที่ ผู้นำชุมชนอย่างเป็นทางการ และผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐ ด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม (Focus group) สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) และการสังเกต</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบและกิจกรรมในการจัดการทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนชาวเกาะสุกร จังหวัดตรัง ภายใต้แนวคิด “กินแตง แหลงใต้ แลควายเล เข๋ซาเล้ง” เป็นรูปแบบและกิจกรรมที่เกิดขึ้นจากการใช้ทุนทางวัฒนธรรมของเกาะสุกรเป็นเครื่องมือหลักในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของเกาะสุกร ผ่านกิจกรรมหลัก 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) กิจกรรมงานวิ่งกินแตง 2) กิจกรรมอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ภาษาถิ่น 3) กิจกรรมประเพณีวันปล่อยควาย และ 4) กิจกรรมนั่งรถซาเล้งท่องเที่ยวเกาะสุกร ส่วนศักยภาพของชุมชนในการจัดการทุนทางวัฒนธรรมเป็นชุมชนที่มีศักยภาพสูงตั้งแต่ ระดับบุคคล ระดับชุมชน และระดับหน่วยงาน เนื่องด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันทั้งชาวบ้านและหน่วยงาน เป็นชุมชนที่สมาชิกส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์แบบเครือญาติ มีความรักใคร่ สามัคคี และหน่วยงานมีความใกล้ชิดกับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างดี</p> ขวัญใจ ฤทธิ์หมุน, ปัญญา เทพสิงห์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/264246 Fri, 29 Sep 2023 00:00:00 +0700 การบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการศึกษาระดับประถมศึกษา อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262338 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมและการเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการศึกษาระดับประถมศึกษา อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ประชากรและกลุ่มตัวอย่างของการวิจัยครั้งนี้คือ ครูผู้สอนที่ทำงานวิชาการโรงเรียนในสถานศึกษาระดับประถมศึกษาจึงต้องสมัครใจในการให้ข้อมูลของงานวิจัย ผลการวิจัย พบว่า อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ที่เปิดทำการสอนระดับประถม 53 โรงเรียน จำนวน 50 คน เป็นกลุ่มตัวซึ่งทำการคัดเลือกโดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็นการสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากข้อมูลมีความสำคัญ ผู้ตอบแบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 76.00 จำนวน 38 คน อายุระหว่าง 31-40 ปี จำนวน จำนวน 25 คน คิดเป็นร้อยละ 58.00 ระดับการศึกษาระดับปริญญาโท คิดเป็นร้อยละ 46.00 จำนวน 23 คน มีประสบการณ์ในการทำงานระหว่าง 11-20 ปี คิดเป็นร้อยละ 48.00 จำนวน 24 คน ระดับการให้ความสำคัญต่อการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการศึกษาของระดับประถมศึกษา อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ในภาพรวมสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับค่อนข้างมาก ที่ระดับค่าเฉลี่ย 3.91 การทดสอบสมมติฐานพบว่าลักษณะสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถามที่แตกต่างกันทางด้านเพศ มีระดับค่าเฉลี่ยเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการแบบมีส่วนร่วมของบุคลากรทางการศึกษาของระดับประถมศึกษา อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก แตกต่างกั</p> โสภา สุขเกษม, สมยศ สุโพธิ์ภาคสกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262338 Mon, 02 Oct 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยการปฏิบัติงานแบบ WORK FROM HOME ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262760 <p>จากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงของไวรัสโคโรนา ทำให้องค์กรต้องปรับตัวการทำงาน ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการทำงานที่บ้าน และผลกระทบจากการทำงานที่บ้านที่เกิดขึ้นข้างต้น ทำให้หลายองค์กรเริ่มคิดที่จะให้พนักงานกลับมาทำงานในสำนักงานเหมือนแต่ก่อนให้เร็วที่สุด แต่ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ไม่เอื้อให้การกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ทำให้องค์กรต้องหาแนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ที่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขององค์กรในระยะยาว และเป็นแผนปฏิบัติการขององค์กรที่อธิบายถึงการจัดสรรทรัพยากรและกิจกรรมให้เหมาะสม ช่วยให้องค์การบรรลุเป้าหมายขององค์การ โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การจัดสรรทรัพยากรและกิจกรรมอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมและช่วยให้องค์การบรรลุเป้าหมาย</p> ศุภวิชญ์ ประพฤติธรรม, วัลลภ พิริยวรรธนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262760 Thu, 12 Oct 2023 00:00:00 +0700 ความคาดหวังของประชาชนต่อผู้นำการเปลี่ยนแปลง ของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262800 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับความคาดหวังของประชาชนต่อผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลช่องแค อำเภอตาคลี &nbsp;&nbsp;&nbsp;จังหวัดนครสวรรค์ 2) ศึกษาความแตกต่างระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความคิดเห็นเกี่ยวกับ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ความคาดหวังของประชาชนต่อผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 366 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ค่าทางสถิติโดยการแจกแจงความถี่ การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติการทดสอบแบบค่าที สถิติวิเคราะห์&nbsp; ความแปรปรวนทางเดียว และหากพบความแตกต่างจะนำไปเปรียบเทียบเป็นรายคู่โดยใช้วิธีของ LSD โดยทดสอบที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับความคาดหวังของประชาชนต่อผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) เพศ อายุ และระดับการศึกษา ที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับความคาดหวังของประชาชนต่อผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ทุกด้าน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> อนุวัตร สงจวง , วัลลภ พิริยวรรธนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262800 Sat, 14 Oct 2023 00:00:00 +0700 ประสิทธิผลการปฏิบัติงานตามหลักธรรมาภิบาล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262319 <p>ธรรมาภิบาล ถือได้ว่าเป็นมิติที่สำคัญของการบริหารงานภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันได้มีการนำมา กำหนดเป็นวิสัยทัศน์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนพัฒนาประเทศทั้งภาครัฐภาคเอกชน เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการปฏิบัติงานอย่างแท้จริง โดยมุ่งต่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญเพื่อให้บรรลุประสิทธิผลขององค์การ คือความสามารถขององค์การในการบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดไว้ โดยวัดได้จากผลการปฏิบัติงานของบุคลากรที่เกิดขึ้นจริง แล้วนำไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายระดับปฏิบัติการที่กำหนดไว้ ซึ่งเป้าหมายเชิงปฏิบัติการนี้ถูกเชื่อมโยงจากเป้าหมายของหน่วยงานที่ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ การประเมินประสิทธิผลการบรรลุเป้าหมายเป็นการวัดผลสำเร็จขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติงาน ซึ่งเหมาะสมกับองค์การที่มีการกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนเพียงพอในการสร้างความเข้าใจและเห็นพ้องร่วมกันของฝ่ายต่างๆ อีกด้วย เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างเรียบร้อยและเกิดประโยชน์สูงสุดตามเป้าหมายที่ได้วางไว้และเป็นตัวขับเคลื่อนในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าการบริหารจัดการและองค์การได้มีการประสบความสำเร็จ</p> นิธิวิชญ์ ใจบาล, วิจิตรา ศรีสอน, สัณฐาน ชยนนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วารสารการบริหารนิติบุคคลและนวัตกรรมท้องถิ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/view/262319 Sat, 14 Oct 2023 00:00:00 +0700