https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/issue/feed วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 2024-06-20T13:01:01+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ hm_aongart@crru.ac.th Open Journal Systems <p> วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความที่มีคุณภาพเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม ชุมชนหรือท้องถิ่น โดยเนื้อหาในบทความแสดงให้เห็นถึงการสร้างสรรค์องค์ความรู้ทางวิชาการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนา หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่ สังคมหรือท้องถิ่น ในศาสตร์ดังต่อไปนี้</p> <p> - สาขาศิลปะและมนุษย์ทั่วไป (General Arts and Humanities)<br /> - สาขาธุรกิจทั่วไป การจัดการ และการบัญชี (General Business, Management and Accounting)<br /> - สาขาสังคมศาสตร์ทั่วไป (General Social Sciences)<br /> - สาขาการศึกษา (Education)<br /> - สาขาวัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies)</p> <p> ทั้งนี้ เนื้อหาในบทความแสดงให้เห็นถึงการสร้างสรรค์ทางวิชาการให้เกิด ประโยชน์ต่อการพัฒนาหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่ สังคมหรือท้องถิ่น<br /> โดยเปิดรับพิจารณาบทความตลอดทั้งปี ทั้งบทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ </strong>วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้กำหนดการเผยแพร่วารสารปีละ 2 ฉบับ ได้แก่<br /> ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน)<br /> ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p style="text-align: left;"><strong>หมายเลขวารสาร ISSN (Online) : </strong>2697-5017</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/270305 อิทธิพลของการวางแผนการปฏิบัติงานทางการบัญชีที่ดีที่มีต่อคุณภาพการทำงาน ของนักบัญชีบริษัทในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2024-04-19T15:56:58+07:00 รักษดาวัลย์ ศิริตาคำ raksadavan@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาการวางแผนการปฏิบัติงานทางการบัญชีที่ดี ศึกษาคุณภาพการทำงาน และทดสอบอิทธิพลของการวางแผนการปฏิบัติงานทางการบัญชีที่ดีที่มีต่อคุณภาพ การทำงานของนักบัญชีบริษัทในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากนักบัญชีบริษัทในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน จำนวน 300 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์พหุคูณ และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p> จากการทดสอบอิทธิพล พบว่า 1) การวางแผนการปฏิบัติงานทางการบัญชีที่ดี ด้านการกำหนดวัตถุประสงค์ มีอิทธิพลต่อคุณภาพการทำงานโดยรวม (β = 0.498) 2) การวางแผนการปฏิบัติงานทางการบัญชีที่ดี ด้านการกำหนดกลยุทธ์ มีอิทธิพลต่อคุณภาพการทำงานโดยรวม (β = 0.077) 3) การวางแผนการปฏิบัติงานทางการบัญชีที่ดี ด้านการกำหนดมาตรฐาน มีอิทธิพลต่อคุณภาพการทำงานโดยรวม (β = 0.236) 4) การวางแผนการปฏิบัติงานทางการบัญชีที่ดีด้านการติดตามทบทวนแผนมีอิทธิพลต่อคุณภาพการทำงานโดยรวม (β = 0.186) โดยตัวแปรทั้งหมดมีประสิทธิภาพในการพยากรณ์ร้อยละ 45.10 (R<sup>2</sup> = 0.451)</p> <p><strong> </strong></p> <p> </p> 2024-06-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/271011 โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างการมุ่งนวัตกรรมธุรกิจ ความสามารถ การเป็นผู้ประกอบการ โอกาสในการประกอบการ และผลการดำเนินงาน ของกิจการสตาร์ทอัพในประเทศไทย 2024-03-22T11:34:39+07:00 ชัชวาล ภานุศุภนิรันดร์ chatchawan197520@gmail.com ศิริกานดา แหยมคง sirikarnda.yea@uru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุระหว่างการมุ่งนวัตกรรมธุรกิจ ความสามารถการเป็นผู้ประกอบการ โอกาสในการประกอบการ และผลการดำเนินงานของกิจการสตาร์ทอัพ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการของกิจการสตาร์ทอัพในประเทศไทย จำนวน 300 คน ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วยตัวแปรแฝงภายนอก จำนวน 1 ตัวแปร คือ การมุ่งนวัตกรรมธุรกิจ ตัวแปรแฝงภายใน จำนวน 3 ตัวแปร คือ ความสามารถการเป็นผู้ประกอบการ โอกาสในการประกอบการ และผลการดำเนินงาน โดยวัดจากตัวแปรสังเกตได้ 15 ตัว แบบสอบถามที่ใช้ เป็นเครื่องมือมีค่าสัมประสิทธิ์ความเที่ยงตั้งแต่ 0.912 ถึง 0.947 และมีค่าความแปรปรวนเฉลี่ยของตัวแปรแฝงที่สกัดได้อยู่ระหว่าง 0.776 ถึง 0.845 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) <br /> ผลการวิจัย พบว่า ความสามารถการเป็นผู้ประกอบการเป็นปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลทางตรงต่อโอกาสในการประกอบการ มากที่สุด รองลงมา พบว่า การมุ่งนวัตกรรมธุรกิจมีอิทธิพลทางตรงต่อความสามารถการเป็นผู้ประกอบการ นอกจากนี้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลยังพบว่า โมเดลการวิเคราะห์ความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ มีความเหมาะสมพอดีกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี ดังนั้น ผู้ประกอบการกิจการสตาร์ทอัพในประเทศไทยควรพัฒนาความสามารถการเป็นผู้ประกอบการโดยการให้ความสำคัญกับการแสวงหาทรัพยากรนวัตกรรมใหม่เพื่อนำมาพัฒนาความสามารถทางนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ ความสามารถทางนวัตกรรมการจัดการ การตลาด การเงินและบัญชีอยู่เสมอ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและผลการดำเนินงานที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ตัวแปรในโมเดลสมการโครงสร้าง สามารถอธิบายผลการดำเนินงานของกิจการสตาร์ทอัพ ได้ร้อยละ 86.70, 82.10 และ 89.10</p> 2024-06-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/270345 การจัดการขยะมูลฝอยแบบมีส่วนร่วมของชุมชนชาติพันธุ์ขมุบ้านวังผา ตำบลท่าข้าม อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย 2024-03-22T11:24:50+07:00 เสถียร ฉันทะ chunta7@gmail.com สุภัทณี เปี่ยมสุวรรณกิจ supattanee@crru.ac.th สุรัสวดี นางแล supattanee@crru.ac.th อรุณี อินเทพ supattanee@crru.ac.th สุทธิพร เปี่ยมสุวรรณกิจ supattanee@crru.ac.th สำราญ เชื้อเมืองพาน supattanee@crru.ac.th สุรินทร์ ทองคำ supattanee@crru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเงื่อนไข/ปัจจัยและแนวทางการจัดการขยะมูลฝอย แบบมีส่วนร่วมและถอดบทเรียนการจัดการขยะแบบมีส่วนร่วมของชุมชนชาติพันธุ์ขมุบ้านวังผา ตำบลท่าข้าม อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพจากกลุ่มตัวแทนครัวเรือนและคณะกรรมการหมู่บ้าน เครื่องมือการวิจัยใช้ SWOT/TOWS Analysis และ CIPP Model แบบสัมภาษณ์แบบโครงสร้างคำถามนำ แนวการสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาและสังเคราะห์เขียนรายงานวิจัยเชิงพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนชาติพันธุ์ขมุบ้านวังผามีปัจจัย/เงื่อนไขของปัญหาขยะจากลักษณะภูมิศาสตร์เป็น พื้นที่สูงประสบปัญหาขยะภายในชุมชนที่ขาดการจัดการที่เหมาะสม คนในชุมชนขาดความรู้การจัดการขยะ สำหรับปัจจัย/เงื่อนไขที่นำไปสู่ความสำเร็จในการจัดการขยะมูลฝอยของชุมชนเกิดจากปัจจัยที่สนับสนุนได้แก่ ผู้นำชุมชน คณะกรรมการหมู่บ้าน อสม. กลุ่มแม่บ้านเข้มแข็ง ชาวบ้านให้ความร่วมมือ มีหน่วยงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาสนับสนุนงบประมาณและดำเนินแผนงานเรื่องการจัดการขยะอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้มีการจัดการขยะมูลฝอยโดยใช้หลักการ 3R คือ Reduce ลดการใช้ Reuse ใช้ซ้ำ Recycle นำกลับมาใช้ใหม่ และ 5ก คือ กลุ่ม กองทุน กติกา กิจกรรม และกรรมการ เกิดรูปแบบการจัดการขยะมูลฝอยชุมชนที่มีประสิทธิภาพ</p> 2024-06-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/271002 แนวทางการทำงานวิเทศสัมพันธ์เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ของคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2024-04-26T10:07:27+07:00 พิเชษฐ์ เทพสุวรรณ์ phichettt@gmail.com <p>บทความนี้ต้องการแสดงภาพของการทำงานวิเทศสัมพันธ์ ณ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บทบาทและหน้าที่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงและค่านิยมองค์กร “sCi” งานวิเทศสัมพันธ์เป็นงานที่เกี่ยวข้อง กับพันธกิจสากล ผู้ปฏิบัติงานวิเทศสัมพันธ์มีภาพงานเสมือนนักการทูตที่ต้องประสานความร่วมมือ กับหน่วยงานในและต่างประเทศ โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อร่วมขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายและพันธกิจของคณะวิทยาศาสตร์ เป็นตัวแสดงที่รู้จักบทบาทและหน้าที่เป็นอย่างดี มีเป้าหมายและหลักในการทำงาน และสิ่งสำคัญที่สุดคือ มีทัศนคติที่จะบูรณาการ การทำงานให้เป็นไปในทางเดียวกัน มองภาพใหญ่ของมหาวิทยาลัยเพื่อให้เห็นภาพองค์รวมบนพื้นฐาน แห่งการส่งมอบคุณค่าของงานวิเทศสัมพันธ์ให้แก่ผู้รับบริการ ตลอดจนการพัฒนางานเพื่อตอบความต้องการของผู้รับบริการ รวมถึงการพัฒนาตนเองของผู้ปฏิบัติงานวิเทศสัมพันธ์ให้สามารถยกระดับการทำงาน ขึ้นไปสู่ระดับที่ดีมีความโดดเด่น มีความก้าวหน้าในสายอาชีพ และเป็นต้นแบบการทำงานที่ดีแก่ ผู้ปฏิบัติงานอื่นในองค์กรและมหาวิทยาลัยต่อไป</p> 2024-06-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย