วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk <p> วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการตีพิมพ์เผยแพร่บทความที่มีคุณภาพเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคม ชุมชนหรือท้องถิ่น โดยเนื้อหาในบทความแสดงให้เห็นถึงการสร้างสรรค์องค์ความรู้ทางวิชาการที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนา หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่ สังคมหรือท้องถิ่น ในศาสตร์ดังต่อไปนี้</p> <p> - สาขาศิลปะและมนุษย์ทั่วไป (General Arts and Humanities)<br /> - สาขาธุรกิจทั่วไป การจัดการ และการบัญชี (General Business, Management and Accounting)<br /> - สาขาสังคมศาสตร์ทั่วไป (General Social Sciences)<br /> - สาขาการศึกษา (Education)<br /> - สาขาวัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies)</p> <p> ทั้งนี้ เนื้อหาในบทความแสดงให้เห็นถึงการสร้างสรรค์ทางวิชาการให้เกิด ประโยชน์ต่อการพัฒนาหรือสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่ สังคมหรือท้องถิ่น<br /> โดยเปิดรับพิจารณาบทความตลอดทั้งปี ทั้งบทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่ </strong>วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้กำหนดการเผยแพร่วารสารปีละ 2 ฉบับ ได้แก่<br /> ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน)<br /> ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p style="text-align: left;"><strong>หมายเลขวารสาร ISSN (Online) : </strong>2697-5017</p> th-TH hm_aongart@crru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ อินทนิเวศ) arinaku001@gmail.com (นางสาวเอริ นากุ) Mon, 30 Jun 2025 23:26:57 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของภาคประชาสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตามร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... กรณีจังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/275117 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตามร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... โดยทำการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างการวิจัยด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน โดยเริ่มจากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง รวม 593 คน และคัดเลือกตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ และแบบเป็นระบบตามลำดับขั้นตอน ซึ่งถือเป็นตัวแทนภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการศึกษาพื้นที่จังหวัดสงขลา จำนวน 331 คน และจังหวัดพัทลุง จำนวน 262 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือวิจัย สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมทั้งการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ระดับความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของภาคประชาสังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตามร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... จังหวัดสงขลา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.14, SD = 0.56) และจังหวัดพัทลุง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /> = 4.10, SD<strong> = </strong>0.74) เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ควรออกแบบการการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ ตามแนวทางการกระจายอำนาจ การจัดการศึกษาที่มีความชัดเจน รองรับการสร้างกลไกการมีส่วนร่วมการตัดสินใจของภาคประชาสังคมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหลากหลาย</p> ฐากร สิทธิโชค, อัศว์ศิริ ลาปีอี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/275117 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหนังสือภาพอินโฟกราฟิกผสมผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/275443 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาหนังสือภาพอินโฟกราฟิกผสมผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ (2) หาประสิทธิภาพ ของหนังสือภาพอินโฟกราฟิกผสมผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยมีกลุ่มตัวอย่าง ในการวิจัย คือ นิสิตระดับปริญญาตรี ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชา ED 381 MEDIA AND TECHNOLOGY FOR EDUCATION FOR LEARNING ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 ใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบสุ่มอย่างง่าย (Simple random Sampling) 1 ห้องเรียน จำนวน 25 คน การดำเนินการวิจัย มี 2 ขั้นตอน ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาหนังสือภาพอินโฟกราฟิกผสมผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม โดยการหาคุณภาพ จากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ขั้นตอนที่ 2 หาประสิทธิภาพของหนังสือภาพอินโฟกราฟิกผสมผสานเทคโนโลยี ความจริงเสริม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (1) หนังสือภาพอินโฟกราฟิกผสมผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม (2) แบบประเมินคุณภาพหนังสือภาพอินโฟกราฟิกผสมผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม (3) แบบทดสอบวัด ระดับความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จำนวน 30 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติในการทดสอบสมมุติฐาน ได้แก่ การทดสอบค่าที T-Test สำหรับ Dependent Sample ผลการวิจัยพบว่า (1) หลังการทดลองเรียนด้วยหนังสือภาพอินโฟกราฟิก ผสมผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ย ระดับความรู้ ความเข้าใจ (24.92) สูงกว่าก่อน การทดลอง (20.88) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) หนังสือภาพอินโฟกราฟิกผสมผสานเทคโนโลยี ความจริงเสริม เพื่อส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ เรื่อง พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มีคุณภาพอยู่ใน ระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ย 4.67 และมีค่าประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.92/82.94 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80</p> ภูริณัฐ ขุนศร, นิพาดา ไตรรัตน, นฤมล ศิระวงษ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/275443 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการงานวิจัย ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/276624 <p>การบริหารจัดการงานวิจัยในมหาวิทยาลัยจำเป็นต้องอาศัยระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานอย่างครบถ้วนและรวดเร็ว โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้และพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนและสังคม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของระบบสารสนเทศ 2) พัฒนาระบบสารสนเทศ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจ ของผู้ใช้งานระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการงานวิจัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยบุคลากรสายวิชาการ 463 คน ผู้ทรงคุณวุฒิในการประเมินประสิทธิภาพระบบ และผู้ใช้งานระบบจากตัวแทน 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ผู้บริหารสถาบันวิจัย นักวิจัย และหน่วยงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามแบบประเมินประสิทธิภาพ และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย (ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) <br />ผลการศึกษาพบว่า <br />1) ความต้องการระบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านปัจจัยนำเข้ามีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านกระบวนการ ข้อมูลป้อนกลับ และผลผลิต <br />2) ประสิทธิภาพระบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการรักษาความปลอดภัยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด ตามด้วยด้านการตอบสนองความต้องการและความสามารถในการทำงาน <br />3) ความพึงพอใจต่อระบบโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดโดยความสะดวกในการกรอกข้อมูลและการครอบคลุมงานวิจัยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ การออกแบบหน้าจอที่เหมาะสม การรองรับข้อมูลที่ใช้งานได้ และความสามารถในการปรับปรุงแก้ไขข้อมูล การพัฒนาระบบนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการงานวิจัย ลดความซ้ำซ้อนของกระบวนการ ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย อันจะนำไปสู่การพัฒนางานวิจัยที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยั่งยืน</p> เดชชนะ ศรีรัตนลิ้ม, ธิดารัตน์ สุขประภาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/276624 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนดนตรีตามแนวคิดของซูซูกิร่วมกับกระบวนการเสริม ความสามารถเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค เพื่อสร้างเสริมทักษะการเล่นดนตรี สำหรับผู้เรียนระดับเริ่มต้น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/278185 <p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบ 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบ และ 4) เพื่อศึกษาเจตคติของผู้เรียนระดับเริ่มต้นต่อการจัดการเรียนการสอน ดำเนินการวิจัยโดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบ ขั้นตอนที่ 2 สร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบ ขั้นตอนที่ 3 ศึกษาผลการใช้รูปแบบ และขั้นตอนที่ 4 ศึกษาเจตคติของผู้เรียนระดับเริ่มต้นต่อการจัดการเรียนการสอน ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางของการสอนดนตรีตามแนวคิดของซูซูกิ คือ การเรียนรู้ทักษะการเล่นดนตรีอย่างเป็นธรรมชาติ โดยการสร้างความต้องการเรียนรู้ขึ้นภายในตัวผู้เรียน มุ่งเน้นการเรียนรู้อย่างแน่นหนาและเชี่ยวชาญ และแนวทางของกระบวนการเสริม AQ คือ การพัฒนา AQ จากการมีเป้าหมายที่ชัดเจน การพัฒนาความคิดด้านบวก การพัฒนาวินัยในตนเอง และการพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเอง โดยใช้แนวทางที่เหมาะสมกับผู้เรียนระดับเริ่มต้น 2) รูปแบบประกอบด้วย 5 ส่วน คือ ความเป็นมาของรูปแบบแนวคิดพื้นฐานของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอน การนำรูปแบบไปใช้ และผลที่เกิดจากการใช้รูปแบบ โดยรูปแบบ มีระดับความเหมาะสมมากที่สุด และมีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ 3) ผู้เรียนระดับเริ่มต้นมีทักษะการเล่นดนตรีมากขึ้นทุกสัปดาห์ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการตอบสนองต่ออุปสรรคจากทางลบเป็นทางบวก โดยไม่มีผู้เรียนระดับเริ่มต้นเลิกเรียนดนตรีกลางคัน รวมถึงผู้เรียนระดับเริ่มต้นมีทักษะการเล่นดนตรีสูงกว่าเกณฑ์</p> ธีรวัฒน์ วีระวิทยานันต์, อังคณา อ่อนธานี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/278185 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน บทความภาษาอังกฤษร่วมกับวิธีการสอนอ่านแบบ SQ4R https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/278326 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ4R 2) พัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษ<br />เพื่อความเข้าใจของนักศึกษาโดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและวิธีการสอนแบบ SQ4R 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ<br />เพื่อความเข้าใจโดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและวิธีการสอนแบบ SQ4R กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ที่เรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ<br />เพื่อพัฒนาทักษะการเรียน จำนวน 100 คน คัดเลือกโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย <br />1) แผนการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ โดยใช้วิธีการสอนอ่านแบบ SQ4R จำนวน 8 แผน 2) แบบฝึกทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีการอ่านแบบ SQ4R จำนวน 8 ชุด 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านบทความภาษาอังกฤษความเข้าใจก่อนและหลังเรียน <br />แบบปรนัย 30 ข้อ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและวิธีการสอนแบบ SQ4R สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E<sub>1</sub>) และค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E<sub>2</sub>) ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้วิธีการสอนแบบ SQ4R มีประสิทธิภาพ<br />ของกระบวนการและผลลัพธ์เฉลี่ย 80.67/81.70 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 24.51 คะแนน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการพัฒนาทักษะการอ่านบทความภาษาอังกฤษภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.12</p> เสถียรพันธุ์ ขุนมนตรี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/278326 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 กลยุทธ์การนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษา และเสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/278373 <p>การวิจัยนี้เป็นวิจัยแบบผสมผสานมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ 2) วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภาวะคุกคาม และ 3) พัฒนากลยุทธ์การนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษาและเสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างและผู้ให้ข้อมูล คือ บุคลากรในสถานศึกษา ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้รับผิดชอบงานประกันคุณภาพการศึกษา จำนวน 658 คน ได้กลุ่มตัวอย่างจากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง ตามตารางสำเร็จรูปของทาโร ยามาเน่ (Yamane Taro, 1967) และทำการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) แยกตามจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา และทำการสุ่มรายชื่อโรงเรียน แบ่งเป็นสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวน 356 คน และสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จำนวน 302 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบประเมินกลยุทธ์ แบบสอบถามมีค่าดัชนี ความสอดคล้องของข้อคำถามอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 และค่าความเที่ยงของสภาพปัจจุบันของการนำผลการประกันคุณภาพภายนอกไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษาและเสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เท่ากับ .996 และสภาพที่พึงประสงค์ของการนำผลการประกันคุณภาพภายนอกไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษาและเสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เท่ากับ .992 เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถาม และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการประชุมสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า <br />1) สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษาและเสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 1.1) สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (1) ด้านสภาพแวดล้อมภายในของการนำไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยภาพรวมสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก และการนำไปใช้เสริมสร้างความรับผิดชอบ โดยภาพรวมมีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก (2) สภาพแวดล้อมภายนอกของการนำไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก และการนำไปใช้เสริมสร้างความรับผิดชอบ โดยภาพรวมมีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก 1.2) สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (1) สภาพแวดล้อมภายในของการนำไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก และการนำไปใช้เสริมสร้างความรับผิดชอบ โดยภาพรวมมีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด (2) สภาพแวดล้อมภายนอกของการนำไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยภาพรวมสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก และการนำไปใช้เสริมสร้างความรับผิดชอบ โดยภาพรวมมีสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์อยู่ในระดับมาก 1.3) ลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นของการนำไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษา สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พบว่า (1) สภาพแวดล้อมภายใน เรียงลำดับได้ดังนี้ ผลลัพธ์การเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ และการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา (2) สภาพแวดล้อมภายนอก เรียงลำดับได้ดังนี้ ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี ปัจจัยทางด้านสังคม ปัจจัยทางด้านการเมืองและนโยบายของรัฐ และปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ 1.4) ลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นของการนำไปใช้เสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พบว่า (1) สภาพแวดล้อมภายใน เรียงลำดับได้ดังนี้ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา ผลลัพธ์การเรียนรู้ และการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ (2) สภาพแวดล้อมภายนอก เรียงลำดับได้ดังนี้ ปัจจัยทางด้านการเมืองและนโยบายของรัฐ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางด้านสังคม และปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี 1.5) ลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นของการนำไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษา สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พบว่า (1) สภาพแวดล้อมภายใน เรียงลำดับได้ดังนี้ ผลลัพธ์การเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา (2) สภาพแวดล้อมภายนอก ปัจจัยทางด้านการเมืองและนโยบายของรัฐ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางด้านสังคม และปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี <br />1.6) ลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นของการนำไปใช้เสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา พบว่า (1) สภาพแวดล้อมภายใน เรียงลำดับได้ดังนี้ การพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ ผลลัพธ์การเรียนรู้ และการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา <br />(2) สภาพแวดล้อมภายนอก เรียงลำดับได้ดังนี้ ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี ปัจจัยทางด้านการเมืองและนโยบายของรัฐ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยทางด้านสังคม 2) จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภาวะคุกคาม การนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษาและเสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า 2.1) สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา <br />(1) การนำไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษา พบว่า ด้านการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา และด้านการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ เป็นจุดแข็ง ส่วนด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ เป็นจุดอ่อน ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยทางด้านการเมืองและนโยบายของรัฐ เป็นโอกาส ปัจจัยทางด้านสังคม และปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี เป็นภาวะคุกคาม (2) การนำไปใช้เสริมสร้างความรับผิดชอบ พบว่า ด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ และด้านการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ เป็นจุดแข็ง ส่วนด้านการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษาเป็นจุดอ่อน ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี เป็นโอกาส ปัจจัยทางด้านการเมืองและนโยบายของรัฐ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยทางด้านสังคม เป็นภาวะคุกคาม 2.2) สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (1) การนำไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษา พบว่า ด้านการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา และด้านการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ เป็นจุดแข็ง ด้านผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นจุดอ่อน ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางด้านสังคม และปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี เป็นโอกาส ปัจจัยทางด้านการเมืองและนโยบายของรัฐ เป็นภาวะคุกคาม (2) การนำไปใช้เสริมสร้างความรับผิดชอบ พบว่า ด้านการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการสถานศึกษาเป็นจุดแข็ง ด้านผลลัพธ์การเรียนรู้ และด้านการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ เป็นจุดอ่อน ปัจจัยทางด้านการเมืองและนโยบายของรัฐ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และปัจจัยทางด้านสังคมเป็นโอกาส ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยีเป็นภาวะคุกคาม 3) กลยุทธ์การนำผลการประเมินคุณภาพภายนอกไปใช้ยกระดับคุณภาพการศึกษาและเสริมสร้างความรับผิดชอบของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ทั้งหมดประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลัก 34 กลยุทธ์รอง และ 90 วิธีดำเนินการ </p> วัชระ จตุพร, อาจารี คูวัธนไพศาล, ฐิติกรณ์ ยาวิไชย จารึกศิลป์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/278373 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาการรับรู้และการรับมือการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงาน ของพนักงานระดับปฏิบัติการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/276894 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการรับรู้และการรับมือการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงาน และความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้กับการรับมือการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงาน ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานระดับปฏิบัติการ ในเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ใช้สูตรของคอแครนคำนวณกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน โดยใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม <br />ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.888 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปร ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis) ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ ปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุช่วง 26 – 40 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี มีรายต่อเดือน 15,000 – 20,000 บาท อายุการทำงาน 1 – 3 ปี การรับรู้การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ประสบการณ์ด้านการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงาน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง การรับมือการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงาน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ และตำแหน่งงานต่างกันมีการรับรู้การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงานแตกต่างกัน จึงยอมรับสมมติฐาน อาจแสดงถึงช่วงวัยมีความเกี่ยวข้องกับการใช้โซเซียลจึงมีการรับรู้การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงานแตกต่างกัน ส่วนเพศ การศึกษา รายได้ และอายุงานต่างกันมีการรับรู้การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงานไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐาน และประสบการณ์ด้านการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงาน มีความสัมพันธ์กับการรับมือการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงานในระดับต่ำ (อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01) และพบว่าการรับรู้การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ในการทำงานสามารถพยากรณ์การรับมือการกลั่นแกล้งทางโซเบอร์ในการทำงานได้ โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์มีค่า .693</p> รัชเมธี รชตวัฒนกุล, อนันต์พล ชื่นชม, ณัฐชฎา พิมพาภรณ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/276894 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 Conservation and Development of the Thai Children’s Folk Play Wisdom in Andaman Coastal Provinces https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/277992 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณค่าของการละเล่นพื้นบ้านที่มีผลต่อพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามัน 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามัน และ 3) เสนอแนวทางการพัฒนาภูมิปัญญาการละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามัน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษา จำนวน 400 คน ผู้บริหารโรงเรียน ครูประจำชั้นระดับประถมศึกษา ครูผู้สอนวิชาพลศึกษา ผู้นำท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน และผู้ปกครอง จำนวน 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ <br />1) คู่มือการละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามัน 2) แบบสังเกตคุณค่าการละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามัน 3) แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการละเล่นพื้นบ้าน และแนวทางการพัฒนาภูมิปัญญาการละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามัน โดยหาความตรง (Validity) ของเครื่องมือด้วยการคำนวณหาค่า IOC (Index of Item-Objective Congruence) มีค่าอยู่ระหว่าง 0.67-1.00 และความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสังเกต มีค่าเท่ากับ 0.87 และแบบสัมภาษณ์ มีค่าเท่ากับ 0.85 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) การละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามันมีคุณค่าต่อพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยที่ส่งผลฅต่อการอนุรักษ์ภูมิปัญญาการละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามัน ได้แก่ ด้านบุคคล ด้านครอบครัวและสังคม ด้านเศรษฐกิจ และด้านเทคโนโลยี 3) แนวทางการพัฒนาภูมิปัญญาการละเล่นพื้นบ้านของเด็กไทยในกลุ่มจังหวัดอันดามัน ได้แก่ นโยบายระดับท้องถิ่น นโยบายของสถานศึกษา รูปแบบการเล่นและอุปกรณ์การเล่น และการจัดโครงการ ซึ่งผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นและกิจกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นในสถานศึกษา</p> parichat pragobmas ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/277992 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700 ธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกพลิกผัน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/275305 <p>จากภาวการณ์ความผันผวนทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจึงมีหน้าที่สำคัญในการจัดการศึกษาเพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพในโลกยุคพลิกผัน บทความวิชาการฉบับนี้ใช้การสังเคราะห์วรรณกรรมเพื่อให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคพลิกผัน และแนวทางการพัฒนาธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคพลิกผัน ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาต้องปรับตัวในโลก VUCA World ที่เต็มไปด้วยความผันผวน (Volatility) ความไม่แน่นอน (Uncertainty) ความซับซ้อน (Complexity) และความคลุมเครือของเหตุการณ์ (Ambiguity) และปรากฏการณ์ด้านการศึกษาที่เกิดขึ้นในยุค BANI ที่มีความเปราะบาง (Brittle) เต็มไปด้วยความกังวล (Anxious) สับสนคาดเดายาก (Nonlinear) และเข้าใจยาก (Incomprehensible) ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องนำหลักธรรมาภิบาล <br />ซึ่งประกอบด้วยหลักนิติธรรม (The Rule of Law) หลักคุณธรรม (Morality) หลักความโปร่งใสตรวจสอบได้ (Accountability) หลักการมีส่วนร่วม (Participation) หลักความรับผิดชอบ (Responsibility) และหลักความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness or Economy) มาปรับใช้ในการบริหารสถานศึกษา โดยหน่วยงานต้นสังกัด<br />ทางการศึกษาควรพัฒนาธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในโลกยุคพลิกผัน ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ <br />1) ขั้นการสำรวจวินิจฉัยหาความจำเป็นด้านการพัฒนาธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา <br />2) ขั้นการออกแบบการพัฒนาธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา <br />3) ขั้นการนำแผนการพัฒนาสู่การเสริมสร้างธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา <br />และ 4) ขั้นการประเมินผลการพัฒนาธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อให้ผู้บริหารสถานศึกษามีธรรมาภิบาลและมีสมรรถนะในการรับมือกับความพลิกผันด้านการบริหารสถานศึกษา ตลอดจนสามารถขับเคลื่อนสถานศึกษาให้เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างยั่งยืน</p> รักษิต สุทธิพงษ์, ชุณวัฒน์ ปุงบางกระดี่ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการวิจัยกาสะลองคำ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ksk/article/view/275305 Mon, 30 Jun 2025 00:00:00 +0700