https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/issue/feed
วารสารบัณฑิตศาส์น มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
2024-12-30T16:34:16+07:00
ดร.สันติราษฎร์ พวงมลิ
gs@mbu.ac.th
Open Journal Systems
<p>1. เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ทางวิชาการและงานวิจัยของคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ตลอดจนแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระพุทธศาสนา ปรัชญา รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ นิติศาสตร์ การจัดการ การจัดการเชิงพุทธ จิตวิทยาบริหารธุรกิจ การบริหารการศึกษา การพัฒนาสังคม เป็นต้น</p> <p>2. เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ พระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยและสังคม</p> <p>3. เพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ทางวิชาการให้เป็นไปตามพันธกิจของบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย</p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275348
ศรัทธาในพระพุทธศาสนากับความเข้าใจของชาวพุทธ
2024-11-05T17:37:44+07:00
ยอดคม ชัยนิรัติศัย
phrayordkom.cha@student.mbu.ac.th
พระสุทธิสารเมธี, ผศ.ดร.
phrayordkom.cha@student.mbu.ac.th
<p>บทความ เรื่อง ศรัทธาในพระพุทธศาสนากับความเข้าใจของชาวพุทธในบทความนี้ผู้เขียนมีประเด็นที่ต้องการหาคำตอบ คือ 1. ความศรัทธานั้นหมายความว่าอย่างไร และประกอบด้วอะไรบ้าง 2. ในพระพุทธศาสนาอธิบายคำว่าศรัทธาไว้อย่างไร 3. ชาวพุทธต้องมีหลักอะไรบ้างในการทำความเข้าใจในพระพุทธศาสนา สามารถสรุปได้ดังนี้</p> <ol> <li>การเชื่อ การเลื่อมใสในทางธรรม คือเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ เชื่อด้วย เหตุด้วยผล เชื่อมั่นในคุณ</li> </ol> <p>งามความดี ในความจริงมีจิตตั้งมั่นอยู่กับพระรัตนตรัย ประกอบด้วย สัทธาญาณสัมปยุตต์ ผู้ที่มีศรัทธาที่ได้รับการพัฒนาดีแล้ว ย่อมจะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ และเชื่ออย่างมีเหตุผล</p> <ol start="2"> <li>ความหมายไว้ดังนี้ เชื่อ คือ เห็นตามด้วย มั่นใจ ไว้ใจ “ความเชื่อ” คือ ความเห็นตามด้วย</li> </ol> <p>ความมั่นใจ ความไว้ใจในบุคคลในสิ่งต่าง ๆ ในการกระทำ</p> <ol start="3"> <li>หลักในการทำความเข้าใจ มี 2 ปัจจัย ปัจจัยภายนอกคือปรโตโฆสะหรือกัลยาณมิตร</li> </ol> <p>ปัจจัยภายในคือ โยนิโสมนสิการ ได้แก่กระบวนการคิดอย่างรอบคอบ</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/276049
สมาธิในชีวิตประจำวัน : การเตรียมตัวก่อนทำงาน
2024-11-18T15:40:49+07:00
สุขวสา ชิตะปัญญา
wsaberger@gmail.com
พระสุทธิสารเมธี, ผศ.ดร.
wsaberger@gmail.com
<p>บทความนี้ ได้ศึกษาความจำเป็นของมนุษย์ ในการนำหลักของสมาธิ ในพระพุทธศาสนา มาใช้ในชีวิตประจำวัน และการเตรียมตัวก่อนทั้งก่อนทำงาน ในรายละเอียดโดยสังขปของการศึกษา ได้กล่าวถึง สภาวะของคนในวัยทำงานปัจจุบันที่ต้องสวมบทบาท 2 หน้าที่ 2 ภารกิจในหนึ่งวัน คือ บทบาทของการใช้ชีวิตประจำวันกับครอบครัว และบทบาทการใช้ชีวิตประจำวันในสังคมของคนทำงาน ทั้ง 2 บทบาท มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันในทางกายภาพ คือ การแสดงออกทางอารมณ์</p> <p>ในทางพระพุทธศาสนา กายและใจทำงานคู่กันตลอดเวลาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เครื่องมือในการรับรู้อารมณ์คือจิต เครื่องมือแต่งปรุงแต่งอารมณ์เรียกเจตสิก การบริหารจัดการอารมณ์ที่ดีด้วยหลักของสมาธิตามแนวทางของพระพุทธศาสนา ควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพร่างกายอย่างถูกหลักอนามัย จะช่วยให้ทำงาน อย่างมีความสุข แต่อย่างไรก็ตามในชีวิตประจำวันของการทำงานทุกภารกิจ ย่อมต้องพบกับปัญหาและอุปสรรค ทั้งส่วนบุคคล และส่วนของวัฒนธรรม นโยบาย หลักปฏิบัติขององค์กรอยู่ตลอดเวลาจนกว่างานจะลุล่วงสำเร็จ</p> <p>ดังนั้น ในการนำเสนอบทความจึงประกอบด้วยเนื้อหา การนำสมาธิไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันทุกภารกิจ การเตรียมความพร้อมของร่างกายและจิตใจก่อนไปทำงาน ความรู้เกี่ยวกับสมาธิขั้นพื้นฐานโดยสังเขป วิถีการปฏิบัติงานโดยธรรม อุปสรรคของการงาน ชนิดของอารมณ์ คุณลักษณะที่สำคัญของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน กายพร้อมใจพร้อมนำมาซึ่งความสามัคคี ลดความขัดแย้ง เกิดความรักในองค์กร ก่อให้เกิดประโยชน์ในเชิงบวกนานับประการ ต่อองค์กร ต่อตนเองและครอบครัว</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275315
บทบาทของนักการเมืองกับความรับผิดชอบพระพุทธศาสนา
2024-11-05T17:49:06+07:00
สัญญา กลัดงาม
sanyakludngam@gmail.com
พระสุทธิสารเมธี, ผศ.ดร.
sanyakludngam@gmail.com
อริสา สายศรีโกศล
sanyakludngam@gmail.com
สุปาณี กล่อมจิตร
sanyakludngam@gmail.com
<p>จาการศึกษา บทความนี้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างพระพุทธศาสนากับนักการเมืองในสังคมไทย โดยเน้นย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะรากฐานทางวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของชาติไทย รวมถึงบทบาทของนักการเมืองในการสนับสนุนและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไป บทความนี้ได้ทำการศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งวิเคราะห์บทบาทของนักการเมืองในมิติต่างๆ อาทิเช่น การจัดสรรงบประมาณ การออกกฎหมาย การสร้างนโยบายส่งเสริมพระพุทธศาสนา และการเป็นแบบอย่างที่ดี นอกจากนี้ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นจากการแทรกแซงกิจการภายในของคณะสงฆ์ หรือการใช้พระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์ในทางการเมือง</p> <p>พระพุทธศาสนามีบทบาทสำคัญในการสร้างความสามัคคีในสังคมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การสนับสนุนพระพุทธศาสนาจึงเป็นการรักษาเอกลักษณ์ของชาติไทย บทบาทของนักการเมืองในการสนับสนุนพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม นักการเมืองควรระมัดระวังในการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อความสำคัญ ความบริสุทธิ์ไร้มลทิน และเป็นที่เคารพของพระพุทธศาสนา รวมทั้งควรให้ความเคารพต่อความเป็นอิสระของคณะสงฆ์ บทความได้เสนอแนวทางในการสร้างความสมดุลระหว่างการเมืองและพระพุทธศาสนา เพื่อให้ทั้งสองสถาบันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนและส่งเสริมพัฒนาสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/276036
ปรัชญาตะวันออก : จริยศาสตร์ของศาสนาเชน
2024-11-20T15:57:32+07:00
กฤตสุชิน พลเสน
kitsuchin.pon@mbu.ac.th
พระมหาวสันต์ วสนฺโต
kitsuchin.pon@mbu.ac.th
สิริพร ครองชีพ
kitsuchin.pon@mbu.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์จะศึกษาปรัชญาตะวันออก : จริยศาสตร์ของศาสนาเชน การค้นคว้านี้ ได้กระทำโดยศึกษาประวัติและคำสอนของศาสนาเชนที่ปรากฏในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท บทความต่าง ๆ และนักวิชาการศาสนาที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่าคำสอนของศาสนาเชนที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท เป็นการปรากฏอยู่โดยการบันทึกของพุทธศาสนิกชนรุ่นหลัง เพราะในยุคสมัยนั้นการบันทึกเป็นรายลักษณ์อักษรยังไม่มีแผ่หลาย เป็นเพียงการบอก ทรงจำ และถ่ายทอดออกไปเท่านั้น ผลการศึกษาพบว่า การประพฤติปฏิบัติของศาสนาเชน ซึ่งมีความใกล้เคียงกันระหว่างศาสนาเชนและพุทธศาสนา และศาสนาเชนก็เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกัน ตามหลักฐานบอกว่าถือกำเนิดก่อนพุทธศาสนาประมาณ 30 ปี ศาสดาของเชน คือ ท่านมหาวีระ (นิครนถ์ นาฏบุตร) ได้ทำการเผยแผ่คำสอนร่วมสมัยกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายปี คำสอนของศาสนาเชนหลายเรื่องปรากฏอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท อย่างไรก็ตามคำสอนของศาสนาเชนที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ก็พอที่จะเข้าใจศาสนาเชนได้ ถึงความประพฤติด้านจริยศาสตร์ การประพฤติปฎิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ (นิรวาณะ) ตามความเชื่อ</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275678
ชีวิตในทัศนะของพุทธปรัชญาเถรวาท
2024-11-05T18:08:49+07:00
สุริยัน ผึ่งผาย
suriyan.phu@student.mbu.ac.th
พระครูวินัยธร เจริญ ทนฺตจิตฺโต, ดร.
charoen.kha@mbu.ac.th
พระมหาโสภณวิชญ์ เอกพล
suriyan.phu@student.mbu.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอ มโนทัศน์เรื่องชีวิตในทัศนะของพุทธปรัชญาเถรวาท จากการศึกษาพบว่า ชีวิตมนุษย์ตามคติของพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่ง ๆ หนึ่งที่อยู่ร่วมกันกับสรรพสิ่งต่าง ๆ ในสากลจักรวาลและอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เป็นไปโดยธรรมชาติ การเกิดขึ้นของชีวิตมนุษย์ย่อมต้องอาศัยเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดและการสิ้นสุดของชีวิตมนุษย์ ก็ย่อมต้องอาศัยการดับไปของปัจจัยเหล่านั้นอันได้แก่การอาศัยกระบวนการทางชีววิทยา ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติและมีองค์ประกอบของชีวิตที่เป็นทั้งฝ่ายสสารและฝ่ายอสสาร หรือฝ่ายรูปและฝ่ายนามสามประการ อันได้แก่ ไออุ่น อายุ และวิญญาณ ซึ่งองค์ประกอบทั้งสามประการนี้เองที่ใช้เป็นเครื่องวินิจฉัยว่าร่างกายนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ในคติของพระพุทธศาสนา </p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275775
การเสริมสร้างกลไกส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีด้วยทฤษฎีแรงจูงใจ
2024-11-05T18:17:38+07:00
พระมหาจักรธร อตฺถธโร (ขจรไชยกูล)
chaktorn.kaj@student.mbu.ac.th
พระสุทธิสารเมธี, ผศ.ดร.
chaktorn.kaj@student.mbu.ac.th
อริสา สายศรีโกศล
chaktorn.kaj@student.mbu.ac.th
<p>บทความนี้ศึกษากลไกส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีในประเทศไทยที่ได้ดำเนินการเรื่อยมาแต่อดีต จนในปัจจุบันดำเนินงานภายใต้พระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562 โดยคณะทำงานนั้นต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้านท่ามกลางบริบทการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก เช่น จำนวนผู้เข้ามาบวชเรียนลดลง ขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่ การวางแผนระยะยาว ความเป็นอยู่ของบุคคลากร ความมั่นใจในอนาคตการทำงาน สรุปว่าการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีในปัจจุบัน บุคคลากรต้องการขวัญและกำลังใจ การเอาใจใส่ความเป็นอยู่และความรู้สึกจากผู้มีอำนาจและความเชื่อมั่นและมั่นคงในอนาคตของตัวผู้ปฏิบัติงาน ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้เขียนได้นำแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับแรงจูงใจประกอบกับการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนำเสนอการเสริมสร้างกลไกส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีด้วยทฤษฎีแรงจูงใจ คือ 1.) เชิญชูผู้ที่กำลังศึกษา 2.) ให้คุณค่าบุคลากรรุ่นพี่ 3.) มีผู้ใหญ่คอยให้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิด 4.) จัดตั้งกลุ่มร่วมคิดพัฒนา</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275514
พระสงฆ์กับการเรียนรู้กฎหมายบ้านเมือง
2024-11-05T18:01:52+07:00
อดิศักดิ์ ตั้งปัทมชาติ
phrayordkom.cha@student.mbu.ac.th
<p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายหลักหรือกฎหมายสูงสุดของการปกครองในทางโลก ส่วนพระวินัยในพระปาฏิโมกข์ เป็นเสมือนกฎหมายหลักในการปกครองของคณะสงฆ์ พระวินัยแต่ละสิกขาบทมีบทบัญญัติระบุโทษแก่ผู้ละเมิดไว้ แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญไม่มีบทบัญญัติระบุโทษควบคู่ไปด้วย แต่มีระบุโทษแก่ผู้ละเมิดไว้ในกฎหมายอื่นที่ออกตามความในกฎหมายรัฐธรรมนูญ การแบ่งกฎหมายทางโลกแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ กฎหมายเอกชน และกฎหมายมหาชน ส่วนพระวินัยจะมีลักษณะของกฎหมายเอกชน และกฎหมายมหาชนรวมกันอยู่ในฉบับเดียวกัน พระสงฆ์มีหน้าที่เช่นเดียวกับพลเมืองของประเทศ จึงมี 2 สถานะ คือสถานะที่เป็นพลเมืองของรัฐที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับข้อกฎหมายของรัฐ และสถานะที่พระสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้กรอบของพระธรรมวินัยสงฆ์ โดยเฉพาะกฎหมายของรัฐ พระสงฆ์ต้องเรียนรู้เนื่องจากเป็นกฎหมายบ้านเมืองสำหรับทุกคน</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275243
รูปแบบการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา ของผู้บริหารหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
2024-11-05T18:13:51+07:00
พระครูสังฆรักษ์ สุริยะ ปภสฺสโร (สพานทอง)
suriya.sap@mcu.ac.th
สิรพร ครองชีพ
muy.siriporn.was@gmail.com
พระครูใบฎีกา ณัฐกิต มหิสฺสโร (อนุรักษ์ตระกูล)
Natthakit.liang@gmail.com
สุณี เวชประสิทธิ์
sunee@nmu.ac.th
จิตศริณย์พร ปัญจวัฒนคุณ
Phanjawattanakun12@gmail.com
<p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหา และปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา ของผู้บริหารหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (2) เพื่อเสนอรูปแบบการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา ของผู้บริหารหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษา ผู้ใช้บัณฑิต อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตรและอาจารย์ประจำหลักสูตร และผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ศาลายา จังหวัดนครปฐม จำนวน 80 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนก (r) ตั้งแต่ ระหว่าง .457-.840 ค่าความเชื่อมั่น โดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย,ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน,ค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์ด้วยวิธีของเพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation(r)) การวิเคราะห์การถดถอยของพหุคูณ Multiple Regression Analysis : MR และวิเคราะห์เชิงพรรณนา (Descriptive Analysis)</p> <p> </p> <p> </p> <p> <strong>ผลการวิจัย พบว่า </strong></p> <ol> <li class="show">สภาพปัญหา และปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา ของผู้บริหารหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้าน โดยด้านที่มีความคิดเห็นสูงสุด คือด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รองลงมาคือด้านสื่อ และนวัตกรรมการเรียนรู้ ส่วนด้านที่มีความคิดเห็นต่ำสุด คือด้านหลักสูตร และการพัฒนาหลักสูตร</li> <li class="show">ผลการทดสอบความสัมพันธ์ของระหว่างสภาพปัญหา และปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา ของผู้บริหารหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่มีความสัมพันธ์ทางด้านหลักสูตร และการพัฒนาหลักสูตร ทางด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ทางด้านสื่อ และนวัตกรรมการเรียนรู้ ทางด้านการวัดผล และประเมินผล พบว่า มีความสัมพันธ์กันทางบวก (r = .452, 634, 616, 588 sig < .01) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </li> <li class="show">ผลการศึกษาสภาพปัญหา และปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา ของผู้บริหารหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พบว่า มีตัวแปรผลการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา ของผู้บริหารหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 4 ด้าน ที่ร่วมกันทำนายปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<strong>P-value</strong> = .000) ซึ่งตัวแปรทั้ง 3 สามารถอธิบายการผันแปรของปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ได้ร้อยละ 79.2 (R<sup>2</sup> = .792) สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบได้ดังต่อไปนี้</li> </ol> <p> Y = .952 + .271X<sub>1</sub> + .246X<sub>2</sub> + .230X<sub>3</sub></p> <ol start="4"> <li class="show">รูปแบบการบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา ของผู้บริหารหลักสูตร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ประกอยด้วย (1) ปัจจัยนำเข้า (Input) ได้แก่ การบริหารหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต มีองค์ประกอบ 6 ประการ คือ องค์ประกอบที่ 1 การกำกับมาตรฐาน องค์ประกอบที่ 2 บัณฑิต องค์ประกอบที่ 3 นักศึกษา องค์ประกอบที่ 4 อาจารย์องค์ประกอบที่ 5 หลักสูตร การเรียนการสอน การประเมินผู้เรียน องค์ประกอบที่ 6 สิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ (2) กระบวนการ (Input) ได้แก่ 2.1 การพัฒนาหลักสูตร 2.2 ส่งเสริมการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ 2.3 การพัฒนาสื่อ นวัตกรรมการเรียนรู้ 2.4 การพัฒนาการวัดผลและประเมินผล 2.5 การพัฒนากิจกรรมการส่งเสริมการทำวิจัยแก่นักศึกษา (3) ผลผลิต (Output) ได้แก่ คุณภาพบัณฑิตด้านการประกันคุณภาพการศึกษา 5 ด้าน คือ 1) ด้านคุณธรรม จริยธรรม 2) ด้านความรู้ 3) ด้านทักษะทางปัญญา 4) ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ 5) ด้านทักษะในการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศ</li> </ol>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/276096
การพัฒนาการเสริมสร้างชุมชนสันติภาพตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท
2024-11-20T15:53:27+07:00
ประเวช วะทาแก้ว
pravech.vat@mbu.ac.th
สิริพร ครองชีพ
pravech.vat@mbu.ac.th
กฤตพิศิษฏ์ ปูรณภัทร์ธนากุล
pravech.vat@mbu.ac.th
นรารัตน์ สงวนทรัพย์
pravech.vat@mbu.ac.th
พระมหาวสันต์ วสนฺโต
pravech.vat@mbu.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาลักษณะชุมชนสันติภาพ 2) เพื่อศึกษาการพัฒนาการเสริมสร้างชุมชนสันติภาพตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางพัฒนาการเสริมสร้างชุมชนสันติภาพตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ แบบภาคสนาม เครื่องมือวิจัยที่ใช้คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 15 คน และการสังเกตการณ์อย่างมีส่วนร่วม โดยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอเชิงพรรณนา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า</p> <p>1) ลักษณะชุมชนสันติภาพ เป็นการสร้างสันติภาพภายในและภายนอกของคนในชุมชน การพัฒนาทางกายภาพและการพัฒนาคุณธรรมของการอยู่ร่วมกันในสังคม การยอมรับความแตกต่าง การช่วยเหลือและการพัฒนาชุมชนให้มีความมั่นคงในด้านสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ ที่สามารถดำรงสันติสุขในชุมชนทั้งในเชิงกายภาพและจิตภาพให้เกิดสันติสุขอย่างแท้จริงและมีความยั่งยืน</p> <p>2) การพัฒนาการเสริมสร้างชุมชนสันติภาพตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท เป็นการนำหลักพุทธธรรมเพื่อนำมาใช้สร้างสันติภาพในชุมชนเชิงกายภาพและเชิงจิตภาพ ได้แก่ 1.หลักสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง 2.หลักพรหมวิหาร 4 ว่าด้วยคุณธรรมของจิต เป็นธรรมประจำใจและปฏิบัติตนต่อเพื่อนมนุษย์โดยชอบ 3.หลักเบญจศีล-เบญจธรรม ว่าด้วยหลักพึงประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดสันติภาพในชุมชน</p> <p>3) แนวทางพัฒนาการเสริมสร้างชุมชนสันติภาพตามแนวพุทธปรัชญาเถรวาท เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติให้เกิดเป็นผลสำเร็จเป็นรูปธรรม สามารถประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมให้เกิดสันติสุขและเกิดสันติภาพทั้งภายนอกและภายในชุมชนได้ตามแนวทางพุทธปรัชญาเถรวาท</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/276578
การใช้กิจกรรมเล่านิทานธรรมบทเพื่อพัฒนาคุณลักษณะทางคุณธรรมจริยธรรม สำหรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
2024-12-07T09:47:34+07:00
กฤตพิศิษฏ์ ปูรณภัทร์ธนากุล
akeathitmbu@gmail.com
พระปริยัติวชิรกวี
akeathitmbu@gmail.com
พระมหาวิชิต จันทร์สง่า
akeathitmbu@gmail.com
สันติราษฎร์ พวงมลิ
akeathitmbu@gmail.com
กฤตสุชิน พลเสน
akeathitmbu@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเล่านิทานธรรมบทเพื่อพัฒนาคุณลักษณะทางคุณธรรมจริยธรรมสำหรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2) ศึกษาความเข้าใจคุณลักษณะทางจริยธรรมของนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 3) ศึกษาปัญหาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้กิจกรรมการเล่านิทานธรรมบทเพื่อพัฒนาคุณลักษณะทางคุณธรรมจริยธรรมสำหรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิธีดำเนินการวิจัยประกอบด้วย กลุ่มตัวอย่างได้แก่ประชากรในการวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการเลือกแบบเจาะจงนักศึกษา 8 รูป/คน จากมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกรายบุคคล เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ ต่อจากนั้นจึงวิเคราะห์ข้อมูลโดยการตีความหมายตามเนื้อความหลัก ในภาพรวมและทำการสังเคราะห์ นำเสนอผลของการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) ธรรมบทจะมีทั้งเรื่องที่แสดงเรื่องกรรมในอดีต ปัจจุบันกรรม ผลของกรรมดี กรรมชั่ว และคุณธรรม จริยธรรมอื่น ๆ ทั้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก ภิกษุณี สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา ทั่วไป ยังรวมถึงเรื่องอมนุษย์อื่น ๆ เช่น เทวดา พรหม ยักษ์ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรกด้วย 2) นักศึกษามีความเข้าใจถึง ความอดทน ความขยัน ความมีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ความเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม การคบเพื่อน แนวทางการพัฒนา มากขึ้น 3) ข้อเสนอแนะการพัฒนาคุณลักษณะด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่นักศึกษา ควรที่ 3 สถาบัน คือ บ้าน วัด มหาลัย ต้องร่วมมือกันในการพัฒนาคุณลักษณะด้านคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่นักศึกษา เพื่อได้นักศึกษาที่เป็นต้นแบบ เป็นแบบอย่างของนักศึกษาที่ดีได้</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/276031
โมเดลระบบประกันคุณภาพการศึกษาภายใน มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
2024-11-20T16:01:09+07:00
จุฑามาศ เทพเทียมทัศ
jutamas.th@mbu.ac.th
วันดี บุญล้อม
jutamas.th@mbu.ac.th
อัมพิกา กลิ่นฟุ้ง
jutamas.th@mbu.ac.th
ธนาวดี ทองเอม
jutamas.th@mbu.ac.th
เบญจวรรณ โพธิ์สุวรรณ์
jutamas.th@mbu.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบโมเดลระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 2. เพื่อสร้างโมเดลระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย 3. เพื่อประเมินโมเดลระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี (Mixed Method Research) ทั้งวิจัยเชิงปริมาณและวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง โดยการเลือกศึกษาเฉพาะ คือ ผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่ประกันคุณภาพการศึกษา ในมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ส่วนกลาง 7 วิทยาเขต และ 3 วิทยาลัย จำนวน 286 รูป/คน ตามเทคนิควิธีการสุ่มตัวอย่างของ ทาโร ยามาเน่</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) จากการศึกษาองค์ประกอบโมเดลระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย จึงได้ตัวแบบระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อการบริหารจัดการด้านงานประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ตามหลักแนวคิด PDCA 2) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของโมเดลระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พบว่า ด้านการวางแผน (Plan) มี 4 องค์ประกอบ 37 หัวข้อ ด้านการปฏิบัติตามแผน (Do) มี 3 องค์ประกอบ 17 หัวข้อ ด้านการตรวจสอบ ติดตามและประเมินผล (Check) มี 5 องค์ประกอบ 20 หัวข้อ และด้านการพัฒนา (Act) มี 4 องค์ประกอบ 13 หัวข้อ 3) จากผลการประเมินโมเดลระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้ง 4 ท่าน เห็นด้วยกับองค์ประกอบของตัวแบบระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ทั้ง 16 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. การกำหนดนโยบาย กำกับติดตาม และสรุปผลการดำเนินงาน 2. การปรับปรุงแก้ไขการปฏิบัติงาน เป็นการปรับแก้ตามผลการตรวจสอบ และประเมินในขั้นตอนก่อนหน้านี้ 3. ปรับปรุงระบบการทำงานและวิธีการทำงานมาตรฐาน 4. การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากได้ทำการตรวจสอบแล้ว การปรับปรุงอาจเป็นการแก้ไขแบบเร่งด่วนเฉพาะหน้า 5. การกำหนดวิธีการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างชัดเจน 6. เก็บรวบรวมบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้องและผลลัพธ์ของหัวข้อควบคุม 7. การกำหนดตัวชี้วัดในการดำเนินงาน 8. การติดตาม การตรวจสอบ และการประเมินปัญหาที่ต้องกระทำควบคู่ไปกับการดำเนินงาน 9. การกำหนดนโยบาย ค่าเป้าหมายที่ต้องการบรรลุด้านงานประกันคุณภาพการศึกษา 10. การดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาตามวิธีการที่กำหนด 11. การกำกับ ติดตามผลการดำเนินงานด้านงานประกันคุณภาพการศึกษา 12. การปฏิบัติการแก้ไข ถ้าไม่ได้ตามเป้าหมาย นำเข้าสู่วงจร PDCA 13. การกำหนดโครงการ จัดสรรทรัพยากรด้านบุคคล งบประมาณและระยะเวลา ในการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาอย่างชัดเจน 14. มีการจัดให้มีการศึกษาและการอบรมที่ต้องการ 15. ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย 16. การตระหนักถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไขหรือปรับปรุงให้ดีขึ้น</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/274806
การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน ที่ส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
2024-10-18T18:28:06+07:00
กมลชนก เสนฤทธิ์
plam.k2532@gmail.com
วนิดา ผาระนัด
plam.k2532@gmail.com
สุรกานต์ จังหาร
plam.k2532@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานส่งเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เปรียบเทียบทักษะการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังการเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ และ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 15 คน ได้มาโดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การเรียนรู้โดยสมองเป็นฐาน 2) แบบวัดทักษะการอ่านคำศัพท์ 3) แบบวัดทักษะการเขียนคำศัพท์ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ One-sample t-test ผลวิจัยพบว่า</p> <p>1<em>. </em>ผลการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.89/78.22 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด</p> <p>2. ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>3. ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังเรียน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>4. นักเรียน มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก (mean= 4.42)</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275095
การพัฒนาความสามารถการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำภาษาไทย โดยการจัดการเรียนรู้แบบ PWIM ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
2024-10-18T18:55:50+07:00
วจนะพร สีเกาะ
wajana.see@gmail.com
ธัญญลักษณ์ เขจรภักดิ์
wajana.see@gmail.com
สมาน เอกพิมพ์
wajana.see@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้ด้านการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำภาษาไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ PWIM ที่มีประสิทธิภาพ 80/80 2) ศึกษาความสามารถด้านการอ่านและเขียนแจกลูกสะกดคำภาษาไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแบบ PWIM ระหว่างหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 3) ศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำภาษาไทยของนักเรียนดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแบบ PWIM กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 คน โรงเรียนบ้านเลิง จังหวัดขอนแก่น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ <br>1) แผนการการจัดการเรียนรู้แบบ PWIM 2) แบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านและเขียนสะกดคำ และ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนที่ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบ PWIM มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.17/87.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 2) ความสามารถด้านการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทยของนักเรียน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 17.40 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.14 คิดเป็นค่าร้อยละเฉลี่ยเท่ากับ 87.00 และนักเรียนทุกคนผ่านเกณฑ์การวัดความสามารถ คิดเป็นร้อยละ 100 และ 3) นักเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการอ่านและการเขียนแจกลูกสะกดคำภาษาไทย อยู่ในระดับดีมาก</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275004
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ MIA
2024-10-18T19:01:29+07:00
วัชรี ขันธะหัตถ์
wacharee.k63@gmail.com
ภูษิต บุญทองเถิง
wacharee.k63@gmail.com
<p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ MIA โดยวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้แบบ MIA 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ MIA กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนเขวาไร่ศึกษา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม จำนวน 41 คน โดยใช้เทคนิคการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการดำเนินการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีนเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ MIA จำนวน 12 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้แบบ MIA เท่ากับ 82.03/81.71 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 70/70 ค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.6572 แสดงว่าการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ทำให้นักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.72 และการจัดการเรียนรู้แบบ MIA ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275008
การพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เรื่อง เรขาคณิตวิเคราะห์และภาคตัดกรวย โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัยร่วมกับโปรแกรม Geogebra ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
2024-10-18T18:48:41+07:00
ทัตพงศ์ นนยะโส
tatpong.n67@gmail.com
ภูษิต บุญทองเถิง
tatpong.n67@gmail.com
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดกิจกรรมเรียนรู้โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัยร่วมกับโปรแกรม Geogebra ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนโดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น กับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนที่เรียนรู้โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 40 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเขวาไร่ศึกษา ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 12 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ชนิดอัตนัยจำนวน 5 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ One-sample <br>t-test ผลวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย ร่วมกับโปรแกรม Geogebra มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 74.71/73.38 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบนิรนัย ร่วมกับโปรแกรม Geogebra ในภาพรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด (= 4.87, S.D. = 0.28)</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275461
An Investigation of Interaction Design of Virtual Simulation Experiment
2024-12-23T22:00:03+07:00
Zhanglong Pei
nuengruetai.c@siu.ac.th
Sakon Phungamdee
nuengruetai.c@siu.ac.th
<p>This paper aimed to study What are the interaction design strategies for VSE? The samples were Scoring of user experience parameters for VSE by students. The instrument for collecting data was Questionnaire Star WeChat Mini Program. Analysis data by descriptive statistics and content analysis. The research results were found as follows;</p> <ol> <li>The design strategies of perceptual interaction include (1) Style should be adapted. (2) Design should be simple. (3) Navigation should be convenient. (4) Colors should be harmonious. (5) Elements should be unified. (6) Information should be readable. (7) Scene should be simulated. (8) Design should be interesting.</li> <li>2. The design strategies of behavioral interaction include (1) Ensure the realism of the experiment. (2) Set explicit guidance information. (3) Provide clear targeted feedback. (4) Maintain system availability. (5) Keep the system operational. (6) Keep the system visibility. (7) Keep the system flexibility. (8) Keep the system open.</li> <li>3. The design strategies of emotional interaction include (1) Find out the characteristics of user groups. (2) Ensure that users quickly grasp the use of methods. (3) Reduce the difficulty of the experiment. (4) Ensure the fluency of the experiment. (5) Create emotional resonance. (6) Provide emotional support.</li> </ol>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275460
The Musical Characteristics of the Pudong Faction in the Pipa Genre
2024-12-03T14:32:40+07:00
Li Jiaxiao
nuengruetai.c@siu.ac.th
Kovit Kantasiri
nuengruetai.c@siu.ac.th
<p>The three purposes of this research can be outlined as follows:1)To study the historical development of the Pudong Faction.2) To study the representative performance techniques of the Pudong Faction.3) To summarize the performance style and musical characteristics of the Pudong Faction. In order to provide the original scores of the Pudong Faction to the greatest extent possible, combined with quantitative research and qualitative research, supported by the data provided by relevant literature and questionnaire surveys, the respondents included 132 professional music colleges and students of pipa teachers and students, and 280 social pipa amateurs.</p> <p>The study shows that the pipa genre refers to a specific pipa performance style, and the genre is a kind of group artistic activity, representing the collective artistic style. The Pudong Faction is one of the five major Factions of Chinese pipa and occupies an important position in Chinese pipa art. As an important part of China's excellent traditional culture, its development and dissemination are of great significance to the dissemination of Chinese culture and world cultural exchanges. Based on this, the research topic of this paper focuses on the performance art of the Pudong Faction and studies the characteristics of the pipa music of the Pudong Faction.</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275218
กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา
2024-12-02T18:29:48+07:00
พิทวัส จำปา
googai1538@gmail.com
สุภาพ ผู้รุ่งเรือง
googai1538@gmail.com
ศิริ ถีอาสนา
googai1538@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา 2) เพื่อวิเคราะห์ความต้องการ จำเป็นของภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา 3) เพื่อสร้างกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา และ 4) เพื่อประเมินกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ในจังหวัดนครราชสีมา โดยใช้การวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ระยะที่ 2 วิเคราะห์ความต้องการ จำเป็นของภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา โดยศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของภาวะผู้นำเชิงพุทธ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาระดับประถมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 306 คน นำผลมาวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นเพื่อกำหนดเป็นจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค ระยะที่ 3 สร้างกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการยกร่างกลยุทธ์ร่วมกับอาจารย์ที่ปรึกษา และการสนทนากลุ่ม จำนวน 11 คน และระยะที่ 4 ประเมินประเมินกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการศึกษาความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นรายบุคคล จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหาสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบของกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) อัตตาธิปไตย: การมุ่งตนเป็นสำคัญ 5 องค์ประกอบ 2) ด้านโลกาธิปไตย: การมุ่งคนเป็นสำคัญ 5 องค์ประกอบ และ 3) ด้านธัมมาธิปไตย: การถือการงานเป็นสำคัญ 5 องค์ประกอบ และกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลัก 5 กลยุทธ์รอง และ20 วิธีดำเนินการในส่วนผลการประเมินกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพุทธของผู้บริหารสถานศึกษา พบว่า มีความเหมาะสมโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีความเป็นไปได้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นประโยชน์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275853
การทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาอำเภอเมืองนครราชสีมา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 1
2024-12-02T18:22:53+07:00
สุรกิจ ท้องพิมาย
pittawas002540@gmail.com
ปานัฏสิริ จันทร์ศิริ
pittawas002540@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการทำงานเป็นทีมของครูผู้สอนในสถานศึกษา อำเภอเมืองนครราชสีมา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 1 และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมของครูผู้สอนในสถานศึกษา อำเภอเมืองนครราชสีมา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 1 จำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงาน และขนาดของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูผู้สอนในสถานศึกษา อำเภอเมืองนครราชสีมา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 306 คน เครื่องมือที่ที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า มีค่าความสอดคล้อง 1.0 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถามด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบ F - test เมื่อพบความแตกต่างทดสอบรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1. ระดับการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาอำเภอเมืองนครราชสีมาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการติดต่อสื่อสาร รองลงมาคือ ด้านการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์</p> <ol start="2"> <li class="show">เปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาอำเภอเมืองนครราชสีมาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 1 จำแนกตามประสบการณ์การปฏิบัติงาน โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li class="show">เปรียบเทียบการทำงานเป็นทีมของครูในสถานศึกษาอำเภอเมืองนครราชสีมาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมาเขต 1 จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/274738
รูปแบบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา
2024-12-02T18:26:36+07:00
สุริยา หึงขุนทด
hungkhunthodsuriya@gmail.com
สุภาพ ผู้รุ่งเรือง
suphap.p@nrru.ac.th
ศิริ ถีอาสนา
srtsn@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา 2) สร้างรูปแบบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา และ 3) ประเมินรูปแบบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา โดยใช้การวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา โดยการสังเคราะห์เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน ระยะที่ 2 สร้างรูปแบบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา โดยการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 315 โรงเรียน จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาดำเนินการกำหนดเป็นเนื้อหาสาระแล้วนำเสนอผู้บริหารสถานศึกษาขอคำแนะนำยกร่างรูปแบบโดยใช้วิธีการสนทนากลุ่ม และระยะที่ 3 ประเมินรูปแบบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา โดยใช้วิธีการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 9 คน และการศึกษาความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเป็นรายบุคคล จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสอบถาม และแบบประเมินรูปแบบ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1. องค์ประกอบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย 1) องค์ประกอบของสถานศึกษาปลอดภัย ได้แก่ 1.1) ด้านการจัดสภาพแวดล้อมความปลอดภัย 1.2) ด้านการเตรียมพร้อมความปลอดภัย 1.3) ด้านการจัดระบบคุ้มครอง ความปลอดภัย และ 1.4) ด้านการจัดหลักสูตรความปลอดภัย และ 2) องค์ประกอบของการจัดการเชิงพื้นที่ ได้แก่ 2.1) การมีส่วนร่วมของชุมชน 2.2) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ 2.3) การบรรลุผลประโยชน์ร่วมกัน 2.4) ทรัพยากรในพื้นที่ และ 2.5) คณะทำงานและการบริหารจัดการ 2. รูปแบบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) วัตถุประสงค์ 2) หลักการ 3) วิธีดำเนินการ 4) การประเมินผล และ 5) เงื่อนไขความสำเร็จ โดยมี 20 องค์ประกอบย่อย และ 60 วิธีดำเนินการ 3. ผลการประเมินรูปแบบการจัดการเชิงพื้นที่สถานศึกษาปลอดภัยจังหวัดนครราชสีมา พบว่า ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และความเป็นประโยชน์ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mgsj/article/view/275855
นิเวศวิถีที่ปรากฏในหนังสือเรียนวรรณคดีลำนำ ชั้นประถมศึกษาปี 1-6
2024-12-02T18:11:27+07:00
คณาวุฒิ อินทร์แป้น
pittawas002540@gmail.com
โสภี อุ่นทะยา
pittawas002540@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสารัตถะด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏในหนังสือเรียนวรรณคดีลำนำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 2) เพื่อศึกษากลวิธีการนำเสนอนิเวศวิถีที่ปรากฏในหนังสือเรียนวรรณคดีลำนำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 โดยใช้แนวคิดทฤษฎีวรรณกรรมวิจารณ์เชิงนิเวศ รวมถึงแนวคิดองค์ประกอบของวรรณคดีและแนวคิดกลวิธีทางภาษา มาใช้ในการวิเคราะห์สารัตถะด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกลวิธีการนำเสนอในหนังสือเรียนวรรณคดีลำนำ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาสารัตถะด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผ่านนิเวศวิถีเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏในหนังสือเรียนวรรณคดีลำนำ ระดับชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 1-6 ผลการศึกษาพบว่า สารัตถะด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมผ่านนิเวศวิถีมี 3 ประเภท ปรากฏมากที่สุดตามลำดับไปถึงปรากฏน้อยที่สุด ดังนี้ คือ ภูมินิเวศ ภูมิธรรมสื่อคำสอน และภูมิปัญญา วัฒนธรรมไทย ส่วนการศึกษากลวิธีการนำเสนอนิเวศวิถีในหนังสือเรียนวรรณคดีลำนำ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 พบว่าสารัตถะด้านธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีการใช้กลวิธีการนำเสนอนิเวศวิถีด้านองค์ประกอบของวรรณคดี ที่พบมากที่สุดตามลำดับคือ กลวิธีการนำเสนอผ่านแก่นเรื่อง ถัดมาคือ กลวิธีการนำเสนอผ่านสถานที่และฉาก กลวิธีการนำเสนอผ่านตัวละคร และสุดท้ายกลวิธีการนำเสนอผ่านทรรศนะ ส่วนกลวิธีการนำเสนอนิเวศวิถีด้านกลวิธีทางภาษามากที่สุดคือ การใช้ความเปรียบ การใช้คำถามเชิงวาทศิลปะ การเลือกใช้คำศัพท์ การใช้คำแสดงทัศนภาวะ การใช้โครงสร้างประโยคแบบต่าง ๆ และการกล่าวอ้าง</p> <p><strong> </strong></p>
2024-12-30T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย