มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj
<p><strong>เกี่ยวกับวารสารมังรายสาร</strong><br /><strong>วัตถุประสงค์</strong><br /> มังรายสาร เป็นวารสารวิชาการที่มุ่งเน้นการเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (Humanities and Social Sciences) ครอบคลุมสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้<br /> >> ศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ทั่วไป (General Arts and Humanities)<br /> >> ภาษาและภาษาศาสตร์ (Language and Linguistics)<br /> >> ศาสนศึกษา (Religious Studies)<br /> >> การศึกษา (Education)<br /> >> วัฒนธรรมศึกษา (Cultural Studies)<br /> >> และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง<br /> วารสารมีเป้าหมายในการเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานวิชาการสำหรับคณาจารย์ นักศึกษา นักวิจัย และนักวิชาการทั้งภายในและภายนอกสถาบัน เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาองค์ความรู้ในศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง</p> <p> </p> <p><strong>นโยบายการตีพิมพ์</strong><br /> 1. วารสารดำเนินการภายใต้ระบบการประเมินคุณภาพบทความแบบ Double-blind Peer Review โดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง จำนวน 3 ท่านต่อบทความ<br /> 2. กระบวนการพิจารณาบทความเป็นไปอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และปราศจากอคติ โดยข้อมูลของผู้นิพนธ์และผู้ประเมินจะถูกปกปิดเป็นความลับตลอดกระบวนการ<br /> 3. บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ต้องผ่านการตรวจสอบการคัดลอกผลงาน (Plagiarism) ด้วยโปรแกรมที่น่าเชื่อถือ</p> <p> </p> <p><strong>ประเภทของบทความ</strong><br />วารสารรับพิจารณาบทความ 2 ประเภท<br /> 1. บทความวิจัย (Research Article) <br /> 1.1 นำเสนอผลการวิจัยที่มีระเบียบวิธีวิจัยที่ชัดเจน<br /> 1.2 แสดงถึงองค์ความรู้ใหม่ในสาขาที่เกี่ยวข้อง<br /> 2. บทความวิชาการ (Academic Article) <br /> 2.1 นำเสนอแนวคิด ทฤษฎี หรือองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์<br /> 2.2 มีการวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ความรู้อย่างเป็นระบบ</p> <p> </p> <p><strong>กำหนดการตีพิมพ์</strong><br />วารสารกำหนดตีพิมพ์ปีละ 2 ฉบับ ดังนี้<br /> >> ฉบับที่ 1: มกราคม - มิถุนายน<br /> >> ฉบับที่ 2: กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p> </p> <p><strong>นโยบายการเข้าถึงและลิขสิทธิ์</strong><br /> 1. การเข้าถึงบทความ <br /> 1.1 วารสารเป็นวารสารแบบเปิด (Open Access Journal)<br /> 1.2 ผู้อ่านสามารถเข้าถึง อ่าน ดาวน์โหลด และพิมพ์บทความได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย<br /> 2. ความรับผิดชอบด้านเนื้อหา <br /> 2.1 เนื้อหา ข้อมูล และความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน<br /> 2.2 กองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความ</p> <p> </p> <p><strong>นโยบายการจัดทำ DOI</strong><br /> 1. ตั้งแต่ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2567) เป็นต้นไป กองบรรณาธิการจะดำเนินการขอรหัสทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัล หรือ ตัวระบุวัตถุดิจิทัล (Digital Object Identifier: DOI) ให้กับทุกบทความโดยอัตโนมัติ <br /> >> กรณีผู้เขียนไม่ประสงค์ขอรับรหัส DOI กรุณาแจ้งกองบรรณาธิการเป็นลายลักษณ์อักษร<br /> 2. สำหรับบทความที่ตีพิมพ์ก่อนปีที่ 12 ฉบับที่ 1 <br /> >> ผู้เขียนสามารถแจ้งความประสงค์ขอรับรหัส DOI สำหรับบทความได้โดยติดต่อกองบรรณาธิการโดยตรง</p> <p>รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขอ DOI สามารถศึกษาได้ที่ <a href="https://sites.google.com/crru.ac.th/mangraisaan-doi/home" target="_blank" rel="noopener">>> Click ที่นี่ <<</a></p> <p> </p> <p><strong>นโยบายค่าธรรมเนียม</strong><br /> วารสารไม่เก็บค่าธรรมเนียมในการพิจารณาและตีพิมพ์บทความ (No Article Processing Charge)</p>
สถาบันภาษาและกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
th-TH
มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
2672-9113
<p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารมังรายสาร ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p> </p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารมังรายสาร ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมังรายสาร หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากวารสารมังรายสารก่อนเท่านั้น</p>
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการเรียนของนักศึกษาต่างชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/277828
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุข และศึกษาความต้องการความสุขในการเรียนของนักศึกษาต่างชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาต่างชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร ระดับปริญญาตรี จำนวน 55 คน เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถาม และการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา จากผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุขในการเรียนของนักศึกษาต่างชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร โดยปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ปัจจัยด้านสถานศึกษา (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&space;" alt="equation" /> = 4.08, σ = 0.81) ซึ่งประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ผู้สอนกับนักศึกษา ปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยรองลงมา คือ ปัจจัยด้านส่วนตัว (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&space;" alt="equation" /> = 3.89, σ = 0.77) ซึ่งประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ความสัมพันธ์กับเพื่อน และปัจจัยด้านครอบครัว (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\mu&space;" alt="equation" /> = 3.89, σ = 0.96) ซึ่งประเด็นที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว 2) ความต้องการความสุขในการเรียนของนักศึกษาต่างชาติ คือ การเอาใจใส่ดูแลความเป็นอยู่ของนักศึกษาอยู่เสมอจากผู้ปกครอง การได้รับกำลังใจจากสมาชิกในครอบครัว การติดตามผลการเรียนและให้คำปรึกษา อาจารย์ที่ปรึกษาให้โอกาสในการเข้าพบอย่างสม่ำเสมอเป็นกันเอง และอาจารย์ผู้สอนมีทัศนคติที่ดีต่อนักศึกษาทุกคนของอาจารย์ที่ปรึกษาและนักศึกษามีความรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานที่ได้นำเสนอและได้รับการยกย่อง การปรับตัวและการหาทางออกได้เมื่อเจอปัญหา</p>
ชฎาพร โชติรดาภาณ์
สุวิทย์ วงษ์บุญมาก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
13 1
1
20
-
กลวิธีทางภาษาเพื่อการเสียดสีที่ใช้นำเสนอนิเวศสำนึก ในรวมเรื่องสั้น “รางวัลจากป่า” ของณัฐวัฒน์ อุทธังกร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/278079
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีทางภาษาเพื่อการเสียดสีที่ใช้นำเสนอนิเวศสำนึก ในหนังสือรวมเรื่องสั้น “รางวัลจากป่า” ของณัฐวัฒน์ อุทธังกร จากเรื่องสั้นจำนวน 12 เรื่องที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลการศึกษาพบว่า ผู้เขียนใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการเสียดสีวิพากษ์วิจารณ์ความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์ที่เป็นสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อมและการทำลายธรรมชาติในสังคมไทย โดยปรากฏกลวิธีทางภาษาเพื่อการเสียดสีจำนวน 5 กลวิธี ได้แก่ กลวิธีการใช้คำกล่าวประชด กลวิธีการล้อเลียน กลวิธีการเปรียบเทียบ กลวิธีการใช้ถ้อยคำเหน็บแนม และกลวิธีการใช้คำถามเชิงวาทศิลป์ กลวิธีเหล่านี้ล้วนเป็นกลวิธีที่กระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดการตั้งคำถามและพิจารณาถึงบทบาทของมนุษย์ต่อธรรมชาติอันนำไปสู่การสร้างจิตสำนึกเชิงนิเวศ</p>
ดวงกมล จันทร์ศิริ
พิลาสิณี อินทร์พยุง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
13 1
21
36
-
สถานภาพงานวิจัยด้านสุภาษิตไทยในสาธารณรัฐประชาชนจีน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/278130
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลเบื้องต้นและวิเคราะห์ประเด็นการศึกษาของงานวิจัยเกี่ยวกับสุภาษิตไทยที่เผยแพร่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่า ว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2545 ถึง พ.ศ. 2567 มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุภาษิตไทยจำนวนทั้งสิ้น 55 เรื่อง โดยปีที่มีการตีพิมพ์มากที่สุดคือ พ.ศ. 2559 งานวิจัยดังกล่าวมาจากสถาบันการศึกษา 24 แห่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยไป๋เซ่อเป็นสถาบันที่มีผลงานวิจัยด้านนี้มากที่สุด แนวทางการศึกษาสามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ 1) งานวิจัยเชิงเปรียบเทียบ 2) งานวิจัยที่มุ่งเน้นการศึกษาสุภาษิตไทยโดยเฉพาะ จากการวิเคราะห์เนื้อหาของงานวิจัย พบว่า ประเด็นหลักในการศึกษา ได้แก่ 1) การเปรียบเทียบลักษณะทางภาษา 2) การศึกษาความหมายแฝงทางวัฒนธรรมและสัญลักษณ์ 3) การวิเคราะห์ภาพพจน์ในสุภาษิตไทย 4) การศึกษาวิธีการเรียนการสอนและการแปลสุภาษิตไทย</p>
Na Wei
ณรงค์กรรณ รอดทรัพย์
ธนพล เอกพจน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
13 1
37
53
-
การสร้างความหมายใหม่ของความกตัญญูกตเวทีในมุมมองของคนวัยเริ่มทำงาน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/278471
<p>งานวิจัยนี้ศึกษาเกี่ยวกับความหมายของความกตัญญูกตเวทีในมุมมองของคนวัยเริ่มทำงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสร้างความหมายใหม่ของความกตัญญูกตเวที การแสดงออกที่เปลี่ยนไป และวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 8 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า คนวัยเริ่มทำงานยังคงให้ความสำคัญกับความกตัญญูกตเวที แต่มีการสร้างความหมายใหม่โดยเน้นการดูแลเอาใจใส่ด้านจิตใจและการใช้เวลาร่วมกันมากกว่าการตอบแทนด้วยวัตถุ รูปแบบการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีจึงมีความหลากหลายและยืดหยุ่นมากขึ้น ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงความหมายและการแสดงออก ได้แก่ การอบรมเลี้ยงดูจากครอบครัว สถานะทางเศรษฐกิจและอาชีพ การเปลี่ยนสถานะจากลูกเป็นเป็นพ่อแม่ และเหตุการณ์สำคัญในชีวิต การศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มวัยเริ่มทำงานได้ปรับกรอบความหมายของความกตัญญูกตเวทีให้สอดคล้องกับชีวิตสมัยใหม่ ที่เน้นความสัมพันธ์ทางใจ การใช้เวลาร่วมกันและความยืดหยุ่นในการแสดงออก โดยความกตัญญูกตเวทีไม่ได้ถูกลดความสำคัญลง แต่ได้ถูกตีความใหม่ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตในสังคมสมัยใหม่</p>
ขวัญชนก แก้วแสงทอง
สุรยุทธ ทองคำ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
13 1
54
67
-
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาของนักศึกษาระดับปริญญาตรีจากการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานและการจัดการเรียนรู้แบบปรากฏการณ์เป็นฐาน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/278476
<div>ในบริบทของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา การเลือกใช้นวัตกรรมการเรียนรู้นับเป็นปัจจัยสำคัญต่อการส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักศึกษา การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาก่อนเรียนและหลังเรียนของนักศึกษาจากการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานและแบบปรากฏการณ์เป็นฐาน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนของนักศึกษาจากการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานและแบบปรากฏการณ์เป็นฐานกับ เกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาหลังเรียนของนักศึกษาระหว่างการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานและแบบปรากฏการณ์เป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 จำนวน 57 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐาน มีค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.56 แผนการจัดการเรียนรู้แบบปรากฏการณ์เป็นฐาน มีค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.51 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ค่าความเชื่อมั่น KR-20 = 0.89) และแบบวัดทักษะการแก้ปัญหา (ค่าความเชื่อมั่น KR-20 = 0.94) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบค่าที</div> <div>ผลการวิจัยพบว่า 1) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคะแนนทักษะการแก้ปัญหาของนักศึกษาหลังการเรียนมีค่ามากกว่าก่อนเรียน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานและแบบปรากฏการณ์เป็นฐานสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และ 3) ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ระหว่างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาหลังเรียนที่ใช้การจัดการเรียนรู้แบบปัญหาเป็นฐานและแบบปรากฏการณ์เป็นฐาน</div>
วาสนา กีรติจำเริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
13 1
68
82
-
การพัฒนานวัตกรรมส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับนักเรียนที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดเชียงราย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/270332
<p>การพัฒนานวัตกรรมส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร สำหรับนักเรียนที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อพัฒนานวัตกรรมส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับนักเรียน ที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดเชียงราย 2) เพื่อทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านและการเขียนภาษาไทย ของนักเรียนที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดเชียงราย และ3) เพื่อวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้นวัตกรรมส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับนักเรียนที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยมีวิธีการวิจัยโดยวิเคราะห์ รวบรวมข้อมูล ออกแบบและพัฒนานวัตกรรมฯ โดยสำรวจปัญหาจากครูผู้สอนควบคู่กับการวิเคราะห์ผลการทดสอบระดับชาติ (O-NET) จำนวน 11 โรงเรียน ทดลองใช้นวัตกรรมฯ เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรม และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน วิเคราะห์ประสิทธิภาพของนวัตกรรมฯ และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 จากนั้นประเมินผลการใช้นวัตกรรมฯ และส่งมอบให้แก่โรงเรียนกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 11 โรงเรียน<br />ผลการวิจัยแบ่งเป็น 3 ประเด็น พบว่า 1) ประสิทธิภาพของนวัตกรรมส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับนักเรียนที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดเชียงราย มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนด 2) คะแนนวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านและการเขียนภาษาไทย ของนักเรียนที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดเชียงราย มีคะแนนเฉลี่ยเกิน 15 คะแนน จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน และ 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้นวัตกรรมส่งเสริมทักษะการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารสำหรับนักเรียนที่มีความหลากหลายทางพหุวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่ 1-3 ในจังหวัดเชียงราย อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
ปฏิพันธ์ อุทยานุกูล
บุษราคัม ยอดชะลูด
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-06-30
2025-06-30
13 1
83
106