มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj <p><strong>เกี่ยวกับวารสาร</strong></p> <p> “<strong>มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สถาบันภาษาและกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย</strong>” จัดทำขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่บทความวิจัย และบทความวิชาการ ทางด้าน Social Sciences แยกเป็นสาขาย่อย ได้แก่ General Arts and Humanities, Language and Linguistics, Religious studies, Education, Cultural Studies และสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง มีวาระการออกปีละ 2 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 (ประจำเดือนมกราคม - มิถุนายน) และฉบับที่ 2 (ประจำเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม) ซึ่งได้จัดทำเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มจัดทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ทั้งนี้บทความที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารฉบับนี้ ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ประเมินที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับบทความ (Peer Review) จำนวน 3 คน โดยข้อมูลของผู้ประเมินและผู้เขียน(ผู้นิพนธ์) จะไม่ถูกเปิดเผย (Double-blind Peer review)</p> <p> </p> <p><strong>ISSN</strong> (Print) : 2672-9113</p> <p><strong>ISSN</strong> (Online) : 2673-0170</p> <p> </p> <p>ภาษาที่พิมพ์ : ภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ</p> <p>กำหนดออกปีละ 2 ฉบับ (มกราคม - มิถุนายน และ กรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p> </p> <p>*** หมายเหตุ ***</p> <p>- ทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความที่ปรากฏในวารสารฯ ฉบับนี้เป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน ไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารฯ</p> <p>- ไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</p> <p> </p> <p><strong>ประกาศ</strong><br /> การเผยแพร่บทความผ่านระบบออนไลน์ (เว็บไซต์วารสาร) <strong>ตั้งแต่ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม - มิถุนายน 2567</strong> เป็นต้นไป กองบรรณาธิการจะดำเนินการขอรหัสทรัพยากรสารสนเทศดิจิทัล หรือ ตัวระบุวัตถุดิจิทัล (Digital Object Identifier : DOI) ให้กับทุกบทความ กรณีผู้เขียนไม่ต้องการรหัส DOI สำหรับบทความกรุณาแจ้งกองบรรณาธิการเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจน</p> <p> ในส่วนของบทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านระบบออนไลน์ (เว็บไซต์วารสาร) <strong>ก่อนปีที่ 12 ฉบับที่ 1</strong> ผู้เขียนที่มีความประสงค์ขอรับรหัส DOI สำหรับบทความ โปรดแจ้งต่อแจ้งกองบรรณาธิการมังรายสาร</p> <p> ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม <a href="https://sites.google.com/crru.ac.th/mangraisaan-doi/home" target="_blank" rel="noopener">&gt;&gt; Click ที่นี่ &lt;&lt;</a></p> th-TH <p>เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสารมังรายสาร ถือเป็นข้อคิดเห็นและความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสาร ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใดๆ</p> <p>&nbsp;</p> <p>บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารมังรายสาร ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารมังรายสาร หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อเพื่อกระทำการใดๆ จะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักอักษรณ์จากวารสารมังรายสารก่อนเท่านั้น</p> mangraisaan@crru.ac.th (อาจารย์ ดร.อดิสรณ์ ประทุมถิ่น (Dr. Adisorn Prathoomthin)) mangraisaan@crru.ac.th (นายณรงค์ศักดิ์ เทพมา (Mr.Narongsak Thepma)) Mon, 09 Dec 2024 15:16:29 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การศึกษากระบวนการการฝึกซ้อมของวงนนทรี ออร์เคสตรา วินด์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273121 <p>การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการการฝึกซ้อม ของวงนนทรี ออร์เคสตรา วินด์ ใน 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1) ด้านการวางแผน และเตรียมความพร้อมในการฝึกซ้อม 2) ด้านวิธีการฝึกซ้อมการบรรเลง และ 3) ด้านปัญหาอุปสรรค และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการฝึกซ้อม จากกลุ่มเป้าหมายของการวิจัย 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มผู้อำนวยเพลง และ 2) กลุ่มนักดนตรีศิษย์เก่าหัวหน้ากลุ่มเครื่องลมไม้หัวหน้ากลุ่มเครื่องลม ทองเหลือง และหัวหน้ากลุ่มเครื่องกระทบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านการวางแผน และการเตรียมความพร้อมในการฝึกซ้อม พบว่า มีกระบวนการมุ่งเน้นการทำงานเป็นทีม เพื่อการวางแผนการจัดตารางการฝึกซ้อมให้สอดคล้อง ตามบริบทของนักดนตรีที่มีศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันบรรเลงร่วมกันในวง 2) ด้านกระบวนการฝึกซ้อมบรรเลง พบว่า ภาพรวมในการฝึกซ้อมของวง ผู้อำนวยเพลงมีการปลูกฝังแนวคิดในการบรรเลงให้มีทิศทางเดียวกัน สอดคล้องกับในด้านของการฝึกซ้อมกลุ่มย่อย ที่ศิษย์เก่ามีการนัดหมายฝึกซ้อมก่อนรวมวง โดยทำการฝึกซ้อมร่วมกับศิษย์ปัจจุบัน ใช้กระบวนการแบบพี่สอนน้อง เพื่อช่วยในการสอนวิธีการบรรเลงกลุ่มให้มีประสิทธิภาพ ไปสู่กระบวนการฝึกซ้อมรวมวงที่มีประสิทธิภาพ 3) ปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการฝึกซ้อม พบว่า มีปัญหาหลักในเรื่องเวลาในการซ้อมที่ไม่ตรงกัน ด้านแนวทางการแก้ปัญหา คือ จัดตารางการฝึกซ้อมในช่วงเวลาหลังเลิกงานประจำในวันจันทร์-ศุกร์และวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อให้สมาชิกสามารถเดินทางมาฝึกซ้อมได้อย่างพร้อมเพรียงกัน</p> กฤตบุญ สวัสดิสุข, ศรัณย์ นักรบ Copyright (c) 2024 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273121 Mon, 09 Dec 2024 00:00:00 +0700 “วิญญาณที่ถูกเนรเทศ”: การโหยหาอดีตและความทรงจำในวรรณกรรม ของวิมล ไทรนิ่มนวล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273469 <p>บทความวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลวิธีการนำเสนอการโหยหาอดีตและความทรงจำ และศึกษาลักษณะของตัวละครที่อยู่ในสภาวะการโหยหาอดีตในวรรณกรรมเรื่องวิญญาณที่ถูกเนรเทศ ของวิมล ไทรนิ่มนวล โดยใช้แนวคิดการโหยหาอดีตและความทรงจำมาเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ ผลการศึกษาพบว่า นักเขียนใช้กลวิธีการนำเสนอการโหยหาอดีตและความทรงจำ ซึ่งจำแนกได้ 4 ประเภท ได้แก่ 1) จากการโหยหาผ่านช่วงเวลา/ฤดูกาล 2) การโหยหาผ่านสถานที่/พื้นที่ 3) การโหยหาผ่านธรรมชาติ และ 4) การโหยหาผ่านวิถีชีวิตและวัฒนธรรม โดยการสร้างความทรงจำในอดีตนั้น เพื่อเติมเต็มความสุขให้ตัวละครในฐานะปัจเจกบุคคลที่ต้องดำเนินชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุข ส่วนลักษณะของตัวละครที่เป็นผู้โหยหาอดีตถูกนำเสนอผ่านการผลิตซ้ำความทุกข์ทรมานจากความแปลกแยกกับสภาพสังคมที่ไม่คุ้นชิน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากกระแสการพัฒนา จำแนกได้ 6 ประเภท ได้แก่ 1) การจากถิ่นฐานบ้านเกิด 2) ความรู้สึกแปลกแยกกับสังคมใหม่ 3) การโหยหาอดีตในสังคมที่จากมา 4) การกลับคืนถิ่นฐานบ้านเกิด 5) ความรู้สึกแปลกแยกกับสังคมบ้านเกิดที่เปลี่ยนแปลง และ 6) การโหยหาอดีตก่อนที่จะเปลี่ยนแปลง</p> รัตนาวดี ปาแปง, ปฐมพงษ์ สุขเล็ก Copyright (c) 2024 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273469 Mon, 09 Dec 2024 00:00:00 +0700 อิทธิพลของภาษาไทยที่มีต่อภาษาไทเขินถิ่นเชียงตุง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและภาษาไทเขินถิ่นเชียงใหม่ ประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273831 <p>บทความวิจัยเรื่องอิทธิพลของภาษาไทยที่มีต่อภาษาไทเขินถิ่นเชียงตุง สาธารณรัฐแห่งสหภาพ เมียนมาและภาษาไทเขินถิ่นเชียงใหม่ ประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลของระบบเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทยที่มีต่อระบบเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทเขินถิ่นเชียงตุง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และภาษาไทเขินถิ่นเชียงใหม่ ประเทศไทย และ 2) ศึกษาอิทธิพลของคำศัพท์ภาษาไทยที่มีต่อคำศัพท์ภาษาไทเขินถิ่นเชียงตุง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและภาษาไทเขินถิ่นเชียงใหม่ ประเทศไทย ผลการศึกษาอิทธิพลของระบบเสียงวรรณยุกต์พบว่าหน่วยเสียงวรรณยุกต์ภาษาไทเขินทั้ง 2 ถิ่นมีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ 5 หน่วยเสียงเท่ากัน มีการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์เป็น 3 ทาง (Three ways split) เหมือนกัน และมีการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ในแนวตั้งตรงกัน แสดงให้เห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์ไทเขินยังคงอัตลักษณ์หน่วยเสียงวรรณยุกต์ตัวเองไว้ได้เป็นอย่างดี ด้านอิทธิพลของคำศัพท์พบว่าทั้งภาษาไทเขินทั้ง 2 ถิ่นได้รับอิทธิพลจากภาษาไทย โดยภาษาไทยมาตรฐานมีอิทธิพลต่อทั้งภาษาไทเขินถิ่นเชียงตุงและภาษาไทเขินถิ่นเชียงใหม่ ส่วนภาษาไทย ถิ่นเหนือมีอิทธิพลต่อภาษาไทเขินถิ่นเชียงใหม่เท่านั้น</p> อรพัช บวรรักษา, วิราพร หงษ์เวียงจันทร์, เนมิ อุนากรสวัสดิ์ Copyright (c) 2024 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273831 Mon, 09 Dec 2024 00:00:00 +0700 การยืมคำอันเนื่องมาจากการสัมผัสภาษาของผู้พูดภาษาไทใหญ่ในชุมชนบ้านเวียงหวาย ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273725 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการยืมคำอันเนื่องมาจากการสัมผัสภาษาของผู้พูดภาษาไทใหญ่ในชุมชนบ้านเวียงหวาย ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยเก็บข้อมูลจากผู้พูดภาษาไทใหญ่ 3 ระดับอายุ ได้แก่ ผู้พูดภาษาไทใหญ่ที่มีอายุ 20 - 25 ปี จำนวน 5 คน ผู้พูดภาษาไทใหญ่ ที่มีอายุ 40 - 45 ปี จำนวน 5 คน และผู้พูดภาษาไทใหญ่ที่มีอายุ 60 - 65 ปี จำนวน 5 คน รวมทั้งหมด 15 คน ทั้งนี้ได้ใช้เครื่องมือคือตารางชุดคำศัพท์และการสัมภาษณ์ในการเก็บข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลคำศัพท์ที่ผู้บอกภาษาใช้ในชีวิตประจำวัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้พูดภาษาไทใหญ่ในชุมชนบ้านเวียงหวาย ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากจะใช้คำศัพท์ภาษาไทใหญ่ในการสื่อสารแล้ว ยังยืมคำศัพท์จากภาษาไทยเหนือและภาษาไทยมาตรฐานมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย สำหรับการยืมคำอันเนื่องมาจากการสัมผัสภาษาของผู้พูดภาษาไทใหญ่ในพื้นที่นี้ แบ่งได้เป็น 3 รูปแบบ คือ การยืมแบบทับศัพท์ การยืมแบบปนภาษา และการยืม แบบผสม ซึ่งปรากฏทั้งในคำมูล คำผสาน และคำผสม ลักษณะการยืมคำศัพท์เหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงการสัมผัสภาษาอันเป็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงการใช้คำศัพท์ในกลุ่มผู้พูดภาษาไทใหญ่ทั้ง 3 ระดับอายุ ทั้งนี้การวิจัยนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในสังคมไทย รวมถึงยังอาจเป็นประโยชน์ต่อชุมชนไทใหญ่ที่จะวางนโยบายในการอนุรักษ์ภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์ของตนไว้ให้คงอยู่ต่อไป</p> วรรณวนัช อรุณฤกษ์ Copyright (c) 2024 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273725 Mon, 09 Dec 2024 00:00:00 +0700 เวียงเจ็ดลิน: การพลิกฟื้นประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมด้วยการพัฒนาทุนทางวัฒนธรรม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273427 <p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์เวียงเจ็ดลินและทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่ และหาแนวทางพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมในพื้นที่เวียงเจ็ดลินเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่สังคมโดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสำรวจภาคสนาม และการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลจำนวน 5 คนที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก การจดบันทึก และการบันทึกภาพเป็นเครื่องมือวิจัย ผลการศึกษาพบว่า เวียงเจ็ดลินเป็นเวียงโบราณที่มีสัณฐานเป็นวงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 900 เมตร ประวัติศาสตร์ของเวียงเจ็ดลินปรากฏอยู่ 2 ยุค คือยุคตำนานและยุคประวัติศาสตร์ ในปัจจุบันนี้ พื้นที่เวียงเจ็ดลินถูกแบ่งแยกและครอบครองโดยหน่วยงานต่างๆ 3 แห่ง ได้แก่ สำนักงานปศุสัตว์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และสวนรุกขชาติห้วยแก้ว ทุนทางวัฒนธรรมที่ปรากฏหลงเหลือในพื้นที่ทั้ง 3 นั้นประกอบด้วย 1) ตาน้ำศักดิ์สิทธิ์ 2) หลักฐานทางโบราณคดี เช่น คูน้ำคันดิน กำแพงเมือง และ 3) พืชพรรณและระบบนิเวศ</p> <p>คณะนักวิจัยได้นำเอาทุนทางวัฒนธรรมดังกล่าวมาพัฒนาเพื่อสร้างการรับรู้ให้แก่สังคมวงกว้าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่พื้นที่ด้วยวิธีการออกแบบและการใช้เส้นเรื่องเป็นตัวขับเคลื่อน โดยมีแนวทางการพัฒนา 3 แนวทางด้วยกัน ได้แก่ 1) การออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์เวียงเจ็ดลิน 2) การออกแบบศาลาตาน้ำเวียงเจ็ดลินเพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์ และ 3) การออกแบบผลิตภัณฑ์ของใช้ ของที่ระลึก เพื่อจำหน่ายในร้านจำหน่ายสินค้าของสำนักงานปศุสัตว์เชียงใหม่ ทั้งนี้ การดำเนินการวิจัยได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเวียงเจ็ดลิน เช่น สำนักงานปศุสัตว์เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เพื่อที่จะร่วมขับเคลื่อนให้ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง</p> ธิตินัดดา จินาจันทร์, สันต์ สุวัจฉราภินันท์, วรงค์ วงศ์ลังกา, ฐิตาภัทร์ โสมจำรูญ, บัณฑิต ยศมีบุญ, วราพล สุริยา Copyright (c) 2024 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273427 Mon, 09 Dec 2024 00:00:00 +0700 กระบวนการจัดการเรียนรู้ S.M.A.R.T. Model เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้ด้วยการกำกับตนเองของนิสิตระดับอุดมศึกษาในห้องเรียนอัจฉริยะ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273799 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ S.M.A.R.T. model และ 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของกระบวนการจัดการเรียนรู้ S.M.A.R.T. model ในห้องเรียนอัจฉริยะ กลุ่มเป้าหมายคือนิสิตระดับปริญญาตรี ที่ลงเรียนรายวิชาเลือกเสรี สสน 02 ออกแบบความรัก จำนวน 60 คน โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย กระบวนการจัดการเรียนรู้ S.M.A.R.T. model ในห้องเรียนอัจฉริยะ และแบบสอบถามความสามารถในการเรียนรู้ด้วยการกำกับตนเองในห้องเรียนอัจฉริยะ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (𝑥̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบทีแบบไม่เป็นอิสระจากกัน (t-test for dependent) และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า 1) กระบวนการจัดการเรียนรู้ S.M.A.R.T. model ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ การกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน (S: Stimulation) การสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ (M: Motivation) การเรียนรู้เชิงรุก (A: Active learning) การนำเสนอ (R: Report) และ การถ่ายโยงการเรียนรู้ (T: Transfer of learning) โดยผลจากการวิจัยพบว่ากระบวนการจัดการเรียนรู้ด้วยการกำกับตนเอง S.M.A.R.T. model มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.70/83.86 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ และ 2) หลังกระบวนการจัดการเรียนรู้ S.M.A.R.T. model ในห้องเรียนอัจฉริยะ พบว่ากลุ่มเป้าหมายมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยการกำกับตนเองในห้องเรียนอัจฉริยะ สูงกว่า ก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> สิริรัตน์ จรรยารัตน์, มาลินี ลีโทชวลิต, ศักดิพงศ์ พันธ์ไผ่, ทิพวรรณ เดชสงค์ Copyright (c) 2024 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273799 Mon, 09 Dec 2024 00:00:00 +0700 กลวิธีการใช้ภาษาภาพพจน์ที่ปรากฏในคำปราศรัย ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/274157 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กลวิธีการใช้ภาษาภาพพจน์ที่ปรากฏในคำปราศรัย ของ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง โดยศึกษาจากคำปราศรัยในโอกาสสำคัญต่าง ๆ ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทย จำนวน 1 เล่ม ได้แก่ เรื่อง ความคิดและวาทะสี จิ้นผิง สำนักพิมพ์แสงดาว ปีที่พิมพ์ 2558 โดยคัดเลือกคำปราศรัยในช่วงปี พ.ศ. 2555-2557 จำนวน 79 คำปราศรัย ที่มีการใช้ภาพพจน์ชัดเจนและเป็นคำปราศรัยในโอกาสสำคัญระดับประเทศและระหว่างประเทศ การวิจัยนี้ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงคุณภาพ (Qualitative Content Analysis) ผ่านการจำแนกประเภท วิเคราะห์ความหมาย และตีความการใช้ภาพพจน์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คำปราศรัยของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง มีการใช้ภาพพจน์ 4 ประเภทหลัก ได้แก่ 1) อุปมา ที่เปรียบเทียบแนวคิดนามธรรมกับสิ่งที่เป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การเปรียบสันติภาพ กับอากาศและแสงแดด 2) อุปลักษณ์ ที่แสดงถึงพลังและความรุนแรงของการเปลี่ยนแปลง เช่น การเปรียบกระแสโลกกับพายุ 3) บุคลาธิษฐาน ที่ให้คุณลักษณะของสิ่งมีชีวิตแก่สิ่งที่เป็นนามธรรม เช่น การเปรียบสงครามเป็นปีศาจและฝันร้าย และ 4) สัญลักษณ์ ที่ใช้อธิบายอัตลักษณ์และจุดยืนของประเทศ เช่น การใช้ DNA และสายเลือดเป็นสัญลักษณ์แทนรากเหง้าของประชาชาติจีน</p> <p>การใช้ภาพพจน์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นกลยุทธ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการถ่ายทอดแนวคิดและนโยบายที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่าย รวมทั้งสะท้อนวิสัยทัศน์และนโยบายสำคัญของจีนในด้านการพัฒนาประเทศ การรักษาสันติภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการสื่อสารทางการเมือง การเรียนการสอนด้านภาษาและการสื่อสาร และการวิเคราะห์นโยบายต่างประเทศ</p> Liu Bo, ขนิษฐา ใจมโน , บุญเหลือ ใจมโน, Truong Thi Hang Copyright (c) 2024 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/274157 Tue, 17 Dec 2024 00:00:00 +0700 พหุวัฒนธรรมทางศาสนา: ความเป็นผี-พราหมณ์-พุทธ ที่ปรากฏในหนังสือเรียนรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273156 <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพหุวัฒนธรรมทางศาสนาที่ปรากฏในหนังสือเรียนรายวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – มัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 21 เล่ม โดยศึกษาเฉพาะเนื้อหาที่เป็นบทร้อยกรอง ด้วยกรอบแนวคิดพหุวัฒนธรรมทางศาสนา ผลการศึกษาพบสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อเรื่องผี (ความเชื่อดั้งเดิม) ความเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และความเป็นพระพุทธศาสนา โดยความเชื่อเรื่องผี (ความเชื่อดั้งเดิม) ประกอบไปด้วย ภูต ผี ปีศาจ ความเชื่ออำนาจศักดิ์สิทธิ์ในธรรมชาติทั้งดีและร้าย มิ่ง-ขวัญ และเครื่องรางของขลัง ความเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประกอบด้วย พระผู้เป็นเจ้าและเทพ สาวก หลักคำสอนและความเชื่อ พิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์ ส่วนความเป็นพระพุทธศาสนา ประกอบไปด้วย ศาสดา พระสาวก หลักธรรมคำสอนและความเชื่อ ศาสนพิธี ศาสนสถานและศาสนวัตถุ</p> ธนพล สกลสุนทรเทพา สุดายงค์, ณัฐกฤตา นามมนตรี Copyright (c) 2024 มังรายสาร วารสารมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/mrsj/article/view/273156 Mon, 09 Dec 2024 00:00:00 +0700