วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj
<p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือน กันยายน – ธันวาคม) รับพิจารณาบทความในด้านบริหารธุรกิจ การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และนิติศาสาตร์ "}" data-sheets-userformat="{"2":513,"3":{"1":0},"12":0}"> วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกปีละ 4 ฉบับ เริ่ม ฉบับที่ 1 ปีที่ 12 พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป (ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – มีนาคม ฉบับที่ 2 ประจำเดือน เมษายน - มิถุนายน ฉบับที่ 3 ประจำเดือน กรกฎาคม - กันยายน และฉบับที่ 4 ประจำเดือน ตุลาคม - ธันวาคม) เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ ในด้านบริหารธุรกิจ การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และนิติศาสตร์<br /> บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)<br /></span></p>
มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
th-TH
วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1906-7267
-
การศึกษากรอบความคิด และมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนทางคณิตศาสตร์ เกี่ยวกับพีชคณิตและเรขาคณิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/272875
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษากรอบความคิดและมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับพีชคณิตและเรขาคณิต (2) เปรียบเทียบมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนทางคณิตศาสตร์เกี่ยวกับพีชคณิต และเรขาคณิต จำแนกตามกลุ่มกรอบความคิด (3) ศึกษาแนวทางการพัฒนากรอบความคิดและมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนทางคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/6 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสารคามพิทยาคม จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบมโนทัศน์คลาดเคลื่อนทางคณิตศาสตร์ แบบบันทึกการสังเกตกรอบความคิด แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์งานเขียน และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) นักเรียนอยู่ในกลุ่มกรอบความคิดแบบผสมมากที่สุด และผลการวิเคราะห์มโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อน พบว่า นักเรียนมีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนที่สูงที่สุดด้านข้อผิดพลาดในเทคนิคการทำ(2) กลุ่มกรอบความคิดแบบเติบโต มีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านข้อผิดพลาดในเทคนิคการทำมากที่สุดกลุ่มกรอบความคิดแบบผสม มีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านข้อผิดพลาดในเทคนิคการทำมากที่สุด และกลุ่มกรอบความคิดแบบจำกัด มีมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนด้านไม่ทราบวิธีการแก้ปัญหามากที่สุด (3) แนวทางพัฒนากรอบความคิด ครูควรแสดงความชื่นชมต่อนักเรียนอย่างเหมาะสมด้วยการให้คุณค่ากับกระบวนการและความพยายามในการเรียนรู้ เพื่อสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการสร้างกรอบความคิดแบบเติบโตแนวทางการแก้ไขปัญหาการเกิดมโนทัศนที่คลาดเคลื่อน ควรให้นักเรียนเกิดความเข้าใจในกระบวนการแก้ปัญหา ดังนั้นสามารถนำแนวทางนี้ไปพัฒนากรอบความคิดของนักเรียน และลดการเกิดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนของนักเรียนได้</p>
เกษมณี ศรีชมชื่น
นวพล นนทภา
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-17
2025-01-17
15 1
1
17
-
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและการเลือกใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดขอนแก่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/272630
<p>บทความวิจัยเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและการเลือกใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 4E ที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดขอนแก่น ทำการเก็บข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จากแบบสอบถามผู้เข้าใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ ในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดขอนแก่น จำนวน 400 คน หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้ มาทำการวิเคราะห์หาค่าความสัมพันธ์ โดยใช้สถิติการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 4E ทั้งสี่ด้าน ได้แก่ ด้านประสบการณ์ที่น่าจดจำ (Experience) ด้านความคุ้มค่าที่สัมผัสได้ (Exchange) ด้านการเข้าถึงที่ไร้ขอบเขต (Everywhere) และด้านความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน (Evangelism) มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการฟิตเนสเซ็นเตอร์ ในเขตเทศบาลเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งมีอิทธิผลอยู่ในระดับปานกลางและมีค่าความสัมพันธ์อยู่ที่ 0.401 และมีทิศทางเดียวกัน ทำให้สามารถเรียงค่าเฉลี่ยหรือค่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรจากมากไปน้อย จึงทำให้สามารถนำผลการวิจัยในครั้งนี้มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการกำหนดแนวทางการตลาดของธุรกิจฟิตเนสเซ็นเตอร์ได้ เพื่อส่งเสริมการตัดสินใจใช้บริการ และเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งค่าความสัมพันธ์ด้านความคุ้มค่าที่สัมผัสได้ (Exchange) มีค่าความสัมพันธ์มากที่สุด</p>
ธนภัทร แดงบุดดา
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-17
2025-01-17
15 1
18
30
-
การบริหารการจัดการระบบสาธารณสุขแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำเขตกรุงเทพมหานคร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/275202
<p>การศึกษาวิจัย เรื่องการบริหารการจัดการระบบสาธารณสุขแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพถึงปัญหาและอุปสรรคการเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบถึงข้อกำหนด เนลสันแมนเดลลา การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังควบคู่ไปกับหลักการบริหารเรือนจำที่เหมาะสมในเรือนจำเขตกรุงเทพมหานคร และ 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาจัดการระบบบริการสาธารณสุขให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำเขตกรุงเทพมหานคร โดยการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การค้นคว้าเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลการศึกษาวิจัย เรื่อง การบริหารการจัดการระบบสาธารณสุขแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า 1) สภาพปัญหาและอุปสรรคการเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำเขตกรุงเทพมหานคร มี 6 ประเด็น ได้แก่ (1) การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ (2) ด้านบุคลากรขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับเวชปฏิบัติเบื้องต้น (3) ปัจจัยอื่นที่มีผลต่อการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ (4) การขาดแคลนงบประมาณ (5) ขาดแคลนอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ ยาและเวชภัณฑ์ (6) ด้านทัศนคติและสภาพแวดล้อมและกิจวัตรในเรือนจำ 2) การวิเคราะห์เปรียบเทียบถึงข้อกำหนด เนลสันแมนเดลลาการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังควบคู่ไปกับหลักการบริหารเรือนจำที่เหมาะสมในเรือนจำ พบว่า มี 2 ประเด็นที่ต่างกัน ได้แก่ (1) ด้านมาตรฐานข้อกำหนดเนลสันแมนเดลลาระหว่างการบริหารเรือนจำ และ (2) ด้านมาตรฐานข้อกำหนดเนลสันแมนเดลลาระหว่างมาตรฐานสุขอนามัยในเรือนจำ และ 3) ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาจัดการระบบบริการสาธารณสุขให้แก่ผู้ต้องขังในเรือนจำ พบว่า มี 5 ประเด็น ได้แก่ (1) เพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ (2) เพิ่มด้านยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ (3) การพัฒนา องค์ความรู้ของเจ้าหน้าที่สถานพยาบาล (4) การเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข และ (5) เพิ่มด้านงบประมาณ</p>
วีรชัย สุขพ่วง
นวภัทร ณรงค์ศักดิ์
อารณีย์ วิวัฒนาภรณ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-17
2025-01-17
15 1
31
43
-
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/273599
<p>การวิจัยนี้มีจุดประสงค์หลักเพื่อ (1) พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ร้อยละ 70/70 (2) ศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนหลังใช้กิจกรรมการเรียนรู้ (3) แนวทางส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนสารคามพิทยาคม จำนวน 42 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 คนที่สุ่มแบบกลุ่ม ใช้แผนการเรียนรู้ 10 แผน แบบทดสอบ และการสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า (1) ประสิทธิภาพของการเรียนรู้ที่ได้จากการพัฒนาการจัดการเรียนรู้มีค่าอยู่ที่ 81.60/83.81 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (2) การศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่ามีนักเรียนจำนวน 24 คน หรือร้อยละ 57.14 ที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระดับสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 62.67, S.D.= 6.17) ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถที่ดีในระดับนี้ อย่างไรก็ตาม นักเรียนที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระดับพอใช้มีจำนวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 35.71 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=37.87, S.D.=7.17) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่ดี ในระดับพอใช้แต่ยังไม่ถึงขั้นสูงสุด นอกจากนี้ ยังมีนักเรียนจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 3.96 ที่มีความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ในระดับปรับปรุง ค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้คือ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 25.67, S.D.= 0.58) ซึ่งบ่งบอกถึงความสามารถที่ยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ดีขึ้น (3) แนวทางการพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ พบว่า ครูควรพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่สอดแทรกความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์อยู่เสมอ</p>
ญาณินท์ สุดชาขำ
รามนรี นนทภา
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-17
2025-01-17
15 1
44
57
-
การวางแผนการเงินของเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษ จังหวัดมหาสารคาม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/273081
<p style="font-weight: 400;">งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาการวางแผนการเงินของเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษ จังหวัดมหาสารคาม และ 2) เพื่อหารูปแบบการวางแผนด้านการเงินส่วนบุคคลที่เหมาะสมของเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษ จังหวัดมหาสารคาม ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ คือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องด้านการเงินและการลงทุนกับเกษตรกร 4 ตัวแทน สำหรับ เชิงปริมาณ คือ เกษตรกรที่ปลูกผักปลอดสารพิษตำบลโพนงาม อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางตารางสำเร็จรูป กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ เกษตรกรจำนวน 394 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ระยะวิจัยคือช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 จนถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2566 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ สถิติเชิงพรรณนาและเชิงคุณภาพ คือ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา จากการศึกษาพบว่า 1) เกษตรกรมีการวางแผนใช้บริการสินเชื่อที่ไตร่ตรองแล้วมีความจำเป็น และมีความสามารถในการชําระหนี้ได้ 2) เกษตรกรมีการพิจารณาทำประกันชีวิตและสุขภาพที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต 3) เกษตรกรมีการพิจารณาถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือมีการควบคุมความเสี่ยงเป็นอย่างดีแล้วในการลงทุนและจากข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเกษตรกรทั้ง 4 ตัวแทนหน่วยงานให้ข้อเสนอแนะแนวทางรูปแบบการวางแผนด้านการเงินส่วนบุคคลที่เหมาะสมของเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษ จังหวัดมหาสารคาม คือ ต้องเริ่มวางแผนด้านการเงินส่วนบุคคลสำหรับเกษตรกร โดยควรคำนึงถึงความไม่แน่นอนของรายได้ที่อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอก เช่น สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ ความผันผวนของตลาด และฤดูกาลในการเพาะปลูก เป็นต้น</p>
กอบชัย นิกรพิทยา
รทวรรณ อภิโชติธนกุล
จินดาพร ปัสสาโก
สุรศักดิ์ วงษ์เปรียว
พิมพ์พรรณ คัยนันทน์
ภานุทัต สวัสดิ์ถาวร
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-17
2025-01-17
15 1
58
70
-
การศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของผู้บริโภคที่ส่งผลต่อความพึงพอใจ ร้านเบิ้มมอเตอร์ไซค์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/272431
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยลักษณะประชากรศาสตร์ของผู้บริโภคในการใช้บริการร้านเบิ้มมอเตอร์ไซค์ จังหวัดอุทัยธานี และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อความพึงพอใจของลูกค้าในการใช้บริการร้านเบิ้มมอเตอร์ไซค์ จังหวัดอุทัยธานี การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ ลูกค้าที่มาซื้อสินค้าหรือบริการร้านเบิ้มมอเตอร์ไซค์ ในเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 215 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สามารถนำไปใช้ในการวิจัยได้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ลูกค้ากลุ่มหลักของร้านเบิ้มมอเตอร์ไซค์ จังหวัดอุทัยธานี ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 25-39 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี ประกอบอาชีพร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ และมีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท และ 2) อิทธิพลของปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อ ความพึงพอใจของงผู้บริโภคคร้านเบิ้มมอเตอร์ไซค์ จังหวัดอุทัยธานี ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการขาย บุคลากร กระบวนการ และหลักฐานทางกายภาพ สมการมีอำนาจการพยากรณ์ ร้อยละ 61 และสามารถเขียนสมการได้ดังนี้ Y = -5.573 + (0.149)(ราคา) + (0.150)(ผลิตภัณฑ์) + (0.517)(ช่องทางการจัดจำหน่าย) + (0.162)(การส่งเสริมการขาย)+ (0.469)(บุคลากร) + (0.564)(กระบวนการ) + (0.331)(หลักฐานทางกายภาพ)</p>
ธนวิชญ์ ยืนชีวิต
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-07
2025-03-07
15 1
95
104
-
พฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค ของผู้บริโภค ในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/274267
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้บริโภค และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคทั่วไปที่ใช้บริการร้านกาแฟท้องถิ่นในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป และมีการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต จำนวน 250 คน โดยมีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย และใช้วิธีการสุ่มแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้การวิจัยคือ แบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ One Way ANOVA </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้บริโภค พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่นิยมใช้สื่อ Facebook เพื่อเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นเป็นประจำ จำนวน 217 คน (86.8%) การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คในช่วงเวลาไม่แน่นอนมากที่สุด จำนวน 90 คน (36.0%) การสืบหาข้อมูล ของร้านกาแฟท้องถิ่นจาก Facebook Fanpage จำนวน 194 คน (77.6%) และระยะเวลาที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คแต่ละครั้งในการค้นหาข้อมูลการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่น คือ น้อยกว่า 30 นาที จำนวน 172 คน (68.8%) 2) การเปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะทางประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้บริโภค ในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น พบว่า (1) เพศแตกต่างกันมีผลต่อพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้บริโภคที่ไม่แตกต่างกัน (2) อายุแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์ค ของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ในเรื่องความนิยมใช้สื่อ Facebook อินสตราแกม และยูทูป เพื่อเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นเป็นประจำ (3) สถานภาพแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ในเรื่องความนิยมใช้สื่ออินสตราแกม เพื่อเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นเป็นประจำและการสืบหาข้อมูลของร้านกาแฟท้องถิ่นจาก Google และ Wongnai ของผู้บริโภค (4) ระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่น ผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้บริโภคที่ไม่แตกต่างกัน (5) อาชีพแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ในเรื่องความนิยมใช้สื่อ Facebook และอินสตราแกม เพื่อเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นเป็นประจำ (6) รายได้ต่อเดือนเฉลี่ยแตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นผ่านสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ในเรื่องความนิยมใช้สื่ออินสตราแกมในการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นเป็นประจำของผู้บริโภค การสืบหาข้อมูลของร้านกาแฟท้องถิ่นจาก Facebook Fanpage และระยะเวลาที่ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คแต่ละครั้งในการค้นหาข้อมูลการเลือกร้านกาแฟท้องถิ่นของผู้บริโภค (P>0.05)</p>
ฌัชฌานันท์ นิติวัฒนะ
ฐิตารีย์ ศิริมงคล
ปริญญา วิเชียรโรจน์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-07
2025-03-07
15 1
105
120
-
การส่งเสริมความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัย ด้วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/272472
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 3 - 4 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลหัวงัว อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 16 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ (1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น จำนวน 8 หน่วย หน่วยละ 3 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 24 แผน (2) แบบสังเกตความมีวินัยในตนเอง ทั้งหมด 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการรับผิดชอบ และด้านการควบคุมตนเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า หลังการทดลองความมีวินัยในตนเองของเด็กปฐมวัยด้วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น โดยรวมและรายด้านเฉลี่ยสูงขึ้น หลังการทดลองเท่ากับ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 17.00, S.D. = 0.73) คิดเป็นร้อยละ 99.44 และก่อนการทดลองเท่ากับ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 12.63, S.D. = 1.20) คิดเป็นร้อยละ 70.14 ซึ่งหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลอง</p>
วัลภา ไชยยะ
ทัศนีย์ นาคุณทรง
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-07
2025-03-07
15 1
121
130
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจและความผูกพันของบุคลากรสายสนับสนุนในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน กรณีศึกษามหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/275065
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความพึงพอใจในการทำงานและความผูกพัน ต่อองค์กร (2) วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจและความผูกพัน (3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในการทำงาน ความผูกพันต่อองค์กร และประสิทธิภาพการทำงาน (4) พัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับบุคลากรสายสนับสนุนในมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี โดยเก็บข้อมูลจากบุคลากรสายสนับสนุน จำนวน 80 คน ด้วยแบบสอบถาม และข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์ความแปรปรวน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า บุคลากรมีความพึงพอใจในงานและ ความผูกพันต่อองค์กรในระดับสูง (M = 3.87, S.D. = 0.71 และ M = 4.08, S.D. = 0.52 ตามลำดับ) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในงานมากที่สุดคือ ความยืดหยุ่นในการทำงาน (β = 0.40, p(0.011) < 0.05) ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรมากที่สุดคือ ความรู้สึกมีคุณค่าในองค์กร (β = 0.50, p(0.001) < 0.05) นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์เชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญระหว่างความพึงพอใจในงาน ความผูกพันต่อองค์กร และประสิทธิภาพการทำงาน (r = 0.65, p(0.021) < 0.05 และ r = 0.70, p(0.033) < 0.05 ตามลำดับ) การวิเคราะห์ความแปรปรวนแสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์การทำงานตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป มีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์น้อยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และผลการวิจัยนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของมหาวิทยาลัย โดยเน้นการส่งเสริมความยืดหยุ่นในการทำงาน การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา และการสร้างการรับรู้คุณค่าของบุคลากรในองค์กร เพื่อยกระดับความพึงพอใจ ความผูกพัน และประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรสายสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีประสบการณ์การทำงานสูง</p>
เพชรรัตน์ ลือสันเทียะ
วีรวิชญ์ เลิศรัตน์ธำรงกุล
โกวิทย์ แสนพงษ์
วิยดา พันธ์โน
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-07
2025-03-07
15 1
131
145
-
ปัจจัยทำนายสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271033
<p>บทความวิจัยนี้ศึกษาเกี่ยวกับระดับสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุ ระดับความพร้อมและการส่งเสริมระบบสิ่งแวดล้อมเชิงสุขภาวะในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ และปัจจัยทำนายสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุเพื่อเตรียมความพร้อมด้านระบบสิ่งแวดล้อมเชิงสุขภาวะ ในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของประชาชนในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ 391 คน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า ระดับสุขภาวะองค์รวม ระดับความพร้อมและการส่งเสริมระบบสิ่งแวดล้อมเชิงสุขภาวะของผู้สูงอายุในอำเภอกระสังอยู่ในระดับมาก โดยปัจจัยทำนายสุขภาวะองค์รวมของผู้สูงอายุเพื่อเตรียมความพร้อมด้านระบบสิ่งแวดล้อมเชิงสุขภาวะ = 15.028 - 1.322 เพศ - 1.069 การเป็นสมาชิกชมรม/การเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม + 0.790พฤติกรรมสุขภาพผู้สูงอายุ + 0.502 ความพร้อม และการส่งเสริมจากหน่วยงานภาครัฐด้านระบบสิ่งแวดล้อมเชิงสุขภาวะ + 0.552ความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพ</p>
รจนา อยู่สุข
รินทร์หทัย กิตติ์ธนารุจน์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-07
2025-03-07
15 1
146
159
-
การจัดการผลิตที่ส่งผลต่อต้นทุนการปลูกข้าวโพดพันธุ์ข้าวเหนียวชมพูของ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกข้าวโพดบ้านหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/277173
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยการจัดการการผลิตที่ส่งผลต่อต้นทุนการปลูกข้าวโพดพันธุ์ข้าวเหนียวชมพูของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกข้าวโพดบ้านหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ เกษตรกรบ้านหนองบัวจำนวน 109 คน กำหนดขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane<em> </em>ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เก็บตัวอย่างโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบอย่างง่าย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยด้านเมล็ดพันธ์ ด้านการจำกัดวัชพืช ด้านการจัดการศัตรูพืชและด้านการใช้ปุ๋ย อธิบายความแปรปรวนหรือทำนายตัวแปรตาม คือ ต้นทุนการปลูกข้าวโพดพันธุ์ข้าวเหนียวชมพูได้ร้อยละ 59.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยที่ปัจจัยด้านเมล็ดพันธ์ ด้านการจำกัดวัชพืช ด้านการจัดการศัตรูพืชส่งผลในทางบวก ในขณะที่ปัจจัยด้านการใช้ปุ๋ย ส่งผลในทางลบ โดยปัจจัยด้านการจัดการศัตรูพืชมีผลต่อต้นทุนการปลูกข้าวโพดพันธุ์ข้าวเหนียวชมพูมากที่สุด รองลงมาได้แก่ ด้านการใช้ปุ๋ย ด้านการจำกัดวัชพืช ด้านเมล็ดพันธ์</p>
มณีจันทร์ ยืนคง
นีรนาท เสนาจันทร์
ภัทรภร กินิพันธ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-07
2025-03-07
15 1
160
168
-
กฎหมายต้นแบบว่าด้วยการควบคุมการประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/275735
<p>การวิจัยนี้ศึกษาและวิจัยเรื่องกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการควบคุมการประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษา (1) ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการควบคุมการประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ (2) แนวคิด ทฤษฎี และหลักการเกี่ยวกับการควบคุมการประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ (3) มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ ของระหว่างประเทศ ต่างประเทศ และประเทศไทย (4) วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมการประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ (5) จัดทำกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการควบคุม การประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า วิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ มีกฎหมายของประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ การควบคุมวิชาชีพนี้ในประเทศไทยมีมานานแล้วและมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดเกี่ยวกับสัญญานายหน้าไว้ ซึ่งบัญญัติไว้ในลักษณะ 16 มาตรา 845 ถึงมาตรา 849 โดยได้กำหนดเกี่ยวกับสัญญาและบทบาทหน้าที่ของนายหน้าไว้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีกฎหมายฉบับใดกำหนดเรื่องการควบคุมการประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ไว้เป็นการเฉพาะ รวมถึงไม่มีมาตรการใดครอบคลุมถึงการขึ้นทะเบียน และขอใบอนุญาตเพื่อเป็นล็อบบี้ยีสต์ รวมถึงการกำหนดบทบาทหน้าที่ การควบคุมล็อบบี้ยีสต์ จริยธรรม คณะกรรมการ และบทกำหนดโทษ ส่งผลให้การประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์เป็นไปอย่างเสรี และปราศจากการควบคุม ซึ่งนำไปสู่ปัญหาเรื่องยึดผลประโยชน์มากเกินไป ฉ้อโกง หรือบีบบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามเงื่อนไข ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายทั้งแก่ล็อบบี้ยีสต์ คู่สัญญา บุคคลอื่น ซึ่งเกี่ยวข้อง และสูญเสียผลประโยชน์ที่เกิดแก่สังคม ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้กฎหมายต้นแบบว่าด้วยการควบคุมการประกอบวิชาชีพล็อบบี้ยีสต์ โดยมีโครงสร้างกฎหมายประกอบด้วย (1) คำนิยาม (2) หมวด 1 คณะกรรมการ (3) หมวด 2 ใบอนุญาต (4) หมวด 3 บทบาทหน้าที่ (5) หมวด 4 การควบคุม (6) หมวด 5 จริยธรรม (7) หมวด 6 บทกำหนดโทษ</p>
ธีรวัฒน์ วีระวัฒน์
ศิวพร เสาวคนธ์
ภูมิ โชคเหมาะ
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-03-07
2025-03-07
15 1
169
181
-
การพัฒนาที่ยั่งยืน: การบูรณาการพุทธธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/273318
<p>บทความนี้ ศึกษาการบูรณาการหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) โดยชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เน้นเศรษฐกิ และอุตสาหกรรม นำไปสู่ปัญหาสังคมและการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เนื่องจากแนวคิดที่ผิดพลาด เช่น การมองมนุษย์แยกจากธรรมชาติ ท่านเสนอการบูรณาการพุทธธรรม โดยอธิบายหลักเหตุปัจจัยที่เชื่อมโยงมนุษย์ ธรรมชาติและสังคม ให้พึ่งพาอาศัยกันเพื่อสร้างความยั่งยืน (ศีล) จิตใจ (สมาธิ) และสติปัญญา (ปัญญา) เพื่อเชื่อมโยงชีวิตเข้ากับธรรมชาติแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน</p>
ธนภณ สมหวัง
ปริยา ศุภวงศ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-17
2025-01-17
15 1
71
82
-
แนวทางการออกแบบสื่อสาร เพื่อสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ในการตลาดดิจิทัลยุคใหม่
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/276184
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อทบทวนกลยุทธ์ในการออกแบบเพื่อการสื่อสาร และ (2) เพื่อศึกษาการออกแบบริการเพื่อสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ในการตลาดดิจิทัลยุคใหม่ ซึ่งในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว การออกแบบสื่อสารเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้นั้นถือเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดสมัยใหม่ ผู้บริโภคในปัจจุบันไม่เพียงต้องการสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังต้องการประสบการณ์ที่น่าประทับใจในทุกการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เพราะการออกแบบสื่อสารที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้ใช้อย่างลึกซึ้ง ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและการทำวิจัยตลาด เพื่อนำมาสร้างสรรค์เนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็น AI, AR หรือ VR ช่วยเพิ่มมิติใหม่ ๆ ให้กับประสบการณ์ของผู้ใช้ การสร้าง Customer Journey Map ที่ละเอียดและครอบคลุมทุกจุดสัมผัส ช่วยให้แบรนด์สามารถออกแบบประสบการณ์ที่ราบรื่นและต่อเนื่อง ตั้งแต่การรับรู้แบรนด์ครั้งแรกไปจนถึงการตัดสินใจซื้อและการบริการ หลังการขาย การใช้การเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่สร้างอารมณ์ร่วมและความผูกพันกับแบรนด์ ผสมผสานกับการออกแบบที่สวยงามและใช้งานง่าย จะช่วยสร้างความประทับใจที่ยาวนาน ในขณะเดียวกัน การเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน แต่ละแพลตฟอร์มมีลักษณะเฉพาะและพฤติกรรมผู้ใช้ที่แตกต่างกัน การปรับแต่งเนื้อหาและรูปแบบการนำเสนอให้เข้ากับแต่ละช่องทางจึงเป็นสิ่งจำเป็น การวัดผลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่องช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การรับฟังเสียงตอบรับจากผู้ใช้และการติดตามพฤติกรรมการใช้งานจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจว่าอะไรที่ทำงานได้ดีและอะไรที่ควรปรับปรุง ท้ายที่สุดความสำเร็จของการตลาดดิจิทัลในยุคใหม่ไม่ได้วัดกันที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่วัดจากความพึงพอใจและความผูกพันที่ผู้ใช้มีต่อแบรนด์ซึ่งเกิดจากการออกแบบประสบการณ์ที่น่าประทับใจและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั่นเอง</p>
มนชญา สระบัว
สถิร ทัศนวัฒน์
Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-01-17
2025-01-17
15 1
83
94