วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj
<p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือน กันยายน – ธันวาคม) รับพิจารณาบทความในด้านบริหารธุรกิจ การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และนิติศาสาตร์ "}" data-sheets-userformat="{"2":513,"3":{"1":0},"12":0}"> วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกปีละ 4 ฉบับ เริ่ม ฉบับที่ 1 ปีที่ 12 พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป (ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – มีนาคม ฉบับที่ 2 ประจำเดือน เมษายน - มิถุนายน ฉบับที่ 3 ประจำเดือน กรกฎาคม - กันยายน และฉบับที่ 4 ประจำเดือน ตุลาคม - ธันวาคม) เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ ในด้านบริหารธุรกิจ การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และนิติศาสตร์<br /> บทความทุกบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ จะต้องผ่านการตรวจสอบความถูกต้องทางวิชาการ โดยกองบรรณาธิการวารสารฯ และผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก จำนวน 3 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาของบทความ โดยมาจากหลากหลายสถาบัน และไม่ได้อยู่ในสังกัดเดียวกับผู้เขียน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เขียนไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)<br /></span></p>
มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
th-TH
วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1906-7267
-
เรียนรู้การออกเสียงผ่านเทคโนโลยี: การศึกษาการใช้แอปพลิเคชัน CAKE ในชั้นเรียน EBC11367 การออกเสียงภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/280998
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้แอปพลิเคชัน CAKE ในชั้นเรียน EBC11367 การออกเสียงภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร ของนักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษสื่อสารธุรกิจ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตขอนแก่น จำนวน 90 คน โดยนำมาใช้เป็นแบบฝึกหัดการฝึกออกเสียงและประเมินโดยเทคโนโลยี AI แบบเรียลไทม์ นักศึกษาใช้แอปพลิเคชัน เรียนรู้บทเรียนย่อย 4 บท ในหัวข้อ “วลีภาษาอังกฤษทั่วไปสำหรับการสนทนาในชีวิตประจำวัน” ภายในระยะเวลา 1 เดือน มีนักศึกษาที่เข้าเรียนจบครบ 4 บทเรียนทั้งสิ้น 73 คน และได้ทำการสอบถามความพึงพอใจในการใช้แอปพลิเคชันกับนักศึกษา โดยผลตอบรับจากนักศึกษาที่ใช้งานพบว่า บทเรียนมีความน่าสนใจ มีความหลากหลาย เห็นภาพและบริบทชัดเจน นักศึกษาชอบที่ได้ฝึกพูด และคิดว่าแอปพลิเคชันช่วยพัฒนาการออกเสียงของตนให้ดีขึ้น และหากมีบทเรียนฟรีให้ใช้อีกก็จะใช้แอปพลิเคชันต่อไป แต่หากต้องเสียค่าใช้จ่ายก็คงไม่ใช้ต่อ เพราะมีแอปพลิเคชันอื่น ๆ เป็นทางเลือกด้วย ในฐานะผู้สอน การใช้แอปพลิเคชัน CAKE ในรายวิชานี้ ทำให้นักศึกษาได้ฝึกฝนด้วยตนเองนอกชั้นเรียน จากเนื้อหาที่หลากหลาย ได้พัฒนาทักษะการฟังสำเนียงของเจ้าของภาษา และได้ฝึกออกเสียง ซ้ำ ๆ และได้รับการประเมินแบบเป็นมาตรฐานแบบเรียลไทม์ ดังนั้น แอปพลิเคชัน CAKE สามารถเป็นตัวเลือกเสริมในการมอบหมายให้นักศึกษาฝึกฝนนอกชั้นเรียนในระดับเริ่มต้น หากนำมาใช้อย่างมีระบบ จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้การออกเสียงได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p>
เฟื่องฟ้า พลอนเบิร์ก
บุญเลิศ วงศ์พรม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
177
189
-
การศึกษาแรงจูงใจในการเรียนภาษาจีนผ่านแอปพลิเคชันของนักศึกษามหาวิทยาลัย ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/282254
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้แอปพลิเคชันในการเรียนภาษาจีนของนักศึกษามหาวิทยาลัยในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 2) เพื่อศึกษาแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอกในการเรียนภาษาจีนผ่านแอปพลิเคชัน กลุ่มตัวอย่าง (ปี พ.ศ.2568) จำนวน 163 คน จากการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Yamane (1973) โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ (e) เท่ากับ 0.05 จากประชากรทั้งหมด 281 คน โดยศึกษาทั้งพฤติกรรมการใช้แอปพลิเคชันและแรงจูงใจภายในและแรงจูงใจภายนอกอิงตามทฤษฎีของ Deci and Ryan (1985) ใช้แบบสอบถามเชิงโครงสร้างเป็นเครื่องมือในการวิจัย ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล และประเมินความเชื่อมั่นด้วยค่า Cronbach’s alpha = 0.876 ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ ร้อยละ 35.0 ใช้แอปพลิเคชันอย่างสม่ำเสมอ (ใช้ทุกวัน) ในแต่ละครั้งใช้เวลาเฉลี่ย 10–30 นาที แอปพลิเคชันยอดนิยม ได้แก่ HelloChinese (80.4%), Duolingo (66.3%) และ SuperChinese (35.0%) เนื้อหาที่เรียนมากที่สุดคือคำศัพท์และการฟัง ส่วนด้านทักษะการเขียนมีสัดส่วนต่ำที่สุด แรงจูงใจภายในมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าแรงจูงใจภายนอก โดยนักศึกษาให้ความสำคัญกับความสนุก ความภาคภูมิใจ และการพัฒนาตนเองมากกว่าการเรียนเพื่อเป้าหมายจากแรงจูงใจภายนอก ผลลัพธ์ชี้ให้เห็นว่าแรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมการเรียนภาษาจีนผ่านแอปพลิเคชันอย่างยั่งยืน</p>
ภูริพันธุ์ โพธิ์ชัยแก้ว
สุทธิดา มังคะรัตน์
เสาวลักษณ์ แสงจันทร์
เกศกนก หาทรัพย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
1
13
-
ปัจจัยส่วนประสมการตลาดในการตัดสินใจใช้บริการโรงพิมพ์ กรณีศึกษา โรงพิมพ์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/278984
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคในการใช้บริการโรงพิมพ์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการของธุรกิจโรงพิมพ์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น และ 3) เพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาธุรกิจให้แก่ธุรกิจโรงพิมพ์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการหาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ตัดสินใจคนเดียว นิยมใช้บริการสิ่งพิมพ์เพื่อการโฆษณา ความถี่ในการใช้บริการประมาณ 1-2 ครั้ง ต่อปี และมีค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 10,001-30,000 บาท เมื่อนำหลักการส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) มาวิเคราะห์พบว่า ผู้บริโภคมีความพึงพอใจสูงสุดในด้านผลิตภัณฑ์ เพราะมีงานพิมพ์ที่มีคุณภาพ รองลงมา คือด้านบุคลากร ที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพ แต่ยังมีจุดอ่อนคือขาดความหลากหลายในทางเลือก การพิมพ์ ทำเลที่ตั้งไม่สะดวกต่อการเดินทาง และขาดการแสดงผลงานช่องทางออนไลน์ ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมการตลาด 7Ps ในการใช้บริการโรงพิมพ์แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ทดสอบด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient, r) พบว่า ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์มีความสัมพันธ์สูงสุด (r=.675) รองลงมา คือ ด้านกระบวนการ (r=.547) และด้านการนำเสนอทางกายภาพ (r=.542) โดยปัจจัยส่วนประสมการตลาดทั้ง 7 ด้าน มีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 แนวทางการพัฒนาธุรกิจโรงพิมพ์ควรเริ่มต้นจากการวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนอย่างรอบด้าน เพื่อใช้จุดแข็งเป็นจุดขายหลัก ขณะเดียวกันต้องเร่งแก้ไขจุดอ่อนด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสม พร้อมทั้งนำหลักการส่วนประสมการตลาด 7Ps มาใช้เป็นกลยุทธ์ในการวางแผนพัฒนาธุรกิจ</p>
พิมพ์ชนก หาญพานิชย์
ธนภณ วิมูลอาจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
14
28
-
การพัฒนาความสามารถทางด้านสมรรถภาพทางกายของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมนันทนาการประเภทการเล่นเกม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/276643
<p>การวิจัยครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสมรรถภาพทางกาย โดยใช้กิจกรรมนันทนาการประเภทการเล่นเกม ให้อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นไป ร้อยละ 70 ของจำนวนนักเรียน 2) ศึกษาความพึงพอใจ ที่มีต่อการฝึกสมรรถภาพทางกายโดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมนันทนาการประเภทการเล่นเกม กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่นักเรียน โรงเรียนบ้านหนองหมากแซว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 จำนวน 17 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัย แบบทดสอบเกณฑ์มาตรฐานสมรรถภาพทางกาย อายุระหว่าง 7 - 12 ปี แบบสอบถามความพึงพอใจเป็นแบบ 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ พบว่า 1) นักเรียนชายและหญิง มีสมรรถภาพร่างกาย ดังนี้ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ วัดโดย ดันพื้นประยุกต์ 30 วินาที ผลรวมอยู่ในระดับต่ำ ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 16.59, S.D.=6.63) คิดเป็นร้อยละ 17.65 ซึ่งไม่ถึงตามเกณฑ์ร้อยละ 70 ความอดทนของกล้ามเนื้อ วัดโดย รายการลุก-นั่ง ผลรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 32.18, S.D.=7.81) คิดเป็นร้อยละ 88.24 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ความอ่อนตัว วัดโดย นั่งงอตัวไปข้างหน้า ผลรวมอยู่ในระดับต่ำมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 3.94, S.D.=8.10) คิดเป็นร้อยละ 0.00 ไม่ถึงตามเกณฑ์ร้อยละ 70 ความอดทนของระบบหัวใจและไหลเวียนเลือด วัดโดย ผลรวมอยู่ในระดับดีมาก ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 205.00, S.D.=29.95) คิดเป็นร้อยละ 100 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 องค์ประกอบของร่างกายผลรวมอยู่ในระดับสมส่วน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 19.39, S.D.=4.66) คิดเป็นร้อยละ 11.76 ไม่ถึงตามเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) ความพึงพอใจ ที่มีต่อการฝึกสมรรถภาพทางกาย โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมนันทนาการประเภทการเล่นเกม อยู่ในระดับดี ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.44, S.D. = 0.09)</p>
ชนัญชิดา พรมศิริ
สันติ วิจักขณาลัญฉ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
29
37
-
อิทธิพลการยอมรับเทคโนโลยีการถ่ายทอดสดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นวายในประเทศไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/277332
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นวายในประเทศไทย และ 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลการยอมรับเทคโนโลยีการถ่ายทอดสดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นวายในประเทศไทย รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือผู้บริโภคกลุ่มคนเจเนอเรชั่นวาย 385 คน ใช้วิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สถิติเชิงพรรณนา คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1) กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่ซื้อสินค้าออนไลน์บ่อยที่สุดในประเภทสินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย ดูการถ่ายทอดสดและซื้อผ่านช่องทางติ๊กต๊อก โดยดูการถ่ายทอดสดในช่วงเวลา 18.01-21.00 น. ระยะเวลาในการดูการถ่ายทอดสด 15-30 นาที และ 2) การยอมรับเทคโนโลยีการถ่ายทอดสด 3 ด้าน ได้แก่ ด้านผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวัง ด้านอิทธิพลจากสังคม และ ด้านเงื่อนไขการอำนวย ความสะดวก มีอิทธิพลเชิงบวกต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการยอมรับเทคโนโลยีการถ่ายทอดสดมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ของผู้บริโภคเจเนอเรชั่นวาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าสำหรับธุรกิจในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล</p>
ปิยะ แก้วบัวดี
ทรงพล สัตย์ซื่อ
พรหมจิรา เจาลา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
38
52
-
การศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริการร้านอาหาร ประเภทอาหารตามสั่งของนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัยขอนแก่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/276932
<p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยดังนี้ เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ที่ส่งผลต่อการเลือกใช้บริการร้านอาหารประเภทอาหารตามสั่งของนักศึกษา ระดับชั้นปริญญาตรี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 395 คน โดยใช้สถิติการ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ใช้วิธีการคัดเลือกตัวแปรแบบ (Enter Regression) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ ระหว่าง ตัวแปรต้น (Independent variable) กับตัวแปรตาม (Dependent variable) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกใช้บริการร้านอาหารประเภทร้านอาหารตามสั่งของนักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีจำนวน 4 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านราคา ด้านกระบวนการให้บริการ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านผลิตภัณฑ์ จากมากที่สุดถึงน้อยที่สุด ตามลำดับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจในการเลือกใช้บริการร้านอาหารประเภทร้านอาหารตามสั่งของนักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีจำนวน 3 ปัจจัย ได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านลักษณะทางกายภาพ ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการดังกล่าวสามารถนำมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งการใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาธุรกิจ การกำหนดกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจร้านอาหารตามสั่งอย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของนักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรี มหาวิทยาลัยขอนแก่น</p>
แสงชัย นิคมเขตต์
อารีย์ นัยพินิจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
53
64
-
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เซรามิก ในจังหวัดลำปางผ่านเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/278232
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์เซรามิก ประเภทของตกแต่งและประดับสวนในจังหวัดลำปางผ่านเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้ากลุ่มนี้เป็นสินค้าที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่มีงานวิจัยเกี่ยวกับสินค้ากลุ่มนี้ค่อนข้างจำกัด กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในจังหวัดลำปางและมีประสบการณ์ในการซื้อผลิตภัณฑ์เซรามิกผ่านเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 385 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Accidental Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ ด้านการรักษาความเป็นส่วนตัว ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการให้บริการส่วนบุคคล ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลร่วมกันต่อการตัดสินใจซื้อคิดเป็นร้อยละ 39.60</p>
พิรภพ จันทร์แสนตอ
บัณฑิต บุษบา
อารยา อริยา
นุสรา แสงอร่าม
วีรพร สุพจน์ธรรมจารี
วิจิตรา แซ่ตั้ง
อภิชาติ ตัณนิติศุภวงษ์
พรนภา บุญนำมา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
65
79
-
การพัฒนาโปรแกรมกลุ่มพัฒนาตนโดยการประยุกต์ใช้ไพ่ทาโรต์เพื่อเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตสำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/279508
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาโปรแกรมกลุ่มพัฒนาตนโดยการประยุกต์ใช้ไพ่ทาโรต์ เพื่อเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตสำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโปรแกรมกลุ่มพัฒนาตนโดยการประยุกต์ใช้ไพ่ทาโรต์เพื่อเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตสำหรับนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จำนวน 10 คน มีเกณฑ์การคัดเลือก คือ มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป อาศัยอยู่หอพักหรือบ้านในละแวกใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัย และเป็นผู้ที่มีภาวะสุขภาพจิตปกติโดยเป็นบุคคลที่ไม่มีประวัติการรักษาหรือกำลังอยู่ในระหว่างการรักษาโรคทางจิตเวช ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา (R&D) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินพลังสุขภาพจิตที่พัฒนาโดยกรมสุขภาพจิต แบบประเมินประสิทธิภาพของโปรแกรมกลุ่มพัฒนาตน และโปรแกรมกลุ่มพัฒนาตน โดยการประยุกต์ใช้ไพ่ทาโรต์ เพื่อเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตที่ผู้วิจัยพัฒนาจาก 3 องค์ประกอบของพลังสุขภาพจิต ประกอบด้วย ความสามารถในการทนต่อภาวะกดดันได้ ความสามารถในการยอมรับการช่วยเหลือและความสามารถในการจัดการกับปัญหา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบวิลคอกซอล ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนาโปรแกรมกลุ่มพัฒนาตน ดำเนินกิจกรรม จำนวน 5 กิจกรรม ซึ่งจากการวิพากษ์ของผู้เชี่ยวชาญ พบว่า มีค่าดัชนีความสอดคล้อง ค่า IOC ของแต่ละกิจกรรมอยู่ระหว่าง 0.80 – 1.00 และประสิทธิภาพของโปรแกรม กลุ่มพัฒนาตนโดยการประยุกต์ใช้ไพ่ทาโรต์เพื่อเสริมสร้างพลังสุขภาพจิต มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 3.61 จากคะแนนเต็ม 4.00 และประสิทธิผลของโปรแกรมกลุ่มพัฒนาตนโดยการประยุกต์ใช้ไพ่ทาโรต์เพื่อเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตมีประสิทธิผลในการเพิ่มพลังสุขภาพจิตของนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี โดยค่าเฉลี่ยของพลังสุขภาพจิต ในระยะหลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
รังรอง งามศิริ
กรรณิการ์ พันทอง
มลฤดี โอปมาวุฒิกุล
สายชล เทียนงาม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
80
93
-
ผลของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กร สมรรถนะด้านดิจิทัล และพฤติกรรมเชิงรุก ต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน กรณีศึกษาพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/282597
<p>การศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กร สมรรถนะด้านดิจิทัล และพฤติกรรมเชิงรุก ต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พนักงาน พนักงานสัญญาจ้าง และลูกจ้างของธนาคาร จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการรับรู้การสนับสนุนจากองค์กร สมรรถนะด้านดิจิทัล และพฤติกรรมเชิงรุก มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะพฤติกรรมเชิงรุกและสมรรถนะด้านดิจิทัล ซึ่งพนักงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล เช่น การรู้ดิจิทัล และความสามารถในการปรับตัวกับเทคโนโลยี สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร</p>
ฉนานนท์ ตันสกุล
โสภิดา วระนิล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
94
107
-
การพัฒนาสมรรถนะด้านการทบทวนวรรณกรรมและการอ้างอิงผ่านการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในชั้นเรียนระดับอุดมศึกษา
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/281134
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาสมรรถนะ การทบทวนวรรณกรรมและการอ้างอิงของนักศึกษา 2) พัฒนาและประเมินประสิทธิภาพกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะดังกล่าว และ 3) เปรียบเทียบสมรรถนะของนักศึกษาก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเรียนรู้ ประชากรที่ศึกษา คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2567 หลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต จำนวน 42 คน การวิจัยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (PAOR) จำนวน 3 วงรอบ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วยแบบประเมินสภาพปัญหาและความต้องการ แผนกิจกรรมการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรม แบบประเมินสมรรถนะการทบทวนวรรณกรรมและการอ้างอิง และแบบสะท้อนคิดของนักศึกษา ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหา เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ (1) การสืบค้นข้อมูลอย่างเป็นระบบ (2) การสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และ (3) การเขียนอ้างอิงตามหลักวิชาการ ความต้องการ เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ (1) ความต้องการพัฒนาสมรรถนะการเขียนอ้างอิง (2) สมรรถนะการสังเคราะห์งานวิจัย โดยความต้องการเฉพาะที่พบมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ 1) ต้องการเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการสืบค้นและใช้โปรแกรมจัดการบรรณานุกรม 2) ต้องการเรียนรู้วิธีการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ และ 3) ต้องการเรียนรู้เทคนิคการสังเคราะห์งานวิจัย 2) กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพสูง (81.45/83.27) 3) นักศึกษามีสมรรถนะการทบทวนวรรณกรรมและการอ้างอิงหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) โดยสมรรถนะการสืบค้นข้อมูลมีพัฒนาการสูงสุด</p>
วีรวิชญ์ เลิศรัตน์ธำรงกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
108
122
-
คุณภาพชีวิตในการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร และความสุขในการทำงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/282605
<p>การศึกษาค้นคว้าอิสระครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพชีวิตในการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร และความสุขในการทำงาน ที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ จำนวน 339 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา (ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน พบว่า โดยรวมแล้วกลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตในการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร และความสุขในการทำงานอยู่ในระดับมาก และปัจจัยทั้งสามมีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการทำงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยเฉพาะด้านการทำงานร่วมกัน ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว และวัฒนธรรมองค์กรแบบสร้างสรรค์ มีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพการทำงานมากที่สุด</p> <p>ผลการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรควรให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งเสริมความสุขและคุณภาพชีวิตของพนักงาน รวมถึงส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการเติบโตและประสิทธิภาพของบุคลากร อันจะนำไปสู่การพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน</p>
ภูวดล ต้นจันดี
ธิดารัตน์ พงษ์วชิรินทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
123
135
-
ปัจจัยการดำเนินงานวิชาการที่ส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/280165
<p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อศึกษา 1) ปัจจัยดำเนินงานวิชาการ 2) คุณภาพผู้เรียน 3) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยดำเนินงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียน และ4) ผลกระทบของปัจจัยดังกล่าวต่อคุณภาพผู้เรียน โดยใช้วิธีการสอบถามความคิดเห็นของผู้อำนวยการกับครูจำนวน 364 คน แล้วนำไปการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐานและสถิติทดสอบสมมติฐานได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษา พบว่า 1) ปัจจัยการดำเนินงานวิชาการโดยรวมถูกนำมาใช้ในระดับมาก 2) คุณภาพผู้เรียนที่เกิดขึ้นโดยรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยการดำเนินงานวิชาการกับคุณภาพผู้เรียน มีความสัมพันธ์กันเชิงบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .01 และ 4) ปัจจัยการดำเนินงานวิชาการ จำนวน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหาร ด้านครูผู้สอน ด้านงบประมาณ ด้านสื่อและเทคโนโลยีทางการศึกษา และด้านการจัดการเรียนรู้ ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของคุณภาพผู้เรียน ได้ร้อยละ 72.40 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 </p>
ธีระเดช จิราธนทัต
รอง ปัญสังกา
วรพล คล่องเชิงศร
ประหยัด ฤาชากุล
ปัญญารัฐฏน์ จันทร์กอง
มิลินท์ ศิรินทร์กัญญา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
136
146
-
ปัจจัยด้านทัศนคติ การรับรู้ความเสี่ยง การยอมรับการใช้เทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อการใช้สัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Contract) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/282535
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา “ปัจจัยด้านทัศนคติ การรับรู้ความเสี่ยง การยอมรับการใช้เทคโนโลยีที่มีอิทธิพลต่อการใช้สัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Contract) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่” โดยศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และสถานภาพ ปัจจัยด้านทัศนคติ ปัจจัยการรับรู้ความเสี่ยง ปัจจัยการยอมรับการใช้เทคโนโลยี ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้สัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Contract) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เก็บรวบรวมข้อมูลจากพนักงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ จำนวน 400 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติสหสัมพันธ์ (Correlation) และการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติ การรับรู้ความเสี่ยง การยอมรับการใช้เทคโนโลยี มีผลเชิงบวกต่อการใช้สัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Contract) โดยทุกตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจนั้นมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะจากการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ธนาคารควรพัฒนาและปรับปรุงระบบสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Contract) ให้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากขึ้น พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจและความมั่นใจให้กับผู้ใช้ เพื่อเพิ่มอัตราการยอมรับและการใช้งานสัญญาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Contract) อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
ณรงค์เดช เอี่ยมทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
147
161
-
กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยี ในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน: กรณีศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/278673
<p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน: กรณีศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อสร้างกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน: กรณีศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนาสร้างต้นแบบกลยุทธ์และการตรวจสอบและประเมินร่างกลยุทธ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ กลุ่มตัวอย่างสร้างต้นแบบกลยุทธ์ คือ สถานศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวนทั้งสิ้น 388 สถานศึกษา ผู้ให้ข้อมูลเป็นผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานวิชาการ และครูผู้สอน การเลือกกลุ่มตัวอย่างสถานศึกษาโดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายให้ได้มาซึ่งสถานศึกษาในการวิจัยครั้งนี้ตามสัดส่วนของขนาดและระดับสถานศึกษา เพื่อสร้างต้นแบบกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัยและพัฒนา ขั้นตอนต่อมา คือ การตรวจสอบประสิทธิภาพ ความเหมาะสม ความตรงตามเนื้อหา ความครอบคลุมของกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ด้วยวิธีการเทคนิคการสนทนากลุ่มกับผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเป้าหมาย จำนวน 11 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย นักการศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษาด้วยการเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อส่งเสริมทักษะ การใช้เทคโนโลยีในศตวรรษ ที่ 21 ของสถานศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้านบริหารงานวิชาการประกอบด้วย 6 กลยุทธ์หลัก 13 กลยุทธ์รอง ด้านบริหารงานงบประมาณ ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์หลัก 11 กลยุทธ์รอง ด้านบริหารงานบุคคลประกอบด้วย 3 กลยุทธ์หลัก 6 กลยุทธ์รอง และด้านบริหารงานทั่วไปประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ หลัก 13 กลยุทธ์รอง</p>
คัชรินทร์ การพินิจ
มานิตย์ สีสง่า
คุณากร พันธุระศรี
ทัศนีย์ ช่อเทียนทิพย์
กนกอร ทองศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
162
176
-
การพัฒนากิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม ของครูผู้สอน โรงเรียนต้นแบบทรูปลูกปัญญา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/281356
<p>การวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของครูผู้สอน โรงเรียนต้นแบบทรูปลูกปัญญา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 นี้ มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อพัฒนากิจกรรม PLC ที่ส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมครูผู้สอน ผ่านกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่ใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ซึ่งสัมภาษณ์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ในเรื่องกิจกรรม PLC ที่ส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมครูผู้สอน การได้มาซึ่งข้อมูลใช้รูปแบบการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ใช้เวลาสัมภาษณ์ ในช่วงเวลาคาบกิจกรรม PLC ของโรงเรียนที่จะจัดขึ้นในทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ เวลา 15.00 น. - 16.00 น. โดยใช้ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งสิ้น 10 วัน ครูที่ให้ข้อมูลทุกคนได้รับการอธิบายรายละเอียดของการวิจัย และสอบถามข้อข้องใจจนเข้าใจก่อนจึงเริ่มทำการสัมภาษณ์ กลุ่มเป้าหมายของการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนบ้านหนองหว้าหนองไผ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 10 คน ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรม PLC ที่ส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมครูผู้สอน มี 5 กิจกรรม ได้แก่ (1) กิจกรรมตั้งคำถามเชิงนวัตกรรม (Innovation Inquiry) (2) กิจกรรมทดลอง–สะท้อน (Prototype & Reflection) (3) กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน (Collaborative Learning) (4) กิจกรรมเสริมวิสัยทัศน์และ แรงบันดาลใจ (Vision & Inspiration) และ (5) กิจกรรมบันทึกและวัดพัฒนา (Track & Showcase)</p>
เจตนิพัทธ์ ยางกลาง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
190
202
-
คุณภาพบริการที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการรถไฟสายไทย-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) ผ่านความพึงพอใจของลูกค้า
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/281917
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพบริการ ความพึงพอใจของลูกค้า และความตั้งใจใช้บริการรถไฟสายไทย-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของคุณภาพบริการต่อความตั้งใจใช้บริการโดยมีความพึงพอใจของลูกค้าเป็นตัวแปรคั่นกลาง และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาบริการของการรถไฟแห่งประเทศไทยในเส้นทางรถไฟไทย-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) การวิจัยนี้เป็นแบบผสมผสานวิธี (Mixed Methods Research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ผู้ใช้บริการรถไฟสายไทย-เวียงจันทน์ (คำสะหวาด) จำนวน 400 คน ผ่านแบบสอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์สมการโครงสร้างแบบกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน (PLS-SEM) การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 6 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า ระดับคุณภาพบริการ ความพึงพอใจของลูกค้า และความตั้งใจใช้บริการอยู่ในระดับมากที่สุด คุณภาพบริการส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อความพึงพอใจของลูกค้าและความตั้งใจใช้บริการ นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังยืนยันว่าคุณภาพบริการมีอิทธิพลต่อความตั้งใจ ใช้บริการผ่านความพึงพอใจของลูกค้าอย่างมีนัยสำคัญ ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า ผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่รับรู้คุณภาพบริการในระดับปานกลางถึงดี แต่ยังคงต้องการการปรับปรุงในด้านความทันสมัยของสิ่งอำนวยความสะดวกทางกายภาพ ความสม่ำเสมอในการให้บริการ การตอบสนองของพนักงาน และความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลและระบบออนไลน์</p>
สุรศรี วงษ์วาท
สืบชาติ อันทะไชย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
203
216
-
การพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายมรดกให้กับประชาชนในพื้นที่ องค์การบริหารส่วนตำบลขามป้อม อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/281862
<p>การวิจัยเรื่อง การพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายมรดกให้กับประชาชนในพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลขามป้อม อำเภอพระยืน จังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความต้องการรับรู้ของประชาชนด้านกฎหมายมรดก และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกฎหมายมรดกให้กับประชาชน เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามและประเด็นการสัมภาษณ์เชิงลึก ทำการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 325 คน จากสูตรคำนวณของ ทาโร ยามาเน และกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 12 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพื้นฐานเพื่อหาค่า ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา<br /> ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายมรดกของประชาชนในภาพรวมพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายมรดกพบว่าอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 3.277) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านความต้องการพัฒนาความรู้กฎหมายมรดกอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 3.659) รองลงมาได้แก่ ด้านการเข้าถึงข้อมูลกฎหมายมรดกอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 3.635) และด้านผลกระทบจากกฎหมายมรดกอยู่ในระดับปานกลาง (= 3.228) ตามลำดับ</p> <p> ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับกฎหมายมรดกให้กับประชาชน พบว่า มี 5 แนวทาง คือ 1) การสร้างความร่วมมือระหว่างหลักสูตรกับองค์กรปกครองปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกำหนดกิจกรรมและแนวทางการพัฒนาร่วมกันอย่างเป็นระบบ 2) การให้ความรู้ทางกฎหมายมรดกแก่ประชาชนที่หลากหลายและเข้าถึงได้ง่าย 3) การจัดกิจกรรมพัฒนาความสามารถด้านกฎหมายให้กับประชาชนและผู้นำชุมชน 4) การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายมรดกและกฎหมายที่สำคัญ ที่เข้าถึงได้ง่าย และ 5) จัดตั้งศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายมรดกหรือกฎหมายทั่วไปในชุมชน</p>
หทัยวรรณ ธัญญพาณิชย์
ประมุข ศรีชัยวงษ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
217
227
-
แนวทางการส่งเสริมความรู้เพื่อปลอดบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบ ของนักศึกษาและบุคลากร วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/280688
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับอันตรายของการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบในวิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย 2) สำรวจความคิดเห็นของนักศึกษาเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และ 3) เผยแพร่ข้อมูลเพื่อสร้างความตระหนักรู้ วิธีวิจัยแบบกึ่งทดลอง รูปแบบ One Group Pre-Test and Post-Test ประกอบด้วยการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากนักศึกษา 124 คน การสนทนากลุ่ม (Focus Group) จัดขึ้นจำนวน 7 กลุ่ม กลุ่มละประมาณ 6–7 คน รวมทั้งสิ้น 47 คน โดยแบ่งเป็นนักศึกษา 35 คน และบุคลากร 12 คน เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกจากมุมมองที่หลากหลาย และสามารถจัดการการสนทนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมความรู้ผ่านช่องทางออนไลน์ เครื่องมือวิจัยได้แก่ แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ 0.812 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติ Paired t-test เพื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการดำเนินโครงการ พบว่า คะแนนหลังการเข้าร่วมกิจกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในทุกด้าน ได้แก่ ความรู้ (t = 12.67), ทัศนคติ (t = 11.32), พฤติกรรม (t = 6.89), ช่องทางการสื่อสาร (t = 5.02) และกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืน (t = 4.87) ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า สื่อสังคมออนไลน์ เช่น TikTok, Facebook และ Line มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น การอบรม การใช้วิทยากรต้นแบบ และการส่งเสริมกิจกรรมทางเลือก เช่น กีฬา ช่วยลดพฤติกรรมการใช้บุหรี่ไฟฟ้า งานวิจัยชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของสื่อดิจิทัลและความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน รวมถึงเสนอให้มีการบังคับใช้กฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจังในระดับชาติ</p>
ชีวิน อ่อนละออ
วีณา อิศรางกูร ณ อยุธยา
สุทธินันท์ บุญมี
สวิตา อ่อนละออ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
228
241
-
สภาพความต้องการจำเป็นและแนวทางการพัฒนาผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271748
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา และ 2) แนวทางการพัฒนาผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหาร และครูผู้สอนในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น จำนวน 84 โรงเรียน ประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 184 คน ครูจำนวน 3,336 คน รวมทั้งสิ้น 3,520 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ผู้บริหาร 84 คน ครูผู้สอน 270 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 354 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ของผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา อยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.98 (2) แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างแนวทางการพัฒนาผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็น ประเมินแนวทางโดยใช้ค่าเฉลี่ย</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p> 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น พบว่า สภาพปัจจุบันของผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง สภาพที่พึงประสงค์ของผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นของการพัฒนาผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ย 0.87 2) แนวทางการพัฒนาผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในสถานศึกษา ประกอบ 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จำนวน 4 แนวทาง ด้านที่ 2 ด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อการเรียนการสอน จำนวน 3 แนวทาง ด้านที่ 3 ด้านการสร้างความร่วมมือกับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน จำนวน 3 แนวทาง และผลการประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ ของแต่ละแนวทางอยู่ในระดับ มากที่สุด</p>
วีระชน แสงศรีเรือง
ยุทธศาสตร์ กงเพชร
นิยดา เปี่ยมพืชนะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
242
256
-
ประสบการณ์ลูกค้าที่ส่งผลต่อความพึงพอใจ การบอกต่อ และความตั้งใจซื้อซ้ำ ของธุรกิจร้านกาแฟประเภทแฟรนไชส์ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/281978
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของประสบการณ์ลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้า การบอกต่อ และความตั้งใจซื้อซ้ำของธุรกิจร้านกาแฟประเภทแฟรนไชส์ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของประสบการณ์ลูกค้าที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อซ้ำ โดยมีความพึงพอใจของลูกค้าและการบอกต่อ เป็นตัวแปรส่งผ่าน 3) เพื่อหาแนวทางปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าของธุรกิจร้านกาแฟประเภทแฟรนไชส์ ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ สร้างการบอกต่อ และกลับมาซื้อซ้ำ การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยรูปแบบผสม แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ระยะที่ 1 การวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากผู้บริโภคที่เคยใช้บริการร้านกาแฟประเภทแฟรนไชส์ในเขตเทศบาลนครอุดรธานี ได้แก่ คาเฟ่ อเมซอน อินทนิล และพันธุ์ไทย จำนวน 400 คน ผ่านแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์สมการโครงสร้างแบบกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน (PLS - SEM) ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริโภคดังกล่าว จำนวน 6 คน และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับประสบการณ์ลูกค้า ความพึงพอใจของลูกค้า การบอกต่อ และความตั้งใจซื้อซ้ำ อยู่ในระดับมากทุกด้าน ประสบการณ์ลูกค้ามีอิทธิพลต่อความพึงพอใจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความพึงพอใจทำหน้าที่ส่งผ่านอิทธิพลจากประสบการณ์ลูกค้าสู่การบอกต่อและความตั้งใจซื้อซ้ำ สะท้อนความพึงพอใจของลูกค้าในระดับสูง ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ร้านกาแฟประเภทแฟรนไชส์มีจุดแข็งด้านความสะดวก ในการเข้าใช้บริการ ขั้นตอนการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการให้บริการ อย่างไรก็ตาม ลูกค้ายังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความไม่สม่ำเสมอของรสชาติและการให้บริการของพนักงาน ร้านควรรักษามาตรฐานด้านรสชาติและการให้บริการที่เป็นมิตรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อส่งเสริมให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ บอกต่อ และกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง</p>
ณัฐพร โอนอ่อน
สืบชาติ อันทะไชย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
257
270
-
แนวทางการพัฒนาทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/278801
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของแนวทางการพัฒนาทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม 2) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยทั้งหมดจำนวน 201 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 50 คน ครูหัวหน้าฝ่ายงาน จำนวน 151 คน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบตอบสนองคู่ (Dual Response Format) ชนิด 5 ระดับ เครื่องมือแบบสัมภาษณ์มีโครงสร้าง และแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ของทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความต้องการจำเป็นของการพัฒนาทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม โดยภาพรวม มีค่าดัชนีความต้องการจำเป็น PNI<sub>Modified</sub> = 0.198 เมื่อพิจารณารายด้าน เรียงลำดับ ความต้องการจำเป็นจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศ หรือ AI รองลงมา ด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรม ทักษะด้านการสื่อสาร และด้านการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา ตามลำดับ และ 2) แนวทางการพัฒนาทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม มีทั้งหมด 4 ด้าน 12 แนวทาง มีความเหมาะสม และความเป็นไปได้ เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนาทักษะในอนาคตของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษามหาสารคาม มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
วิสิฐศักดิ์ จันตะคุณ
กุหลาบ ปุริสาร
อาทิตย์ ฉัตรชัยพลรัตน์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
271
285
-
Inclusive Teaching for Children with Disabilities in Early Childhood Education Settings
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/276103
<p>Inclusive education is essential for all children, including those with disabilities, providing equal opportunities for learning in age-appropriate, mainstream settings. Despite legal frameworks and pedagogical advancements promoting inclusivity, challenges persist in early childhood education settings regarding the effective integration of children with disabilities. This article reviews current literature and recent surveys to evaluate the effectiveness of inclusive teaching practices. It critically analyzes the barriers to implementing these practices within early childhood educational environments and examines the role of various stakeholders, including educators, families, and policymakers, in fostering inclusivity. Research highlights the importance of early intervention and tailored educational strategies to support the cognitive and social development of children with disabilities. However, issues such as learning segregation, insufficient educator support, and systemic barriers continue to hinder the full integration of these children into mainstream classrooms. Surveys conducted by the Children and Young People with Disability Australia (CYDA, 2023) reveal significant gaps in inclusive educational settings. To overcome these challenges, the article suggests enhancing educator training, improving curriculum designs to accommodate diverse learning needs, and increasing collaboration with families to create personalized learning plans. Moreover, it emphasizes the need for more vigorous legal enforcement of existing standards and more robust advocacy to ensure that all children receive equitable educational opportunities regardless of their abilities. This paper calls for a multidimensional approach that includes policy reform, community engagement, and pedagogical innovation to create more inclusive early childhood education settings that accommodate and celebrate diversity in learning abilities and styles.</p>
Pitak Jongnantawat
Yupharat Phumikari
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
286
295
-
The Impact of Social Media Influencers’ Attributes on Generation Z’s Online Fast-Fashion Purchase Decisions in Ho Chi Minh City, Vietnam: The Mediating Roles of Brand Awareness and Electronic Word-of-Mouth
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/281873
<p>In the era of digital commerce, social media influencers (SMIs) play a pivotal role in shaping consumer behavior, particularly among Generation Z—an audience known for their digital fluency and affinity for fast-fashion consumption. The main objective of this study was to examine the impact of social media influencers’ attributes on Gen Z’s online fast-fashion purchase decisions, with brand awareness and electronic word-of-mouth serving as mediating variables. Although prior research has underscored the direct impact of SMIs on online fast-fashion purchase decisions, there remained a paucity of studies that systematically examined the underlying mechanisms that drove this influence. Specifically, little was known about the mediating roles played by brand awareness (BAW) and electronic word-of-mouth (eWOM) in this relationship. This study adopted a quantitative research approach, collecting primary data from 522 Gen Z consumers residing in Ho Chi Minh City, Vietnam, all of whom had made at least one online fast-fashion purchase within the past three months. The data were collected using an online questionnaire designed on Google Forms. The research framework integrated structural equation modeling (PLS-SEM) to assess the causal relationships among the key constructs: SMIs' attributes (trustworthiness, expertise, attractiveness), brand awareness, eWOM, and Online Fast-Fashion Purchase Decisions (OPD). Confirmatory factor analysis (CFA) was used to validate the measurement model, followed by path analysis to test direct and indirect effects. The empirical findings demonstrated that SMIs exert a statistically significant influence on Online Fast-Fashion Purchase Decisions both directly and indirectly. Notably, the total effect of SMIA on OPD (β = 0.762, p < 0.001) was predominantly driven by two indirect paths via brand awareness (SMIA → BAW → OPD: β = 0.204) and electronic word-of-mouth (SMIA → eWOM → OPD: β = 0.278). Among the influencer attributes, trustworthiness and expertise emerged as the most influential dimensions. Furthermore, both BAW and eWOM were validated as significant mediating variables, enhancing the explanatory power of the overall model (R² for OPD = 0.682). This study provided robust evidence that the impact of SMIs on Gen Z's online purchase behavior was multifaceted and significantly mediated by brand-related perceptions and peer-driven digital communication.</p>
Nguyen Ai Nhat Trinh
Subchat Untachai
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-29
2025-09-29
15 3
296
310