วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj <p><span data-sheets-value="{&quot;1&quot;:2,&quot;2&quot;:&quot;วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือน กันยายน – ธันวาคม) รับพิจารณาบทความในด้านบริหารธุรกิจ การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และนิติศาสาตร์ &quot;}" data-sheets-userformat="{&quot;2&quot;:513,&quot;3&quot;:{&quot;1&quot;:0},&quot;12&quot;:0}"> วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกปีละ 4 ฉบับ เริ่ม ฉบับที่ 1 ปีที่ 12 พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป (ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – มีนาคม ฉบับที่ 2 ประจำเดือน เมษายน - มิถุนายน ฉบับที่ 3 ประจำเดือน กรกฎาคม - กันยายน และฉบับที่ 4 ประจำเดือน ตุลาคม - ธันวาคม) เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ ในด้านบริหารธุรกิจ การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และนิติศาสตร์<br /> บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)<br /></span></p> th-TH neuarj@neu.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกอร บุญมี) neuarj@neu.ac.th (ดร.สัมฤทธิ์ ศิริคะเณรัตน์) Fri, 24 May 2024 16:31:10 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ความสำคัญของการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startup) ในยุคสังคม 5.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270260 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน ทางปัญญาและเครื่องหมายการค้า และ (2) เพื่อศึกษาความสำคัญของการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ทอัพ (Startup) ในยุคสังคม 5.0 ภายใต้การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสังคม 5.0 โลกธุรกิจเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการพัฒนาของเทคโนโลยีทันสมัยที่ถูกนำมาประยุกต์กับภาคธุรกิจทั้งหลายและส่งเสริมการเกิดธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ ๆ ที่มีมูลค่า อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสตาร์ทอัพอาจเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องหมายการค้าซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือสื่อสารไปยังผู้บริโภคสามารถช่วยให้ธุรกิจสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย และสร้างความแตกต่างจนเป็นที่จดจำของผู้บริโภค ธุรกิจสตาร์ทอัพควรจดทะเบียนครื่องหมายการค้าอย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการถูกละเมิดการใช้เครื่องหมายการค้าจากบุคคลที่สามซึ่งอาจนำเครื่องหมายการค้าไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าหรือสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของธุรกิจ</p> นงลักษณ์ เพิ่มชาติ, อภิเชษฐ์ ขำเลิศ, ปิรันธ์ ชิณโชติ, อภิลักษณ์ ธรรมวิมุตติ, ถิรวุฒิ แสงมณีเดช Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270260 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 ความสามารถเชิงพลวัตด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและวัฒนธรรมองค์กร มีผลต่อผลการดำเนินงานขององค์กร: เอกสารเชิงหลักการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271802 <p>การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์กร ยังเป็นกังวลสำหรับผู้บริหารองค์กรว่า การลงทุนในเทคโนโลยีสารสนเทศเทศเพื่อสร้างความคุ้มค่าหรือสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและนำไปสู่ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นหรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่ควรศึกษาว่า ปัจจัยความสามารถเชิงพลวัตด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และปัจจัยวัฒนธรรมองค์กร นั้นมีผลต่อการดำเนินงานขององค์กรหรือไม่ ดังนั้น บทความวิชาการนี้จึงมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถเชิงพลวัตด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ วัฒนธรรมองค์กร และผลการดำเนินงานขององค์กร และ 2) เพื่อสร้าง ตัวแบบความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถเชิงพลวัตด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ วัฒนธรรมองค์กร และผลการดำเนินงานขององค์กร จากการทบทวนวรรณกรรม จึงได้ตัวแปรและปัจจัยสังเกตได้ ดังนี้ การวัดผลการดำเนินงานได้จาก 2 ปัจจัย คือ การรับรู้ผลการดำเนินงานทางการเงิน และการรับรู้ผลการดำเนินงาน ทางการตลาด การวัดความสามารถเชิงพลวัตด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้จาก 4 ปัจจัย คือ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านทรัพยากรมนุษย์ ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน และการออกแบบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่ และสำหรับวัฒนธรรมองค์กร ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม วัฒนธรรมเอกภาพ วัฒนธรรมการปรับตัว และ วัฒนธรรมพันธกิจ</p> ศิริพัฒน์ ศรีจันทร์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271802 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 Building A Sustainable Future: The Rise of Sustainable Supply Chain Practices https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270051 <p>The convergence of business and sustainability needs a fundamental shift in viewpoint, combining social and environmental responsibilities with economic goals. At the heart of this transition is the rise of sustainable supply chains, which function as catalysts for increasing resilience and competitiveness while clearing a path for ethical business practices. Sustainable supply chains are identified as a crucial driver, promoting resilience, competitive advantage, and ethical practices. The paper explores the various factors pushing companies to adopt sustainable supply chain approaches, such as customer demand, regulations, and environmental concerns. The broad range of opportunities and difficulties associated with this transformative path are managed through an emphasis on essential principles. These principles include operational efficiency, sustainable sourcing practices, and active stakeholder engagement. Strategic evaluations prioritize quantifiable benefits such as cost reduction, enhanced brand equity, and competent risk management to determine the suitability of transitioning to a sustainable supply chain model. Finally, this essay calls for the incorporation of technological innovation and collaborative efforts to develop a conscious ecosystem in which companies, stakeholders, and the environment may all prosper. The paper concludes by advocating for the integration of technological advancements and collaborative partnerships to establish a responsible ecosystem where businesses, stakeholders, and the environment can thrive.</p> Kittinun Makprang Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270051 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การจัดการเรียนรู้ด้วยนวัตกรรมการเรียนรู้บนเครือข่ายตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ (Edulearn) ร่วมกับ E-Board Game เพื่อส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ เรื่องระบบหายใจ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267940 <p>การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนที่ได้จากแบบวัดการคิดวิเคราะห์ 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ บนเครือข่าย ตามแนวคอนสตรัคติวิสต์ (Edulearn) ร่วมกับ E-board game ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (มอดินแดง) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 131 คน และกลุ่มตัวอย่าง ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 1 ห้อง คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 จำนวน 38 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 6 แผน แผนละ 50 นาที แบบวัดการคิดวิเคราะห์ แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงบรรยาย คือ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การคิดวิเคราะห์ของนักเรียน โดยอาศัยกรอบแนวคิดของ Bloom B.S. (1956) นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ประกอบด้วย การพิจารณาความสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงสุด 6.53 (S.D.= 1.03) รองลงมาคือ การจำแนกส่วนประกอบ มีค่าเฉลี่ย 4.89 (S.D.= 0.99) การพิจารณาข้อสรุป มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.84 (S.D.= 0.82) และ 2) ความคิดเห็นของนักเรียน พบว่า ด้านเนื้อหา ผู้เรียนมีความคิดเห็นว่า เนื้อหามีความทันสมัย กระตุ้นให้อยากค้นคว้าหาความรู้อย่างต่อเนื่อง อยู่ในระดับมากที่สุด ( <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.84)</p> เอกราช ถ้ำกลาง, วีรวิชญ์ คำอ่อน, ธนะภัศล์ เฮ้าส์ทาคุณาพาณิชย์, ภณอนงค์ จันทร์เทศ, วัชราภรณ์ ถ้ำกลาง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267940 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 การจัดกิจกรรมโยคะเชิงสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมสมรรถภาพกายของเด็กปฐมวัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/268492 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถภาพทางกายของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมโยคะเชิงสร้างสรรค์ 2) เพื่อเปรียบเทียบสมรรถภาพทางกายของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมโยคะเชิงสร้างสรรค์ กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กชาย - หญิงอายุระหว่าง 4 - 5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนหนองแข้วิทยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 จำนวน 15 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ 1) แผนการจัดกิจกรรมโยคะเชิงสร้างสรรค์ 2) แบบทดสอบสมรรถภาพทางกายของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละความก้าวหน้า (1) ระดับสมรรถภาพทางกายของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมโยคะเชิงสร้างสรรค์อยู่ในระดับดีมาก ( <img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" />= 42.47) และเมื่อแยกเป็นรายด้านพบว่า ด้านการทรงตัวอยู่ในระดับดีมาก ( <img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" />= 13.87) ด้านความคล่องแคล่วว่องไวอยู่ในระดับดีมาก ( <img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" />= 14.33) และด้านความอ่อนตัวอยู่ในระดับดีมาก ( <img title="\mu" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\mu" />= 14.27) (2) สมรรถภาพทางกายของเด็กปฐมวัยหลังการจัดกิจกรรมโยคะเชิงสร้างสรรค์ พบว่าเด็กปฐมวัยมีสมรรถภาพทางกายสูงขึ้นในทุก ๆ ด้าน โดยมีค่าร้อยละของความก้าวหน้าเท่ากับ 54.53</p> กุลสตรี อัศวภูมิ, พีระพร รัตนาเกียรติ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/268492 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาปัญหาและกำหนดกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย(NPA) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่วนบริหารหนี้เขตชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269983 <p>การศึกษาปัญหาและกำหนดกลยุทธ์เพื่อเพิ่มยอดการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย(NPA) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่วนบริหารหนี้เขตชลบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา 2) ศึกษากระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้า 3) แนวทางการกำหนดกลยุทธ์ในการบริหารจัดการทรัพย์สินรอการขาย(NPA) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เป็นการวิจัยเชิงผสานวิธี จากการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยใช้วิธีแบบเจาะจง พนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่วนบริหารหนี้เขตชลบุรี จำนวน 5 คน และการเก็บข้อมูล เชิงปริมาณ แบบสอบถามออนไลน์ จากกลุ่มตัวอย่างลูกค้าที่สนใจซื้อทรัพย์สินรอการขาย(NPA) ซึ่งไม่ทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน จึงใช้การสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก โดยใช้สูตรการคำนวณกรณีไม่ทราบประชากรที่แน่นอน จำนวน 200 คน พบว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ คือ นักลงทุน พนักงานบริษัท ข้าราชการ/หรือรัฐวิสาหกิจ และผู้ที่ทำงานในหน่วยงานที่มีสวัสดิการกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ต้องการซื้อบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโด ราคา 1,000,001-3,000,000 บาท ซื้อเพื่อลงทุนและเป็นที่อยู่อาศัย ให้ความสำคัญกับทำเล เงื่อนไขสินเชื่อที่มีระยะเวลาผ่อนนาน สำหรับอุปสรรคในการจำหน่ายทรัพย์ คือ ปัญหาผู้บุกรุก และทรัพย์สินบางรายการทรุดโทรม ทำให้ขายออกยาก จากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาการเพิ่มยอดจำหน่าย พบสาเหตุสำคัญ 3 ประการ คือ 1) ด้านผลิตภัณฑ์ ทรัพย์บางรายการทรุดโทรม ไม่พร้อมเข้าใช้ประโยชน์ทันที ต้องซ่อมแซมอาจใช้เวลานานและงบประมาณสูง 2) ด้านราคา สืบเนื่องมาจากความทรุดโทรมของทรัพย์ หากยังต้องซ่อมแซม จะเท่ากับว่าได้ทรัพย์นั้นมาในราคาสูง 3) ด้านบุคลากร ในที่นี้คือบริษัทฯ ที่ดูแลทรัพย์มีจำนวนน้อย ดูแลทรัพย์ได้ไม่ทั่วถึง จากการศึกษากระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในการเลือกและตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ส่วนใหญ่ คือ นักลงทุนต้องการซื้อเพื่อนำไปขายต่อ และลูกค้ากลุ่มพนักงานที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัย ตัดสินใจเลือกซื้อ คือ 1) ทรัพย์มีให้เลือกหลายประเภท หลายทำเล ราคาไม่สูงมากเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินอื่น 2) มีระยะเวลาผ่อนดาวน์นาน 48 งวด 3) มีการส่งเสริมการขายจัดโปรโมชั่นลดราคา 4) มีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้สะดวกและง่ายต่อการเลือกซื้อ สำหรับกลยุทธ์ การเพิ่มยอดจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1) การจัดโปรโมชั่นให้เรื่องที่ตรงความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย กลยุทธ์ลำดับที่ 2) เพิ่มการสื่อสารการตลาดออนไลน์โดยใช้ Social Media Marketing ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กลยุทธ์ลำดับที่ 3) สำรวจทรัพย์และดำเนินการให้ทรัพย์อยู่ในสภาพพร้อมขาย กลยุทธ์ลำดับที่ 4) เลือกประมูลทรัพย์ที่มีสภาพดี และกลยุทธ์ลำดับที่ 5) ลดราคาหรือจัดโปรโมชั่นหรือให้เงื่อนไขพิเศษสำหรับทรัพย์ที่ทรุดโทรมมาก</p> ปทิตตา น้อยรปราณี, จรัชวรรณ จันทรัตน์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269983 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270769 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็น และ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 306 คน จากการเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน โดยสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็น PNI<sub>modified</sub> และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัจจุบันภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษาโดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนความต้องการจำเป็นเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการสื่อสารและสร้างเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้ ด้านการเป็นพลเมืองยุคดิจิทัล ด้านการพัฒนาสู่ความเป็น มืออาชีพด้านดิจิทัล ด้านการบริหารและการจัดการเรียนรู้ด้วยดิจิทัล ด้านการสร้างวัฒนธรรมและบรรยากาศ การเรียนรู้ยุคดิจิทัล และด้านการมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 ทั้ง 6 ด้าน มีแนวทางการพัฒนาด้านละ 3 แนวทาง รวมทั้งหมด 18 แนวทาง ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> สิรินาฎ ภารพักตร์, ธนาศักดิ์ ศิริปุณยนันท์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270769 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270760 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 และ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 3 วิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 306 คน จากการเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน โดยสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ และสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นเรียงลำดับรายด้านจากมากไป หาน้อย ดังนี้ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม ด้านการสร้างบรรยากาศแห่งนวัตกรรม ด้านการมีกลยุทธ์เชิงนวัตกรรมด้านการมีวิสัยทัศน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง และด้านการทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม และ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษาทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย 15 แนวทาง ได้แก่ 1) ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม 3 แนวทาง 2) ด้านการสร้างบรรยากาศแห่งนวัตกรรม 3 แนวทาง 3) ด้านการมีกลยุทธ์เชิงนวัตกรรม 3 แนวทาง 4) ด้านการมีวิสัยทัศน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง 3 แนวทาง และ 5) ด้านการทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม 3 แนวทาง ผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำไปใช้อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ปนัดดา บุญโสภณ, ธนาศักดิ์ ศิริปุณยนันท์, วีระพงษ์ เทียมวงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270760 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ เรื่อง รอบรู้ภูมิศาสตร์ โดยใช้แผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269581 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบแผนผังความคิด กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน บ้านหนองคูไชยหนองขาม จำนวน 18 คน เครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน มีค่าตั้งแต่ 4.67 - 4.83 (2) แบบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ แบบเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ทั้ง 2 วงจร มีค่าความยาก ตั้งแต่ 0.30 - 0.80 มีค่าอำนาจจำแนก ตั้งแต่ 0.42 - 0.83 และ 0.42 - 0.75 และ มีค่าความเชื่อมั่น มีค่าเท่ากับ 0.94 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดำเนินการวิจัยแบบวิจัยปฏิบัติการ ทั้งหมด 2 วงจรปฏิบัติการ<br />ผลการวิจัยพบว่า ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังจากผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบแผนผังความคิด ในวงจรปฏิบัติการที่ 1 นักเรียนมีคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ เท่ากับร้อยละ 61.48 อยู่ในระดับพอใช้ โดยมีนักเรียนที่คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 จำนวน 9 คน และวงจรปฏิบัติการที่ 2 ผู้วิจัยได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดแทรกเทคนิคการสอนมุ่งเน้นการทำงานเป็นกลุ่มและใช้สื่อสังคมออนไลน์เข้ามาช่วยในการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ทำให้นักเรียนมีคะแนนทักษะการคิดวิเคราะห์ถึงเกณฑ์ร้อยละ 70 ครบทุกคน เท่ากับร้อยละ 84.81 อยู่ในระดับดี ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง รอบรู้ภูมิศาสตร์ โดยใช้แผนผังความคิดร่วมกับการทำงานกลุ่มในวงจรปฏิบัติการที่ 2 ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ทางการเรียนได้ขึ้น</p> กนกพลอย มีชาญ, ปิยลักษณ์ โพธิวรรณ, ทัชชวัฒน์ เหล่าสุวรรณ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269581 Fri, 24 May 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูปฐมวัย ในศูนย์พัฒนาเด็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271801 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น 2) สร้างแนวทางการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูปฐมวัย ในศูนย์พัฒนาเด็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น ระเบียบวิธีการวิจัยสถิติเชิงพรรณา กลุ่มตัวอย่างเป็น ครู 220 คน กำหนดขนาดโดยใช้สูตร Taro Yamane ที่ความคลาดเคลื่อน .05 สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับ ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC เท่ากับ 0.60-1.00 ค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับ 0.97 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและ ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูปฐมวัย ในศูนย์พัฒนาเด็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น สภาพปัจจุบันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวม อยู่ในระดับ มากที่สุด 2) สรุปแนวทางพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูปฐมวัย ในศูนย์พัฒนาเด็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น มี 3 แนวทาง 6 ประเด็นย่อย 23 กิจกรรม</p> สุรีย์ลักษณ์ รักษาเคน, ทัศนีย์ นาคุณทรง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271801 Tue, 11 Jun 2024 00:00:00 +0700 กฎหมายต้นแบบว่าด้วยการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269057 <p>การวิจัยนี้ศึกษาและวิจัยเรื่องกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) แนวคิดและหลักการที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ (2) มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศของกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายต่างประเทศ และกฎหมายประเทศไทย (3) วิเคราะห์ปัญหาการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ (4) แนวทางจัดทำกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก<br />ผลการวิจัยพบว่า จากการใช้แนวคิด หลักการ และทฤษฎีในการวิเคราะห์เกี่ยวกับกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศพบว่า ประเทศไทยไม่มีกฎหมายซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทยจึงต้องใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะซื้อขายบังคับ แต่โดยที่กฎหมายไทยดังกล่าวไม่สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติอันเป็นที่นิยมกันในการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศจึงมีอุปสรรคต่อนักธุรกิจชาวไทยที่ทำสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศกับนักธุรกิจของประเทศอื่นซึ่งเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ<br />ดังนั้น การวิจัยครั้งนี้จึงได้เสนอกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ โดยมีโครงสร้างกฎหมายประกอบด้วย (1) คำนิยาม (2) หมวด 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป (3) หมวด 2 การโอนกรรมสิทธิ์ (4) หมวด 3 หน้าที่ความรับผิดของผู้ขาย (5) หมวด 4 ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่อง (6) หมวด 5 หน้าที่ของผู้ซื้อ และ (7) หมวด 6 การเลิกสัญญา</p> วัฒนา คณาวิทยา, รุ่งแสง กฤตยพงษ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269057 Tue, 11 Jun 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานโดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับการใช้อินโฟกราฟิกของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270266 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานและอินโฟกราฟิกของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาอุตสาหกรรมศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เพื่อศึกษาทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาอุตสาหกรรมศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่มีต่อการพัฒนาทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานโดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับการใช้อินโฟกราฟิก กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาอุตสาหกรรมศิลป์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 18 คน ด้วยวิธีการเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานและอินโฟกราฟิกของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 14 แผน แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน จำนวน 60 ข้อ และ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานและอินโฟกราฟิกของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 18 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าที<br /><strong>ผลการวิจัยพบว่า <br /></strong>1) คุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานและอินโฟกราฟิกของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จากผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.58) และเมื่อทดลองกับกลุ่มเป้าหมายมีประสิทธิภาพ 73.69/79.81 เป็นไปตาม 70/70<br />2) กลุ่มเป้าหมายมีทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />3) กลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะความปลอดภัยในการปฏิบัติงานโดยการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ร่วมกับการใช้อินโฟกราฟิกในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.23)</p> มารุดิศ วชิรโกเมน, พิชญ์นันท์ รักษาวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270266 Sat, 29 Jun 2024 00:00:00 +0700 รูปแบบการเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271367 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการเรียนรู้และความสัมพันธระหวางระดับชั้นปกับรูปแบบการเรียนรู้แบบวาร์ค ของนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ โดยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 - 3 ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวนทั้งสิ้น 107 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบรูปแบบการเรียนรู้ของวาร์ค วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยายและ สถิติไคสแควร์ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบเดี่ยว ร้อยละ 79.44 ซึ่งในรูปแบบการเรียนรู้แบบเดี่ยว ผู้เรียนส่วนใหญ่เรียนรู้ได้ดีผ่านการเคลื่อนไหว หรือการลงมือปฏิบัติ ร้อยละ 40.00 รองลงมาได้แก่ ผ่านการฟังร้อยละ 29.41 การเรียนรู้ผ่านการอ่านหรือเขียน ร้อยละ 23.53 และ ผ่านการมอง ร้อยละ 7.06 ส่วนระดับชั้นปีมีความสัมพันธ์กับรูปแบบการเรียนรู้อย่างไม่มีนัยสำคัญ (p&gt;0.05)<br />ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบเดี่ยวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 79.44 รองลงมาเป็นเรียนรู้แบบสองลักษณะ คิดเป็นร้อยละ 15.89 เรียนรู้แบบสามลักษณะ คิดเป็นร้อยละ 2.80 และ เรียนรู้แบบผสมผสาน คิดเป็นร้อยละ 1.87 ตามลำดับ กลุ่มตัวอย่างที่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบเดี่ยว ส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้แบบการเคลื่อนไหว (Kinesthetic: K) มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 40.00 รองลงมาเป็นการฟัง (Aural/Auditory: A) คิดเป็นร้อยละ 29.41 การอ่านหรือเขียน (Read/Write: R) คิดเป็นร้อยละ 29.41 และการมอง (Visual: V) คิดเป็นร้อยละ 7.06 ตามลำดับ</p> อุมากร สุวนันทวงศ์, พัดชา ไชยสำแดง, ณฤดี ชลชาติบดี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271367 Sat, 29 Jun 2024 00:00:00 +0700 องค์ประกอบและรูปแบบการสื่อสารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรณีศึกษา กองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271383 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการสื่อสารในการปฏิบัติงานของบุคลากร 2) เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารภายในองค์กร 3) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร 4) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการสื่อสารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร และ 5) เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร กรณีศึกษา กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กลุ่มตัวอย่างคือ ข้าราชการตำรวจกองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน 231 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบของการสื่อสารภายในองค์กรของบุคลากร ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านผู้รับสารเป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ย สูงที่สุด 2) รูปแบบการสื่อสารภายในองค์กรของบุคลากร ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านการสื่อสารแบบแนวไขว้เป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด 3) ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านเวลาเป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด และผลการทดสอบสมมติฐาน 4) องค์ประกอบของการสื่อสาร ได้แก่ ด้านผู้รับสาร ด้านช่องทางการสื่อสาร และด้านข้อมูลข่าวสาร ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร และ 5) รูปแบบการสื่อสาร ได้แก่ ด้านการสื่อสารแบบแนวไขว้ ด้านการสื่อสารแบบแนวนอน และด้านการสื่อสารแบบบนลงล่าง ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร ดังนั้นผู้รับสารต้องมีทักษะการเป็นผู้ฟังที่ดีโดยองค์กรควรใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการติดต่อสื่อสารในหน่วยงานเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว รวมทั้งควรใช้รูปแบบการสื่อสารให้เหมาะในแต่ละครั้งเพื่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร</p> สุลักษณา สีคำ, ยุทธนาท บุณยะชัย, อาภรณีน์ อินฟ้าแสง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271383 Sat, 29 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความพึงพอใจในงานและรูปแบบการสื่อสารในองค์การส่งผลต่อประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ในเขตกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270859 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในงานของพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารในองค์การของพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ในเขตกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ในเขตกรุงเทพมหานคร 4) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ในเขตกรุงเทพมหานคร 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในงานและรูปแบบการสื่อสารในองค์การส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 100 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบ T-test วิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว และสถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ความพึงพอใจในงานด้านเพื่อนร่วมงาน รูปแบบการสื่อสารในองค์การ รูปแบบการสื่อสารสองทาง และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานด้านเวลาในการทำงาน ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของพนักงาน 2) พนักงานที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมภาพแตกต่างกัน ส่วนพนักงานที่มีเพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา และตำแหน่งงาน มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมไม่แตกต่างกัน จากผลการวิจัย ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะ 1) ผู้จ้างควรคำนึงถึงการจ่ายค่าจ้าง หรือผลตอบแทนจากการปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับงานที่มอบหมายให้กับพนักงานหรือให้สวัสดิการต่าง ๆ แทนการขึ้นค่าจ้างหรือผลตอบแทนที่มาจากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว 2) ผู้จ้างควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารให้มาก โดยจัดให้มีการประชุมในแต่ละฝ่าย เพื่อให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการรับรู้ถึงปัญหา การแก้ไขปัญหา การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมายเพิ่มความสะดวกในการติดต่อสื่อสารเพื่อเชื่อมโยงงานได้ง่ายขึ้น 3) จัดกิจกรรมพบปะสังสรรค์ สร้างบรรยากาศ การทำงานให้พนักงานแต่ละฝ่ายเกิดความคุ้นชินต่อกัน สร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน รวมไปถึงผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อเกิดปัญหาผู้บังคับบัญชาจะให้คำแนะนำกับผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงานในแผนกสามารถให้คำปรึกษาเกี่ยวกับงานที่ปฏิบัติอยู่ได้</p> อินทุอร แซ่คู, ทองฟู ศิริวงศ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270859 Sat, 29 Jun 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาการมีส่วนร่วมทางสื่อสังคมออนไลน์ของแบรนด์เครื่องสำอางไทยวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าผู้หญิงกลุ่มมิลเลนเนียล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270728 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการมีส่วนร่วมทางสื่อสังคมออนไลน์ ทัศนคติ และพฤติกรรมการซื้อ 2) ตรวจสอบความสอดคล้องของแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อ และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุของการมีส่วนร่วมทางสื่อสังคมออนไลน์ที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางของลูกค้าผู้หญิงกลุ่มมิลเลนเนียลทั้งทางตรงและทางอ้อม งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กำหนดตัวอย่างจำนวน 400 คน ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างโดยใช้หลักความน่าจะเป็นและการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความเบ้ ความโด่ง ตรวจสอบความสอดคล้องของแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุ โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันของตัวแปรทและทดสอบสมมติฐานด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยของตัวแปรอิสระรูปแบบคะแนนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า การมีส่วนร่วมทางสื่อสังคมออนไลน์ด้านการส่งต่อเนื้อหา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ทัศนคติในด้านการจูงใจ การถูกกระตุ้นความต้องการซื้อจากสื่อบันเทิงที่แบรนด์นำเสนอ อยู่ในระดับมากที่สุด และพฤติกรรมการซื้อที่พบสูงสุด คือ การเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าในด้านคุณภาพและราคา ซึ่งมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (p- value = 0.372) โดยการมีส่วนร่วมทางสื่อสังคมออนไลน์มีอิทธิพลทางตรงในเชิงบวกต่อทัศนคติของลูกค้า และมีอิทธิพลทางอ้อมในเชิงบวกต่อพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าโดยผ่านทัศนคติ สามารถนำไปส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางสื่อสังคมออนไลน์ของลูกค้าเพื่อให้เกิดการซื้อสินค้า โดยการใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และผู้มีอิทธิผลทางสื่อสังคมออนไลน์ในการนำเสนอเนื้อหาเพื่อดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่น กระตุ้นให้ลูกค้าเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน นำไปสู่การเกิดทัศนคติที่ดีต่อแบรนด์ เมื่อลูกค้ามีทัศนคติที่ดีต่อแบรนด์ จึงจะนำไปสู่การเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าของลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ พัฒนากลยุทธ์แบรนด์ได้</p> ดวงทิพย์ ปานรักษา, สุวรรณา เตชะธีระปรีดา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270728 Sat, 29 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการฝากขายบ้านกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ในโครงการ G H Bank Marketplace กรณีศึกษา กลุ่มลูกค้าบริหารหนี้ ภูมิภาคเขตประจวบคีรีขันธ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270026 <p class="s12">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงลักษณะของประชากรศาสตร์ แรงจูงใจ และส่วนประสม-ทางการตลาด ที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการฝากขายบ้านกับธนาคารอาคารสงคราะห์ ในโครงการ G H Bank Marketplace จากลูกค้าที่เคยใช้บริการ โครงการ G H Bank Marketplace ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ภูมิภาคเขตประจวบคีรีขันธ์ ทั้งหมดจำนวน 135 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และใช้สถิติอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวน และการวิเคราะห์ ถดถอยพหุคูณ โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 31–40 ปี ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ภูมิลำเนาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี รายได้ครอบครัวเฉลี่ยต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท ด้านแรงจูงใจ ได้แก่ ปัจจัยจูงใจจากภายใน และปัจจัยค้ำจุนจากภายนอก ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ลักษณะประชากรศาสตร์ ได้แก่ อาชีพและรายได้ครอบครัวเฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการฝากขายบ้านผ่านโครงการ G H Bank Marketplace ของกลุ่มลูกค้าบริหารหนี้ภูมิภาคเขตประจวบคีรีขันธ์ แตกต่างกัน ด้านแรงจูงใจ ได้แก่ ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุน ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการฝากขายบ้านผ่าน โครงการ G H Bank Marketplace ของกลุ่มลูกค้าบริหารหนี้ภูมิภาคเขตประจวบคีรีขันธ์ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ได้แก่ ปัจจัยด้านบุคลากร ส่งผลต่อ การตัดสินใจเลือกใช้บริการฝากขายบ้านผ่านโครงการ G H Bank Marketplace ของกลุ่มลูกค้าบริหารหนี้ภูมิภาคเขตประจวบคีรีขันธ์ ธนาคารสามารถนำผลงานมาพัฒนาโครงการ G H Bank Marketplace ให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดการขายบ้านมือสองได้ และยังสามารถนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาองค์กรเพื่อใช้ในการรองรับการตัดสินใจเลือกใช้บริการในโครงการ G H Bank Marketplace ของลูกค้าในอนาคต</p> นาตยา ศิริบุญโกศัย, สุทธาวรรณ จีระพันธุ ซาโต้ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270026 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพังงา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269628 <p>การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพังงา 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพังงา จำแนกตามเพศ ประสบการณ์ในการทำงานและขนาดสถานศึกษา 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าฝ่ายบริหารงานวิชาการ และครูผู้สอน ในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพังงา ประจำปีการศึกษา 2565 จำนวน 309 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย ตามวัตถุประสงค์ พบว่า 1) ระดับการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยภาพรวม การบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อจำแนกตามเพศของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษา มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อจำแนกตามขนาดสถานศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีดังนี้ ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา ด้านหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน ด้านการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ ด้านการพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษา</p> วัชราวลี เดชจูด Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269628 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตประจวบคีรีขันธ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270031 <p>การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากในปี 2566 ฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาค มีเป้าหมายในการจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) 2,790 ล้านบาท โดยเขตประจวบคีรีขันธ์ มีเป้าหมายตัวชี้วัด (KPI) จากฝ่ายบริหารหนี้ภูมิภาคซึ่งเป็นตัวชี้วัดตามแผนยุทธ์ศาสตร์ของฝ่าย จำนวน 298.20 ล้านบาท จากผลการดำเนินงาน ณ มิถุนายน 2566 มียอดจำหน่ายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) จำนวน 117.69 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 39.46 ของเป้าหมายทั้งหมด เพื่อให้บรรลุตามตัวชี้วัด (KPI) ของเขตประจวบคีรีขันธ์ ผู้ศึกษาจึงได้กำหนดวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตประจวบคีรีขันธ์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขาย (NPA)<br />ผลการศึกษา พบว่า 1) ลักษณะประชากรศาสตร์ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ มีอายุระหว่าง 31-40 ปี ร้อยละ 33.50 มีอาชีพเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 27.80 มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร้อยละ 36.90 ระดับการศึกษาปริญญาตรี ร้อยละ 60.80 และมีรายได้อยู่ระหว่าง 20,001 – 40,000 บาทร้อยละ 34.80 2) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยภาพรวม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.16 อยู่ในระดับมาก เมื่อแยกพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าด้านการส่งเสริมการตลาดมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.24 อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา ด้านลักษณะทางกายภาพ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.21 อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านบุคคล ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านกระบวนการมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ( <img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />=4.19, 4.15, 4.14, 4.13, และ 4.12) อยู่ในระดับมาก สำหรับการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้มีข้อเสนอแนะดังนี้คือ 1) ในด้านประชากรศาสตร์ สามารถนำข้อมูลดังกล่าว ไปใช้เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์ของธนาคารให้ตรงกับความต้องการผู้ใช้บริการทั้งใน ด้านการให้สินเชื่อดอกเบี้ย เพื่อแข่งขันกับธนาคารอื่นได้ 2) การศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) เพื่อให้ธนาคารสามารถขายทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ได้ตามเป้าหมาย ธนาคารต้องรักษามาตรฐานที่มีอยู่เพื่อ ให้มีการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มช่องทางในการประชาสัมพันธ์และการขายทรัพย์สินรอการขาย รวมถึงการให้พัฒนาบุคลากรของธนาคารให้มีความรู้ทักษะด้านการขายและบริการให้มีประสิทธิภาพ</p> วันทนา มุ่งหมาย, ลีลาวดี พัฒนรัชต์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270031 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยการมุ่งเน้นการตลาด การจัดการโซ่อุปทานสีเขียว และการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและการเงินที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์สำนักงานใหญ่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270035 <p>วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยการมุ่งเน้นการตลาด ปัจจัยการจัดการโซ่อุปทานสีเขียว และการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและการเงิน ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ จากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่ปฏิบัติงาน ณ สำนักงานใหญ่ จำนวน 400 คน โดยแบบสุ่มตามอัธยาศัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยการมุ่งเน้นการตลาด การจัดการโซ่อุปทานสีเขียว และการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมและการเงิน ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์สำนักงานใหญ่ สามารถสรุปได้ว่า การมุ่งเน้นลูกค้า การประเมินด้านสิ่งแวดล้อมและการเงิน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนการดำเนินงานสีเขียว ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ตามลำดับ ซึ่งตัวแปรอิสระทุกตัวร่วมกันพยากรณ์ตัวแปรตามมีค่าเท่ากับร้อยละ 48.4 (AdjR2 = .484)<br />ทั้งนี้ประโยชน์ที่ได้จากการค้นคว้าในครั้งนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงนโยบาย เช่น ภาครัฐบาลควรเน้นให้การสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนให้มีการจัดการฝึกอบรมด้านระบบการจัดการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเป็นการพัฒนากระบวนการผลิตภายในองค์การ ให้ดำเนินงานในทิศทางการสร้างความมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตลอดจน จัดการฝึกอบรมด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและนโยบายสาธารณะ เพื่อให้ได้ผลของการมุ่งเน้นการตลาด และการจัดการโซ่อุปทานสีเขียว ซึ่งเป็นการพัฒนาศักยภาพในการใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นให้กับผู้ประกอบการหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคธุรกิจ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความตระหนัก ความรู้ และความเข้าใจด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดขึ้นในกระบวนการดำเนินงานในภาคธุรกิจบริการและส่งผลให้องค์การมีศักยภาพในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และภาคเอกชนหรือผู้ประกอบการควรให้ความร่วมมือกับการส่งเสริมของภาครัฐ รับผิดชอบต่อสังคมที่อาจจะเกิดผลกระทบจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การ ควรปกป้องและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งการนำไปประยุกต์ใช้เชิงวิชาการ ด้านการมุ่งเน้นการตลาดนั้นเป็นกระบวนการในการพัฒนาและปรับปรุง และสร้างกลยุทธ์ให้กับองค์การเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์การ และสามารถที่จะจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสม และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งถ้านำการจัดการโซ่อุปทานสีเขียวเข้ามาใช้ร่วมกันจะก่อให้เกิดธุรกิจสถาบันการเงินสีเขียว และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต การกำจัด การบำบัดของเสีย และสามารถฟื้นฟูของเสียและมลพิษที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้น ธนาคารควรนำกลยุทธ์การจัดการโซ่อุปทานสีเขียวเข้ามาประยุกต์ใช้อย่างเคร่งครัดเพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถช่วยฟื้นฟูและรักษาสิ่งแวดล้อมที่อาจจะถูกทำลายไปในอนาคต นอกจากนี้ ธุรกิจบริการสามารถนำทฤษฎีการจัดการทรัพยากร ซึ่งเป็นทฤษฎีเครือข่ายทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 2 มุมมอง คือ 1) มุมมองเชิงทรัพยากรธรรมชาติ (NRBV) ประกอบด้วย การป้องกันมลพิษ การดูแลผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีในการผลิต การปรับปรุงกระบวนการผลิตที่สามารถเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับองค์การได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันด้านสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าองค์การจะนำไปประยุกต์ใช้ได้มากน้อยเพียงใด และ 2) มุมมองเชิงสัมพันธ์ (RV) เป็นการสร้างเครือข่ายที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจกับคู่ค้า หน่วยงานภาครัฐ หน่วยงานเอกชนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาและเรียนรู้โอกาสใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ได้</p> ธีระพงศ์ มลิวัลย์, ปราณี เอี่ยมละออภักดี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270035 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/272148 <p>การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์การดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 274 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรทาโรยามเน่ (Yamane,1973) ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็น ( PNI <sub>Modified</sub>) ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ ในการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น สภาพปัจจุบัน โดยภาพรวม พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) ความต้องการจำเป็นในการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดขอนแก่น มาตรฐานที่มีความต้องการจำเป็นสูงที่สุด คือมาตรฐานครู/ผู้ดูแลเด็กให้การดูแล และจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการเล่นเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย รองลงมาคือ มาตรฐานคุณภาพของเด็กปฐมวัยและมาตรฐานการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย ตามลำดับ</p> ลลิตา นาคา, วิเชียร รู้ยืนยง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/272148 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำทางวิชาการยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271952 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ภาวะผู้นำทางวิชาการยุควิถีชีวิตใหม่ 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำทางวิชาการยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 เป็นระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้วิธีกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของทาโร่ ยามาเน (Yamane, 1973) ที่ระดับความคลาดเคลื่อนในการสุ่ม 0.05 ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารและครูรวมทั้งสิ้น 337 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนี PNI modified<br /> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ภาวะผู้นำทางวิชาการยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 สภาพปัจจุบันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการศึกษาความต้องการจำเป็นภาวะผู้นำทางวิชาการยุควิถีชีวิตใหม่ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 เรียงตามลำดับดังนี้ (1) ด้านการพัฒนาและ ใช้สื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา (2) ด้านการนิเทศการสอนแนวใหม่ (3) ด้านการประเมินผลการเรียนรู้ (4) ด้านการพัฒนาหลักสูตรที่ทันสมัย (5) ด้านการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาเชิงรุก และ (6) ด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ที่ท้าทาย</p> ไอรดา พัตรภักดิ์, วิเชียร รู้ยืนยง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271952 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับสมรรถนะครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271954 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร 2) ระดับสมรรถนะครูในสถานศึกษา 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับสมรรถนะครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริหาร จำนวน 28 คน และครูผู้สอน 309 คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 337 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างจากสูตรทาโร่ยามาเน่ โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่น 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทำการวิเคราะห์ความสัมพันธ์สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แบบเพียร์สัน (Pearson's Product Moment Correlation Coefficient) ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับสมรรถนะครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับสมรรถนะครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และมีความสัมพันธ์กันทางบวก</p> ภานุวัฒน์ สังฆะมณี, ยุทธศาสตร์ กงเพชร Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/271954 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/272805 <p style="font-weight: 400;">การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนา การนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา และ 2) วิเคราะห์ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 341 คน กำหนดขนาดโดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครจซี่และเมอร์แกน แล้วทำการสุ่มแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา มีความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.984 และ 0.944 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการหาดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNI<sub>modified</sub>) ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน โดยรวมอยู่ในระดับน้อย โดยด้านการประเมินผลและรายงานการนิเทศมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาเป็นด้านการวิเคราะห์สภาพปัญหา ส่วนด้านการปฏิบัติการนิเทศ มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านการประเมินผลและรายงานการนิเทศ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาเป็นด้านการวิเคราะห์สภาพปัญหา และด้านการปฏิบัติการนิเทศ ส่วนด้านการวางแผนการนิเทศ มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาการนิเทศภายในด้านการจัดการเรียนรู้ของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมมี PNI<sub>modified</sub> = 0.757 เรียงลำดับจากมากที่สุดไปน้อยที่สุด ดังนี้ ลำดับที่ 1 คือ ด้านการปฏิบัติการนิเทศ ลำดับที่ 2 คือ ด้านการวางแผนการนิเทศ ลำดับที่ 3 คือ ด้านการวิเคราะห์สภาพปัญหา และลำดับที่ 4 คือ ด้านการประเมินผลและรายงานการนิเทศ</p> ชมภ์พลอย จิตติแสง, สุนิสา วงศ์อารีย์, พงษ์นิมิตร พงษ์ภิญโญ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/272805 Sun, 30 Jun 2024 00:00:00 +0700