วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj <p><span data-sheets-value="{&quot;1&quot;:2,&quot;2&quot;:&quot;วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกปีละ 3 ฉบับ (ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – เมษายน ฉบับที่ 2 ประจำเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม และฉบับที่ 3 ประจำเดือน กันยายน – ธันวาคม) รับพิจารณาบทความในด้านบริหารธุรกิจ การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และนิติศาสาตร์ &quot;}" data-sheets-userformat="{&quot;2&quot;:513,&quot;3&quot;:{&quot;1&quot;:0},&quot;12&quot;:0}"> วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ออกปีละ 4 ฉบับ เริ่ม ฉบับที่ 1 ปีที่ 12 พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป (ฉบับที่ 1 ประจำเดือน มกราคม – มีนาคม ฉบับที่ 2 ประจำเดือน เมษายน - มิถุนายน ฉบับที่ 3 ประจำเดือน กรกฎาคม - กันยายน และฉบับที่ 4 ประจำเดือน ตุลาคม - ธันวาคม) เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ทางวิชาการที่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ ในด้านบริหารธุรกิจ การท่องเที่ยว เศรษฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และนิติศาสตร์<br /> บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)<br /></span></p> th-TH [email protected] (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกอร บุญมี) [email protected] (ดร.สัมฤทธิ์ ศิริคะเณรัตน์) Sun, 24 Mar 2024 18:33:58 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 แนวคิดเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมและกลไกการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269640 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สรุปแนวคิดเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ 2) สรุปแนวคิดเกี่ยวกับกลไกการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 3) สรุปผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับการนำแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมและการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไปประยุกต์ใช้ บทความนี้ได้อธิบายเนื้อหาประกอบด้วย 4 ประเด็น ได้แก่ 1) แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคม 2) แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับกลไกการกำกับดูแลกิจการ 3) สรุปผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับการนำแนวคิดความรับผิดชอบต่อสังคมและการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไปประยุกต์ใช้ และ 4) บทสรุป โดยบทความนี้ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของความรับผิดชอบต่อสังคมและกลไกการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยควบคู่กับการดำเนินงานของกิจการ ผลลัพธ์ที่ได้นำไปใช้เป็นแนวทางให้ผู้บริหารไปปรับใช้ในการบริหารงานและควบคุมการทำงานกำกับดูแลให้กิจการมีผลประกอบการที่ดีในระยะยาวเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ามีความยุติธรรมและความโปร่งใสภายในองค์กร เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันนำไปสู่ความเจริญเติบโตและเพิ่มมูลค่า และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร</p> นิภาพร พิระภาค, ฐิตาภรณ์ สินจรูญศักดิ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269640 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การจัดการปกครองในบริบทโลก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269700 <p>การศึกษามีวัตถุประสงค์ศึกษาการจัดการปกครองในบริบทโลก การศึกษาประกอบด้วยลักษณะการจัดการปกครอง ระดับการจัดการปกครอง และความท้าทายของการจัดการปกครอง การศึกษาใช้การวิเคราะห์เอกสารและวรรณกรรมต่าง ๆ จากบทความวิชาการ บทความวิจัยและหนังสือในระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เนื้อหา โดยจัดกลุ่มข้อมูลออกเป็นชุดและพิจารณา ในแง่พื้นที่ศึกษา การศึกษาพบว่า ลักษณะสำคัญของการจัดการปกครอง ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหลากหลายในการจัดการกับโครงสร้างการบริหาร ส่วนระดับการจัดการปกครอง มีหลายระดับทั้งในแง่การพิจารณาเชิงพื้นที่และการพิจารณาประเด็นการจัดการปกครอง โดยการจัดการปกครองในบริบทโลกเป็นการกล่าวถึงการจัดการปกครองของ กลุ่มประเทศมหาอำนาจ อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย รวมถึงกลุ่มไตรภาคีต่าง ๆ ซึ่งมีบทบาทต่อการกำหนดกติกาของสังคมโลก สุดท้ายความท้าทายของการจัดการปกครองพบว่า การจัดการปกครองจำเป็นต้องพึ่งพาตัวแปรอื่น ๆ เพื่อให้การจัดการปกครองประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะบทบาทของรัฐบาล ปทัสถาน ภาวะผู้นำ ทรัพยากร และเทคโนโลยี</p> ยศธร ทวีพล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269700 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 แนวทางการส่งเสริมระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียนพนัสพิทยาคาร จังหวัดชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267871 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นและแนวทางการส่งเสริมระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนพนัสพิทยาคาร จังหวัดชลบุรี โดยใช้การวิจัยแบบผสมผสานเชิงอธิบาย (Explanatory Sequential Design) กลุ่มตัวอย่างเป็นครู 145 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงโดยเลือกประชากรทั้งหมดเป็นกลุ่มตัวอย่าง (Total Sampling Population) ซึ่งเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพที่เป็นจริง สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนพนัสพิทยาคาร สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีการจัดเรียงลำดับของความต้องการจำเป็น (PNI) ซึ่งค่า PNI จากการวิเคราะห์นั้นได้นำมาพัฒนาเป็นแนวคำถามในการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลักซึ่งเป็นผู้บริหารของโรงเรียน 5 ท่าน จากนั้นใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาแบบจับประเด็น (Thematic Content Analysis) เพื่อให้ได้แนวทางการส่งเสริมระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ผลการวิจัยพบว่าความต้องการจำเป็นของแนวทางการส่งเสริมระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนมีค่าดัชนีอยู่ในระดับสูงกว่า 0.33 ทุกด้าน เรียงลำดับดังนี้ 1) ด้านการส่งต่อนักเรียน 2) ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล 3) ด้านการคัดกรองนักเรียน 4) ด้านการส่งเสริมและพัฒนานักเรียน และ 5) ด้านการป้องกันช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาของนักเรียน และในส่วนที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารโรงเรียนพนัสพิทยาคาร จังหวัดชลบุรี ทั้ง 5 ท่าน พบว่าควรให้ความสำคัญในการพัฒนาประกอบแนวทางก่อนหลังดังนี้ 1) การส่งต่อนักเรียน มีแนวทางการพัฒนา 3 แนวทาง 2) การคัดกรองนักเรียน มีแนวทางการส่งเสริม 3 แนวทาง 3) การส่งเสริมและพัฒนานักเรียน มีแนวทางการพัฒนา 3 แนวทาง 4) การป้องกันช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาของนักเรียน มีแนวทางการพัฒนา 3 แนวทาง และ 5) การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล มีแนวทางการพัฒนา 3 แนวทาง ทั้งนี้คาดหวังว่าผู้บริหารสามารถนำแนวทางของการส่งเสริมระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่ได้รับจากข้อค้นพบในครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับคุณภาพทางการศึกษาของโรงเรียนให้เกิดประโยชน์เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง</p> อรพิน ดำมินเสก, พิมพ์อุไร ลิมปพัทธ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267871 Sun, 24 Mar 2024 00:00:00 +0700 การประเมินความต้องการจำเป็นและในแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/266731 <p>การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อประเมินความต้องการจำเป็นและในแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำครูในโรงเรียน 2) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่ควรจะเป็นของภาวะผู้นำครูในโรงเรียน 3) ประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำครูในโรงเรียน และ 4) หาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นำครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยผู้บริหารและครูในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จำนวน 327 คน โดยใช้ตารางของ Krejcie and Morgan ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ โดยด้านสภาพปัจจุบันมีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง 0.60 ถึง 1.00 ค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.36 ถึง 0.87 และค่าความเชื่อมั่น 0.98 ส่วนด้านสภาพที่ควรจะเป็น มีค่าความเที่ยงตรง ระหว่าง 0.60 ถึง 1.00 ค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง 0.50 ถึง 0.87 และค่าความเชื่อมั่น 0.99 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบภาวะผู้นำครู มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การมีส่วนร่วมในการพัฒนา (2) การพัฒนาหลักสูตร (3) การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และ (4) การพัฒนาตนเองและเพื่อนครู โดยมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) สภาพปัจจุบันเกี่ยวกับภาวะผู้นำครูโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่ควรจะเป็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำครูโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำครู พบว่ามีความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำครูด้านการพัฒนาหลักสูตร เป็นลำดับแรก รองลงมาคือด้านการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง 4) แนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาภาวะผู้นำครู มี 2 ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาหลักสูตร และด้านการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง</p> ทิพกัญญา ไชยปัญหา, วาโร เพ็งสวัสดิ์, อภิสิทธิ์ สมศรีสุข Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/266731 Sun, 24 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยเกม KAHOOT เรื่อง บรรยากาศของเรา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267680 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกม KAHOOT เรื่อง บรรยากาศของเรา ก่อนและหลังเรียน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกม KAHOOT เรื่อง บรรยากาศของเรา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 1 ห้อง จำนวนนักเรียนทั้งหมด 35 คน ได้มาจากการวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเกม KAHOOT 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3) แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ Dependent Sample t-test<br />ผลการวิจัย พบว่า<br />1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกม KAHOOT เรื่องบรรยากาศของเรา หลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยกิจกรรมเกม KAHOOT เรื่อง บรรยากาศของเรามีระดับความพึงพอใจมากที่สุด</p> ดนุพล สืบสำราญ, ศตวรรษ ศรีนุเคราะห์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267680 Sun, 24 Mar 2024 00:00:00 +0700 การจัดกิจกรรมการสร้างความร่วมมือของผู้ปกครองโดยใช้สารนิทัศน์ เพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/268171 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากิจกรรมการสร้างความร่วมมือของผู้ปกครองโดยใช้สารนิทัศน์ 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมความร่วมมือของผู้ปกครองโดยใช้สารนิทัศน์ 3) เพื่อศึกษาทักษะชีวิตของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมโดยใช้สารนิทัศน์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนและผู้ปกครองนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2-3 ประกอบด้วย 1) นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 จำนวน 5 คน นักเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 จำนวน 7 คน รวม 12 คน 2) ผู้ปกครองของนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 2 จำนวน 5 คน ผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 จำนวน 7 คน รวม 12 คน ของภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหนองบะโคกสว่าง อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 3 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการสร้างความร่วมมือของผู้ปกครองโดยใช้สารนิทัศน์ ประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นการเชื่อมโยงปัญหา ขั้นวางแผนร่วมกัน ขั้นดำเนินการ ขั้นนำเสนอ และขั้นสรุปอภิปรายผล ส่งเสริมให้ผู้ปกครองเข้าร่วมกิจกรรมการประชุม การรายงานพัฒนาการเด็ก การสื่อสารระหว่างบ้านและโรงเรียน การเข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียน 2) หลังการจัดกิจกรรมโดยใช้สารนิทัศน์ผู้ปกครองมีพฤติกรรมความร่วมมือ ด้านการติดต่อสื่อสาร ด้านอาสาสมัคร ด้านการเรียนรู้ที่บ้าน และด้านการตัดสินใจสูงกว่าก่อน การทดลอง ค่าเฉลี่ย 89.50 อยู่ในระดับดีมาก 3) หลังการจัดกิจกรรมการสร้างความร่วมมือของผู้ปกครองโดยใช้สารนิทัศน์เด็กมีทักษะชีวิตสูงกว่าก่อนการทดลอง ค่าเฉลี่ย 63.92 อยู่ในระดับดี</p> นิติยาพร นันทอง, รุ่งลาวัลย์ ละอำคา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/268171 Sun, 24 Mar 2024 00:00:00 +0700 การจัดประสบการณ์ด้วยเทคนิคการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/268664 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัยจากการจัดประสบการณ์ด้วยเทคนิคการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง 2) เพื่อศึกษาพัฒนาการสัมพัทธ์ด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัยจากการจัดประสบการณ์ด้วยเทคนิคการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กชายและหญิงชั้นอนุบาลปีที่ 3 อายุ 5-6 ปี โรงเรียน บ้านโคกกลางบ่อหลุบ ตำบลโนนราษี อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 15 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ (1) แผนการจัดประสบการณ์ด้วยเทคนิคการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง (2) แบบประเมินความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ ผลการวิจัยพบว่า การจัดประสบการณ์ด้วยเทคนิคการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทางสามารถส่งเสริมความสามารถด้านการฟังและการพูดภาษาอังกฤษของเด็กปฐมวัย โดยหลังการจัดประสบการณ์ด้วยเทคนิคการสอนแบบตอบสนองด้วยท่าทาง เด็กปฐมวัยมีความสามารถด้านการฟังภาษาอังกฤษค่าเฉลี่ยเท่ากับ 62.53 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.00 ความสามารถด้านการพูดภาษาอังกฤษค่าเฉลี่ยเท่ากับ 64.73 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 3.18 และมีคะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์โดยรวมทุกด้านเท่ากับ 71.08</p> พัชรภรณ์ ชนะชาญ, พีระพร รัตนาเกียรติ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/268664 Sun, 24 Mar 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชมนตรี (ปลื้ม-เชื่อมนุกูล) ระหว่างการสอนโดยใช้สื่อมัลติมิเดียกับการสอนแบบปกติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269660 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมิเดีย เรื่อง Vocabulary ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชมนตรี (ปลื้ม-เชื่อมนุกูล) ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง Vocabulary ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชมนตรี (ปลื้ม-เชื่อมนุกูล) โดยการสอนโดยใช้สื่อมัลติมิเดียและ การสอนแบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชมนตรี(ปลื้ม-เชื่อมนุกูล) สำนักงานเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยการจับฉลาก ได้มาจำนวน 2 ห้องเรียน รวม 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย (1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 เรื่อง Vocabulary จำนวน 5 แผน รวมทั้งหมด 10 คาบ มีคุณภาพเท่ากับ 4.93 อยู่ในระดับมากที่สุด (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ จำนวน 30 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนก 0.58 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.94 (3) สื่อมัลติมิเดียสำหรับจัดการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง Vocabulary จำนวน 5 ชุด มีคุณภาพเท่ากับ 80.59 (E1) / 80.93 (E2) สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าสถิติที่ t–test (Independent Samples)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมิเดีย เรื่อง Vocabulary ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชมนตรี (ปลื้ม-เชื่อมนุกูล) มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 80.59 / 80.93 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชมนตรี (ปลื้ม-เชื่อมนุกูล) ที่ได้รับการสอนโดยใช้สื่อมัลติมิเดียสูงกว่าการสอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05</p> สุดารัตน์ สมปัญญา, อรนุช ลิมตศิริ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269660 Sun, 24 Mar 2024 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ผลตอบแทนและกำหนดราคาขายการผลิตข้าวเกรียบผักสมุนไพร ของวิสาหกิจชุมชน บ้านบะยาว หมู่ที่ 6 ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270292 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลตอบแทนและจุดคุ้มทุน และกำหนดราคาขายผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบผักสมุนไพร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ สมาชิกของวิสาหกิจชุมชน บ้านบะยาว หมู่ที่ 6 ตำบลหนองบัว อำเภอบ้านฝาง จังหวัดขอนแก่น จำนวน 16 ราย โดยใช้แบบสอบถามเชิงสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สูตรทางการบัญชี ผลการวิจัย พบว่า ต้นทุนการผลิตทั้งหมดต่อกิโลกรัม เท่ากับ 155.44 บาท ประกอบด้วย ต้นทุนวัตถุดิบทางตรง เท่ากับ 43.76 บาท ต้นทุนค่าแรงงานทางตรง เท่ากับ 100 บาท และ ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิต เท่ากับ 11.68 บาท ปริมาณขายที่คุ้มทุนอยู่ที่ 46.80 กิโลกรัม และหากรวมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 0.31 บาท ต้นทุนรวมทั้งสิ้น เท่ากับ 155.75 บาท ทำให้ราคาขายที่คุ้มทุนอยู่ที่ 156 บาทต่อกิโลกรัม อัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิต เท่ากับร้อยละ 79.48 และอัตรากำไรขั้นต้นต่อราคาขาย เท่ากับร้อยละ 44.28 การกำหนดราคาขายโดยวิธีต้นทุนรวมราคาขายที่เหมาะสมต้องไม่ต่ำกว่า 156 บาท ซึ่งการกำหนดราคาสินค้าจะพิจารณาจากต้นทุนทั้งหมดบวกกำไรที่ต้องการ เช่นหากต้องการกำไร ร้อยละ 50 ราคาขายที่เหมาะสมเท่ากับ 234 บาท หรือ หากต้องการกำไร ร้อยละ 90 ราคาขายที่เหมาะสมเท่ากับ 295 บาท</p> นฤมล อริยพิมพ์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270292 Fri, 29 Mar 2024 00:00:00 +0700 กฎหมายต้นแบบว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269055 <p>การวิจัยนี้ศึกษาและวิจัยเรื่องกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษา (1) แนวคิด ทฤษฎี และหลักการที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ (2) มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการของระหว่างประเทศต่างประเทศ และประเทศไทย (3) วิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ (4) การจัดทำกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ ซึ่งการวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีวิทยาการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจัยเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า จากการใช้แนวคิด หลักการ และทฤษฎีในการวิเคราะห์เกี่ยวกับกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ แม้ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ควบคุม และภายใต้กฎหมายฉบับดังกล่าวได้ออกหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินเพื่อแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้ซึ่งจะมาทำหน้าที่เป็นอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเป็นผู้ซึ่งมีประสบการณ์ ความรู้และความเชี่ยวชาญ แต่จากผลการศึกษาวิเคราะห์พบว่าการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในกลุ่มงานอาจารย์ของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 1-9 ในระหว่างการดำรงตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาดังกล่าวนั้น ไม่มีหลักเกณฑ์ใดสนับสนุนและกำหนดเกี่ยวกับการให้ตำแหน่ง ทางวิชาการ ส่งผลให้อาจารย์ขาดการพัฒนาคุณภาพทางวิชาการเพื่อให้นำความรู้และความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาของตนมาใช้ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน สังคม และประเทศชาติ</p> <p>ดังนั้น การวิจัยครั้งนี้จึงได้เสนอกฎหมายต้นแบบว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ โดยมีโครงสร้างกฎหมายประกอบด้วย (1) คำนิยามศัพท์ (2) หมวด 1 การแต่งตั้งอาจารย์ประจำให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ (3) หมวด 2 ตำแหน่งทางวิชาการ (4) หมวด 3 บทลงโทษ และ (5) หมวด 4 การเสนอขอทบทวนผลการพิจารณา</p> เปมิกา วิวัฒนพงศ์พันธ์, ภูมิ โชคเหมาะ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269055 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความคาดหวังต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของประชาชนในจังหวัดขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270293 <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคาดหวังต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของประชาชน ในจังหวัดขอนแก่น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ด้วยวิธีการศึกษา การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการเก็บแบบสอบถามเป็นคำถามปลายปิดแต่เลือกได้มากกว่า 1 ข้อ ให้ตอบแบบสอบถามซึ่งกลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนทั่วไปภายในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 400 คน ที่ได้จากการเลือกแบบตามความสะดวก การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์ร้อยละ และการแจกแจงความถี่ ผลการวิจัยพบว่าความคาดหวังของประชาชนต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศใน 7 องค์ปะกอบ คือ 1) สิ่งดึงดูดใจ (Attraction) คือ ธรรมชาติ เช่น ภูเขา น้ำตก แหล่งน้ำ ป่าไม้ อุทยานแห่งชาติ (ร้อยละ 89.50) 2) ที่พัก (Accommodation) ด้านรูปแบบที่พัก คือ รีสอร์ท (ร้อยละ 60.00) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในที่พัก คือ ห้องน้ำ หรือห้องอาบน้ำที่มีความสะอาด (ร้อยละ 93.00) ด้านการตกแต่งที่พัก คือ ตกแต่งเรียบง่าย (ร้อยละ 74.00) 3) กิจกรรม (Activity) คือ การชมธรรมชาติ (ร้อยละ 86.50) 4) การเข้าถึง (Accessibility) คือ การคมนาคมที่สะดวกเดินทางง่าย (ร้อยละ 92.00) และช่องทางติดต่อแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่ ช่องทางเฟสบุ๊ค (ร้อยละ 82.30) 5) สิ่งอำนวยความสะดวก (Amenities) คือ ห้องน้ำสาธารณะ (ร้อยละ 75.30) 6) การจัดการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Travel) คือ การรักษาทรัพยากรธรรมชาติในแหล่งท่องเที่ยวไม่ให้เสื่อมโทรม (ร้อยละ 83.00) 7) การมีส่วนร่วมและประโยชน์ที่ได้รับจากการท่องเที่ยว (Cognitive ability and Benefit) คือ ความประทับใจที่ได้จากวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม (ร้อยละ 83.30) จากผลการวิจัยนำสู่การพัฒนา การท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้สอดคล้องกับความคาดหวังของประชาชนและนำสู่การพัฒนาชุมชนและการพัฒนาการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน</p> มนัญชยา เถื่อนนาดี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270293 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การสื่อสารการตลาดแบบดิจิทัลและเส้นทางประสบการณ์การใช้บริการของลูกค้า ที่ส่งผลต่อความภักดีในการใช้บริการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269913 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบดิจิทัลที่ส่งผลต่อความภักดี ในการใช้บริการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ 2) ศึกษาเส้นทางประสบการณ์การใช้บริการของลูกค้าที่ส่งผลต่อความภักดีในการใช้บริการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จากกลุ่มตัวอย่างของลูกค้าที่มาใช้บริการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างจำนวน 385 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล และทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสมมติฐานโดยการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ค่าความถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า การสื่อสารการตลาดแบบดิจิทัล และเส้นทางประสบการณ์ใช้บริการของลูกค้า ที่ส่งผลต่อความภักดีในการใช้บริการของธนาคารอาคารสงเคราะห์เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สามารถสรุปได้ว่า การทําการตลาดผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การทําการตลาดบนสังคมออนไลน์ และการทําป้ายโฆษณาตัวสินค้าที่แสดงผ่านหน้าเว็บไซต์ ส่งผลเชิงบวกต่อความภักดีในการใช้บริการของธนาคารอาคารสงเคราะห์เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 ส่วนการใช้งานสินค้าและบริการ และการรับรู้ ส่งผลเชิงบวกต่อความภักดีในการใช้บริการของธนาคารอาคารสงเคราะห์ เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 ซึ่งตัวแปรอิสระทุกตัวร่วมกันพยากรณ์ ตัวแปรตามมีค่าเท่ากับร้อยละ 48.4 (AdjR2 = .484)</p> ธนารัตน์ สุธีลักษณ์, ปราณี เอี่ยมละออภักดี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269913 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาประสบการณ์และการยอมรับเทคโนโลยีที่มีผลต่อความตั้งใจใช้ โซเชียลมีเดียของผู้สูงอายุในจังหวัดขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270933 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียของผู้สูงอายุในจังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาประสบการณ์และการยอมรับเทคโนโลยีที่มีผลต่อความตั้งใจใช้โซเชียลมีเดียของผู้สูงอายุในจังหวัดขอนแก่น การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างการวิจัย ได้แก่ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จังหวัดขอนแก่น จำนวน 384 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ วิธีการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า โซเชียลมีเดียที่กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุในจังหวัดขอนแก่นนิยมใช้ คือ เฟสบุ๊ค รองลงมา คือ ไลน์ ยูทูป และ ติ๊กต๊อก วัตถุประสงค์ในการใช้โซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ใช้เพื่อการพูดคุย บันเทิง และติดตามข้อมูลข่าวสาร ผู้สูงอายุในจังหวัดขอนแก่นให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้โซเชียลมีเดีย ด้านประสาทสัมผัส ความคิด ความเชื่อมโยง ความรู้สึก และ การกระทำ ตามลำดับ การยอมรับเทคโนโลยีของผู้สูงอายุในจังหวัดขอนแก่น พบว่า มีการรับรู้ประโยชน์มากที่สุด รองลงมาคือ ทัศนคติในการใช้งาน และใช้งานง่าย โดยมีความตั้งใจใช้โซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องในอนาคต ประสบการณ์การใช้โซเชียลมีเดียด้านความรู้สึกและความเชื่อมโยงส่งผลต่อความตั้งใจใช้โซเชียลมีเดีย การยอมรับเทคโนโลยีของผู้สูงอายุ ส่งผลต่อความตั้งใจในการใช้โซเชียลมีเดีย</p> อุมาวรรณ วาทกิจ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/270933 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การศึกษาแนวทางการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ส่วนบริหารหนี้เขตชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269956 <p>การศึกษาแนวทางการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ส่วนบริหารหนี้เขตชลบุรี เกิดจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ใช้บริการสินเชื่อของธนาคารอาคารสงเคราะห์ลดลง ทำให้เกิดจำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบให้ธนาคาร ต้องดำเนินการตั้งสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้น วัตถุประสงค์ในการศึกษา 1) เพื่อศึกษาสาเหตุของปัญหาต่อการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่เพิ่มขึ้น 2) เพื่อเสนอแนะแนวทางการลดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แก่ส่วนบริหารหนี้เขตชลบุรี ผลจากการศึกษาพบว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดหนี้ค้างชำระเกิดจาก 1) ปัจจัยที่เกิดจากพฤติกรรมลูกหนี้ เช่น มีรายจ่ายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 2)ปัจจัยที่เกิดจากธนาคาร เช่น อัตราดอกเบี้ยสูงเกินไป 3) ปัจจัยภายนอกอื่น เช่น สภาวะเศรษฐกิจไม่ดีส่งผลต่อรายได้ นโยบายการช่วยเหลือรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ผู้ศึกษาได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาและได้เลือกแนวทางในการแก้ไขปัญหา เพื่อเพิ่มช่องทางการติดต่อที่ง่าย สะดวก รวดเร็วเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยการเปิดให้บริการ คลินิกแก้ไขหนี้เคลื่อนที่ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทันท่วงทีพร้อมแก้ปัญหา และรายงานผลต่อผู้บังคับบัญชาทราบ ความต้องการของลูกค้าได้ทันที และเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ธนาคารที่ให้ความสำคัญในเรื่อง การแก้ไขปัญหาให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนอย่างเข้าถึง และเป็นไปตามวัตถุประสงค์คือป้องกันการเลื่อนชั้นหนี้ ลดปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และได้ปริมาณสินเชื่อที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น</p> ศุภชัย รัตนพันธ์, รวิดา วิริยกิจจา Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269956 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรการตลาดตามแนวทางการจัดการศึกษาที่มุ่งผลลัพธ์ กรณีศึกษาหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการตลาด มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269446 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกของหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการการตลาด และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความคาดหวังและ การรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกของหลักสูตรที่มีต่อการจัดการศึกษาของหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการการตลาด โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบผสมผสานแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การวิจัย เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ศิษย์เก่า ผู้ประกอบการที่มีการจ้างงานบัณฑิตของหลักสูตร จำนวนรวม 154 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความต้องการจำเป็นในการพัฒนาหลักสูตร และแบบสอบถามความคาดหวังและการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกที่มีต่อการพัฒนาหลักสูตร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย MANOVA, Multiple Correspondence Analysis: MCA และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ระยะที่ 2 การวิจัยเชิงคุณภาพ เป็นการสัมภาษณ์ผู้บริหารคณะ และกรรมการบริหารหลักสูตร วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า (1) ความต้องการจำเป็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอกต้องการสูงสุดที่ปรารถนาให้บัณฑิตของหลักสูตรฯ ต้องทำได้ คือ ความสามารถในการวางแผนการวิจัยเพื่อค้นหาองค์ความรู้สมัยใหม่ทางด้านการตลาด และนำไปวางแผนการบริหารจัดการองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.83, S.D.= 0.85) โดยนำมาสู่การกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตรได้ 13 ข้อ และมีแนวปฏิบัติในการจัด การเรียนการสอนที่เน้นการลงมือปฏิบัติจริงในรูปแบบบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน (Work Integrated Learning: WIL) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของหน่วยกิตในหมวดรายวิชาเฉพาะ (2) ภาพรวมความคาดหวังของ ผู้มีส่วนได้เสียภายนอกต่อหลักสูตร อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.62, S.D.= 0.85) (3) ความคาดหวังโดยรวม มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการรับรู้โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง (r=.300 sig.=.000)</p> นงนุช ไชยผาสุข, วีรวิชญ์ เลิศรัตน์ธำรงกุล, ศุภิกา ประเสริฐพร, ดากาญน์ดา อรัญมาลา, ศุภกร ใหม่คามิ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269446 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรธนาคารอาคารสงเคราะห์ในการเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269980 <p style="font-weight: 400;">การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ในการใช้งานระบบเทคโนโลยีดิจิทัล และศักยภาพด้านเทคโนโลยีดิจิทัลของพนักงาน โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสานจากกลุ่มตัวอย่างของพนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์ ผ่านแบบสอบถาม จำนวน 200 คน และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth Interview) จำนวน 7 คน ผลการศึกษา พบว่าปัญหาคือความต่างระหว่างวัย ความรู้พื้นฐานและทัศนคติต่อการใช้เทคโนโลยี ระบบเทคโนโลยีที่ธนาคารมีและรูปแบบการพัฒนาบุคลากรในปัจจุบัน ยังไม่สอดคล้องต่อความต้องการ รวมถึงข้อจำกัดด้านนโยบายการปฏิบัติงาน สำหรับศักยภาพของบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พนักงานมีความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญ แต่ยังต้องได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง รวมถึงพนักงานมีความตระหนักและให้ความสำคัญกับระบบเทคโนโลยีขององค์กร ทั้งนี้ แนวทางแก้ปัญหาได้วิเคราะห์การแก้ไขปัญหาจากเครื่องมือแผนผังสาเหตุและผล วิเคราะห์ SWOT และ ใช้ Tows Matrix มากำหนดทางเลือกในการแก้ไขปัญหา โดยเลือกใช้กลยุทธ์เชิงรุก SO (Strengths-Opportunities) ยกระดับรูปแบบการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัล และระบบการเรียนรู้ของธนาคารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผ่านหลักสูตรและวิธีการที่หลากหลาย เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่จะสามารถสร้างผลลัพธ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรและองค์กรในการแข่งขันในยุคดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย</p> อัจฉราพรรณ โรจนภักดี, ปราณี เอี่ยมละออภักดี Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269980 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง สระเปลี่ยนรูปและสระลดรูปของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการสอนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านเพิ่มเติมชุดหนูดีชวนอ่านสระกับการสอนแบบปกติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269516 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่านเพิ่มเติม วิชาภาษาไทยเรื่องสระเปลี่ยนรูปและสระลดรูปชุดหนูดีชวนอ่านสระของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยเรื่องสระเปลี่ยนรูปและสระลดรูปของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการสอนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านเพิ่มเติมกับการสอนแบบปกติ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental Research) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนราชมนตรี(ปลื้ม-เชื่อมนุกูล) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 2 ห้องเรียน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย Simple Random Sampling ด้วยการจับฉลากโดยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/4 เป็นกลุ่มทดลองที่สอนโดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านเพิ่มเติมวิชาภาษาไทย เรื่องสระเปลี่ยนรูปและสระลดรูปของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/3 เป็นกลุ่มควบคุมใช้การสอนแบบปกติเครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 1) หนังสือส่งเสริมการอ่านเพิ่มเติมชุดหนูดีชวนอ่านสระ 2) แผนการสอนเรื่องสระเปลี่ยนรูปและสระลดรูป 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเรื่องสระเปลี่ยนรูปและสระ ลดรูปเป็นข้อสอบแบบปรนัย 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ที่มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.81 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า ความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่นและค่าสถิติ t–test Independent Samples ผลการวิจัยพบว่าหนังสือส่งเสริมการอ่านเพิ่มเติมวิชาภาษาไทย เรื่องสระเปลี่ยนรูปและสระลดรูปชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 81.33/83.56 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่สอนโดยใช้หนังสือส่งเสริม การอ่านเพิ่มเติมวิชาภาษาไทยเรื่องสระเปลี่ยนรูปและสระลดรูปสูงกว่าที่สอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> เสาวพา บัวขนาบ, กรวิภา สรรพกิจจำนง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269516 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเทเบิลเทนนิส เรื่อง ทักษะเทเบิลเทนนิสขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะกับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269509 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิสหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการใช้แบบฝึกรูปแบบปกติและการใช้แบบฝึกทักษะ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิสของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบปกติ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิสของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและ หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้อง 60 คน ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 30 คน เป็นกลุ่มทดลอง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/2 จำนวน 30 คน เป็นกลุ่มควบคุม จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ 2) แผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบปกติ 3) แบบทดสอบทักษะเทเบิลเทนนิสขั้นพื้นฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าความแตกต่างค่าเฉลี่ยของคะแนน ด้วยค่า “การทดสอบที”<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิสหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างการใช้แบบฝึกทักษะและการใช้รูปแบบปกติ พบว่า นักเรียนกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิส หลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการใช้รูปแบบปกติ พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลสัมฤทธิ์ทักษะกีฬาเทเบิลเทนนิสหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการใช้แบบฝึกทักษะ พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> พรรณปพร บุตรรักษ์, นันทน์ธร บรรจงปรุ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269509 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการปฏิบัติงานต่อประสิทธิภาพในการใช้บัญชีชุดเดียวของ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ในจังหวัดนครพนม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269130 <p>วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้มี 3 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครพนม (2) เพื่อสำรวจปัจจัยนโยบายการปฏิบัติงานต่อประสิทธิภาพในการใช้บัญชีชุดเดียวของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครพนม และ (3) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการปฏิบัติงานในการใช้บัญชีชุดเดียวกับประสิทธิภาพการใช้บัญชีชุดเดียวของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครพนม เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ในจังหวัดนครพนม จำนวน 394 สุ่มตัวอย่างแบบโควต้า (Quota Selection) และแบบอย่างง่าย (Simple random Sampling) เครื่องมือวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis) ด้วยสถิติ Factor Analysis และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) ของเพียร์สัน (Pearson)<br />ผลการวิจัย พบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในจังหวัดนครพนม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31-40 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี สถานภาพสมรส ตำแหน่งผู้จัดการ มีรูปแบบธุรกิจเป็นบริษัทจำกัด ประเภทธุรกิจเป็นธุรกิจการบริการ ช่องทางการจำหน่ายของกิจการอื่น ๆ มีจำนวนพนักงานบัญชี 1 - 2 คน งานด้านกระบวนการทางบัญชีส่วนใหญ่ทำงานบัญชีโดยคอมพิวเตอร์ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 1 - 5 ล้านบาท แหล่งเงินทุนหลักของกิจการ ส่วนใหญ่เป็นทุนของตนเองและ สถาบันการเงินหลักการในการดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่เน้นประสบการณ์การบริหาร ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายการปฏิบัติงานต่อประสิทธิภาพในการใช้บัญชีชุดเดียวของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในจังหวัดนครพนม</p> มัญชุพัฒน์ ธารณ์สมบูรณ์, วัลย์จรรยา วิระกุล Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269130 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ชนิดของคำ (Part of Speech) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะกับการสอนแบบปกติ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269669 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง ชนิดของคำ (Part of Speech) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเรื่องชนิดของคำ (Part of Speech) ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะกับการสอนแบบปกติกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนราชมนตรี (ปลื้ม-เชื่อมนุกูล) สำนักงานเขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานครที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 2 ห้องเรียนรวม 72 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 36 คนได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling)<br />เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบฝึกเสริมทักษะเรื่องชนิดของคำ (Part of speech) ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น จำนวน 4 เล่ม 2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ จำนวน 10 แผน 3) แผนการจัดการเรียนรู้โดยการสอนแบบปกติ จำนวน 10 แผน 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาอังกฤษเรื่องชนิดของคำ (Part of Speech) ที่มีค่าความเชื่อมั่นของข้อสอบทั้งฉบับ 0.95 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่น และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอิสระต่อกัน (t-test)<br />ผลวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง ชนิดของคำ (Part of Speech) มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 81.75/80.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ เรื่องชนิดของคำ (Part of Speech)ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนด้วย แบบฝึกเสริมทักษะสูงกว่าการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> มานิดา วงศ์สมบุญ, อรนุช ลิมตศิริ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269669 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การพัฒนาสื่อแอปพลิเคชัน 9 สถานที่สักการะในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269721 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาสื่อแอปพลิเคชันเพื่อการรับรู้ 9 สถานที่สักการะ ในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง 2) ศึกษาประสิทธิภาพของสื่อแอปพลิเคชัน 9 สถานที่สักการะในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว/บุคคลทั่วไปในการรับรู้ผ่านสื่อแอปพลิเคชัน 9 สถานที่สักการะในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักท่องเที่ยว/บุคคลทั่วไปที่ใช้งานสื่อแอปพลิเคชัน 9 สถานที่สักการะในจังหวัดเลย จำนวน 90 ราย ใช้วิธีเลือก กลุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) สื่อแอปพลิเคชันการรับรู้ 9 สถานที่สักการะในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง 2) แบบประสิทธิภาพของ สื่อแอปพลิเคชัน 9 สถานที่สักการะในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว/บุคคลทั่วไปในการรับรู้ผ่านสื่อแอปพลิเคชัน 9 สถานที่สักการะในจังหวัดเลย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />ผลการวิจัย พบว่า 1) การพัฒนาสื่อแอปพลิเคชันเพื่อการรับรู้ 9 สถานที่สักการะ ในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง สามารถสร้างการรับรู้ของนักท่องเที่ยว/บุคคลทั่วไปและนำไปใช้งานได้จริง 2) ผลการประเมินประสิทธิภาพของการออกแบบและพัฒนา สื่อแอปพลิเคชันเพื่อการรับรู้ 9 สถานที่สักการะในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.26, S.D.= 0.61) และ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว/บุคคลทั่วไปการออกแบบและพัฒนาสื่อแอปพลิเคชันเพื่อการรับรู้ 9 สถานที่สักการะ ในจังหวัดเลย ด้วยเทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกจริง ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />= 4.50, S.D.= 0.51)</p> จิตราภา คนฉลาด, อิทธิชัย อินลุเพท, วีณา พรหมเทศ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269721 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการงานกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267935 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปในการบริหารจัดการงานกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการงานกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการงานกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามรายกลุ่ม ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่งานกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 212 คน เครื่องมือที่ใช้ คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ (Two-ways MANOVA) และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Factor Analysis) ผลการวิจัยพบว่า สภาพทั่วไปในการบริหารจัดการงานกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น ส่วนใหญ่จะมีการบริหารบุคลากร รองลงมาเป็นการวางแผน และการจัดองค์การ ทรัพยากรการบริหารหลักส่วนใหญ่ คือ ทรัพยากรบุคคล รองลงมาเป็นการจัดการ การเงินและงบประมาณ ปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการงานกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดขอนแก่น คือการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวก รองลงมาเป็นการจัดสรรทรัพยากร การควบคุมกระบวนการดำเนินงาน และการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบปฏิสัมพันธ์ของปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการงานกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า ผู้บริหารที่มีระดับอายุต่างกันจะมีการบริหารงานกีฬาที่ต่างกัน หน่วยงานที่สังกัดต่างกันจะมีการบริหารงานกีฬาที่ต่างกัน และหน้าที่การบริหารตามหน่วยงานที่สังกัดต่างกันจะมีปัจจัยการบริหารงานกีฬาที่แตกต่างกัน</p> รุ่งนภา กิตติลาภ, กฤษณะ มูลมี, ภิรมย์ อั๋นประเสริฐ, ชลัช ภิรมย์, ศิวาพร กิตติลาภ, กัลยา ใหม่โพธิ์กลาง Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267935 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 ผลการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิด 6P Model โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นสื่อ เพื่อเสริมสร้างทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ด้านการแก้ปัญหา เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269116 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ด้านการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิด 6P Model โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นสื่อ เพื่อเสริมสร้างทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ด้านการแก้ปัญหา เรื่องรูปสี่เหลี่ยม 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามแนวคิด 6P Model โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นสื่อ เพื่อเสริมสร้างทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ด้านการแก้ปัญหา เรื่องรูปสี่เหลี่ยม กลุ่มประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนชุมชนบ้านแม่ฮ่าง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ที่ศึกษาภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 6P Model แบบประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม แบบประเมินทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยหาค่าร้อยละความก้าวหน้าทางการเรียน<br />ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 6P Model สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบฝึกทักษะเป็นสื่อ เพื่อเสริมสร้างทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ด้านการแก้ปัญหา เรื่อง รูปสี่เหลี่ยม ประกอบด้วย แบบประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 6P Model มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) นักเรียนมีทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ด้านการแก้ปัญหา เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมหลังการเรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 6P Model โดยภาพรวมอยู่ในระดับดี และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน คิดเป็นร้อยละ 45.90</p> กิตติศักดิ์ จันทร์หล่ม Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269116 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การฝึกแปรงฟันโดยใช้ภาพนิทานสำหรับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267861 <p>งานวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในแปรงฟันของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมและเปรียบเทียบทักษะการแปรงฟันของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมก่อนและหลังการใช้ภาพนิทาน กลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมจำนวน 3 คน อายุระหว่าง 7 - 8 ขวบ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) ซึ่งคณะผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองและการศึกษารายกรณี (Case Study) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการฝึกการแปรงฟันสำหรับนักเรียนที่มีภาวะออทิซึม จำนวน 6 แผน 2) หนังสือภาพนิทาน 3 เล่ม เรื่อง หนูชอบแปรงฟัน ผมแปรงฟันด้วยตัวเอง และผมแปรงฟันทุกวัน 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการแปรงฟันของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมโดยฝึกกิจกรรมการแปรงฟัน ทั้งหมด 12 สัปดาห์ บันทึกข้อมูลหลังการสอนและสรุปผลการกิจกรรมการแปรงฟันโดยใช้นิทานภาพการแปรงฟันแต่ละทุกชั่วโมง วิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ค่าร้อยละและการพรรณนา<br />ผลการวิจัยพบว่า<br />1.ความสามารถในการแปรงฟันโดยใช้ภาพนิทานของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมทั้ง 3 คน พบว่า นักเรียนที่มีภาวะออทิซึมมีคะแนนที่สูงขึ้นหลังการทดลอง<br />2. ผลคะแนนเปรียบเทียบความสามารถในการแปรงฟันของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมก่อนและหลังการใช้ภาพนิทานหลังการทดลองสูงขึ้น ดังนี้ นักเรียนคนที่ 1 ร้อยละ (38.33/71.66) นักเรียนคนที่ 2 ร้อยละ (45.00/80.00) นักเรียนคนที่ 3 ร้อยละ (60.00/91.66) ดังนั้นภาพนิทานสามารถส่งเสริมความสามารถในการแปรงฟันของนักเรียนที่มีภาวะออทิซึมเพิ่มขึ้นทุกคน</p> เจริญขวัญ ศรีพันธ์ชาติ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/267861 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ด้วยการจัดการเรียนการสอน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้หนังสือแบบฝึกหัด https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269260 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของหนังสือแบบฝึกหัด เรื่อง ชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการจัดการเรียนการสอน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้หนังสือแบบฝึกหัด 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการจัดการเรียน การสอน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้หนังสือแบบฝึกหัด กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมูสี จำนวน 1 ห้องเรียน ทั้งหมด 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) หนังสือแบบฝึกหัดวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น 2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้หนังสือแบบฝึกหัดวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของ จำนวน 8 แผน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ จำนวน 40 ข้อ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการสอนโดยใช้หนังสือแบบฝึกหัดวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ จำนวน 14 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย (<img title="\bar{X}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\bar{X}" />) ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent ผลการวิจัย หนังสือแบบฝึกหัดวิชาภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.38/80.00 ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2) ผลการเปรียบเทียบสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการจัดการเรียนการสอน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้หนังสือแบบฝึกหัด พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการจัดการเรียนการสอน เรื่อง ชนิดของคำ โดยใช้หนังสือแบบฝึกหัด พบว่า ภาพรวมของนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ปาริตา สายนันไชย, สิริพัชร์ เจษฎาวิโรจน์ Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการและวิจัย มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/neuarj/article/view/269260 Sat, 30 Mar 2024 00:00:00 +0700