https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/issue/feed วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ 2025-12-02T00:35:39+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จามรี พระสุนิล jamaree.pra@crru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ จัดทำโดยคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2550 มาจนถึงปัจจุบัน โดย<span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่บทความ</span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">ด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ การศึกษา การพัฒนาชุมชน/สังคม สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รวมถึงสหวิทยาการที่สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบัน</span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">ของนักวิชาการ นักวิจัย อาจารย์ นิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไป</span> </p> <p>กองบรรณาธิการวารสารฯ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานของวารสารตามเกณฑ์มาตรฐานของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai - Journal Citation Index : TCI) อย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันได้ดำเนินการในรูปแบบของการตีพิมพ์ระบบ e- Journal </p> <p>วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ จึงเป็นวารสารที่ส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานและทรรศนะทางวิชาการ เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และเป็นแหล่งข้อมูลจากการเสนอผลงานวิจัย และงานวิชาการ<span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">แขนงต่าง ๆ </span>ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่บทความจากคณาจารย์ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และนักวิชาการทั่วประเทศทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/273673 อคติทางเพศและการต่อรองเพื่อช่วงชิงพื้นที่ความเป็นครู ในโรงเรียนชายล้วนของครูกะเทยในพื้นที่กรุงเทพฯ 2024-07-20T00:34:51+07:00 ปวินญาพัฒน์ วรพันธ์ pawinyaphat@g.swu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอคติทางเพศและการต่อรองเพื่อช่วงชิงพื้นที่ความเป็นครูในโรงเรียนชายล้วนของครูกะเทยในพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ที่มุ่งเน้นในการทำความเข้าใจและวิเคราะห์อคติทางเพศผ่านการถูกตีตราและเลือกปฏิบัติต่อครูกะเทยในโรงเรียนชายล้วนในกรุงเทพมหานคร โดยผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยแบบกรณีศึกษา (Case Study) แบบ Intrinsic Case Study โดยจะสนใจโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจากโรงเรียนชายล้วนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้การคัดเลือกกลุ่มผู้ให้ข้อมูลจากโรงเรียนและตีความทำความเข้าใจกับกรณีที่ศึกษาและอาศัยประเภทของวิธีการศึกษาแบบกรณีศึกษาเป็นแบบ Multi Case เพื่อให้ความสำคัญกับการรวบรวมข้อมูลที่มีจากหลากหลายคนและหลายกรณี ซึ่งใช้การวิเคราะห์การวิจัยแบบการสร้างแก่นสาระ (Thematic) จนนำไปสู่การสร้างข้อสรุปและข้อเสนอแนะของการวิจัย ผลการศึกษาพบว่า ครูกะเทยให้ความหมายต่อความเป็นเพศของตน โดยถูกควบคุมและกำกับโดยสภาพทางสังคม และบรรทัดฐานทางสังคม และภายใต้การทำงานในโรงเรียนชายล้วน ทำให้สังคมยิ่งคาดหวัง และจับจ้อง ทั้งจากผู้บริหาร ผู้ปกครองของนักเรียน และนักเรียน ทำให้ครูกะเทยถูกปฏิเสธ เอากฎหมาย ข้อบังคับ หรือมาตรฐานวิชาชีพครูมาควบคุมพฤติกรรมและการปฏิบัติ หรือการเลือกในการมอบหมายงาน แต่อย่างไรก็ตามครูกะเทยก็มีการต่อรองและสร้างพื้นที่ของการต่อสู้ในบทบาทการเป็นครู จนทำให้ได้รับการยอมรับในความรู้ ความสามารถ ทักษะ จนนำมาสู่การสร้างคุณค่าของตัวเอง เป็นเครื่องมือในการปกป้องตัวเองจากการถูกรังแก หรือการเลือกปฎิบัติในโรงเรียนได้เช่นกัน</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/268326 การเสริมสร้างภาวะโภชนาการของชุมชนตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย 2024-04-24T17:23:54+07:00 วาสนา ติวงค์ t.wassana9572@gmail.com ชุติภัสสร์ เรืองวุฒิ t.wassana9572@gmail.com <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาวะโภชนาการ เสริมสร้างภาวะโภชนาการ และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารในระดับครัวเรือนและชุมชนในตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน และผู้สูงอายุ จำนวน 53 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมินภาวะโภชนาการ แบบสัมภาษณ์และการสังเกตการณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าความถี่ ค่าร้อยละ และสถิติเชิงพรรณนา </p> <p> การศึกษาพบว่า 1) ภาวะโภชนาการของชุมชนตำบลแม่เปา มีดัชนีมวลกายอยู่ในภาวะสมส่วน/ ปกติ รองลงมาโรคอ้วน มีน้ำหนัก 51-60 กิโลกรัม จำนวน 24 คน คิดเป็นร้อยละ 45.28 โรคประจำตัวเป็นโรคความดันโลหิตสูง รองลงมาโรคไขมันในเส้นเลือดและโรคเบาหวาน และปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการและสุขภาพ ด้านอาหาร มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารอยู่ในระดับปานกลาง กลุ่มตัวอย่างทำกับข้าวที่ตนเองชอบโดยใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ด้านการออกกำลังกาย มีพฤติกรรมการออกกำลังกายอยู่ในระดับดี และจิตวิญญาณ มีพฤติกรรมจิตวิญญาณอยู่ในระดับดี 2) การเสริมสร้างภาวะโภชนาการของชุมชนตำบลแม่เปา ครอบครัวมีผลอย่างมากในการร่วมดูแลผู้สูงอายุ โดยเฉพาะการดูแลด้านอาหารซึ่งมีผลต่อภาวะโภชนาการโดยตรง และ 3) การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารในระดับครัวเรือนและชุมชนในตำบลแม่เปา ชุมชนมีการรวมกลุ่มทำอาหาร มีการใช้ภาพถ่ายกิจกรรมในการนำเสนอข้อมูล เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ถูกต้อง สามารถป้องกันการโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและดำเนินชีวิตในสังคมผู้สูงวัยได้อย่างมีความสุข โดยลดภาวะการพึ่งพิงได้ร้อยละ 80</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/274055 แนวคิดการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษาการเป็นเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร 2024-12-24T23:31:39+07:00 ปิยธิดา โคกโพธิ์ piyathida.k@msu.ac.th สว่าง ไชยสงค์ piyathida.k@msu.ac.th วชิรวัตติ์ อาริยะสิริโชติ piyathida.k@msu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษานโยบายรัฐบาลในการพัฒนา เมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร สภาพทั่วไปของเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร 2) ศึกษาศักยภาพของพื้นที่ในการดำเนินการจัดการการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ด้านการพัฒนาเมืองด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร 3) เสนอแนะการจัดการการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ด้านการพัฒนาเมืองด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ของเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร ผลการวิจัยพบว่า นโยบายของรัฐบาลต่อเขตเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดมุกดาหาร เกิดขึ้นตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 - 2570) รวมถึงการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดมุกดาหาร (พ.ศ. 2566 – 2570) ที่วางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด การรวมกลุ่มประเทศเพื่อสิทธิประโยชน์ ด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน ในการพัฒนาเมืองด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ด้านการพัฒนาด้านภูมิทัศน์ของเมืองชุมชน พบว่ามีการปรับปรุงพื้นที่ถนน โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโขงบริเวณหน้าตลาดอินโดจีน และปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณตลาดอินโดจีน มีการจัดการพื้นที่ด่านสะพานมิตรภาพแห่งที่สอง ด้านพื้นที่สาธารณะ มีการจัดการพื้นที่สวนสาธารณะและการจัดการสนามกีฬากลางของจังหวัดให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชน ด้านการจัดการคุณภาพของน้ำ น้ำเสียที่เกิดขึ้นในจังหวัดมุกดาหารมักมาตามแนวลำน้ำจะมีปัญหาในช่วงน้ำหลากในพื้นที่ซึ่งประชาชนบางส่วนตั้งบ้านเรือนบริเวณริมน้ำโขง ด้านการจัดการขยะพบว่า การแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยชุมชนโดยเทศบาลเมืองมุกดาหารได้มีการลงนามสัญญา โครงการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชนเป็นพลังงานไฟฟ้าระบบปิดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กับ บริษัท ทีพีไอโพลีน เพาเวอร์จำกัด มหาชนโดยจะเป็นการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยของชุมชนในเขตเทศบาลในจังหวัดมุกดาหาร และองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดมุกดาหารได้อย่างเป็นระบบและมีความยั่งยืนในการพัฒนาเมืองด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างเป็นระบบ</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/50-62 แนวทางการบริหารกิจการนักเรียนเพื่อป้องกันพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียนโรงเรียนป้วยมิ้ง ตำบลเมืองสวรรคโลก อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย 2024-08-23T22:33:35+07:00 เฉลิม คมขำ chaloem.komkam@gmail.com ชัชภูมิ สีชมภู chaloem.komkam@gmail.com วจี ปัญญาใส chaloem.komkam@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับของพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียน โรงเรียนป้วยมิ้ง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย 2.) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารกิจการนักเรียนเพื่อป้องกันพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียนโรงเรียนป้วยมิ้ง 3.) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารกิจการนักเรียนเพื่อป้องกันพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียน ในโรงเรียนป้วยมิ้ง การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน</p> <p>โดยผู้วิจัยได้ทำการเก็บข้อมูลจากจากการใช้เครื่องมือที่เป็นแบบสอบถามในกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ประกอบไปด้วย กลุ่มตัวอย่างของนักเรียนจำนวน 218 คน กลุ่มบุคลากร ครู จำนวน 26 คน ผู้บริหาร จำนวน 1 คน คณะกรรมการบริหารสถานศึกษา จำนวน 12 คน นักวิชาการสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุโขทัย จำนวน 2 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัญหาการบริหารกิจการนักเรียนเพื่อป้องกันพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียนโรงเรียนป้วยมิ้ง นักเรียนโรงเรียนป้วยมิ้งมีพฤติกรรมการกลั่นแกล้งทั้ง 4 ด้าน ทางโรงเรียนเห็นความสำคัญการปรับลดพฤติกรรมและมองหาแนวทางการแก้ปัญหา เนื่องด้วยฝ่ายงานบริหารกิจการนักเรียนของโรงเรียนไม่ดำเนินงานตามโครงสร้างที่โรงเรียนกำหนดไว้ผู้วิจัย จึงได้ทำการศึกษาแนวคิดทฤษฎี POCCC เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียนในโรงเรียน โดยให้ฝ่ายงานกิจการนักเรียนเป็นผู้นำแนวคิดนี้ไปดำเนินการแก้ไขพฤติกรรมการกลั่นแกล้งของนักเรียน</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/274140 แนวทางการป้องกันการออกกลางคัน กรณีศึกษา: วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตรดิตถ์ 2024-08-22T10:09:33+07:00 ภูวดล เพ็ญนาดี phuwadol.pennadee@utt.ac.th ชัชภูมิ สีชมภู phuwadol.pennadee@utt.ac.th วจี ปัญญาใส phuwadol.pennadee@utt.ac.th <p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการออกกลางคันของนักเรียนนักศึกษา 2) เพื่อหาแนวทางการป้องกันการออกกลางคันของนักเรียนนักศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ได้แก่ 1) ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้างานปกครอง ครูที่ปรึกษา ผู้ปกครอง และนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตรดิตถ์ จำนวน 195 คน 2) ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูหัวหน้างานปกครอง หัวหน้างานแนะแนว และครูที่ปรึกษา/ครูผู้สอน สังกัดสำนักงานอาชีวศึกษาจังหวัดอุตรดืตถ์ จำนวน 21 คน เครื่องมือการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า สาเหตุการออกกลางคันของนักเรียนนักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีอุตรดิตถ์ ทั้ง 6 ด้าน จากการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริหาร ครู และผู้ปกครอง พบว่า สาเหตุของการออกกลางคันมากที่สุด ได้แก่ด้านที่ 2 คือ ด้านครอบครัว ( = 3.61) รองลงมา ได้แก่ด้านที่ 1 คือ ด้านตัวนักเรียน นักศึกษา ( = 3.54) และจากการวิเคราะห์ข้อมูลของนักศึกษา พบว่า สาเหตุของการออกกลางคันมากที่สุด ได้แก่ด้านที่ 3 และ 4 คือ ด้านสถานศึกษา ( = 2.99) กับด้านครูที่ปรึกษา/ครูผู้สอน ( = 2.99) รองลงมา ได้แก่ด้านที่ 6 คือ ด้านการเรียนการสอน/หลักสูตร ( = 2.88) แนวทางป้องกันได้แก่ 1) ครูที่ปรึกษา/ครูผู้สอนควรชี้แจงให้นักศึกษารู้จักจัดสรรเวลา เพื่อไม่ให้ขาดเรียนจนหมดสิทธิ์สอบ 2) ให้สถานศึกษามีการช่วยเหลือให้คำปรึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาในเรื่องการหารายได้เสริมการบริหารการเงิน 3) สถานศึกษาควรมีการปรับปรุงอัพเกรดอุปกรณ์เครือข่ายอินเตอร์เน็ตและเพิ่มจุด 4) ครูที่ปรึกษา/ครูผู้สอนควรมีการสนทนาให้คำปรึกษามีความเข้าใจนักศึกษา 5) สถานศึกษาควรมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้กับนักศึกษา 6) ควรมีการนิเทศการสอน เพื่อประเมินและติดตามการจัดการเรียนการสอนของครูว่าเป็นไปตามหลักสูตรหรือไม่</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/275407 การรับรู้เสียง /r/ หลังสระในภาษาอังกฤษของนักศึกษาไทยระดับปริญญาตรี 2025-03-15T16:34:49+07:00 อภินันท์ วงศ์กิตติพร abhinanwong@gmail.com <p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 2) เปรียบเทียบการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนว กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง จำนวนทั้งสิ้น 240 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นนักเรียนที่มีคะแนนการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยรวมทั้งห้องเรียนอยู่ในระดับน้อย เพื่อเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนทั้งหมด 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบวัด การคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดทั้งฉบับ เท่ากับ 0.75 และ 2) กิจกรรมแนะแนวเพื่อเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ค่าทีแบบไม่อิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเฉลี่ยของการคิดอย่างมีวิจารณญาณอยู่ในระดับปานกลาง และ 2) นักเรียนกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวเพื่อเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีระดับการคิดอย่างมีวิจารณญาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมแนะแนว ประกอบด้วย เทคนิคเกม การใช้คำถาม การบรรยาย เทคนิคเชิงสร้างสรรค์ กรณีตัวอย่าง การระดมสมอง และการอภิปรายกลุ่ม สามารถเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้</p> <p>This study examined Thai university students’ perceptions towards postvocalic /r/ in English. This study contributes something new to the field by studying Thai undergraduate students’ perceptions toward the postvocalic /r/ in English. The study followed purposive sampling method as the participants were 100 sophomore students, majoring in English. They enrolled in their three credit compulsory class called <em>English phonology</em>. The instrument of the study was a closed-ended questionnaire. The instrument was validated by three experts who are university lecturers. The data analysis followed an inferential statistical analysis SPSS29 via Pearson Correlation. The results in this study showed that there was a statistically significant relationship between Thai undergraduate students and their perceptions of difficulty to articulate the postvocalic /r/ in English. The <em>p-</em>value was reported at 0.043. The results in this study were explained by least effort requirement, stigmatization and non-standard pronunciation.</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/274171 การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลบางนมโค 2024-08-23T18:21:38+07:00 จิรภัทร สาทวอน jirapat.satwon@gmail.com พิมผกา ธรรมสิทธิ์ Jirapat.satwon@gmail.com สุรเชษฐ์ บุญยรักษ์ jirapat.satwon@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นการบริหารงานวิชาการ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลบางนมโค เป็นวิจัยเชิงผสมผสาน ประชากร 53 คน มีผู้บริหาร 3 คน ครู 50 คน ผู้ทรงคุณวุฒิที่ใช้ในการสัมภาษณ์ 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นและการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นการบริหารงานวิชาการ เรียงลำดับจากสูงไปหาต่ำ ได้แก่ ด้านการวัดและประเมินผล ด้านการจัดการเรียนรู้ ด้านการนิเทศการเรียนการสอน และด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) แนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลบางนมโค คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตร มีคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ความต้องการของนักเรียน ผู้ปกครองและบริบทชุมชน ด้านการจัดการเรียนรู้ จัดสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกห้องเรียนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ด้านนิเทศการเรียนการสอน แต่งตั้งคณะกรรมการนิเทศการสอนที่มาจากหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้เพื่อนิเทศการเรียนการสอนภาคเรียนละ 1 ครั้งแล้วนำผลการนิเทศมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้เกิดการพัฒนาทางวิชาชีพและด้านการวัดและประเมินผล มอบหมายให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถพัฒนาเครื่องมือในการวัดและประเมินผลแล้วให้ครูนำไปใช้วัดและประเมินผลนักเรียนสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ มาตรฐานและตัวชี้วัดและนำผลการประเมินผลมารายงานตามรูปแบบของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/277392 การเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้กิจกรรมแนะแนว 2025-03-17T00:04:39+07:00 นัทถินี พันธุพล nattineepanthupol@gmail.com มณฑิรา จารุเพ็ง nattineepanthupol@gmail.com พัชราภรณ์ ศรีสวัสดิ์ monthira@g.swu.ac.th <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 2) เปรียบเทียบการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนว กลุ่มประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2567 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง จำนวนทั้งสิ้น 240 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นนักเรียนที่มีคะแนนการคิดอย่างมีวิจารณญาณโดยรวมทั้งห้องเรียนอยู่ในระดับน้อย เพื่อเป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียนทั้งหมด 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบวัด การคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดทั้งฉบับ เท่ากับ 0.75 และ 2) กิจกรรมแนะแนวเพื่อเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 1.00 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ ค่าทีแบบไม่อิสระต่อกัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเฉลี่ยของการคิดอย่างมีวิจารณญาณอยู่ในระดับปานกลาง และ 2) นักเรียนกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมกิจกรรมแนะแนวเพื่อเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีระดับการคิดอย่างมีวิจารณญาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมแนะแนว ประกอบด้วย เทคนิคเกม การใช้คำถาม การบรรยาย เทคนิคเชิงสร้างสรรค์ กรณีตัวอย่าง การระดมสมอง และการอภิปรายกลุ่ม สามารถเสริมสร้างการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ได้</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/280045 ภาษามือ ภาษาธรรม : รูปแบบการเรียนรู้หลักการดำเนินชีวิตวิถีพุทธสำหรับ คนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย 2025-05-26T07:01:58+07:00 วินัย เก่งสุวรรณ winay8216@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ได้ออกแบบการวิจัยเป็นแบบผสมผสาน ด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยแบบปฏิบัติการ ที่มุ่งพัฒนาชุดความรู้และสร้างแบบภาษามือภาษาธรรมที่เป็นหลักการดำเนินชีวิตวิถีพุทธ สำหรับคนพิการไทย เฉพาะรูปแบบพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาการรับรู้ ความรู้ความเข้าใจหลักธรรมการดำเนินชีวิตวิถีพุทธ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้หลักการดำเนินชีวิตวิถีพุทธของคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย และ 3) เพื่อเสนอรูปแบบการเรียนรู้ภาษามือ ภาษาธรรมสำหรับคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย ดำเนินการในผู้ให้ข้อมูลหลักแบบเจาะจง ในตัวแทนจากสมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย ล่ามภาษามือไทยจากสมาคมล่ามแห่งประเทศไทย และตัวแทนจากสมาคมคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย รวมถึงตัวแทนจากกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยมีการสัมภาษณ์เชิงลึก และการปฏิบัติการ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัญหาและความต้องการของคนพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายนั้นปรากฏมีข้อจำกัดในการรับรู้ หรือ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ซึ่งการเรียนรู้ของคนพิการทางการได้ยินจะเรียนรู้ได้ดีก็ต่อเมื่อ มีล่ามแปลภาษามือ พบว่าคนพิการทางการได้ยินหรือคนหูหนวกที่ขึ้นทะเบียนเป็นคนพิการตามกฎหมายมีจำนวน 2 แสนกว่าคน มีที่รู้ และเข้าใจภาษามือไม่กี่หมื่นคน นี่คือสภาพปัญหาหนึ่ง ประกอบกับล่ามภาษามือก็มีจำนวนจำกัดไม่สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาขาดล่ามแปลภาษามือที่จะเป็นสื่อในการอธิบายหลักธรรมต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบคนพิการทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องผลิตล่ามภาษามือให้เพียงพอต่อความต้องการของคนพิการ ต้องส่งเสริมให้คนพิการได้เรียนรู้ภาษามือ โดยให้คนพิการได้เข้าถึงระบบการศึกษา ต้องผลิตสื่อที่เป็นดิจิทัล และมีล่ามภาษามือแปลหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา และเผยแผ่ผ่านสื่อทางสังคมสมัยใหม่ เพื่อง่ายต่อการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้สำหรับทุกคน</p> <p>&nbsp;</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/274306 แนวทางการบริหารการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิตผู้สูงอายุใน 4 มิติ ของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดอุตรดิตถ์ 2024-08-23T23:41:37+07:00 สมชาย แปงอุด somchai.bkch@gmail.com หยกแก้ว กมลวรเดช somchai.bkch@gmail.com วจี ปัญญาใส somchai.bkch@gmail.com <p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดอุตรดิตถ์ 2) เพื่อหาแนวทางในการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดอุตรดิตถ์ 3) เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ตามแนวทางการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการการเรียนรู้เรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กำหนดกลุ่มประชากรแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้อำนวยการ จำนวน 9 คน ข้าราชการครู จำนวน 10 คน หัวหน้า กศน.ตำบล จำนวน 81 คน ครู ศรช. จำนวน 2 คน และประธานองค์กรนักศึกษา จำนวน 9 คน รวม จำนวน 111 คน และกลุ่มเป้าหมาย 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการจำเป็นในการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่าความต้องการจำเป็น ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ มีค่ามากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินการ และด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมีค่าต่ำสุด แนวทางในการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วม แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรมีส่วนร่วมในการวางแผนดำเนินการ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินการ ควรมีการประสานงานสร้างความร่วมมือ ควรมีการนิเทศติดตาม และควรให้ขวัญกำลังใจเพื่อเป็นแรงเสริม ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ควรมีการพิจารณาความดีความชอบให้กับผู้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานขององค์กรนักศึกษาที่ประสบผลสำเร็จ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ควรให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมประเมินผลตามกรอบการประเมิน ควรกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วม ภาพรวมอยู่ในระดับ มาก</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/274422 แนวทางการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดอุตรดิตถ์ 2024-10-09T21:03:50+07:00 หฤษฎ์ ประมาณ harit.praman@gmail.com ชัชภูมิ สีชมภู harit.praman@gmail.com ชลายุทธ์ ครุฑเมือง harit.praman@gmail.com <p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดอุตรดิตถ์ 2) เพื่อหาแนวทางในการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดอุตรดิตถ์ 3) เพื่อประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ตามแนวทางการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการการเรียนรู้เรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กำหนดกลุ่มประชากรแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้อำนวยการ จำนวน 9 คน ข้าราชการครู จำนวน 10 คน หัวหน้า กศน.ตำบล จำนวน 81 คน ครู ศรช. จำนวน 2 คน และประธานองค์กรนักศึกษา จำนวน 9 คน รวม จำนวน 111 คน และกลุ่มเป้าหมาย 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong> </strong>ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการจำเป็นในการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วมของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ ในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดอุตรดิตถ์ พบว่าความต้องการจำเป็น ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ มีค่ามากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินการ และด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมีค่าต่ำสุด แนวทางในการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วม แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรมีส่วนร่วมในการวางแผนดำเนินการ ด้านการมีส่วนร่วมในการดำเนินการ ควรมีการประสานงานสร้างความร่วมมือ ควรมีการนิเทศติดตาม และควรให้ขวัญกำลังใจเพื่อเป็นแรงเสริม ด้านการมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ควรมีการพิจารณาความดีความชอบให้กับผู้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานขององค์กรนักศึกษาที่ประสบผลสำเร็จ ด้านการมีส่วนร่วมในการประเมินผล ควรให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมประเมินผลตามกรอบการประเมิน ควรกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการบริหารองค์กรนักศึกษาแบบมีส่วนร่วม ภาพรวมอยู่ในระดับ มาก</p> 2025-12-02T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ