https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/issue/feed วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ 2024-06-28T21:30:23+07:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์จามรี พระสุนิล jamaree.pra@crru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ จัดทำโดยคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2550 มาจนถึงปัจจุบัน โดย<span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">มีวัตถุประสงค์เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่บทความ</span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">ด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ การศึกษา การพัฒนาชุมชน/สังคม สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รวมถึงสหวิทยาการที่สอดคล้องกับบริบทสังคมปัจจุบัน</span><span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">ของนักวิชาการ นักวิจัย อาจารย์ นิสิต นักศึกษาและประชาชนทั่วไป</span> </p> <p>กองบรรณาธิการวารสารฯ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างมาตรฐานของวารสารตามเกณฑ์มาตรฐานของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai - Journal Citation Index : TCI) อย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันได้ดำเนินการในรูปแบบของการตีพิมพ์ระบบ e- Journal </p> <p>วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ จึงเป็นวารสารที่ส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานและทรรศนะทางวิชาการ เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และเป็นแหล่งข้อมูลจากการเสนอผลงานวิจัย และงานวิชาการ<span class="OYPEnA text-decoration-none text-strikethrough-none">แขนงต่าง ๆ </span>ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่บทความจากคณาจารย์ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา และนักวิชาการทั่วประเทศทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย</p> https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/271083 การศึกษาความคุ้มทุนของการใช้ทรัพยากรสารสนเทศของ ห้องสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2024-04-08T10:55:30+07:00 ฌชกร ถาวรเกษมหทัย chodchakorn.t@cmu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์งบประมาณการจัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศกับปริมาณการใช้ของห้องสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ 2) เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มทุนของการลงทุนในทรัพยากรสารสนเทศของห้องสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ การวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาหนังสือที่อนุญาตให้ยืมออกผ่านระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และบอร์ดเกม ที่ห้องสร้างสรรค์เพื่อการเรียนรู้ได้จัดซื้อในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 – 2566 และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบบันทึกข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคำนวณสถิติโดยการแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์ความคุ้มทุนของการใช้ทรัพยากรสารสนเทศ ผลการวิจัยพบว่า ปริมาณและคุณภาพของทรัพยากรสารสนเทศตามเกณฑ์การประกันคุณภาพในด้านความทันสมัยของการจัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศในปีงบประมาณ 2562 อยู่ในการประเมินระดับ 4 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ปีงบประมาณ 2563 – 2566 อยู่ในการประเมินระดับ 5 <br />สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานมาก เมื่อพิจารณางบประมาณจัดซื้อทรัพยากรสารสนเทศประเภทหนังสือ พบว่า ปี 2562 – 2566 ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 800,149.69 บาท จัดหาหนังสือได้ทั้งหมด 562 เล่ม ราคาเฉลี่ยต่อเล่ม เป็นเงิน 1,423.75 บาท มีจำนวนการใช้ทั้งหมด 1,359 ครั้ง โดยมีอัตราการใช้ 2.42 ครั้งต่อเล่ม และคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อครั้ง เป็นเงิน 588.78 บาท งบประมาณการจัดซื้อบอร์ดเกม เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 79,431.06 บาท จัดหาบอร์ดเกมได้ทั้งหมด 66 ชื่อเรื่อง ราคาเฉลี่ยต่อเรื่อง เป็นเงิน 1,203.50 บาท มีจำนวนการใช้ทั้งหมด 146 ครั้ง โดยมีอัตราการใช้ 2.21 ครั้งต่อชื่อเรื่อง และคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อครั้ง เป็นเงิน 544.05 บาท</p> 2024-05-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/271100 การศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อความยั่งยืนของชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย 2024-03-28T15:28:04+07:00 ณัฐพงศ์ รักงาม tokykungman@hotmail.com <p>การศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อความยั่งยืนของชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบริบทและสภาพปัญหาในการบริหารจัดการน้ำของชุมชน และ 2) เพื่อพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการน้ำของชุมชนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยโดยใช้หลักวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลหลักในการศึกษาโดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) <br />ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบและมีบทบาทในการบริหารจัดการน้ำภายในชุมชนตำบลป่าตาล โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้นำที่เป็นทางการและตัวแทนของประชาชนในพื้นที่ และกลุ่มตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวม 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบบันทึกประเด็นข้อตกลงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันของชุมชน และการสังเกต จากนั้นจึงทำการสรุปและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาผ่านกระบวนการ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาตามแนวคิดศาสตร์พระราชา ผลการศึกษาพบว่า</p> <ol> <li>บริบทและสภาพปัญหาในการบริหารจัดการน้ำของชุมชนในเขตพื้นที่ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ตำบลป่าตาลตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันออกของจังหวัดเชียงราย มี 14 หมู่บ้าน ประชากรโดย<br />ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีทรัพยากรน้ำที่สำคัญ ได้แก่ ป่าต้นน้ำดอยขุนตาล แม่น้ำอิง หนองน้ำสาธารณะรวมถึงระบบประปาประจำหมู่บ้าน แม้จะมีแหล่งทรัพยากรน้ำที่หลากหลายแต่ตำบลป่าตาลยังคงประสบปัญหาในการจัดการน้ำอยู่เป็นประจำ โดยสภาพปัญหาในการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ 1) ปัญหาน้ำแล้งและน้ำท่วมฉับพลันซึ่งมีสาเหตุจากพื้นที่ต้นน้ำเสื่อมโทรมอันเป็นผลจากการบุกรุกตัดไม้ทำลายป่า ขณะที่เมื่อถึงฤดูฝนผืนดินก็ไม่สามารถกักเก็บและชะลอน้ำนำมาซึ่งปัญหาน้ำท่วมฉับพลันและการพังทลายของหน้าดิน <br />2) ปัญหาด้านการบริหารจัดการน้ำภายในชุมชนไม่ว่าจะเป็นปัญหาการบริหารจัดการประปาหมู่บ้าน ปัญหา<br />การทิ้งน้ำเสียและสิ่งปฏิกูลลงในแหล่งน้ำสาธารณะที่เกิดจากกิจกรรมการใช้น้ำในบ้านเรือน และปัญหาการขาดจิตสำนึกและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการน้ำภายในชุมชน</li> <li>แนวทางในการบริหารจัดการน้ำของชุมชนภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย ผลการวิจัยพบว่ามีการสร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์และการบริหารจัดการน้ำในชุมชนแก่ประชาชนรวมทั้งสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนโดยกำหนดให้ปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชุมชนเป็นประเด็นสาธารณะ (Public Issue) ผ่านการจัดทำเวทีประชาคมเพื่อให้ชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้สะท้อนสถานการณ์ปัญหา ทำความเข้าใจและหาทางออกร่วมกันโดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมบูรณาการ ผลจากการการจัดเวทีสาธารณะที่ประชุมมีมติใน<br />การจัดทำ “ข้อตกลงความร่วมมือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันของชุมชนตำบลป่าตาล อำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566” ซึ่งมีลักษณะเป็นระเบียบหรือกฎเพื่อเป็นกรอบและแนวปฏิบัติในการจัดการน้ำร่วมกันของชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมโยงระหว่างครอบครัวและชุมชนในการสร้างความรู้รักสามัคคีแบ่งปันความรับผิดชอบต่อสังคมอันเป็นการสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพึ่งตนเองตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกันของชุมชนอย่างยั่งยืน</li> </ol> 2024-05-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/271453 ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นของบุคลากรสายปฏิบัติการ กลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2024-04-07T12:21:28+07:00 ศิริพัสตร์ ถาอ้าย siripat.t@camt.info ปิยาภรณ์ ณ เชียงใหม่ piyaporn.n@camt.info <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการยื่นขอดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้นของบุคลากรสายปฏิบัติการ 2) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น 3) ศึกษาแนวทางการวางแผนพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนบุคลากรสายปฏิบัติการกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ <br />กลุ่มตัวอย่าง 215 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-Test One Way ANOVA ผลวิจัยพบว่า 1) บุคลากรส่วนใหญ่มีภาระงานประจำมาก จึงไม่มีแรงจูงใจในการทำผลงานเพื่อยื่นขอดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น ไม่มีความเข้าใจในข้อบังคับว่าด้วย การกำหนดระดับตำแหน่งและ<br />การแต่งตั้งพนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ขาดความรู้และทักษะในการเขียนผลงานเชิงวิเคราะห์ สังเคราะห์ งานวิจัย จึงทำให้ไม่มีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์หรือเผยแพร่ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด ไม่มีที่ปรึกษาหรือระบบพี่เลี้ยง บุคลากรบางรายเพิ่งได้รับการบรรจุเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยประจำหรือเปลี่ยนสถานะภาพจากพนักงานมหาวิทยาลัยชั่วคราวเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยประจำ จึงมีอายุงานและฐานเงินเดือนขั้นต่ำไม่ถึงเกณฑ์การขอดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น บางหน่วยงานขาดงบประมาณสนับสนุนในการทำวิจัย งานเชิงวิเคราะห์ หรือสังเคราะห์ <br />ไม่มีนโยบายส่งเสริมสนับสนุนให้บุคลากรยื่นขอดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น บุคลากรจึงไม่ได้รับการอบรมเกี่ยวกับ<br />การกำหนดตำแหน่งที่สูงขึ้น 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น มี 6 ด้าน ได้แก่ ด้านเจตคติต่อวิชาชีพ ด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ด้านแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ ด้านแรงจูงใจใฝ่อำนาจ ด้านการพัฒนาตนเอง ด้านนโยบายคณะ 3) แนวทางการวางแผนพัฒนาส่งเสริมและสนับสนุนให้สามารถขอดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น คือ มีนโยบาย ผลักดัน สร้างแรงจูงใจ และปรับคุณสมบัติผู้ต้องการกำหนดตำแหน่งที่สูงขึ้น</p> 2024-05-09T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/270021 การจัดการความรู้และถอดบทเรียนห้องเรียนสาธิตเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย 2024-04-24T17:53:12+07:00 สิริโฉม พิเชษฐบุญยเกียรติ sirichom12@gmail.com นิวัตร มูลปา sirichom12@gmail.com พัชรี ไชยยงค์ sirichom12@gmail.com ภีราวิชญ์ ชัยมาลา sirichom12@gmail.com ปองสุข ศรีชัย sirichom12@gmail.com รจนา บุญลพ sirichom12@gmail.com สายสมร ติ๊บมา sirichom12@gmail.com อำนวย คำบุญ sirichom12@gmail.com <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาระดับการจัดการความรู้ของบุคลากรห้องเรียนสาธิตเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ และ 2) ศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรห้องเรียนสาธิตเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ผู้บริหารหลักสูตร อาจารย์ผู้สอน ครูพี่เลี้ยง และเจ้าหน้าที่ดูแลนักศึกษา จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson Product Moment Correlation Coefficient)</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า</p> <p> 1) ศึกษาระดับการจัดการความรู้ของบุคลากรห้องเรียนสาธิตเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน ( = 4.13) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีระดับการจัดการความรู้อยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ด้านการจัดการความรู้ให้เป็นระบบ การบ่งชี้ความรู้ การเรียนรู้ ด้านการเข้าถึงความรู้ และการสร้างและแสวงหาความรู้</p> <p> 2) ประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรห้องเรียนสาธิตเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย จากระดับการจัดการความรู้ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรที่มีหน้าที่รับผิดชอบห้องเรียนสาธิตเทคโนโลยีฐานวิทยาศาสตร์ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย พบว่า ในภาพรวมของประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรอยู่ในระดับมากทุกด้าน (x ̅ = 4.18) โดยเรียงลำดับจากมากที่สุดไปหาน้อย คือ ด้านเวลาของการปฏิบัติงาน ด้านวิธีการ/กระบวนการดำเนินงาน ด้านคุณภาพของการปฏิบัติงาน ด้านปริมาณงาน และด้านต้นทุนของการดำเนินงาน</p> 2024-05-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/269975 การพัฒนาทักษะชีวิตด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์สำหรับนักศึกษา หลักสูตรเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ที่พักอาศัยในหอพักมหาวิทยาลัย 2024-04-24T18:52:06+07:00 ภีราวิชญ์ ชัยมาลา aj.peravit@gmail.com สิริโฉม พิเชษฐบุญยเกียรติ sirichom12@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณา มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการดำเนินชีวิตของนักศึกษาและเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของนักศึกษาหลักสูตรเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ที่พักอาศัยในหอพักมหาวิทยาลัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 หลักสูตรเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ จำวน 14 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสำรวจข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบสัมภาษณ์แบบเจาะลึก 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรม และ 4) แบบสังเกตพฤติกรรมการพัฒนาทักษะการเรียนรู้และทักษะชีวิต สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ สถิติในการวิเคราะห์เชิงพรรณนาวิเคราะห์ (Analytical Description)</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า</p> <p>1) การวิเคราะห์พฤติกรรมของนักศึกษา พบว่า พฤติกรรมและลักษณะนิสัยของนักศึกษาก่อนที่จะเข้าศึกษาหลักสูตรเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ พบว่า พฤติกรรมที่เป็นจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุงและพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ วินัยทางการเรียน การจัดการการเงิน และการใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบ สำหรับคุณลักษณะเชิงบวกที่พบ คือ การเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ความมีน้ำใจต่อผู้อื่น และความรู้สึกผูกพันกับเพื่อนและครอบครัว</p> <p>2) การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของนักศึกษา พบว่า หลังจากนักศึกษาได้เข้าพักในหอพัก นักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางบวก ได้แก่ การเคารพซึ่งกันและกัน มีความรับผิดชอบ มีการจัดการการเงินและมีการปรับตัว สำหรับการวิเคราะห์พฤติกรรมนักศึกษาผ่านการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตด้วยเทคนิค R-C-A พบว่า นักศึกษาที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ในทางบวก โดยสามารถสะท้อนความรู้และประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะทำกิจกรรม แล้วสามารถเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เรียนรู้กับประสบการณ์ใหม่ได้ รวมทั้งสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตที่ดีมีประสิทธิภาพในอนาคตได้</p> 2024-05-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/271481 การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งของจังหวัดเชียงรายสู่เกษตรมูลค่าสูงเชิงสร้างสรรค์ 2024-03-24T02:15:36+07:00 กอบกุลณ์ คำปลอด kp.kobkun@gmail.com ชุติมา ปัญญาหลง Kp.kobkun@gmail.com วัฒนพล อยู่สวัสดิ์ Kp.kobkun@gmail.com <p>งานวิจัยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งของจังหวัดเชียงรายสู่เกษตรมูลค่าสูงเชิงสร้างสรรค์ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้ง 2) ออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ 3) การพัฒนาช่องทางทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไยอบแห้ง จังหวัดเชียงราย เครื่องมือการวิจัย คือ การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า เอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไยอบแห้ง จังหวัดเชียงราย พบว่าเป็นลำไยพันธุ์อีดอซึ่งเป็นพันธุ์ที่เหมาะกับการอบแห้งมากที่สุด เนื้อสัมผัสดีกว่าสายพันธุ์อื่น ลักษณะมีเนื้อหนา เม็ดเล็ก เนื้อล่อน เมื่ออบแห้งมีสีสวย ผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดเชียงราย มีลำไยอบแห้งแบบอบทั้งเปลือก และลำไยอบแห้งแบบคว้านเมล็ด มีเอกลักษณ์เป็นลำไยอบแห้งที่มีลักษณะสีเหลืองทอง มีกลิ่นหอมหวาน เนื้อหนาและชิ้นใหญ่ มีลักษณะแห้งสนิทไม่ติดกันเป็นก้อน รสชาติหวานละมุนไม่หวานแหลม</p> <p>ด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไยอบแห้ง จังหวัดเชียงราย คณะผู้วิจัยได้ออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้ง ที่ประกอบด้วยรายละเอียดที่แสดงความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งจังหวัดเชียงราย สีฉลากใช้สีทองออกส้มอิฐ เนื่องจากการผสมผสานระหว่างสีของลำไยอบแห้งกับสีดอกพวงแสด ดอกไม้ประจำจังหวัดเชียงราย มีการกล่องบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้ง และกระบอกบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งแบบใส เมื่อบรรจุแล้วมองเห็นผลิตภัณฑ์ภายในได้ชัดเจน</p> <p>การพัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไยอบแห้ง จังหวัดเชียงราย โดยใช้การตลาดออนไลน์เป็นสื่อกลางประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคได้รู้จักผลิตภัณฑ์ลำไยอบแห้งจังหวัดเชียงราย เสริมสร้างช่องทางในการติดต่อระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค และส่งเสริมศักยภาพความเข้มแข็งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนลำไยอบแห้ง จังหวัดเชียงราย</p> 2024-05-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/271741 อิทธิพลของการเห็นคุณค่าในตนเอง การสนับสนุนทางสังคม การควบคุมตนเอง เจตคติเชิงบวกต่อการกระทำผิดและโอกาสในการกระทำผิดซ้ำของเยาวชนในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน สังกัดกรมพินิจคุ้มครองเด็กและเยาวชน 2024-05-09T19:14:36+07:00 ทิพวรรณ ชัยนันท์อุดม tippwanc35@gmail.com งามลมัย ผิวเหลือง tippwanc35@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาอิทธิพลของปัจจัยส่วนบุคคล การเห็นคุณค่าในตนเอง การสนับสนุนทางสังคม การควบคุมตนเอง และเจตคติเชิงบวกต่อการกระทำผิดที่มีต่อการทำนายโอกาสในการกระทําผิดซ้ำของเยาวชนในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ เยาวชนในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน สังกัดกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เขตภาคกลาง จำนวน 230 คน โดยการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย เพื่อพยากรณ์ ทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยใช้วิธีแบบเจาะจง (Purposive Sampling) การเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยโลจิสติก ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ สถานภาพครองคู่บิดามารดา บุคคลที่อาศัยอยู่ด้วยในปัจจุบัน สถานภาพเศรษฐกิจของเยาวชน และจำนวนครั้งที่กระทำผิด ไม่มีอิทธิพลต่อการทำนายโอกาสในการกระทำผิดซ้ำของเยาวชนในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน แต่พบตัวแปรอิสระอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการทำนายโอกาสในการกระทำผิดซ้ำ 2 ตัวแปร ได้แก่ การเห็นคุณค่าในตนเองด้านการมีคุณความดี และการเห็นคุณค่าในตนเองด้านการมีความสามารถ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> 2024-05-19T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/272269 ตัวเเบบการจัดการท่องเที่ยวบนฐานทุนทางวัฒนธรรมจีนเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของการท่องเที่ยวเชิงอาหารในประเทศไทย 2024-05-30T16:47:29+07:00 นวลพรรณ วงษ์สอาด wongsaard_n@su.ac.th นพพร จันทรนำชู chantaranamchoo_n@su.ac.th <p> บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตัวแบบการจัดการท่องเที่ยวบนฐานทุนทางวัฒนธรรมจีนเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของการท่องเที่ยวเชิงอาหารในประเทศไทย โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลหลักในพื้นที่ ดังนี้ 1) หมู่บ้านรักไทย จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2) ชุมชนชากแง้ว จังหวัดชลบุรี และ 3) ชุมชนเมืองเก่าสงขลา จังหวัดสงขลา จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบการสุ่มเชิงทฤษฎี การรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย การสัมภาษณ์เชิงลึก การสนทนากลุ่ม และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การสร้างทฤษฎีฐานราก</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ตัวแบบการจัดการท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1) เงื่อนไขการท่องเที่ยวเชิงอาหารบนฐานทุนทางวัฒนธรรมจีน 4 ด้าน คือ ชุมชนท้องถิ่น เครือข่ายการท่องเที่ยว บริการการท่องเที่ยว และ อัตลักษณ์อาหารบนฐานทุนทางวัฒนธรรมจีน และ 2) กระบวนการจัดการท่องเที่ยวเชิงอาหาร 5 ด้าน คือ การวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่ การวางแผนกำหนดทิศทาง การจัดการความรู้ชุมชน ทดลองนำร่อง และ การประเมินผลร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อให้เกิดการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอาหารบนฐานทุนทางวัฒนธรรมจีน โดยผลที่ได้รับจากการจัดการเกิดขึ้นทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งผลจากการศึกษานี้สามารถใช้เป็นตัวเเบบสำหรับการจัดการท่องเที่ยวเชิงอาหารจีนในบริบทที่คล้ายคลึงกันต่อไป</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ตัวแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงอาหาร ทุนทางวัฒนธรรมจีน การท่องเที่ยวเชิงอาหาร วัฒนธรรมอาหาร</p> 2024-06-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/271148 A Case Study of Ancient Chinese Documents in Language Studies: Zhuang Ethnic Culture and the Separation of the Zhuang Ethnicity in Thailand 2024-05-19T22:28:03+07:00 Weimin Wang wang.wei@mfu.ac.th Simon Jones simon.jon@mfu.ac.th <p>The following research is documentary research that aims to: 1. To research whether or not China’s Zhuang ethnic group has a long history of language and culture. 2. To research the linguistic features of the ancient Chinese Zhuang people to determine if there is any practical sociocultural value in said research, and to search from the perspective of the Zhuang and Thai people sharing a common social origin, to see whether or not a new yet undiscovered historical basis can be found.</p> <p>The research methodology covers documentary and linguistic research. Content analysis methodology is utilized in the analysis of documentary and linguistic material, and descriptive analysis was implemented in the research results. The research results indicate a relationship between ancient Zhuang and the contemporary Thai language. It can be seen that 5,000-6,000 years ago, the Zhuang language had already become the language used for communication within the ethnic group, and also demonstrates the sheer length of their linguistic and cultural history. Research into ancient Zhuang linguistic culture helps facilitate a deeper understanding of the characteristics and knowledge of Zhuang culture. At the same time, the Zhuang vocabulary offers compelling linguistic proof of the shared ancestral origins between the Zhuang ethnic group and the Thai people of Thailand.</p> 2024-06-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/social_crru/article/view/272522 บทเรียนความสำเร็จการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ที่ได้รับรางวัล ตำบลมหัศจรรย์ 1000 วัน Plus สู่ 2500 วัน จังหวัดอุตรดิตถ์. 2024-05-30T16:42:07+07:00 มานะชัย วีระวงค์ manachai59@gmail.com วจี ปัญญาใส manachai59@gmail.com ศุภราภรณ์ ทองสุขแก้ว manachai59@gmail.com <p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถอดบทเรียนความสำเร็จการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ได้รับรางวัลตำบลมหัศจรรย์ 1000 วัน Plus สู่ 2500 วัน จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 9 แห่ง โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญได้แก่ หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 9 คน ครูหรือผู้ดูแลเด็กที่รับผิดชอบโครงการ จำนวน 9 คน ผู้ปกครองหรือกรรมการสถานศึกษา จำนวน 9 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 27 คน เครื่องมือที่ใช้สำหรับการวิจัยได้แก่ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สัมภาษณ์และวิเคราะห์ ผลการวิจัยโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ โดยใช้มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ มาบูรณาการในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยให้สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่น ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานการบริหารจัดการสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มาตรฐานการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการเล่นเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย และมาตรฐานคุณภาพเด็กปฐมวัย &nbsp;มีการพัฒนาคุณภาพการดำเนินงานสุขภาพ (4D) โดยศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีการเฝ้าระวัง ส่งเสริมการเจริญเติบโตและโภชนาการเด็กปฐมวัย มีการส่งเสริมพัฒนาด้านการเล่น การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย มีการส่งเสริมสุขภาพช่องปากและฟัน การจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความปลอดภัย ปลอดโรคในสถานศึกษาและการใช้แผนงาน โครงการกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพของเด็กปฐมวัย จำนวน 19&nbsp;&nbsp; โครงการ โดยการจัดฝึกอบรมให้กับผู้ปกครอง บุคลากรทางการศึกษาและเด็กปฐมวัยทั้งภายในและภายนอกศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาการด้านต่าง ๆ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: บทเรียนความสำเร็จ&nbsp; ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก&nbsp; ตำบลมหัศจรรย์ 1000 วัน Plus สู่ 2500 วัน</p> 2024-06-28T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสังคมศาสตร์วิชาการ