วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal <p><strong>ชื่อวารสาร <br /></strong> วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ <span lang="TH">(Journal of Social Research and Review)</span></p> <p><strong>eISSN</strong> 3056-9508 (Online)<br /><br /><strong>จัดทำขึ้นโดย<br /></strong> สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ลิขสิทธิ์)</p> <p><strong>กำหนดออก </strong>2 ฉบับต่อปี <br /> - ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ<br /> - ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายขอบเขตการตีพิมพ์</strong><strong><br /></strong> วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์ บทความวิจัย บทความวิชาการ บทปริทัศน์หนังสือ และบทวิจารณ์หนังสือในด้านสังคมศาสตร์ การพัฒนาสังคม การวิจัยทางสังคม เพื่อเผยแพร่ความรู้แก่คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิต นักศึกษาหรือผู้ที่มีความสนใจ<br /><br /><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ </strong><br /><strong> วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ ไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ (Page Charges)<br /><br /></strong>บทความต่างๆ ที่ตีพิมพ์ใน <strong><em>วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์</em></strong> เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้เขียนบทความเท่านั้น ผู้พิมพ์และกองบรรณาธิการไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นที่สอดคล้องกับความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความแต่อย่างใด<strong><br /></strong></p> th-TH <p>1) บทความนี้เป็นลิขสิทธิ์ของสถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ความคิดเห็นและเนื้อหาเป็นของผู้แต่ง<br />2) ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้แต่งบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กองบรรณาธิการไม่สงวนสิทธิ์ในการคัดลอก แต่ให้ระบุถึงการอ้างอิง</p> cusri.journal@gmail.com (Nathapassorn Krokklang) nathapassorn.k@chula.ac.th (นางสาวณัฐภัสสร กรอกกลาง) Tue, 28 Oct 2025 13:47:00 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 กระบวนทัศน์การจัดการพื้นที่ทางวัฒนธรรมท่ามกลางการขยายตัวของความเป็นเมือง: ศึกษาชุมชนปากน้ำประแส จังหวัดระยอง และชุมชนชากแง้ว จังหวัดชลบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/277725 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กระบวนทัศน์ในการจัดการพื้นที่ทางวัฒนธรรมท่ามกลางการขยายตัวของความเป็นเมือง โดยศึกษาเปรียบเทียบแนวทางการจัดการพื้นที่ของชุมชนปากน้ำประแส จังหวัดระยอง และชุมชนชากแง้ว จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้บริบทของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC (Eastern Economic Corridor) การวิจัยนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก และการเสวนากลุ่มย่อยกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งในระดับชุมชน ภาครัฐ และนักวิชาการ ผลการวิจัยพบว่า ชุมชนทั้งสองแห่งใช้กระบวนทัศน์การจัดการพื้นที่ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยชุมชนปากน้ำประแสมีลักษณะการจัดการแบบการมีส่วนร่วมเพื่อความอยู่รอด ซึ่งอาศัยทุนทางวัฒนธรรมและกลไกภายในชุมชนในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ในขณะที่ชุมชนชากแง้วใช้กระบวนทัศน์แบบการฟื้นฟูอัตลักษณ์ผ่านนโยบายร่วม โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในการออกแบบและบริหารจัดการพื้นที่ เช่น ถนนวัฒนธรรมไทย–จีน และกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมจีนแต้จิ๋ว การเปรียบเทียบยังพบความแตกต่างด้านกลไกการมีส่วนร่วม บทบาทของภาคีเครือข่าย ทุนทางสังคม และระดับการเชื่อมโยงกับนโยบายภาครัฐอย่างเป็นทางการ ข้อค้นพบจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าการจัดการพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ยั่งยืน ต้องตั้งอยู่บนฐานของกระบวนทัศน์ที่ตอบสนองต่อบริบทของพื้นที่ มีความยืดหยุ่นและสามารถเชื่อมโยงทุนวัฒนธรรมกับเศรษฐกิจและอัตลักษณ์ในระยะยาวได้อย่างสมดุล</p> เมทินา อิสริยานนท์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/277725 Tue, 28 Oct 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/279355 <p>เขตพญาไทเป็นศูนย์กลางความเจริญในด้านเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญขงกรุงเทพมหานคร มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น จึงทำให้เกิดปัญหาปริมาณขยะมูลฝอยตกค้างในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมการทิ้งขยะที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวันจนกลายเป็นวัฒนธรรมและพฤติกรรมที่คุ้นชินของประชาชน ส่งผลให้เกิดปัญหาขยะล้นเมืองการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ประชาชน<br />ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน และสุ่มแบบบังเอิญ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ<br /><br />ผลการวิจัยพบว่า ประชาชนในเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร มีระดับการมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอยในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.21) โดยการมีส่วนร่วมในการประเมินผล มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ( = 4.58) รองลงมา คือ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ และการมีส่วนร่วมในการร่วมรับผลประโยชน์ ตามลำดับ และความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการขยะ และทัศนคติต่อการจัดการขยะ ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย ส่วนความรู้เกี่ยวกับขยะไม่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย<br /><br />องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้คือ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอย เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ได้แก่ ความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการขยะ และทัศนคติต่อการจัดการขยะ ซึ่งทัศนคติที่ดีสามารถสร้างได้ผ่านต้นแบบทางสังคม เช่น ครอบครัว เพื่อนบ้าน หรือบุคคลที่มีอิทธิพล สามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาแนวทางส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการขยะมูลฝอยในเขตอื่น ๆ โดยการสร้างความตระหนัก การร่วมมือกับชุมชน การพัฒนานโยบายที่เข้มแข็ง และการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์</p> บุณฑรีย์ มีเพิ่มพูนศรี, ไททัศน์ มาลา , กัมลาศ เยาวะนิจ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/279355 Tue, 04 Nov 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการส่งเสริมการตลาดของตลาดน้ำโบราณในยุคดิจิทัล : กรณีศึกษาตลาดน้ำบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/280517 <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยการส่งเสริมการตลาดเพื่อการท่องเที่ยวในยุคดิจิทัลของตลาดน้ำโบราณบางพลีทั้ง 6 ด้าน และเสนอแนวทางการพัฒนาการส่งเสริมการตลาดเพื่อการท่องเที่ยวชุมชนตลาดน้ำโบราณบางพลี ให้เกิดความยั่งยืนในยุคดิจิทัล โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตผู้ค้าขาย ผู้ดูแลชุมชน และนักท่องเที่ยว รวม 12 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ผู้ค้าขายในชุมชน ส่วนใหญ่ยังใช้วิธีการขายแบบดั้งเดิม แต่ก็มีบางส่วนเริ่มปรับตัวให้มากขึ้นกับวิธีการทางดิจิทัล โดยในภาพรวมของการส่งเสริมการตลาดในปัจจุบัน คือ (1) ด้านโฆษณา มีการทำคลิปวิดีโอลงเฟซบุ๊ก (Facebook) แต่ยังมีน้อย (2) ด้านการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่เป็นในรูปแบบบริการและลดราคา แต่การใช้ผ่านช่องดิจิทัลยังน้อยอยู่ (3) การขายโดยบุคคล เป็นวิธีหลักที่ใช้ก็คือการพูดและโน้มน้าวในการขายของ (4) การประชาสัมพันธ์ มาจากป้ายและการบอกต่อ (5) การตลาดทางตรง ไม่มีการทำเนื่องจากเป็นวิธีที่เข้าใจยาก และ (6) การตลาดออนไลน์ มีบ้างเฉพาะบางร้านเท่านั้น สำหรับการเสนอแนวทางการพัฒนา จึงเสนอให้มีการจัดตั้งองค์กรส่งเสริมความรู้ดิจิทัลในชุมชนเพื่อสร้างพื้นฐานการใช้งาน และขยายการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่หลากหลาย เพื่อเพิ่มโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่</p> อมฤต จงเสถียร, อุ่นเรือน เล็กน้อย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/280517 Thu, 27 Nov 2025 00:00:00 +0700 ฉัน(น่า)จะมีชีวิตถึงอายุเท่าไร?: การศึกษาอายุคาดเฉลี่ยเชิงอัตวิสัยของนิสิตนักศึกษา ในกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/280704 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการกำหนดอายุคาดเฉลี่ยเชิงอัตวิสัยโดยเปรียบเทียบความแตกต่างตามเพศสภาพของนิสิตนักศึกษาในกรุงเทพมหานคร และศึกษาเหตุผลที่ใช้ในการกำหนดอายุคาดเฉลี่ยเชิงอัตวิสัย เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามปลายเปิดจากนิสิตนักศึกษาอายุ 18-23 ปี จำนวน 346 คน ในมหาวิทยาลัยของรัฐ 3 แห่ง พื้นที่กรุงเทพมหานคร ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบ Kruskal-Wallis และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญ จัดกลุ่มความหมาย และหาแก่นเรื่อง ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉลี่ยอายุคาดเฉลี่ยที่คาดหวัง 76.4 ปี โดยพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระหว่างกลุ่มเพศสภาพ (p &lt; .001) โดยเพศชายมีค่าเฉลี่ยอายุคาดเฉลี่ยที่คาดหวังสูงสุด (79.4 ปี) รองลงมาคือ เพศหญิง (75.8 ปี) และกลุ่ม LGBTQI+ (70.2 ปี) สำหรับเหตุผลการกำหนดอายุคาดเฉลี่ย จำแนกได้ 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ (1) การอ้างอิงบรรทัดฐานอายุ (2) ภาวะสุขภาพและความเสื่อมของร่างกาย (3) ครอบครัวและความสัมพันธ์ทางสังคม (4) เป้าหมายและความสมบูรณ์ของชีวิต (5) ความมุ่งหวังต่อโลกในอนาคต และ (6) ไม่สามารถคาดการณ์ได้ด้วยตนเอง โดยเหตุผลที่พบมากที่สุดคือ กลุ่มเป้าหมายและความสมบูรณ์ของชีวิต ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตมากกว่าความยืนยาวของชีวิต และมีความแตกต่างในการคาดการณ์อายุคาดเฉลี่ยตามอัตลักษณ์ทางเพศ การศึกษานี้สนับสนุนให้มีการพัฒนานโยบายรองรับสังคมสูงวัย ที่เน้นการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการพึ่งพาตนเองของผู้สูงอายุ โดยคำนึงถึงความต้องการที่แตกต่างตามอัตลักษณ์ทางเพศ</p> ฐิตินันทน์ ผิวนิล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยสังคมและปริทัศน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socialresearchjournal/article/view/280704 Tue, 02 Dec 2025 00:00:00 +0700