วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku
<p><strong>วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ </strong></p> <p><strong> มีกำหนดการออกใบตอบรับการตีพิมพ์แก่ผู้เขียน หลังจากผู้เขียนแก้ไขบทความที่ผ่านการ peer review (Double Blind Peer Review) หรือระยะเวลาโดยรวมประมาณ 3-4 เดือน</strong></p> <p><strong>วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์:</strong> จัดทำโดย<em> คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์</em></p> <p><strong>ISSN:</strong> 3056-946X (Print) 3056-9524 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออกเผยแพร่:</strong> 2 ฉบับ/ปี (ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม)</p> <p><strong>ขอบเขตของเนื้อหา</strong>: บทความวิจัยและบทความวิชาการทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ได้แก่ <em>สาขาจิตวิทยา นิติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา</em> และสาขาสังคมศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>ประเภทบทความที่เปิดรับ:</strong> 1) บทความวิจัย 2) บทความวิชาการ 3) บทความพิเศษ และ 4) บทแนะนำหนังสือและบทวิจารณ์หนังสือ</p> <p><strong>ภาษา: </strong>ภาษาไทย / ภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ:</strong> 3 ท่าน/บทความ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> <br />1) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คณาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา และผู้ที่สนใจทั่วไป ได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัย <br />2) เป็นแหล่งในการเสนอผลงานรวมทั้ง แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูล ความคิดเห็นทางวิชาการและวิจัย อันจะเป็นการพัฒนาการศึกษาและการวิจัยในสาขาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์</p> <p><strong>*ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ยกเว้นกรณีขอถอนบทความ*</strong></p>
Faculty of Social Sciences, Kasetsart University
th-TH
วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
3056-946X
-
สตานิสลาฟที่ 2 เอากุสต์ : กษัตริย์องค์สุดท้ายของโปแลนด์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/281850
<p> พระเจ้าสตานิสลาฟที่ 2 เอากุสต์ เป็นกษัตริย์โปแลนด์และแกรนด์ดยุคลิทัวเนียในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1764-1795 และเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ทรงขึ้นครองราชบัลลังก์ได้เพราะความสัมพันธ์ในช่วงวัยหนุ่มกับสตรีซึ่งในเวลาต่อมา คือ ซารีนาแคเทอรีนมหาราชแห่งจักรวรรดิรัสเซียในปี ค.ศ. 1764 ซารีนาแคเทอรีนทรงใช้อิทธิพลทางการเมืองและอำนาจของกองทัพรัสเซียเพื่อให้แน่ใจว่ามีการเลือกสตานิสลาฟเป็นกษัตริย์ แม้พระองค์ทรงพยายามปฏิรูปการบริหารเพื่อรักษาอธิปไตยของโปแลนด์เอาไว้ แต่การต่อต้านจากขุนนางโปลและซารีนาแคเทอรีนก็บีบบังคับให้พระองค์ต้องทรงปกครองในฐานะเบี้ยของรัสเซียเท่านั้น ทรงพยายามผ่านรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1791 เพื่อล้มเลิกสิทธิการยับยั้งเป็นรายบุคคลและการเลือกตั้งอย่างเสรีของขุนนาง อย่างไรก็ดี เครือจักรภพที่ปกครองในระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญก็ดำรงอยู่ได้เพียงปีเดียว พระองค์ไม่ทรงสามารยับยั้งการแบ่งโปแลนด์ (ค.ศ 1772 ค.ศ. 1793 และ ค.ศ. 1795) เป็นเหตุให้โปแลนด์สิ้นสลายและถูกลบหายจากแผนที่ยุโรปเป็นเวลา 123 ปี พระเจ้าสตานิสลาฟทรงมีฐานะเป็นนักโทษและต้องประทับที่เมืองกรอดโน ทรงลงพระปรมาภิไธยสละราชย์เมื่อวันที่ 25 พฤษจิกายน ค.ศ. 1795 ทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของโปแลนด์ที่ล้มเหลวในการปกป้องประเทศจากภัยคุกคามภายนอก</p>
สัญชัย สุวังบุตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
1
22
-
บทวิจารณ์หนังสือ ประวัติศาสตร์การทูตยุโรป : พัฒนาการตั้งแต่สมัยราชาธิปไตยจนถึงปัจจุบัน ของ บรรพต กำเนิดศิริ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/281852
สีดา สอนศรี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
205
208
-
ปากคลองตลาด: จากตลาดปลาสู่การเป็นสถานที่ยอดนิยมผ่านบทบาทของสื่อ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/274587
<p><span class="s8"><span class="bumpedFont15"> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเงื่อนไขทางสังคมเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการพัฒนาของเมืองกรุงเทพมหานคร </span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">(</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">กทม.</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">)</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15"> และส่งผลให้ย่านปากคลองตลาดมีการปรับตัวและผลิตพื้นที่ใหม่ และเพื่อศึกษาบทบาทหน้าที่ของย่านปากคลองตลาดเพื่อตอบสนองรสนิยมของผู้คนผ่านบทบาทของสื่อ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงและ</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">แบบสโนว์</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">บอล </span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">สู่</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">การเก็บข้อมูลผ่านการใช้เทคนิคการสัมภาษณ์เชิงลึก </span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">จาก</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">กลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลที่มีประสบการณ์ต่าง ๆ หรือมีความเกี่ยวข้องกับย่านปากคลองตลาด</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15"> เป็นจำนวนทั้งสิ้น </span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">7</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15"> คน โดยกลุ่มตัวอย่างผู้ให้ข้อมูลให้ความยินยอมในการแบ่งปันประสบการณ์ด้วยความเข้าใจ ตระหนักในความสำคัญของบทบาทตนเองและมีการให้ข้อมูลที่เป็นจริงจากความสมัครใจ นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลผ่านการสังเกตการณ์ โดยอธิบายเชิงพรรณนา</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">ผ่านแนวคิดการผลิตพื้นที่ของ</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">ออง</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">รี เลอ</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">แฟบวร์</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15"> แนวคิดนิเวศภูมิทัศน์เมืองและแนวคิดสื่อ ผลการศึกษาพบว่า</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">ปากคลองตลาดเป็นพื้นที่ที่ได้รับการปรับปรุงภูมิทัศน์และความนิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ภายหลังได้มีนักลงทุนชาวจีนเข้ามาลงทุนขายดอกไม้ ผนวกกับการเข้ามาของสื่อออนไลน์ที่ส่งผลให้เกิดอาชีพอิน</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">ฟลู</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">เอนเซอร์ บุคคลสำคัญในการแนะนำจุดเด่นและกิจกรรมที่ย่านปากคลองตลาด จนกลายเป็นกระแสนิยมของผู้คนในปัจจุบัน </span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">โดยกระแสนิยมนั้นทำให้เกิดการ</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">ผลิตพื้นที่ใหม่ </span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">2 </span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">พื้นที่ด้วยกัน คือ พื้นที่ทางกายภาพและพื้นที่บนสื่อออนไลน์</span></span><span class="s8"><span class="bumpedFont15">ที่ตอบสนองรสนิยมคนเมืองหรือสังคมปัจจุบัน</span></span></p>
Thattita Chumkhun
Sowatree Nathalang
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
33
48
-
การบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชนสู่การพึ่งพาตนเองที่ยั่งยืนของชุมชนบ้านจำรุง ตำบลเนินฆ้อ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/273925
<p> การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประวัติความเป็นมาของชุมชนบ้านจำรุง 2) ศึกษาองค์ประกอบการบริหารการจัดการวิสาหกิจชุมชนสู่การพึ่งพาตนเองที่ยั่งยืนของชุมชนบ้านจำรุง 3) เสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชนสู่การพึ่งพาตนเองที่ยั่งยืน เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ผู้ใหญ่บ้าน คณะกรรมการชุมชนบ้านจำรุง คณะกรรมกรรมการดำเนินงานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์เแบบมีโครงสร้าง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุมชนบ้านจำรุงมีการพัฒนาเริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2510 ดังนี้ (1) ระยะเริ่มต้นพ.ศ.2510-2536 เริ่มมีการเรียนรู้ในพัฒนาการปรับเปลี่ยนวิถีชุมชนและเริ่มมีหน่วยงานต่างๆ เข้ามาร่วมส่งเสริมสนับสนุนชุมชน (2) ระยะเรียนรู้และพัฒนาเปลี่ยนแปลง พ.ศ.2537-2547 ได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชุมชน (3) ระยะประสบความสำเร็จพ.ศ.2548-ปัจจุบัน จัดตั้ง “มหาวิทยาลัยบ้านนอก, สภาองค์กรชุมชนตำบลเนินฆ้อ” ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้การพึ่งพาตนเอง ตลอดจนนำองค์ความรู้ที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินงานของชุมชนมาถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ที่ผู้คนทั่วไปหรือหน่วยงานจากภายนอก 2) องค์ประกอบการบริหารการจัดการวิสาหกิจชุมชนสู่การพึ่งพาตนเองที่ยั่งยืนของชุมชนประกอบด้วย (1) มีการกำหนดและวางแผนในการดำเนินงาน (2) มีการบริหารจัดการองค์การในรูปแบบคณะกรรมการ 2 กลุ่ม คือ คณะกรรมการชุมชนและคณะกรรมการดำเนินงานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและ 3) แนวทางการบริหารจัดการวิสาหกิจชุมชนสู่การพึ่งพาตนเองที่ยั่งยืนของชุมชนบ้านจำรุง ได้แก่1. ควรมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแนวทางและการดำเนินงาน 2. ชุมชนควรที่จะมีการส่งเสริมหรือปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์บ้านเกิดให้กับเยาวชนภายในชุมชน 3. ควรมีการบริหารและควบคุมเวลาในการนำศึกษาดูงานให้เป็นระบบ 4. ควรมีสถานที่หรือพื้นที่สำรองเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวหรือคณะศึกษาดูงานที่เพิ่มขึ้น 5. ควรจัดทำแนวทางหรือคู่มือการเรียนรู้ในการจัดการท่องเที่ยวเพื่อการศึกษาโดยชุมชน6.ควรจัดทำแนวทางหรือคู่มือการเรียนรู้ในการจัดการท่องเที่ยวเพื่อการศึกษาโดยชุมชน</p>
เพ็ญศรี ฉิรินัง
ธวัชชัย เจริญรัมย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
49
68
-
การมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นของสตรีในสังคมพหุวัฒนธรรมพื้นที่ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/274592
<p> บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระดับและเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของสตรีในสังคมพหุวัฒนธรรมพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นวิธีการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากสตรีมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 398 คน สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) ผลการศึกษาพบว่าด้านการมีส่วนร่วมแสดงสิทธิออกเสียงเลือกตั้งอยู่ในระดับมาก ด้านการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอยู่ในระดับปานกลาง และด้านการมีส่วนร่วมรณรงค์ทางการเมืองอยู่ในระดับน้อย การเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของสตรีในพื้นที่ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลได้แก่ อายุ แตกต่างกันทำให้ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สถานภาพ การศึกษา รายได้ และชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันทำให้ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองระดับท้องถิ่นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เป็นไปตามสมมติฐานของงานวิจัย สำหรับปัจจัยส่วนบุคคลด้านอาชีพและระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นไม่แตกต่างกันจึงปฏิเสธสมมติฐาน</p>
มุทิตา ทับทิมศรี
ประยูร อิมิวัตร์
ณัฐพงศ์ รักงาม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
69
84
-
การจัดการความรู้ของวัยรุ่นในสังคมดิจิทัล ด้วยการจัดการบุคลิกภาพด้านการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ผ่านศักยภาพในการสื่อสาร
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/274156
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดการบุคลิกภาพด้านการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ผ่านศักยภาพในการสื่อสารด้วยการจัดการความรู้ของวัยรุ่นในสังคมดิจิทัลที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 ขึ้นไป 2) กำหนดแนวทางการพัฒนาศักยภาพในการสื่อสารด้วยการจัดการความรู้ของวัยรุ่นในสังคมดิจิทัล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ วัยรุ่นที่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยในพื้นที่ภาคกลางตอนบนแห่งหนึ่ง โดยการเลือกแบบเจาะจงจากการลงทะเบียนเรียนในรายวิชาเทคนิคการพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อการทำงาน ภาคการศึกษาที่ 2/2566 จำนวน 84 คน รูปแบบการวิจัยเชิงทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวมข้อมูลวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เพื่อการจัดการบุคลิกภาพ จำนวน 13 แผน 39 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการจัดการบุคลิกภาพด้านการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ผ่านศักยภาพในการสื่อสารด้วยการจัดการความรู้ของวัยรุ่นในสังคมดิจิทัล แบบปลายเปิด จำนวน 5 ข้อ 3) แบบการสนทนากลุ่ม 4) แบบสังเกตอย่างมีส่วนร่วม 5) แบบสังเกตอย่างไม่มีส่วนร่วม การเก็บข้อมูลมาทําการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพจะทําการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการจัดการบุคลิกภาพด้านการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ผ่านศักยภาพในการสื่อสารด้วยการจัดการความรู้ของวัยรุ่นในสังคมดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 50 ขึ้นไป จำนวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 20 ของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 2) ผลการศึกษาการกำหนดแนวทางการพัฒนาศักยภาพในการสื่อสารด้วยการจัดการความรู้ของวัยรุ่นในสังคมดิจิทัล สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การได้มาซึ่งความรู้ด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ศักยภาพสูง (2) การพัฒนาความรู้และเข้าใจทักษะที่โดดเด่นของตนเองเพื่อจัดเก็บความรู้ (3) การพัฒนาแรงขับภายในตนเองเพื่อแบ่งปันและประยุกต์ใช้ความรู้ (4) การพัฒนาความตระหนักในซอฟต์พาวเวอร์ที่มีผลต่อการสร้างความรู้ ผลการศึกษานี้จะเป็นแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการความรู้ด้วยการจัดการบุคลิกภาพด้านการใช้ซอฟต์พาวเวอร์ผ่านศักยภาพในการสื่อสารของวัยรุ่นไทยในสังคมดิจิทัล และเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับทัศนคติที่ดีต่อวัยรุ่นไทยในสังคมดิจิทัลที่มีศักยภาพทุกคนต่อไป</p>
ปริณุต ไชยนิชย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
85
114
-
การตระหนักรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ของประชากรในประเทศไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/273745
<p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างโมเดลการตระหนักรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของประชากรในประเทศไทย เพื่อศึกษาปัจจัยของการตระหนักรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของประชากรในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมพฤติกรรมและสร้างการตระหนักรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประชากรในประเทศไทย การวิจัยในครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจำนวน 450 ตัวอย่าง จากประชากรในประเทศไทย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling; SEM) ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า แบบจำลองสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องทางสถิติ X2 / df = 2.673 RMSEA = 0.055 GFI = 0.928 CFI = 0.964 AGFI = 0.900 IFI = 0.964 TLI = 0.954 RMR = 0.079 และ SRMR = 0.049 ผลการวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพลพบว่า ปัจจัยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีอิทธิพลเชิงบวกทางตรงและทางอ้อมต่อพฤติกรรมของประชากรในประเทศไทย นอกจากนี้ ปัจจัยด้านการตระหนักรู้ด้านการเรียนรู้ มีอิทธิพลเชิงบวกทางตรงต่อพฤติกรรมของประชากรในประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.001 ในตอนท้ายได้นำเสนอข้อเสนอแนะที่สำคัญจากผลการศึกษาการตระหนักรู้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของประชากรในประเทศไทย เพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมพฤติกรรมและสร้างการตระหนักรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประชากรในประเทศไทย</p>
Kanyanee Kulkanok
Salisa Sungyoke
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
115
136
-
การใช้ที่ดินและการยอมรับต่อเงื่อนไขการปลูกไม้ยืนต้นของเกษตรกรที่ได้รับจัดสรรที่ดินป่าไม้ ภายใต้นโยบายของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) กรณีศึกษาตำบลพงษ์ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/277467
<p> การศึกษานี้มุ่งหวังที่จะอธิบายวิธีการใช้ที่ดินและประเมินความเห็นของเกษตรกรต่อเงื่อนไขในการปลูกพืชยืนต้นในเขตป่าตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) โดยสัมภาษณ์กับเกษตรกร 97 คนจาก 3 หมู่บ้านในตำบลพงษ์ อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นตัวแทนของชุมชนที่มีความแตกต่างกันทั้งในด้านที่ตั้งและชาติพันธุ์ ผลการศึกษาพบว่ามีความแตกต่างในการใช้ที่ดินของแต่ละกลุ่มตามลักษณะของพื้นที่และชาติพันธุ์ โดยเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำที่มีคุณภาพ 3, 4, 5 ส่วนใหญ่เป็นคนเมือง ทำการเกษตรแบบสวนและปลูกไม้ยืนต้นมากกว่า 90% ของพื้นที่ทำกิน โดยมียางพาราเป็นพืชหลักสำหรับการค้า ในขณะที่เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำที่มีคุณภาพ 1, 2 เป็นชาติพันธุ์ลัวะและอยู่ใกล้พื้นที่ป่าอนุรักษ์ ทำการเกษตรแบบไร่ มีข้าวไร่เป็นพืชหลักและปลูกไม้ยืนต้นน้อยกว่า 50% ของพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการบริโภคในครัวเรือน การประเมินความเห็นต่อเงื่อนไขการปลูกไม้ยืนต้นพบว่าเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำที่มีคุณภาพ 1, 2 มีความเห็นด้วยในระดับน้อยที่สุด (2.73 จาก 10 คะแนน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดินเพื่อการผลิตอาหารในครัวเรือนและความไม่ชัดเจนของสิทธิในการถือครอง ขณะที่เกษตรกร ซึ่งมีที่ดินส่วนใหญ่อยู่นในพื้นที่ลุ่มน้ำที่มีคุณภาพ 3, 4, 5 มีความเห็นด้วยในระดับปานกลาง หรือ 5.52 และ 5.50 จาก 10 คะแนน ตามลำดับ การศึกษานี้เผยให้เห็นถึงความแตกต่างของการใช้ที่ดินและความเห็นต่อนโยบายการปลูกไม้ยืนต้น ซึ่งเกี่ยว ข้องกับปัจจัยทางภูมิศาสตร์ ชาติพันธุ์ ความมั่นคงของสิทธิในการถือครอง และวัตถุประสงค์ในการปลูกพืชของแต่ละพื้นที่</p>
วรางคณา รัตนรัตน์
วิพักตร์ จินตนา
เพ็ญพร เจนการกิจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
137
160
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับทุนด้านการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมเกษตรไปใช้ประโยชน์ของหน่วยงานบริหารจัดการทุนวิจัย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/277219
<p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการได้รับทุน เพื่อให้สามารถพัฒนา หลักเกณฑ์ที่เป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ ในการพิจารณาสนับสนุนทุนวิจัย มากกว่ามุมมองเชิงนโยบายหรือบริบทระดับมหภาคมิติเดียวมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการได้รับทุนสนับสนุนด้านการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะของโครงการกับโอกาสในการได้รับทุนและการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้ทราบว่าปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อโอกาสในการได้รับทุนสนับสนุนด้านการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และนำไปปรับปรุงการจัดทำข้อเสนอโครงการวิจัยที่สามารถอธิบายกระบวนการวิจัยนำสู่การใช้ประโยชน์สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมและการสร้างความยั่งยืนในพื้นที่ให้สอดคล้องกับเกณฑ์การพิจารณาสนับสนุนทุน โดยประเมินผลการดำเนินงานของโครงการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัย (Program Management Unit : PMU) ภายใต้รูปแบบการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ (RU Funding Modality) ปีงบประมาณ 2566 มุ่งเน้นการวิเคราะห์โครงการที่มีผลกระทบสูงนำส่งผลสัมฤทธิ์ที่สำคัญและตอบค่าเป้าหมาย (Key Results) ระดับแผนงาน ตามแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) โดยทำการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content analysis) จากข้อเสนอโครงการเพื่อสนับสนุนทุนด้านการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ (Research Utilization) ปีงบประมาณ 2566 จำนวน 124 โครงการ ที่ยื่นผ่านสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยการศึกษาโครงการที่ประสบความสำเร็จก่อให้เกิดประโยชน์ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกร และบรรลุเป้าหมายตามตัวชี้วัด Objective and Key Results (OKRs) ตามเกณฑ์ของการกลั่นกรองข้อเสนอโครงการ คะแนนเฉลี่ยไม่ถึง 70.00 คะแนน ผลการศึกษาพบว่า ข้อเสนอโครงการ จำนวน 124 โครงการ มีข้อเสนอโครงการที่ไม่ผ่านการกลั่นกรอง คะแนนเฉลี่ยน้อยกว่า 70.00 คะแนน จำนวน 99 โครงการ มีคะแนนตามตัวชี้วัดเฉลี่ยร้อยละ 53.78โดยประเด็นการพิจารณาที่มีสัดส่วนน้อยที่สุด 3 ลำดับ ประกอบด้วย 1) โอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถและสร้างความยั่งยืนในพื้นที่ มีคะแนนรวมเฉลี่ย 4.91 2) ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมมีคะแนนรวมเฉลี่ย 4.93 และ 3) ที่มาของปัญหา มีคะแนนรวมเฉลี่ย 5.20 และจากการวิเคราะห์การได้รับจัดสรรทุนวิจัยของสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) จะต้องให้ความสำคัญกับข้อเสนอโครงการที่มีความชัดเจนของการดำเนินงานในการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) ไปขยายผลตามความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์ (Demand side) ในพื้นที่ ได้จริง และองค์ประกอบของตัวชี้วัดที่สำคัญ ได้แก่(1) ที่มาของปัญหา (2) วัตถุประสงค์ (3) กรอบแนวคิด (4) ระเบียบวิธีการวิจัย (5) ระยะเวลา(6) งบประมาณ (7) ผู้วิจัย (8) ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม (9) ผู้ใช้ประโยชน์ ผู้ได้รับประโยชน์ <br />ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (10) โอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถและสร้างความยั่งยืนในพื้นที่</p>
นางสาวศิริกร วิวรวงษ์
นายธานินทร์ คงศิลา
ธานี ศรีวงศ์ชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
161
182
-
การประเมินผลลัพธ์ทางสังคมจากการใช้ประโยชน์ความรู้บริการวิชาการ: กรณีศึกษาหลักสูตร SROI มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/277277
<p> การวิจัยเชิงปริมาณนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการนำความรู้จากการอบรมหลักสูตรการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ไปใช้ประโยชน์ 2) วิเคราะห์ลักษณะโครงการพื้นที่ดำเนินการ และจำนวนประชาชนที่ได้รับประโยชน์ และ 3) ประเมินความสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เครื่องมือการวิจัยใช้แบบสอบถาม จากประชากรผู้ผ่านการอบรมหลักสูตร SROI จำนวน 392 คน ได้รับการตอบกลับจำนวน 105 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่าผู้เข้าอบรมส่วนใหญ่เป็นนักวิชาการ(ร้อยละ 59.05) มีการศึกษาระดับปริญญาเอก (ร้อยละ 41.90) และมีประสบการณ์ทำงานมากกว่า 10 ปี (ร้อยละ 62.86) มีการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านการประเมินโครงการในองค์กร (ร้อยละ 59.05) และการประยุกต์ใช้ในการวิจัย (ร้อยละ 45.71) ส่วนใหญ่เป็นโครงการด้านการพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ (ร้อยละ 26.67) กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศโดยเฉพาะในภาคเหนือ โดยโครงการที่มีผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดมีจำนวนถึง 60,000 คน และส่วนใหญ่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะด้านการศึกษาที่มีคุณภาพซึ่งพบมากที่สุด (ร้อยละ 36.19) ข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ การขยายกลุ่มเป้าหมายการอบรมให้ครอบคลุมหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคม การกำหนดนโยบายสนับสนุนการใช้ SROI ในองค์กร และการพัฒนาระบบติดตามผู้ผ่านการอบรม ส่วนข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทาง การจัดทำคู่มือและเครื่องมือที่เข้าใจง่าย และการสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้ผ่านการอบรม เพื่อส่งเสริมการนำความรู้ไปใช้ประเมินผลลัพธ์ทางสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
Srisuk Mongkutvisut
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
183
204
-
การรู้เท่าทันสื่อ: ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/socku/article/view/273720
<p> ผู้บริโภคที่รู้เท่าทันสื่อจะมีทางเลือกมากขึ้นในการบริโภค และการใช้ชีวิตประจำวันในยุคดิจิทัล เพราะจะรู้ว่าจะจัดการกับสื่อ และสารต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายอย่างไร การรู้เท่าทันสื่อทำให้ผู้บริโภคมีอำนาจในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ โดยพิจารณาจากประโยชน์ และคุณภาพของสินค้าอย่างแท้จริง รวมถึงนำไปสู่การตระหนักในสิทธิของผู้บริโภค เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ผู้บริโภคที่รู้เท่าทันสื่อ จึงต้องมีทักษะการเข้าถึงสื่อ การวิเคราะห์สื่อ การประเมินค่าสื่อ และการสร้างสรรค์สื่อ ซึ่งทักษะเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ในการตระหนักถึงอิทธิพลของสื่อ ไม่ถูกครอบงำจากสื่อ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผู้บริโภคมีความสามารถในการเลือกรับ และใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริโภคในยุคดิจิทัล นอกจากจะต้องมีทักษะในการรู้เท่าทันสื่อแล้ว ยังต้องใช้สิทธิของผู้บริโภคเป็นเครื่องมือในการปกป้องสิทธิของตัวเองตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความคุ้มครองอย่างเป็นธรรม และเมื่อถูกละเมิดสิทธิ ผู้บริโภคต้องสามารถร้องเรียนให้เกิดการแก้ไขตามสิทธิของตน การรู้เท่าทันสื่อจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคต้องตระหนักเพื่อให้อยู่รอดในสังคมยุคดิจิทัล</p>
Pongsatorn Khositdham
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-07-09
2025-07-09
51 1
23
32