วารสารวิชาการ ครุศาสตร์สวนสุนันทา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu <p>1) เพื่อส่งเสริม เผยแพร่ และตีพิมพ์บทความวิจัย ที่มีคุณภาพด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับหลักการ แนวคิดทฤษฎีการจัดการความรู้ การวัดและประเมินทางด้านการศึกษาและประเด็นอื่นที่น่าสนใจต่อการพัฒนาการศึกษา 2)เพื่อประชาสัมพันธ์และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความคิดเห็นทางด้านวิจัยและวิชาการระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ ผู้บริหาร ครู อาจารย์ และผู้ที่สนใจ</p> คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา th-TH วารสารวิชาการ ครุศาสตร์สวนสุนันทา 2774-0870 <div class="item copyright">เนื้อหา และข้อมูลต่างๆ ฯลฯ ในวารสารวิชาการ ครุศาสตร์สวนสุนันทา ถือเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา</div> <div class="item copyright">&nbsp;</div> <div class="item copyright">เนื้อหาที่ปรากฏในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ครุศาสตร์สวนสุนันทา ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ไม่ใช่ความรับผิดชอบของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาบทความ</div> <div class="item copyright">&nbsp;</div> <div class="item copyright">หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อจะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาก่อนเท่านั้น</div> การพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาสด้วยการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ผ่านกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/273133 <p>งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนวัดเวตะวันธรรมาวาส และเพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาสก่อนและหลังการใช้กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 จำนวน 20 คนจาก 40 คน โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง เนื่องจากนักเรียนมีปัญหาด้านทักษะการคิดแก้ปัญหา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม จำนวน 12 แผน มีระดับคุณภาพมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /><strong><em>=</em></strong> 4.93, S.D. = 0.30) และแบบประเมินทักษะการคิดแก้ปัญหา มีค่าความสอดคล้องของเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความเที่ยงตรง ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาสมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.10 /80.42 ซึ่งผ่านเกณฑ์ 80/80 ตามที่กำหนด และนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีทักษะการคิดแก้ปัญหา หลังการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ผ่านกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05</p> ปัญญาภา ละลี มานิตา ทองศุข สุพันธ์วดี ไวยรูป ธิติกาญจน์ ฐิติโสภณศักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 1 11 การพัฒนากลยุทธ์การบริหารงานส่งเสริมพัฒนาความเข้มแข็งองค์กรสภานักเรียน เด็ก เยาวชนในสถานศึกษาตามแนวคิดการส่งเสริมภาวะผู้นำนักเรียนสู่การปฏิบัติ ในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/273164 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์การดำเนินงานส่งเสริม พัฒนาความเข้มแข็งองค์กรสภานักเรียน เด็ก เยาวชนในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานส่งเสริม พัฒนาความเข้มแข็งองค์กรสภานักเรียน เด็ก เยาวชนในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 3) เพื่อประเมินผลการใช้กลยุทธ์การดำเนินงานส่งเสริม พัฒนาความเข้มแข็งองค์กรสภานักเรียน เด็ก เยาวชนในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 201 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม แบบประเมินกลยุทธ์ และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ PNI<sub>modified <br /></sub> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการดำเนินงานส่งเสริม พัฒนาความเข้มแข็งองค์กรสภานักเรียน เด็ก เยาวชนในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนสภาพที่พึงประสงค์ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) กลยุทธ์การดำเนินงานส่งเสริม พัฒนาความเข้มแข็งองค์กรสภานักเรียน เด็ก เยาวชนในสถานศึกษา ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์หลัก 9 กลยุทธ์รอง และ 35 วิธีดำเนินการ และ3) ผลการประเมินผลการนำกลยุทธ์การดำเนินงานส่งเสริม พัฒนาความเข้มแข็งองค์กรสภานักเรียน เด็ก เยาวชนในสถานศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> ศรายุทธ ธิศรีชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 12 25 การประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะสมอง เพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนครเขต 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/273422 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย 2) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพที่ควรจะเป็นของทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย 3) ศึกษาประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย 4) ศึกษาแนวทางในการพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูปฐมวัย จำนวน 359 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) <br /> ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 4.1) ทักษะความจำเพื่อใช้งาน 4.2) ทักษะการยับยั้งชั่งใจ - คิดไตร่ตรอง 4.3) ทักษะการยืดหยุ่นความคิด 4.4) ทักษะการใส่ใจจดจ่อ 4.5) การควบคุมอารมณ์ และ 4.6) การประเมินตนเอง 2. สภาพปัจจุบันของทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง และสภาพที่ควรจะเป็นของทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ความต้องการจำเป็นของทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย โดยภาพรวม เท่ากับ 0.399 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงลำดับกับความต้องการจำเป็นจากมากไปน้อย พบว่าทักษะความจำเพื่อใช้งาน มีค่าสูงสุด (PNI<sub>modified</sub> เท่ากับ 0.459) ลดลงมาได้แก่ ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง (PNI<sub>modified</sub> เท่ากับ 0.417) ทักษะการยืดหยุ่นความคิด (PNI<sub>modified</sub> เท่ากับ 0.394) ทักษะการใส่ใจจดจ่อ (PNI<sub>modified</sub> เท่ากับ 0.390) การควบคุมอารมณ์ (PNI<sub>modified</sub> เท่ากับ 0.375) และการประเมินตนเอง (PNI<sub>modified</sub> เท่ากับ 0.360) ตามลำดับ 4. แนวทางในการพัฒนาทักษะสมองเพื่อชีวิตที่สำเร็จของเด็กปฐมวัย 4.1) ทักษะความจำเพื่อใช้งาน ครูเปิดโอกาสเด็กปฐมวัยได้คิด สงสัย สังเกต รวมทั้งตัดสินใจและลงมือทำด้วยตัวเอง จัดกิจกรรมที่หลากหลาย เน้นส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านความจำ กิจกรรมมีความน่าสนใจ กระตุ้นหรือทวนซ้ำให้เด็กได้คิดอย่างสม่ำเสมอ 4.2) ทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรอง ปฐมวัยมีความรู้เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา ด้านทักษะการยับยั้งชั่งใจ-คิดไตร่ตรองอย่างถูกต้อง และให้เด็กรู้จักควบคุมความต้องการของตนเอง อดทนต่อสิ่งยั่วยุต่าง ๆ รอบตัว โดยจัดกิจกรรมที่จำลองสถานการณ์ และสะท้อนเหตุการณ์ตามสถานการณ์นั้น ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป 4.3) ทักษะการยืดหยุ่นความคิด ครูปฐมวัยมีความรู้เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา “ด้านทักษะการยืดหยุ่นความคิดอย่างถูกต้อง มีรูปแบบการจัดกิจกรรมบูรณาการเรียนรู้ ควรกระตุ้นทักษะการยืดหยุ่นความคิดที่ดีจะมีการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วต่อสถานการณ์ใหม่ ให้เด็กฝึกตั้งข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการคิดนอกกรอบและตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น</p> วิภาดา กุลสอนนาน เอกลักษณ์ เพียสา พรเทพ เสถียรนพเก้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 26 38 แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนพื้นที่สูง ในถิ่นทุรกันดาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/274600 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และหาแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ตาก เขต 2 แหล่งข้อมูล ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนในโรงเรียนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร จำนวน 320 คน จำแนกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 66 คน และครูผู้สอนจำนวน 254 คน และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร จำนวน 17 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อวิเคราะห์หาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br /> ผลการวิจัยพบว่า (1) สภาพการส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการสนับสนุนและการเป็นผู้นำร่วมกัน และปัญหาการส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่พบมากที่สุดคือ สถานศึกษาขาดการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อปฏิบัติงานส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) (2) แนวทางพัฒนาการส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของโรงเรียนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร พบว่า 1) สถานศึกษาควรมีการจัดประชุมวางกรอบโครงสร้าง แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเกี่ยวกับการส่งเสริมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2) สถานศึกษาควรส่งเสริมให้ครูสร้างนวัตกรรมในการแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอน 3) ผู้บริหารทำข้อตกลง (MOU) กับครูผู้สอนในการพัฒนานวัตกรรม การแก้ปัญหาการจัดการเรียนการสอน 4) สถานศึกษาประกาศชั่วโมงการปฏิบัติงานภาระงาน และแต่งตั้งคำสั่งการปฏิบัติงานในหน้าที่ของครู และ 5) ผู้บริหารควรส่งเสริมให้ครูเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางอาชีพ แลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมกันพัฒนานวัตกรรม ร่วมแก้ไขปัญหาในการจัดการเรียนการสอน</p> ณัฐวดี นิ่มนวล พฤฑฒิพล พฤฑฒิกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 39 49 แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/274744 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบของภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อศึกษาสภาพที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษา และ 4) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 335 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง (PNI<sub>modified</sub>) โดยวิธีวิจัยแบบการประเมินความต้องการจำเป็น ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษา มี 4 องค์ประกอบ คือ วิสัยทัศน์ ความเข้าใจ ความชัดเจน และ ความว่องไว มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) สภาพที่เป็นจริงของภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=3.40, S.D.=0.98) และสภาพที่ควรจะเป็นของภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />=4.51, S.D.=0.41) 3) ผลการประเมินความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษา ค่าดัชนีการจัดลำดับความต้องการจำเป็น (PNI<sub>modified</sub>) จากมากไปน้อย พบว่า โดยด้านที่มีค่าดัชนีความสำคัญของความต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านความเข้าใจ (PNI<sub>modified </sub>= 0.34) และด้านความชัดเจน (PNI<sub>modified </sub>= 0.34) รองลงมา ได้แก่ ด้านวิสัยทัศน์ (PNI<sub>modified </sub>= 0.33) และด้านความว่องไว (PNI<sub>modified </sub>= 0.31) 4) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำยุคโลกผันผวนของผู้บริหารสถานศึกษา มี 5 ด้าน ประกอบด้วย 1) การจัดระบบให้เรียบง่าย (PNI<sub>modified</sub>) 0.39 2) เอาใจใส่ (PNI<sub>modified</sub>) 0.37 3) การสร้างวิสัยทัศน์ (PNI<sub>modified</sub>) 0.36 4) การสื่อสารวิสัยทัศน์ (PNI<sub>modified</sub>) 0.34 และ5) การมอบอำนาจ (PNI<sub>modified</sub>) 0.32</p> กฤติยา อินธิแสน ทรัพย์หิรัญ จันทรักษ์ วัลนิกา ฉลากบาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 50 62 การศึกษาความต้องการจำเป็นของการพัฒนาความฉลาดทางสังคมของคนรุ่นใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/275078 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพและความจำเป็นของความฉลาดทางสังคมของนักศึกษาปริญญาตรี และ 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการพัฒนาความฉลาดทางสังคมของนักศึกษาปริญญาตรี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโปรแกรมส่งเสริมความฉลาดทางสังคมสำหรับคนรุ่นใหม่ตามทฤษฎีปัญญาสังคมร่วมกับทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมที่มีกลุ่มเป้าหมายการวิจัยเป็นคนรุ่นใหม่คือนักศึกษาปริญญาตรีที่กำลังจะเข้าสู่สังคมการทำงาน ประชากรในการวิจัยคือนักศึกษาปริญญาตรีปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จำนวน 440 คน กลุ่มตัวอย่างการวิจัยคือนักศึกษาจำนวน 210 คนที่ใช้วิธีสุ่มอย่างง่ายเพื่อสำรวจข้อมูล และนักศึกษาจำนวน 10 คนที่ใช้วิธีสุ่มแบบโควตาจากกลุ่มที่มีและไม่มีประสบการณ์ทำงานพิเศษกลุ่มละ 5 คน เครื่องมือการวิจัยคือแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้วิเคราะห์คือค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง และวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพความฉลาดทางสังคมของนักศึกษาจัดอยู่ระดับค่อนข้างสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 4.21, S.D.= 0.37) ส่วนความจำเป็นของความฉลาดทางสังคมอยู่ในระดับสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 5.42, S.D.= 0.32) 2) นักศึกษามีความต้องการจำเป็นเกี่ยวกับการพัฒนาความฉลาดทางสังคม คือความสามารถในการวิเคราะห์ความคิดความต้องการที่แฝงอยู่ในวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้อื่น และความสามารถในการคิดหรือเลือกวิธีการปฏิบัติตนทางสังคมที่เหมาะสมมากที่สุด (ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุงเท่ากับ 0.32) ขณะที่ความสามารถในการวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกที่แฝงอยู่ในวัจนภาษาและอวัจนภาษาของผู้อื่น มีความต้องการจำเป็นน้อยที่สุด (ค่าดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุงเท่ากับ 0.26) ทั้งนี้นักศึกษาส่วนใหญ่ประสบปัญหาเกี่ยวกับความฉลาดทางสังคม ทุกคนมีความคิดเห็นว่าความฉลาดทางสังคมจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในสังคมและต้องการพัฒนาความฉลาดสังคมในทุกองค์ประกอบ</p> สุทธิพร แท่นทอง อัมพร ม้าคนอง ดุจเดือน พันธุมนาวิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 63 74 การบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพของโรงเรียนมาตรฐานสากล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/275181 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารจัดการคุณภาพของโรงเรียนมาตรฐานสากล จำแนกตามประสบการณ์ทำงานและขนาดโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู จำนวน 278 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นแบบสอบถามการปฏิบัติการบริหารจัดการคุณภาพฯ แบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา 0.67-1.00 และความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบแบบที ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารจัดการคุณภาพของโรงเรียนมาตรฐานสากล ในภาพรวมและรายด้านมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากโดยเรียงจากด้านที่สูงสุดไปหาต่ำสุด คือ ด้านคุณภาพของผู้บริหารโรงเรียน ด้านระบบการบริหารจัดการ ด้านปัจจัยพื้นฐาน และด้านเครือข่ายร่วมพัฒนา ตามลำดับ 2) การเปรียบเทียบการบริหารจัดการคุณภาพของโรงเรียนมาตรฐานสากล จำแนกตามประสบการณ์ทำงาน ในภาพรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน และจำแนกตามขนาดโรงเรียนในภาพรวมและรายด้านทุกด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 นั่นคือ โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการปฏิบัติมากกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่</p> นิติมา รุจิเรขาสุวรรณ พงษ์ศักดิ์ รวมชมรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 75 83 ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคซีไออาร์ซีที่มีต่อ ความสามารถ ในการอ่านจับใจความวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/275736 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคซีไออาร์ซี 2) เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคซีไออาร์ซีกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีความเหมาะสมมากที่สุด 2) แบบวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ มีค่าความเที่ยงตรงระหว่าง 0.67 - 1.00 ค่าความยากระหว่าง 0.23 - 0.80 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.20 - 0.64 และค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.81 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีกรณีกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน การทดสอบค่าทีแบบกลุ่มเดียว ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคซีไออาร์ซี มีคะแนนความสามารถในการอ่านจับใจความหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคซีไออาร์ซี มีความสามารถในการอ่านจับใจความได้ร้อยละ 75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สำหรับข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไปคือ 1) ควรมีการขยายขอบเขตของประชากรในการทำวิจัยครั้งต่อไปเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคซีไออาร์ซี 2) ควรทำวิจัยผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิคซีไออาร์ซีร่วมกับวิชาอื่น ๆ</p> วรนุช บัวลง บัณฑิตา อินสมบัติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 84 95 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงจิตวิทยาที่มีต่อการส่งเสริมการคิดเชิงบวกในรายวิชาศาสตร์ และศิลป์การสร้างความสุขสำหรับนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/275756 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงจิตวิทยาที่มีต่อการคิดเชิงบวกของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามที่เรียนในรายวิชาศาสตร์และศิลป์การสร้างความสุข และ 2) เพื่อเปรียบเทียบการคิดเชิงบวกของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้เชิงจิตวิทยา กลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ที่มีสภาพปกติและลงทะเบียนเรียนในรายวิชา 826622012 ศาสตร์และศิลป์ในการสร้างความสุข ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 119 คน โดยเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้เชิงจิตวิทยา จำนวน 6 กิจกรรม และแบบวัดการคิดเชิงบวก จำนวนทั้งหมด 32 ข้อ โดยมีความเชื่อมั่น α=.861 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบโดยใช้ Wilcoxon signed rank test ผลการวิจัย พบว่า 1) นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามมีการคิดเชิงบวกภาพรวมอยู่ในระดับมากและเมื่อแยกเป็นด้านพบว่า ยอมรับฟังและให้เกียรติผู้อื่น การมองโลกในแง่ดี การกล้าเผชิญกับปัญหาและอุปสรรค การมีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความเป็นตัวของตัวเองและการควบคุมอารมณ์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากทุกด้าน 2) นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามหลังได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงจิตวิทยามีการคิดเชิงบวกสูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงจิตวิทยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> โชติกา ธรรมวิเศษ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 96 106 การพัฒนาทักษะการอ่านคิดวิเคราะห์ ในรายวิชาภาษาไทย ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค STAD ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนศรีบางลางวิทยานุสรณ์ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/268858 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิค STAD กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนศรีบางลางวิทยานุสรณ์ จำนวนนักเรียน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1. แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์ ในรายวิชาภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 5 แผน เป็นแผนการจัดการเรียนรู้ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ การอ่านคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ ซึ่งมีการตรวจคุณภาพด้านความตรงของเนื้อหา (Content Validity) โดยมีค่า (Index of item-objective congruence : IOC) เท่ากับ 0.67-1.00 ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์จากการที่นักเรียนได้เรียนรู้การอ่านคิดวิเคราะห์ ในรายวิชาภาษาไทย จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> มุฮัมหมัดซาฮีด สาแลมิง ญามีละห์ กีละ นูรอาเซียน ตอยิบ ณรงค์ศักดิ์ รอบคอบ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 107 115 ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมสะเต็มศึกษาเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการแยกสารผสมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล 1 จังหวัดบุรีรัมย์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/276621 <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรม สะเต็มศึกษา 2) เปรียบเทียบความคิดสร้างสรรค์ของ นักเรียนจากการเรียนการสอนด้วยชุดกิจกรรมสะเต็มศึกษา และ 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมดังกล่าว กลุ่มประชากรคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน เทศบาล 1 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 42 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ ชุดกิจกรรมสะเต็มศึกษา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบประเมินความคิดสร้างสรรค์ และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีแบบกลุ่มสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรม สะเต็มศึกษาสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 คะแนน ความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนมีพัฒนาการเพิ่มขึ้น โดยคะแนนเฉลี่ยระหว่างเรียนและหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมสะเต็มศึกษาอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะด้านการฝึกคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นด้านที่ได้รับคะแนนเพิ่มสูงสุด</p> กัลยวีร์ ละเอียดอ่อน ครุปกรณ์ ละเอียดอ่อน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 116 128 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับการบริหารจัดการเรียนร่วม ของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/276499 <p><strong> </strong>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) การบริหารจัดการเรียนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการกับการบริหารจัดการ เรียนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร ประชากร คือ ครูการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 357 คน จากจำนวนสถานศึกษา 158 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2566 จำนวน 183 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson's Product-Moment Correlation Coefficient) ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การบริหารจัดการเรียนร่วมของผู้บริหารในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และ 3) ภาวะผู้นำทางวิชาการมีความสัมพันธ์กับการบริหารจัดการเรียนร่วมของผู้บริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพิเศษ สังกัดกรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กันทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (r) = 0.845**</p> ศิริวิภา หมายเกี่ยวกลาง ปทุมพร เปียถนอม กมลทิพย์ ทองกำแหง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-12-09 2025-12-09 9 2 129 139