วารสารวิชาการ ครุศาสตร์สวนสุนันทา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu <p>1) เพื่อส่งเสริม เผยแพร่ และตีพิมพ์บทความวิจัย ที่มีคุณภาพด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับหลักการ แนวคิดทฤษฎีการจัดการความรู้ การวัดและประเมินทางด้านการศึกษาและประเด็นอื่นที่น่าสนใจต่อการพัฒนาการศึกษา 2)เพื่อประชาสัมพันธ์และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความคิดเห็นทางด้านวิจัยและวิชาการระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ ผู้บริหาร ครู อาจารย์ และผู้ที่สนใจ</p> th-TH <div class="item copyright">เนื้อหา และข้อมูลต่างๆ ฯลฯ ในวารสารวิชาการ ครุศาสตร์สวนสุนันทา ถือเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา</div> <div class="item copyright">&nbsp;</div> <div class="item copyright">เนื้อหาที่ปรากฏในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ ครุศาสตร์สวนสุนันทา ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรง ไม่ใช่ความรับผิดชอบของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาบทความ</div> <div class="item copyright">&nbsp;</div> <div class="item copyright">หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งส่วนใดไปเผยแพร่ต่อจะต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จากคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาก่อนเท่านั้น</div> [email protected] (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีราภรณ์ พลายเล็ก) [email protected] (นางสาวมณีเนตร รวมภักดี) Wed, 15 Nov 2023 13:50:16 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของการใช้กิจกรรมบัตรคำศัพท์ร่วมกับชุดแบบฝึกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ด้านการเรียนรู้คำศัพท์และความคงทนในการจำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีนนทบุรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/263990 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ ความคงทนในการจำ และความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมบัตรคำศัพท์ร่วมกับชุดแบบฝึก กลุ่มตัวอย่างของงานวิจัยนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 37 คน โดยใช้วิธีคัดเลือกแบบสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บัตรคำศัพท์ ชุดแบบฝึก แบบทดสอบคำศัพท์ แผนการจัดการเรียนรู้ และ แบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลจากวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ของนักเรียนเพิ่มขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ยรวมหลังเรียนเท่ากับ 7.27 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน และค่าเฉลี่ยรวมก่อนเรียนเท่ากับ 1.64 นอกจากนี้ค่าเฉลี่ยรวมด้านความคงทนในการจำเพิ่มขึ้นเท่ากับ 8.45 คะแนน โดยเป็นผลต่างจากค่าคะแนนเฉลี่ยรวมหลังเรียน 1.18 คะแนนซึ่งมีค่านัยสำคัญทางสิถิติเท่ากับ 0.00 และค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจที่มีต่อการใช้กิจกรรมเท่ากับ 4.08 หรืออยู่ในระดับมาก จากการวิจัยนี้สามารถสะท้อนผลได้ว่าการสร้างนวัตกรรมการสอนที่เสริมประสิทธิภาพด้วยการจัดระบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองธรรมชาติในการเรียนรู้ในสภาพจริงของนักเรียนได้อย่างเข้าใจสามารถส่งเสริมให้นักเรียนมีการพัฒนาตนเองได้ดีและจำเนื้อหาได้ยาวนานพร้อมทั้งก่อให้เกิดสร้างความรู้สึกที่ดีต่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้</p> ยุวรีนิจ จีระเรืองวงษ์, ธรรศนันต์ อุนนะนันทน์ Copyright (c) 2023 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/263990 Wed, 15 Nov 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาส โดยใช้กิจกรรมประกอบอาหาร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/264154 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพการจัดกิจกรรมประกอบอาหารของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาส และเพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาส ก่อนและหลังโดยใช้กิจกรรมประกอบอาหาร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาล 3/1 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาส ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 29 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เนื่องจากนักเรียนขาดทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สังเกตจากนักเรียนไม่สามารถคิด และสรุปเป็นคำตอบของการทำกิจกรรมได้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร และแบบประเมินทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบสมมติฐาน (t-test) ผลการวิจัยพบว่า กิจกรรมประกอบอาหารเพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นอนุบาล 3/1 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาสมีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.40 /91.95 ซึ่งผ่านเกณฑ์ 80/80 ตามที่กำหนด และนักเรียนชั้นอนุบาล 3 โรงเรียนวัดเวตวันธรรมาวาส หลังได้รับการจัดกิจกรรมประกอบอาหาร มีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> พรพรรณ จิตต์เพียร, ภาวิยา ขนาบแก้ว, สิริมณี บรรจง, ดิษิรา ผางสง่า Copyright (c) 2023 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/264154 Wed, 15 Nov 2023 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 ของโรงเรียนในเครือข่ายศูนย์ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/264101 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยีในศตวรรษที่ 21 สำหรับรายวิชาวิทยาศาสตร์ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งได้จากการวิเคราะห์บทความวิจัย กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บทความวิจัยของนักศึกษา หลักสูตรครุศาสตร์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ที่ฝึกประสบการณ์สอนกับโรงเรียนร่วมเครือข่ายของศูนย์ฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยพิจารณาจากคัดเลือกจากบทความที่ผ่านเกณฑ์การประเมินบทความวิจัยเพื่อเผยแพร่ในงานประชุมเชิงวิชาการระดับชาติสำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการศึกษา ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2564 และเกณฑ์การพัฒนาทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยี ได้จำนวนทั้งสิ้น 18 บทความ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินคุณภาพบทความวิจัยและแบบประเมินแนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยี การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละ และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) บทความวิจัยทั้งหมดเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน มีรูปแบบการวิจัยเชิงทดลอง (ร้อยละ 100) บทความวิจัยมุ่งพัฒนาทักษะทางด้านเทคโนโลยี (ร้อยละ 66.67) และการทักษะการสื่อสาร (ร้อยละ 33.33) ตามลำดับ 2) แนวทางการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยีมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมากที่สุด ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นปูพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทโรงเรียน 2) ขั้นนำเทคโนโลยีไปใช้แบบสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 3) ขั้นลงมือแก้ปัญหาและบูรณาการทางวิทยาศาสตร์ 4) ขั้นสื่อสารและเผยแพร่ผลงานเชิงวิทยาศาสตร์ ข้อเสนอแนะในอนาคตควรมีการศึกษาเพิ่มเติมในการใช้แนวทางการจัดการเรียนรู้กับนักเรียนในระดับชั้นอื่น ๆ</p> สุมาลี เทียนทองดี Copyright (c) 2023 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/264101 Wed, 15 Nov 2023 00:00:00 +0700 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักศึกษาชาวจีน มหาวิทยาลัยในราชอาณาจักรไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/263098 <p>งานวิจัยเรื่อง ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักศึกษาชาวจีนต่อการตัดสินใจเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยในราชอาณาจักรไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในมุมมองของผู้บริโภคที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักศึกษาชาวจีนในการเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยในราชอาณาจักรไทย โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์ภาษาไทย เป็นแบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความถูกต้องและพิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) โดยวิธีหาสัมประสิทธิ์อัลฟ่าของครอนบัค ได้ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .877 และทำการแจกแบบสอบถามตามความสะดวกกับนักศึกษาชาวจีนที่มีความต้องการเดินทางมาเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย และมีความสามารถในการอ่าน และเข้าใจภาษาไทยในระดับที่ดี โดยการใช้เทคนิค snow ball ตัดแบบสอบถามที่ไม่ตรงตามเกณฑ์คือ เป็นแบบสอบถามที่ได้รับข้อมูลที่ผิดปกติและข้อมูลสอบถามที่ข้อมูลสูญหายทำให้ได้แบบสอบถามที่สมบูรณ์จำนวน 51 ชุด และนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา นำเสนอข้อมูลในรูปแบบตารางแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยการตลาดในมุมมองผู้บริโภค 7Cs ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจของนักศึกษาชาวจีนเพื่อเรียนในมหาวิทยาลัยในราชอาณาจักรไทย โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.51) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด (= 5.00) ได้แก่ 1. นักศึกษาชาวจีนมีความต้องการให้มหาวิทยาลัยในราชอาณาจักรไทยมีระบบที่ทำให้นักศึกษาสามารถลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์ได้ 2. มหาวิทยาลัยควรมีบุคลากรมีความเป็นมิตร และ มีความเข้าใจในวัฒนธรรมจีน 3. นักศึกษาชาวจีนต้องการช่องทางอำนวยความสะดวกในการติดต่อ สอบถาม ทั้งช่องทางออนไลน์การเดินเข้ามาติดต่อด้วยตัวเอง และโดยสามารถเดินทางมาติดต่อที่สำนักงานของมหาวิทยาลัยได้สะดวก มีหน่วยงานรับผิดชอบชัดเจน โดยได้รับการบริการที่ดี และเป็นมิตร 4. นักศึกษาชาวจีนให้ความสำคัญที่ราคาค่าใช้จ่ายในการเรียนไม่สูงนักเมื่อเทียบกับที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งผู้ปกครองรู้สึกว่า มีความคุ้มค่าในการลงทุนให้เรียน และการมีระบบการชำระเงินที่ไม่ซับซ้อน และมีเอกสารรับรองการชำระเงินที่ชัดเจน รองลงมาคือ ด้านที่มีค่าเฉลี่ย (= 4.94) คือ 1. นักศึกษาชาวจีนต้องการหลักสูตรที่ตรงกับความต้องการของนักศึกษา 2. นักศึกษาชาวจีนต้องการให้มหาวิทยาลัยมีคำอธิบายภาษาจีนที่อธิบายขั้นตอนเกี่ยวกับการลงทะเบียนอย่างชัดเจน และต่ำที่สุด คือ ด้านที่มีค่าเฉลี่ย (= 1.35) คือ นักศึกษาชาวจีนมีความต้องการให้มหาวิทยาลัยในราชอาณาจักรไทยมีบริการรถรับ-ส่งไปดำเนินการทำ VISA</p> ชุติมา สุดจรรยา Copyright (c) 2023 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/263098 Wed, 15 Nov 2023 00:00:00 +0700 รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ในวรรณคดี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/261718 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ในวรรณคดีสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย 2) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ในวรรณคดีสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ดำเนินการวิจัยในลักษณะของการวิจัยและพัฒนาโดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสานวิธีที่มีลักษณะเป็นแบบแผน เชิงผสมผสานแบบรองรับภายใน (The Embedded Design)โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/1 โรงเรียนโกวิทธำรงเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ <br />ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยรูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ในวรรณคดีสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย คู่มือการใช้รูปแบบ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดทักษะการคิดวิเคราะห์ในวรรณคดี และแบบสอบถามความคิดเห็น วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) แบบ Dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า 1) รูปแบบการเรียนรู้เชิงรุกเพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ในวรรณคดีสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีชื่อว่า “MECPA Model” มี 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ 4) การวัดและประเมินผล สำหรับกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ที่ใช้คือขั้นตอนตามรูปแบบ MECPA Model ประกอบไปด้วย ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (M: Motivate) ขั้นที่ 2 ค้นให้เห็นสถานการณ์ (E: Explore) ขั้นที่ 3 ร่วมมืออภิปราย (C: Collaborate) ขั้นที่ 4 นำเสนอความรู้ (P: Present) ขั้นที่ 5 ประยุกต์ใช้ (A: Apply) มีคุณภาพสามารถนำไปใช้ได้จริงกับกลุ่มตัวอย่าง 2) ประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า 2.1) หลังใช้รูปแบบนักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2.2) นักเรียนมีความคิดเห็นต่อรูปแบบอยู่ในระดับเห็นด้วยมากที่สุด</p> นันทญ์ณภัค พรมมา, วิชยา กรพิพัฒน์, อาทิตย์ ซาวคำ, อุบลวรรณ ส่งเสริม Copyright (c) 2023 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/261718 Wed, 15 Nov 2023 00:00:00 +0700 รูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/262044 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองบัวลำภู เขต 2 2) หารูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา และ 3) ประเมินรูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นของการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 274 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 28 คน และครูผู้สอน จำนวน 246 คน โดยใช้เกณฑ์การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie &amp; Morgan และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ระยะที่ 2 การหารูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา มี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาพหุกรณี กลุ่มเป้าหมายคือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ขั้นตอนที่ 2 การร่างรูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา และขั้นตอนที่ 3 การสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม และระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา โดยการประเมินอิงผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบประเมิน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการหา ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าดัชนีลำดับของความต้องการจำเป็น การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยวิธีการพรรณนาวิเคราะห์ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นลำดับที่สูงที่สุดคือ ด้านการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน 2) รูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ดังนี้ (1) ชื่อรูปแบบ (2) หลักการของรูปแบบ (3) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ (4) ระบบงานและกลไกของรูปแบบ (5) วิธีดำเนินงานของรูปแบบ ประกอบด้วย 5 ด้าน ดังนี้ ก. ด้านการสร้างแรงจูงใจในการทำงาน ข. ด้านการทำงานเป็นทีม ค. ด้านการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ง. ด้านความก้าวหน้าในวิชาชีพ และ จ. ด้านการได้รับอำนาจ ประกอบด้วย 15 วิธีดำเนินงาน 48 กิจกรรมหรือวิธีการปฏิบัติ (6) การประเมินรูปแบบ และ (7) ระบุเงื่อนไขความสำเร็จ และ 3) ผลการประเมินรูปแบบการเสริมสร้างพลังอำนาจครูของผู้บริหารสถานศึกษา ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านความเป็นประโยชน์ ด้านความเหมาะสม และด้านความเป็นไปได้</p> ณัฐพงษ์ แซ่เอียะ, สุชาติ บางวิเศษ, ศักดินาภรณ์ นันที Copyright (c) 2023 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/262044 Wed, 15 Nov 2023 00:00:00 +0700 การพัฒนาชุดฝึกอบรมออนไลน์ที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้ “GOOGLE APPLICATIONS เพื่อการศึกษา” ของครูสังกัดสำนักงานการศึกษาเยาวชนและกีฬา อำเภอสวายเลอ จังหวัดเสียมเรียบ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/263402 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดฝึกอบรมออนไลน์ เรื่อง การใช้ “Google Applications เพื่อการศึกษา” ที่มีประสิทธิภาพ 80/80 2) ศึกษาความสามารถของครูก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกอบรมออนไลน์ 3) ศึกษาความพึงพอใจของครูที่มีต่อชุดฝึกอบรมออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูสังกัดสำนักงานการศึกษาเยาวชนและกีฬาในอำเภอสวายเลอ จังหวัดเสียมเรียบ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 25 คน ได้มาโดยวิธีการคัดเลือกตามวิธีการคัดเลือกแบบตามความสะดวกหรือความสนใจ (Convenient or Volunteer sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยชุดฝึกอบรมออนไลน์ แบบประเมินคุณภาพด้านสื่อ แบบประเมินคุณภาพด้านเนื้อหา แบบประเมินความสามารถก่อนและหลังฝึกอบรม และแบบประเมินความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระจากกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดฝึกอบรมออนไลน์ มีความเหมาะสมด้านสื่ออยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.85 ด้านเนื้อหามีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.67 และมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์เท่ากับ E<sub>1</sub>=80.13 E<sub>2</sub>=80.95 2) ครูที่เข้ารับการฝึกอบรมมีคะแนนหลังฝึกบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรมโดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 17.60/14.24 การทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ครูที่เข้าฝึกอบรมมีความพึงพอใจต่อชุดฝึกอบรมออนไลน์ อยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.63</p> จันทร์กฤษณา จู, นฤมล เทพนวล Copyright (c) 2023 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/263402 Wed, 15 Nov 2023 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/263242 <p>การวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารกับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลของสถานศึกษา และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน จำนวน 354 คน โดยแบ่งเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 84 คน ครูผู้สอน จำนวน 270 คน ได้มาโดยใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้น ตามขนาดของโรงเรียนและแต่ละชั้นใช้วิธีสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายตามสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการวิเคราะห์ประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาขอนแก่น พบว่า โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง และมีความสัมพันธ์กันทางบวก</p> ภาคภูมิ แซงบุญเรือง, วานิช ประเสริฐพร Copyright (c) 2023 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/ssru-edu/article/view/263242 Wed, 15 Nov 2023 00:00:00 +0700