วารสารการจัดการสมัยใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr <p>วารสารการจัดการสมัยใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วิทยาการ ความรู้ ความคิดทางวิชาการ และวิชาชีพด้านการจัดการ เพื่อเป็นแหล่งสารสนเทศทางวิชาการด้านการจัดการ เพื่อเป็นแหล่งประสาน แลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งการปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับการศึกษาด้านการจัดการสมัยใหม่ รวมทั้งเรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษา คณาจารย์และผู้สนใจทั่วไป</p> en-US mmj.stou@gmail.com (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นฤบดี วรรธนาคม) mmj.stou@gmail.com (นางสาวไอยเรศ วรรณศิริพิพัฒน์) Fri, 28 Nov 2025 15:06:22 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจลาออกของพนักงานประจำกลุ่มเจนเนอเรชั่นวายที่ปฏิบัติงานในสำนักงานของบริษัทเอกชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/278755 <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความตั้งใจลาออก ความพึงพอใจในงาน ความผูกพันต่อองค์การ และปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจลาออกของพนักงานประจำกลุ่มเจนเนอเรชั่นวายที่ปฏิบัติงานในสำนักงานของบริษัทเอกชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานประจำกลุ่มเจนเนอเรชั่นวายที่ปฏิบัติงานในสำนักงานของบริษัทเอกชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จำนวน 300 คน โดยใช้วิธีการกำหนดขนาดตัวอย่างด้วยการวิเคราะห์อำนาจของการทดสอบ (Power Analysis) สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบสองขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบสอบถาม และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการวิจัยพบว่า พนักงานประจำกลุ่มเจนเนอเรชั่นวายที่ปฏิบัติงานในสำนักงานของบริษัทเอกชนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกมีความตั้งใจลาออกและความพึงพอใจในงานในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และมีความผูกพันต่อองค์การอยู่ในระดับมาก ตัวแปรที่ส่งผลต่อความตั้งใจลาออกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ได้แก่ ความผูกพันต่อองค์การ ความพึงพอใจในงาน รายได้ และภาระทางครอบครัว</p> จีรวรรณ กุลนะ, เทียนแก้ว เลี่ยมสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสมัยใหม่ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/278755 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 Entrepreneurship Success Case Study with Qualitative Research Using the Valley of Death Framework https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/278747 <p>Entrepreneurship success is a crucial factor in driving economic growth, particularly in emerging economies like Thailand. However, many new businesses face significant challenges, especially during the early stages of development, often referred to as the "Valley of Death." This study employs a qualitative research approach to explore the key factors contributing to entrepreneurial success using the Valley of Death framework. Data were collected through in-depth interviews with entrepreneurs from various industries who have successfully navigated through business hardships. Findings reveal that the most critical factor in entrepreneurial success is Organizational Planning. Additionally, the study identifies seven other essential factors under the Strategic and Personal Growth Approach: Supplier Strategy, Technology, Risk-Taking, Financial Planning, Time in Industry, Self-Education, and Dynamic. The results suggest that entrepreneurs who effectively integrate these factors are more likely to overcome early-stage business obstacles and achieve sustainable growth. This research provides practical insights for aspiring entrepreneurs and policymakers to develop support mechanisms that enhance business resilience and long-term success.</p> Kasipat Pokpong, Jul Thanasrivanitchai, Murtaza Haider ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสมัยใหม่ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/278747 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาทักษะการรู้ดิจิทัลของบุคลากร ภารกิจด้านอำนวยการ สถาบันโรคผิวหนัง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/277766 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับการประเมินตนเองด้านทักษะการรู้ดิจิทัล 9 ด้าน (2) ความต้องการในการพัฒนาด้านทักษะที่จำเป็นของบุคลากร และ(3) ออกแบบและกำหนดกรอบแนวทางในการพัฒนาทักษะที่เหมาะสม </p> <p> การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) กลุ่มที่ใช้ศึกษาเชิงคุณภาพ ได้แก่ ผู้บริหารและหัวหน้ากลุ่มงานจำนวน 5 คน โดยใช้แบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง และ (2) กลุ่มที่ใช้ศึกษาเชิงปริมาณได้แก่ ข้าราชการและพนักงานราชการในกลุ่มภารกิจด้านอำนวยการ สถาบันโรคผิวหนัง จำนวน 30 คน โดยใช้วิธีการคำนวณจากสูตรของเครซี่และมอร์แกน และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสอบถามออนไลน์ และวิเคราะห์ข้อมูลโดย ใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า (1) ระดับการประเมินตนเองของทักษะการรู้ดิจิทัลของบุคลากรทั้ง 9 ด้าน อยู่ในระดับมาก ในการเปรียบเทียบระดับการประเมินทักษะการรู้ดิจิทัลของกลุ่มตัวอย่าง ปรากฏว่า อายุ ตำแหน่งงาน ลักษณะงานที่ปฏิบัติ และบทบาทที่แตกต่างกัน มีทักษะการรู้ดิจิทัลไม่แตกต่างกัน ส่วนระดับการศึกษา และระยะเวลาในการทำงานที่แตกต่างกัน มีทักษะการรู้ดิจิทัลที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (2) ผลการศึกษาด้านความต้องการพัฒนาทักษะด้วยการเพิ่มทักษะ การยกระดับทักษะ และการปรับเปลี่ยนทักษะ (3) จากการศึกษาได้กรอบแนวทางการพัฒนาทักษะการรู้ดิจิทัลของบุคลากรตามแนวคิดการพัฒนาบุคลากร 70:20:10 และแบบผสมผสาน</p> ฤชามน พัวพงศกร , ภาวิน ชินะโชติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสมัยใหม่ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/277766 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 สมดุลชีวิตการทำงานและคุณภาพชีวิตการทำงาน ของพนักงานระดับปฏิบัติการในองค์กรอิสระของรัฐ: กรณีศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/279346 <p style="font-weight: 400;">&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความสมดุลชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance: WLB) และคุณภาพชีวิตการทำงาน (Quality of Work Life: QWL) ของพนักงานระดับปฏิบัติการในองค์กรอิสระของรัฐ: กรณีศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนศึกษาผลของ WLB ที่มีต่อ QWL และเปรียบเทียบ WLB และ QWL ระหว่างพนักงานสายงานหลักและสายงานสนับสนุน กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานระดับปฏิบัติการจำนวน 94 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Pearson’s Correlation Coefficient การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ และ Independent Samples t-test ผลการวิจัยพบว่า พนักงานมีระดับ WLB และ QWL โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดย WLB ด้านสติปัญญา (X̄ = 3.77) และ QWL ด้านโอกาสในการพัฒนาศักยภาพ (X̄ = 3.75) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ทั้งนี้ WLB โดยรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับ QWL (r = .847) โดยเฉพาะด้านสติปัญญา การเงิน และด้านครอบครัว มีความสัมพันธ์กับหลายมิติของ QWL อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .05) ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณยังชี้ให้เห็นว่า WLB 4 ด้านได้แก่ ด้านการทำงาน ครอบครัว การเงิน และสติปัญญา ส่งผลเชิงบวกต่อ QWL อย่างมีนัยสำคัญ (p &lt; .05) โดยเฉพาะ WLB ด้านสติปัญญามีอิทธิพลมากที่สุด (β = .288) ในขณะที่ WLB ด้านเวลาไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = .200) ทั้งนี้ พบว่า WLB และ QWL ของพนักงานสายงานหลักและสายงานสนับสนุนไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผลการศึกษาชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริม WLB เพื่อยกระดับQWL ของพนักงานอย่างยั่งยืนในกรณีศึกษานี้</p> สุชาดา ปั้นเกี้ยว, ปรียานุช อภิบุณโยภาส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสมัยใหม่ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/279346 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลงองค์กรที่มีความคล่องตัวของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูประโภค https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/279031 <table width="678"> <tbody> <tr> <td width="498"> <p> </p> <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยตามรูปแบบของพฤติกรรมตามแผน (Theory of Planned Behavior: TPB) (2) เพื่อศึกษาระดับของความตั้งใจที่จะกระทำพฤติกรรม <br />(3) เพื่อศึกษาระดับของการยอมรับการเปลี่ยนแปลงองค์กรที่มีความคล่องตัว (4) เพื่อศึกษาอิทธิพลที่วัฒนธรรมองค์กรแบบคล่องตัวมีต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลงผ่านความตั้งใจที่จะแสดงพฤติกรรม โดยประยุกต์กรอบแนวคิดทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน ร่วมกับปัจจัยด้านวัฒนธรรมองค์กรแบบคล่องตัว กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพนักงานระดับปฏิบัติการถึงผู้จัดการจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 3 แห่ง จำนวน 260 คน เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามและวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนาและโมเดลสมการโครงสร้างแบบกำลังสองน้อยที่สุดบางส่วน (PLS-SEM) ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยตามรูปแบบพฤติกรรมตามแผน โดยปัจจัยด้านทัศนคติต่อพฤติกรรม การรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมอยู่ในระดับมาก ขณะที่การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงอยู่ในระดับปานกลาง มีระดับความคิดเห็นต่อความตั้งใจที่จะกระทำพฤติกรรมและการยอมรับการเปลี่ยนแปลงองค์กรที่มีความคล่องตัวอยู่ในระดับมาก ผลการวิเคราะห์สมการโครงสร้างพบว่า ปัจจัยด้านทัศนคติต่อพฤติกรรม การรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรม และวัฒนธรรมองค์กรแบบคล่องตัวมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความตั้งใจที่จะกระทำพฤติกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงมีอิทธิพลเชิงลบ นอกจากนี้ ความตั้งใจในการกระทำพฤติกรรมทำหน้าที่เป็นตัวแปรส่งผ่านที่มีนัยสำคัญต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลงองค์กร โดยอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรตามได้ 54.2% ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความยืดหยุ่น การทำงานเป็นทีม การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการใช้เทคโนโลยีในงานร่วมกับการพัฒนาทัศนคติเชิงบวกและความเชื่อมั่นในศักยภาพของพนักงาน เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในการปรับตัวสู่ความคล่องตัวได้อย่างยั่งยืน</p> </td> </tr> </tbody> </table> สิทธิวิชญ์ ประโพธิ์สัง, ปรียานุช อภิบุณโยภาส ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสมัยใหม่ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/279031 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700 การขับเคลื่อนเทศบาลเมืองปัตตานีสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ด้วยเครือข่ายสตรี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/279240 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ขับเคลื่อนเทศบาลเมืองปัตตานีให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ (2) สร้างนิเวศการเรียนรู้ของเมืองที่นําไปสู่การเรียนรู้ตลอดชีวิตและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสําหรับสตรี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิิงปฏิิบัติการโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ ในพื้นที่เทศบาลเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี จำนวน 4 กลุ่ม รวมทั้งสิ้น 36 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกและการประชุมขนาดเล็ก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิเคราะห์เนื้อหาผลการวิจัยพบว่า (1) การขับเคลื่อนเทศบาลเมืองปัตตานีให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ (1.1) การส่งเสริมการเรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงอุดมศึกษา (1.2) การส่งเสริมการเรียนรู้ในครอบครัวและชุมชน (1.3) การอำนวยความสะดวกให้มีการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานที่ทำงานให้แก่พนักงานทุกคน (1.4) การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่ทันสมัย โดยเทศบาลเมืองปัตตานีมีการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ แรงงานในระบบ และแรงงานนอกระบบ โดยมีกลไกความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนเทศบาลเมืองปัตตานีสู่เมืองแห่งการเรียนรู้ พบว่า เทศบาลเมืองปัตตานีได้จัดตั้งคณะทำงานเมืองแห่งการเรียนรู้ ตามประกาศเทศบาลเมืองปัตตานี และจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Agreement: MOA) ระหว่างเทศบาลเมืองปัตตานีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้พื้นที่เทศบาลเมืองปัตตานี เข้าสู่การเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) (2) การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ของเทศบาลเมืองปัตตานี ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ นักจัดการการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ พื้นที่สำหรับการเรียนรู้ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นไปตามระบบความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและสิ่งแวดล้อมในการเรียนรู้รอบตัวผู้เรียนที่เน้นพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ ความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ และการนำเทคโนโลยีมาใช้สนับสนุนการเรียนรู้ที่เอื้อให้ผู้เรียนมีโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต</p> ราณี อิสิชัยกุล, ชัชพล ทรงสุนทรวงศ์, ภาวิน ชินะโชติ, ยงยุทธ แก้วอุดม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการจัดการสมัยใหม่ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/stou-sms-pr/article/view/279240 Thu, 26 Jun 2025 00:00:00 +0700