https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/issue/feed
วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
2025-06-24T16:32:23+07:00
Associate Professor Wanwadee Poonpoksin, Ph.D.
sw.journal.tu@gmail.com
Open Journal Systems
<p><em><strong>วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม </strong>ISSN 3027-8880 (Print) ISSN 3027-8899 (Online)</em> ชื่อเดิม วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เป็นวารสารทางวิชาการของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ทางด้านสวัสดิการสังคมและสังคมสงเคราะห์ ตลอดจนวิทยาการทางด้านการบริหารสังคม ซึ่งเป็นการส่งเสริมองค์ความรู้ในแนวสหศาสตร์ ด้านสังคมสงเคราะห์ สวัสดิการแรงงาน การพัฒนาชุมชน การศึกษาสังคมสงเคราะห์คลินิก และการบริหารงานยุติธรรม นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับคณาจารย์ นักวิชาการ ผู้ปฏิบัติงานทางด้านสังคมสงเคราะห์และด้านที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนักศึกษาเสนอผลงานทางวิชาการ อันจะนำไปสู่ความก้าวหน้าในศาสตร์ด้านนี้มากขึ้น</p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/274985
การกราดยิงในประเทศไทย: มายาคติกับภัยเงียบที่คืบคลาน
2024-10-01T11:09:41+07:00
กุศลิน จีรสินกุล
kusarin.jee@gmail.com
อุนิษา เลิศโตมรสกุล
unisa@yahoo.com
<p>บทความนี้นำเสนอการวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับปรากฎการณ์การกราดยิงในสังคมไทย มุ่งเน้นการตรวจสอบความหมาย ข้อเท็จจริง และมายาคติที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งอภิปรายถึงผลกระทบของการใช้คำที่คลุมเครือในการอธิบายเหตุการณ์ และบทบาทของสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าว ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและลบเลือนมายาคติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ตลอดจนป้องกันการยกยอผู้ก่อเหตุเป็นฮีโร่และนำไปสู่พฤติกรรมเลียนแบบ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐเพื่อรับมือต่อกรณีการกราดยิง โดยใช้หลักการและทฤษฎีทางอาชญาวิทยา คือ ทฤษฎีสะสมความเครียด ทฤษฎีลอกเลียนแบบ และแนวคิดการป้องกันความรุนแรงด้านอาวุธปืน มาอธิบายปรากฏการณ์เหล่านี้ พร้อมทั้ง เปรียบเทียบสถานการณ์ในสังคมไทยกับกรณีศึกษาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เห็นภาพในบริบทระดับสากล โดยแม้ว่าในระดับสะกลจะไม่ใช่สถานการณ์ที่ไม่น่าห่วงกังวล แต่สะท้อนถึงภัยเงียบของแนวโน้มการเกิดเหตุที่มากกว่าอดีตอย่างชัดเจน และหากยังคงมีการนำเสนอข่าวที่เน้นการตีแผ่เรื่องราวของมือปืน อาจส่งผลให้ความรุนแรงของเหตุกราดยิงสูงขึ้นได้ ดังนั้น ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องควบคู่กับการกำหนดแนวทางการนำเสนอของสื่อ และการมีมาตรการป้องกันการเกิดเหตุกราดยิงที่ครอบคลุมทุกมิติ</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/275996
ความรุนแรงในครอบครัว: ภายใต้มุมมองของคนรุ่นใหม่ (Gen-Z) และกระบวนการยุติธรรมในการคุ้มครองสวัสดิภาพ
2024-11-15T13:27:42+07:00
พรทิภา หัสดี
6381013824@student.chula.ac.th
<p>บทความนี้เป็นการนำเสนอเกี่ยวกับมุมมองของคนรุ่นใหม่ (Gen-Z) ต่อความรุนแรงในครอบครัวและกระบวนการยุติธรรมในการคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยได้นำเสนอเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมในการคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะในส่วนของศาลเยาวชนและครอบครัว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจพลวัตของครอบครัวและสังคมในบริบทที่แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ซึ่งจากการศึกษาถึงทัศนะ มุมมองความเชื่อ ค่านิยมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen-z) ต่อสถาบันครอบครัว และความรุนแรงในครอบครัวภายใต้บริบทสังคมไทยแล้วพบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่นี้ส่วนใหญ่ยังมีมุมมองว่าครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ และมีพื้นฐานความเชื่อ ค่านิยมต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวคล้ายกับคนในยุคก่อน แต่สิ่งที่เห็นได้เด่นชัด คือ การรับรู้ถึงสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในครอบครัวที่ไม่ควรมีการละเมิดทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมไปถึงต้องการให้ทำหน้าที่ของครอบครัวอย่างเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกันยังมีอีกส่วนหนึ่งที่มีความคิดเห็นแตกต่างไป โดยได้สะท้อนให้เห็นภาพสถาบันครอบครัวที่แปรเปลี่ยนไปในเรื่องอำนาจและบทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง ซึ่งควรมีข้อจำกัดในเรื่องการใช้อำนาจปกครองให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เมื่อเกิดความรุนแรงขึ้นในครอบครัว กลุ่มคนรุ่นใหม่นึกถึงศาลเยาวชนและครอบครัวเป็นอันดับที่สองรองจากหน่วยงานตำรวจ โดยมีความความคาดหวังให้ช่วยยับยั้งแก้ไขปัญหาและช่วยให้คำปรึกษาเยียวยาผู้ถูกระทำความรุนแรง รวมทั้งเลือกออกคำสั่งหรือใช้มาตรการแก้ไขบำบัดฟื้นฟู และการเยียวยาให้เหมาะสมสอดคล้องกับความคิด ความรู้สึก และมุมมองต่อปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างบุคคลในครอบครัวเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวขึ้นอีก ทั้งเพื่อร่วมสร้างสังคมแห่งสันติภาพไร้ความรุนแรงต่อไป</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/281533
บทวิจารณ์หนังสือ: Contesting Social Welfare in Southeast Asia
2025-06-24T15:55:11+07:00
กฤษฎา ธีระโกศลพงศ์
Kritsadathe@outlook.com
<p>หนังสือเรื่อง <strong>Contesting Social Welfare in Southeast Asia </strong>ศึกษาสวัสดิการสังคมในประเทศภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดพิมพ์ในชุดหนังสือ Cambridge Elements in Politics and Society in Southeast Asia ผู้เขียนหนังสือเลือกเสนอสี่ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และมาเลเซีย พร้อมให้เหตุผลสองประการ ประการแรก สัดส่วนประชากรในสี่ประเทศของกรณีศึกษา มีสภาพการดำรงอยู่ในความยากจน และความเปราะบางที่อาจนำไปสู่ความยากจน จึงเป็นความท้าทายต่อการปรับปรุงระบบการคุ้มครองทางสังคม (Social Protection) ในประเทศภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประการสอง ปัจจัยทางการเมืองร่วมกันในสี่ประเทศกรณีศึกษา คือ พัฒนาการประเทศตามระบบทุนนิยมของการทำให้เป็นอุตสาหกรรม ทั้งยังมีการขยายตัวของระบอบอำนาจนิยมและกึ่งอำนาจนิยม การปฏิรูปประชาธิปไตย การก้าวสู่ประเทศที่มีระดับรายได้ปานกลาง และการสืบทอดอำนาจเชิงโครงสร้างของคนกลุ่มน้อยของประเทศ</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/272250
การโยกย้ายถิ่นฐานในภาวะวิกฤตและสงครามกลางเมือง: การวิเคราะห์ข้อบกพร่องของมนุษยธรรมใหม่
2024-05-29T16:41:00+07:00
ดีจีเอ็น สัญชีวานี
nirukasanjeewani@kdu.ac.lk
<p>'การย้ายถิ่นในภาวะวิกฤต' แสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนของผู้คนที่เกิดจากภัยคุกคามที่มีอยู่ในประเทศบ้านเกิดของตน การย้ายถิ่นรูปแบบนี้มักถูกเข้าใจว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการย้ายถิ่นในประเทศมากกว่าข้ามชาติ ผู้คนที่อพยพจากวิกฤตการณ์อย่าง 'สงครามกลางเมือง' ถือเป็นเหตุผลเบื้องต้นสําหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตามหลักการเรื่อง 'พื้นที่ด้านมนุษยธรรม' ที่จํากัดเฉพาะการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดนทําให้เกิดความคลุมเครือว่า 'มนุษยธรรม' ควรให้บริการใคร และตอบสนองความต้องการของ 'ผู้อพยพในภาวะวิกฤต' อย่างไร สถานการณ์เหล่านี้ถูกกําหนดโดยท่าทีด้านความมั่นคงของรัฐบ้านเกิดและรัฐเจ้าบ้านที่ให้ที่พำนักกับผู้อพยพซึ่ง 'อํานาจอธิปไตย' ยังคงไม่สอดคล้องกับการมีส่วนร่วมจากภายนอก บทความนี้จึงนำเสนอวิวัฒนาการของ 'มนุษยธรรมคลาสสิก' สู่การเป็น 'มนุษยธรรมใหม่' (NH) ซึ่งเป็นแนวคิดที่พัฒนาขึ้นแบบองค์รวมโดยมีพื้นฐานมาจาก 'ความมั่นคงของมนุษย์' (HS) วัตถุประสงค์หลักของบทความมีสองส่วนเพื่อตรวจสอบ 'การย้ายถิ่นในภาวะวิกฤต' และเพื่อสำรวจรูปแบบที่เป็นปัญหาของการตอบสนองด้านมนุษยธรรมต่อ 'การย้ายถิ่นในภาวะวิกฤต' โดยมีวัตถุประสงค์ย่อย สามประการ ประการแรกคือการอธิบายการขาดความชัดเจนทางแนวคิดเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่าง 'สงครามกลางเมือง' และ 'การโยกย้ายวิกฤต' ซึ่งบทความนี้ไม่ได้มุ่งเน้นตรวจสอบสาเหตุของ 'สงครามกลางเมือง' แต่ดูผลกระทบของ 'สงครามกลางเมือง' ต่อ 'การโยกย้ายวิกฤต' ประการที่สอง คือการวิเคราะห์ 'มนุษยธรรม' ซึ่งขยายขอบเขตหลักการแบบคลาสสิกของการให้การดูแลและการบรรเทาทุกข์ ในส่วนนี้เป็นการอภิปรายแนวคิดที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ 'มนุษยธรรม' ใน 'การย้ายถิ่นในภาวะวิกฤต ประการที่สามคือการตั้งคําถามว่าลักษณะของมนุษยธรรมใหม่เกี่ยวข้องกับ 'การย้ายถิ่นในภาวะวิกฤต' อย่างไร และพวกเขาตอบสนองความต้องการด้านมนุษยธรรมของผู้อพยพในภาวะวิกฤตอย่างไร เช่น สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในค่ายและการส่งกลับโดยสมัครใจ ข้อโต้แย้งสําคัญที่สร้างขึ้นในบทความนี้เป็นตัวอย่างผ่านโครงการริเริ่มด้านมนุษยธรรมที่ดําเนินการโดยสํานักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/269418
ความเป็นผู้นำในการนำพาสถาบันอุดมศึกษาไทยสู่ความเป็นนานาชาติ: เสียงสะท้อนจากหน่วยงาน
2024-02-22T10:20:59+07:00
กวิน เพรดเดอร์ อีวาน
murmurteifi@hotmail.com
<p>บทความวิจัยชิ้นนี้มุ่งศึกษามุมมองของผู้บริหารในการนำพาสถาบัน อุดมศึกษาของรัฐแห่งหนึ่งของไทยสู่ความเป็นนานาชาติ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ความเป็นผู้นำซึ่งมีอิทธิพลต่อความพัฒนาความเป็นนานาชาติของสถาบัน อุดมศึกษาโดยการสัมภาษณ์ผู้บริหาร คณาจารย์ และเจ้าหน้าที่อาวุโสที่สังกัดหลักสูตรนานาชาติ 3 แห่งแบบกึ่งโครงสร้าง (semi-structured interviews) นอกจากนี้ยังศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวกับกลยุทธ์และปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความเป็นผู้นำ รวมถึงการพินิจบริบทเฉพาะทางวัฒนธรรมในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย งานวิจัยนี้กล่าวโดยสรุปว่า แม้ว่าสถาบันจะมีความก้าวหน้าในการก้าวเข้าสู่ความเป็นนานาชาติ ผู้บริหารมีกระบวนการ การทำงานสู่ความเป็นนานาชาติที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การให้ทุกกลุ่มงานมีส่วนร่วมและมีการบูรณาการให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกว่าได้รับการเสริมพลัง มีแรงจูงใจในการทำงาน และมีความรู้สึกเป็นเจ้าของงานที่มุ่งสู่ความเป็นนานาชาติ</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/274098
การค้นหาตัวแบบการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปใช้ ในชีวิตประจำวัน: กรณีศึกษาการออกแบบความคิด เชิงวิเคราะห์ของกลุ่มเยาวชนจังหวัดนครปฐม
2024-08-22T10:58:28+07:00
กฤติกา ชนะกุล
kridtika31@gmail.com
ณัฐหทัย นิรัติศัย
Nathataini@gmail.com
<p>บทความวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา เพื่อ 1) ศึกษาความคิดเห็นของกลุ่มเยาวชนจังหวัดนครปฐมต่อการใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในการดำเนินชีวิตประจำวัน 2) ศึกษาวิธีการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาของกลุ่มเยาวชนในจังหวัดนครปฐมไปใช้ในชีวิตประจำวัน 3) ได้ตัวแบบการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ออกแบบจากกลุ่มเยาวชนเพื่อเยาวชน การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ใช้ ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เก็บข้อมูลจากการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามความคิดเห็นจากนักเรียนในจังหวัดนครปฐม จำนวน 375 คน ใช้แบบสัมภาษณ์เพื่อได้ข้อมูลจากนักวิชาการ บุคคลที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ และผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 12 คน และการสนทนากลุ่มจากนักเรียนจำนวน 10 คน รวมทั้งนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และออกแบบซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการโดยนำไปทดสอบจากโรงเรียนจำนวนสองแห่ง</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวันในทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยพบว่ากลุ่มตัวอย่างปฏิบัติตามหลักเบญจศีลในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.93) และหลักพรหมวิหาร 4 ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 3.90) 2) วิธีการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มาใช้เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาหรือเกิดความตึงเครียด นักเรียนได้เลือกนำหลักธรรมคำสอนมาประยุกต์ใช้เพราะหลักธรรมเป็นสิ่งที่เปรียบเสมือนแนวทางในการดำเนินชีวิต อีกทั้งหลักธรรมยังเป็นเหมือนสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจของให้ประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของสังคม 3) ตัวแบบการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาสามารถนำไปทดลองใช้ได้จริงผ่านกระบวนการคิดเชิงออกแบบ ซึ่งตัวแบบการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา คือ เบญจศีลและพรหมหวิหาร 4</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/272220
การบูรณาการแนวทางการสร้างสังคมไทยไร้ความรุนแรงตามมาตรฐานสากลและบริบทของสังคมไทย
2024-07-25T16:16:29+07:00
สุมนทิพย์ จิตสว่าง
Sumonthip.c@chula.ac.th
ฐิติยา เพชรมุนี
Thitiya.p@chula.ac.th
วนัสนันท์ กันทะวงศ์
Wanatsanan.kan@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหา สาเหตุ และผลกระทบ ศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงตามมาตรฐานสากล และเสนอแนะการบูรณาการสร้างสังคมไทยไร้ความรุนแรงตามมาตรฐานสากลและบริบทของสังคมไทย ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงผสมผสานระหว่างวิจัยเชิงปริมาณ วิจัยเชิงคุณภาพ และวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ผลการศึกษาพบว่าสังคมไทยมีปัญหาความรุนแรง ได้แก่ การฆ่าตัวตาย ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ความรุนแรงในครอบครัว สาเหตุสำคัญ คือ ปัญหาสุรา ยาเสพติด อาวุธที่เข้าถึงง่าย สื่อที่นำเสนอความรุนแรง ปัญหาเศรษฐกิจ และการใช้ความรุนแรงในครอบครัวส่งผลต่อวัฏจักรของความรุนแรง และผลกระทบจากปัญหาความรุนแรง คิดเป็นร้อยละ 4 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ</p> <p>“The Cardiff Model” ข้อมูลความรุนแรงจากหน่วยงาน โดยองค์การอนามัยโลกชี้ว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของพ่อแม่หรือผู้ปกครอง การพัฒนาทักษะชีวิตของเด็กและเยาวชน การลดการใช้สุรา การควบคุมการใช้อาวุธ การส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ การเปลี่ยนแปลงค่านิยมและวัฒนธรรม และจัดโปรแกรมดูแลช่วยเหลือผู้ถูกใช้ความรุนแรง เป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงตามมาตรฐานสากล</p> <p style="font-weight: 400;">การบูรณาการสร้างสังคมไทยไร้ความรุนแรงตามมาตรฐานสากลและบริบทของสังคมไทย คือ การเคารพต่อความเท่าเทียมกันของสตรี “RESPECT” ประกอบด้วย 1) เสริมสร้างทักษะความสัมพันธ์ที่ดี 2) เสริมพลังเพิ่มขีดความสามารถด้านเศรษฐกิจและสังคม 3) บริการที่มั่นใจแก่ผู้ถูกใช้ความรุนแรงและกลุ่มเสี่ยง 4) ลดปัญหาความยากจน 5) สร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความรุนแรง 6) ป้องกันการใช้ความรุนแรงและการล่วงละเมิดต่อเด็กและเยาวชน และ 7) เปลี่ยนแปลงทัศนคติ ความเชื่อ และบรรทัดฐาน ซึ่งนำไปสู่การลดใช้ความรุนแรงในสังคมไทย</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/275041
แนวทางการพัฒนาชุมชนธรรมาภิบาลโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน: กรณีศึกษาชุมชนเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
2024-09-20T09:35:35+07:00
เพ็ญประภา ภัทรานุกรม
phenprap@tu.ac.th
เล็ก สมบัติ
Leksombat@yahoo.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา สาเหตุ และปัจจัยที่ก่อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดจนรูปแบบและช่องทางการทุจริตคอร์รัปชันในชุมชน รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยการออกแบบระบบและกลไกเพื่อแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันภายใต้หลักธรรมาภิบาลของชุมชนและค้นหาแนวปฏิบัติที่ดีในการเป็น “ชุมชนธรรมาภิบาล” โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ รูปแบบของการวิจัยเพื่อท้องถิ่น มีชาวบ้านที่สนใจร่วมเป็นนักวิจัยในโครงการพื้นที่ชุมชนเมือง กรุงเทพมหานคร จำนวน 12 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่าปัญหาทุจริตคอร์รัปชันในพื้นที่ศึกษาทั้ง 3 ชุมชนมีรูปแบบและช่องทางที่หลากหลายแต่มีความคล้ายคลึงกัน โดยรูปแบบที่พบมากที่สุด ได้แก่ การนำเงินของชุมชนมาใช้จ่ายส่วนตัวของกรรมการชุมชน การทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง การไม่ได้มีการจัดทำบัญชีสิ่งของบริจาคเพื่อชุมชนจากหน่วยงานภายนอก ดังนั้นจึงนำมาสู่การออกแบบระบบและกลไกเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเพื่อสร้างชุมชนธรรมาภิบาลในชุมชนเมืองของกรุงเทพมหานครต่อไป</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/271873
ยกระดับอำนาจการต่อรองของผู้ทำงานส่งอาหารฯ ผ่านการพัฒนากลไกเครือข่าย
2024-04-25T10:43:43+07:00
นครินทร์ เจริญเหล่าศิริ
nakarin.char@dome.tu.ac.th
นราเขต ยิ้มสุข
arm_conser@hotmail.com
<p>ผู้ทำงานส่งอาหารบนแอปพลิเคชันทำงานบนสภาพแวดล้อมการทำงาน<br />ที่ไม่ได้ถูกรับรองโดยกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ทำงานส่งอาหารฯ ขาดซึ่งอำนาจการต่อรองเรียกร้องสิทธิพื้นฐานด้านแรงงาน และรวมถึงขาดโอกาสในการรวมกลุ่มเรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมของกลุ่มตนเอง ปัจจุบันแรงงานมีการต่อสู้และรวมกลุ่มกันอย่างหลวมๆ ทั้งทางกายภาพและพื้นที่ออนไลน์ เพื่อการแลกเปลี่ยน ถกเถียงในประเด็นที่เห็นพ้องต้องกัน การประท้วงและรวมกลุ่มสะท้อนให้เห็นปัญหาที่ยังคงอยู่และยังไม่ได้รับการแก้ไข การวิจัยในครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนวทาง การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ทำงานส่งอาหารฯ ผ่านแนวทางการรวมกลุ่มที่มีประสิทธิภาพ โดยการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก สัมภาษณ์เครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับผู้ทำงานส่งอาหารฯ ทั้งหมด 19 ท่าน เพื่อเข้าใจปรากฎการณ์และสังเคราะห์ข้อมูลออกมาเป็นแนวทางขับเคลื่อน จนค้นพบแนวทางขับเคลื่อนที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มผู้ทำงานส่งอาหารฯ แนวทางทางที่เป็นการยกระดับการรวมกลุ่มของผู้ทำงานส่งอาหารฯ ให้มีความเข็มแข็งภายใต้สภาพแวดล้อมการทำงานที่ท้าทายในปัจจุบัน พร้อมทั้งระบุถึงประเด็นสนับสนุนและข้อจำกัดที่จะผลักดันให้แนวทางการยกระดับความเข็มแข็งของการรวมกลุ่มนี้เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/273228
การดูแลคนพิการรุนแรงโดยครอบครัว ในแขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
2024-07-08T10:30:58+07:00
ธัญญลักษณ์ รุ้งแสงจันทร์
r.tunyaluk@gmail.com
สุวิชา เป้าอารีย์
pouaree@yahoo.com.au
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการณ์การดูแล แนวทางการดูแล และสร้างตัวแบบการดูแลคนพิการรุนแรงโดยครอบครัว โดยเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกคนพิการ 6 คน ครอบครัวที่ดูแลคนพิการ 6 คน ที่อยู่ในแขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และนักวิชาการด้านคนพิการ ผู้เชี่ยวชาญด้านคนพิการจากหน่วยงานของรัฐ และผู้เชี่ยวชาญด้านคนพิการจากด้วยงานของเอกชนหรือภาคประชาสังคม 6 คน ตามเกณฑ์ที่กำหนด วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการทำการจัดหมวดหมู่ข้อมูล ตามด้วยการตีความ และการสร้างข้อสรุปอุปนัย ผลการศึกษาพบว่า คนพิการรุนแรงทุกคนอยู่ในการดูแลโดยคนในครอบครัว แนวทางส่งผลให้เกิดตัวแบบการดูแลคนพิการที่มีความพิการรุนแรงดังนี้ การดูแลคนพิการรุนแรงต้องดูแลแบบองค์รวมใน 5 ด้าน คือ 1) ด้านร่างกาย 2) ด้านอารมณ์จิตใจ 3) ด้านจิตวิญญาณ 4) ด้านสังคม และ 5) ด้านสิทธิสวัสดิการ ซึ่งประกอบไปด้วย (1) ความรู้ ได้แก่ การดูแลกิจวัตรประจำวัน อาหาร ยา กายภาพบำบัด และการสื่อสาร (2) อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับคนพิการ ได้แก่ ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ วีลแชร์ ไม้เท้าคนพิการ เครื่องดูดเสมหะ และอุปกรณ์ทำแผล (3) ผู้ช่วยเหลือ ได้แก่ Personal Assistant อาสาสมัครสาธารณสุข ครอบครัวอุปถัมภ์ (4) เงิน ได้แก่ เงินคนพิการ เงินกู้ยืม และการลดหย่อนภาษี (5) กลุ่มทางสังคม ได้แก่ กลุ่มธรรมชาติ ชมรม สมาคม และมูลนิธิ (6) ชุมชน ได้แก่ ท่าทีของคนในชุมชน การช่วยเหลือในการอุ้มยกเคลื่อนย้าย การจ้างงาน และการเฝ้าระวังเตือนภัยจากชุมชน ส่วนข้อเสนอแนะ ควรมีการศึกษาการนำตัวแบบการดูแลคนพิการรุนแรงโดยครอบครัวไปใช้กับจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทย หรือประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีลักษณะเป็นเมืองเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ลักษณะการดำเนินชีวิตในรูปแบบเดียวกับกรุงเทพมหานคร</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swjournal/article/view/275835
ความรู้ของเด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 และพฤติกรรมเสี่ยงต่อการกระทำผิด
2024-12-19T11:59:36+07:00
ศิริพร เกื้อกูลนุรักษ์
siriporn5633@yahoo.com
<p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และพฤติกรรมเสี่ยงต่อการกระทำผิด รวมทั้งเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กและพฤติกรรมเสี่ยงต่อการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน ใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างในศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน ระหว่างวันที่ 10-20 มีนาคม 2565 จำนวน 151 คน วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (One-way ANOVA) โดยทดสอบด้วยวิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe’s test) ผลการศึกษาพบว่า เด็กและเยาวชนมีความรู้เกี่ยวกับพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กอยู่ในระดับปานกลาง ( = 15.43) มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการกระทำผิดอยู่ในระดับต่ำ ( = 1.78) เด็กและเยาวชนที่มีระดับการศึกษา และลักษณะเพื่อนสนิทต่างกันมีความรู้เกี่ยวกับพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กแตกต่างกัน เด็กและเยาวชนที่มีอาชีพ ลักษณะเพื่อนสนิท และฐานความผิดต่างกันมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการกระทำผิดแตกต่างกัน</p>
2025-06-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และการบริหารสังคม