วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd <p><em>ตัวหนังสือ คำว่า “<strong>ศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา</strong>” ที่ปรากฏบนปกวารสารฉบับนี้เป็นตัวขยายจากลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งพระราชทานแก่คณะผู้จัดทำวารสาร คณะผู้จัดทำสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น<br /></em></p> <div><strong>การรับรองคุณภาพของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI)</strong></div> <div><strong>วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</strong> ISSN 3027-6039 (Online) ผ่านเกณฑ์การประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูลศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย [Thai-Journal Citation Index (TCI) Centre] รอบที่ 5 (รับรองคุณภาพวารสารเป็นเวลา 5 ปี ระหว่าง พ.ศ. 2568 - 2572) และได้รับการรับรองเป็น<strong>วารสารกลุ่มที่ 1</strong> ตามประกาศผลการประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูลศูนย์ TCI เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568</div> <div> </div> <div><strong>ความเป็นมา </strong>สถาบันยุทธศาสตร์ทางปัญญาและวิจัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีนโยบายสนับสนุนการเผยแพร่บทความจากผลงานวิจัยเพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาความรู้แก่สังคมและประเทศชาติ จึงได้จัดทำวารสารวิชาการ คือ วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ขึ้น</div> <div> </div> <div><strong>นโยบายและขอบเขตเนื้อหาการตีพิมพ์บทความ</strong></div> <div><strong>1. ประเภทของบทความที่วารสารรับพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ </strong>บทความที่รับพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ คือ บทความวิจัย (Research Article) จากผู้นิพนธ์หลากหลายหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยบทความวิจัยนั้นต้องมาจากนิพนธ์ต้นฉบับในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และมีความสอดคล้องกับสาขาย่อยของวารสาร ดังนี้</div> <div> <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bullet&amp;space;" alt="equation" /> ศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์ (Arts and Humanities)</div> <div> <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bullet&amp;space;" alt="equation" /> ธุรกิจ การจัดการและการบัญชี (Business, Management and Accounting)</div> <div> <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bullet&amp;space;" alt="equation" /> สังคมศาสตร์ (Social Sciences)</div> <div><strong>2. ประเภทของการ Peer-review </strong>ผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินบทความจะไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์ และผู้นิพนธ์ไม่ทราบชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ (Double-Blind Peer Review)</div> <div><strong>3. จำนวนผู้ทรงคุณวุฒิประเมินคุณภาพ/บทความ </strong>บทความที่ได้รับการเผยแพร่ในวารสารจะได้รับการประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย และต่างสังกัดกับผู้นิพนธ์บทความ จำนวน 3 ท่าน/บทความ และต้องมีผลการประเมินคุณภาพผ่านเกณฑ์การพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน</div> <div><strong>4. วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</strong> ไม่มีนโยบายเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ (Article Processing Charges, APC) ใด ๆ จากผู้นิพนธ์บทความในทุกขั้นตอนของการประเมินคุณภาพและการเผยแพร่บทความ</div> <div><br /><strong>วัตถุประสงค์ของวารสาร</strong></div> <div>1. เพื่อเผยแพร่บทความวิจัยสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่มีคุณภาพ </div> <div>2. เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางการวิจัยสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</div> <div>3. เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพทางการวิจัยสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</div> <div> </div> <div><strong>กำหนดการเผยแพร่ </strong>วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ISSN 3027-6039 (Online) มีกำหนดเผยแพร่วารสารปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม) ทางเว็บไซต์ <a title="Srinakharinwirot Research and Development Journal of Humanities and Social Sciences" href="https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd" target="_blank" rel="noopener">https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd</a></div> en-US <p>วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อยู่ภายใต้การอนุญาต <a title="Creative Commons" href="https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/" target="_blank" rel="noopener">Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivs 4.0 International (CC-BY-NC-ND 4.0)</a> เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น โปรดอ่านหน้านโยบายของวารสารสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเข้าถึงแบบเปิด ลิขสิทธิ์ และการอนุญาต</p> journalswu.h@g.swu.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิมพาภรณ์ บุญประเสริฐ) journalswu.h@g.swu.ac.th (กองบรรณาธิการวารสาร) Fri, 13 Jun 2025 15:46:05 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 กองบรรณาธิการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/282159 <p>วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/282159 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการพัฒนาศักยภาพนวัตกรรมชุมชนเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน: มุมมองเชิงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ สังคม และอุตสาหกรรม ในต่างประเทศ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/267073 <p>การอยู่ร่วมกันระหว่างภาคประชาชนและภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ มีความโน้มเอียงที่จะก้าวไปสู่ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากการแย่งชิงทรัพยากร และนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและชุมชน การวิจัยในครั้งนี้ใช้แนวทางในการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเอกสารเป็นหลัก โดยมีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อวิเคราะห์นวัตกรรมชุมชนในต่างประเทศ ที่นำมาใช้ในการอยู่ร่วมกันระหว่างชุมชนและภาคอุตสาหกรรม และ (2) เพื่อพัฒนาข้อเสนอแนะในการเสริมสร้างพลังอำนาจ และการพัฒนาศักยภาพของนวัตกรรมที่มีส่วนร่วมโดยชุมชน งานศึกษานี้ดำเนินการเลือกตัวแบบทั้งกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม ได้แก่ เขตการปกครองพิเศษไต้หวัน และประเทศจีน และกลุ่มประเทศหลังอุตสาหกรรม ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศสวีเดน โดยทำการศึกษาเพื่อให้เห็นพัฒนาการของตัวแบบดังกล่าวในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน ผลการศึกษาพบว่า นวัตกรรมชุมชนที่เกิดขึ้น แม้จะมีบริบทด้านที่มา โครงสร้างโอกาสทางการเมือง รวมทั้งบริบทเชิงสถานที่ ในมิติที่แตกต่างกัน แต่ก็ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนและทุกภาคส่วนในสังคมเช่นเดียวกัน โดยสามารถปรากฏได้ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การริเริ่มโครงการ การกำหนดนโยบาย กระบวนการกำกับดูแล และกรอบกระบวนทัศน์ของการพัฒนา นอกจากนี้ ข้อเสนอแนะเพื่อการเสริมสร้างพลังอำนาจ และการพัฒนาศักยภาพของนวัตกรรมที่มีส่วนร่วมโดยชุมชน สามารถพิจารณาถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง 4 ประการ ได้แก่ (1) บริบทเงื่อนไขของการสร้างนวัตกรรมชุมชน (2) ข้อได้เปรียบที่นำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างนวัตกรรมชุมชน (3) ความท้าทายที่อาจจะขัดขวางการสร้างนวัตกรรมชุมชน และ (4) แรงผลักดันหรือขับเคลื่อนในการสร้างนวัตกรรมชุมชน</p> ญาเรศ อัครพัฒนานุกูล, พัชราภา ตันตราจิน ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/267073 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การรับรู้ถึงอารยสถาปัตย์ การปรับตัว พลังสุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในศูนย์สร้างสุขทุกวัย กรุงเทพมหานคร https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/267015 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการรับรู้ถึงอารยสถาปัตย์ การปรับตัว พลังสุขภาพจิต กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ 2) ศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกัน 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ถึงอารยสถาปัตย์ การปรับตัว และพลังสุขภาพจิต กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ และ 4) ศึกษาอิทธิพลของการรับรู้ถึงอารยสถาปัตย์ การปรับตัว และพลังสุขภาพจิตที่มีต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้สูงอายุในศูนย์สร้างสุขทุกวัย กรุงเทพมหานคร จำนวน 330 คน สุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) รายข้อ โดยแต่ละข้อมีค่าอยู่ระหว่าง .66 – 1.00 ประกอบด้วย แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล แบบสอบถามการรับรู้ถึงอารยสถาปัตย์ มีค่าความเชื่อมั่น .897 แบบสอบถามการปรับตัว มีค่าความเชื่อมั่น .856 แบบสอบถามพลังสุขภาพจิต มีค่าความเชื่อมั่น .925 และแบบสอบถามคุณภาพชีวิต มีค่าความเชื่อมั่น .913 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test ค่า F-test ทดสอบรายคู่โดยวิธี LSD ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้ถึงอารยสถาปัตย์ การปรับตัว พลังสุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยรวมอยู่ในระดับสูง 2) ผู้สูงอายุ ที่มีเพศ ระดับการศึกษา และสถานภาพสมรสแตกต่างกันมีคุณภาพชีวิตที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ .01 3) การรับรู้ถึงอารยสถาปัตย์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .181) การปรับตัวมีความสัมพันธ์ทางบวกกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .617) พลังสุขภาพจิตมีความสัมพันธ์ทางบวกกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (r = .704) และ 4) การรับรู้ถึงอารยสถาปัตย์ การปรับตัว และพลังสุขภาพจิต สามารถร่วมกันทำนายคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ได้ร้อยละ 54.1</p> จิดาภา จันเมือง, ทิพย์วัลย์ สุรินยา, เฉลิมขวัญ สิงห์วี ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/267015 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบและผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้แบบสหสาขาวิชาชีพในการวินิจฉัยและการสร้างเสริมสุขภาพชุมชนสำหรับนิสิตสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281761 <p>การวิจัยแบบผสมวิธีครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้แบบสหวิชาชีพในการวินิจฉัยและการสร้างเสริมสุขภาพชุมชน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้เป็นอาจารย์ผู้สอน 15 คน อาจารย์พี่เลี้ยง 10 คน อาสาสมัครสาธารณสุขพี่เลี้ยง 10 คน และนิสิตสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ 193 คน แบ่งเป็นนิสิตแพทยศาสตรบัณฑิต 152 คน และนิสิตสาขาการส่งเสริมสุขภาพ 41 คน คัดเลือกอาสาสมัครโดยใช้วิธีสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง การดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย 1) วิเคราะห์สถานการณ์การเรียนรู้แบบสหวิชาชีพโดยการสนทนากลุ่มและสัมภาษณ์เชิงลึกอาจารย์ผู้สอน อาจารย์พี่เลี้ยง และอาสาสมัครสาธารณสุขพี่เลี้ยง 2) พัฒนารูปแบบการเรียนรู้ 3) นำรูปแบบการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นไปใช้จริงในนิสิตสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ 4) การประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้แบบสหสาขาวิชาชีพ ภายหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสหวิชาชีพเก็บรวบรวมโดยใช้แบบประเมินผลสัมฤทธิ์การเรียน แบบประเมินความสุขและแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า ทั้งสองหลักสูตรยังไม่มีเนื้อหาการสอนเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบสหวิชาชีพโดยตรง นอกจากนี้นิสิตยังไม่มีความเข้าใจและประสบการณ์เรียนรู้แบบสหสาขาวิชาชีพ ทั้งนี้รูปแบบการเรียนรู้ ประกอบด้วย การปฐมนิเทศ กิจกรรม Human Bingo การบรรยายภาคทฤษฎี การพัฒนา Soft Skills และการฝึกภาคสนาม 1 สัปดาห์ เพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพในชุมชน การอภิปรายกลุ่ม การศึกษาด้วยตนเองและการสะท้อนคิด ภายหลังการใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบสหวิชาชีพ พบว่า นิสิตส่วนใหญ่มีผลการเรียนอยู่ในระดับดีเยี่ยม มีความพึงพอใจ (คะแนนเฉลี่ย 4.39 ± 0.52) <br />อยู่ในระดับมาก และความสุข (คะแนนเฉลี่ย 3.61 ± 0.42) อยู่ในระดับดี ดังนั้น สถาบันการศึกษาควรสนับสนุนการจัดการศึกษาแบบสหวิชาชีพเพื่อส่งเสริมสมรรถนะในการทำงานร่วมกันระหว่างสหวิชาชีพของนิสิตปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพ</p> ปิยนุช ยอดสมสวย, กิตศราวุฒิ ขวัญชารี, ชวินทร์ สุวรรณฉัตรชัย, สุธีร์ รัตนะมงคลกุล, กิตติพงษ์ คงสมบูรณ์, มนัสวิน อ่อนหวาน, อนันตพัฒน์ สี่หิรัญวงศ์, พชรภา เชี่ยวพานิชย์, ภัทธกร บุบผัน, อ้อมใจ แต้เจริญวิริยะกุล, ศิริกุล ธรรมจิตรสกุล , พิมลพร เชาวน์ไวพจน์, สุนิสา สงสัยเกตุ, ปริยากร สงวนกิตติพันธุ์, รัตน์ติพร โกสุวินทร์, ปะการัง ศรีมี, ยุพารัตน์ อดกลั้น, สุพิมพ์ วงษ์ทองแท้ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281761 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 แนวทางการนำวิถีอัธยาศัยไมตรีญี่ปุ่นมาปรับใช้ในธุรกิจที่พักแรมประเภทโฮมสเตย์ในจังหวัดสุโขทัย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/266834 <p>งานวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์การรับรู้และการแสดงออกซึ่งอัธยาศัยไมตรีญี่ปุ่นของผู้ประกอบการโฮมสเตย์ 2) วิเคราะห์การรับรู้อัธยาศัยไมตรีญี่ปุ่นของผู้ใช้บริการ และ 3) สังเคราะห์ช่องว่างการรับรู้ดังกล่าวระหว่างผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาบุคลากรในธุรกิจจิตบริการและเป็นทางเลือกในการยกระดับคุณภาพการต้อนรับและบริการนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยใช้กรอบแนวคิดอัธยาศัยไมตรีญี่ปุ่นในกระบวนการนำเสนอสินค้าและบริการของผู้ประกอบการโฮมสเตย์ ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และพื้นที่เชื่อมโยง นำข้อมูลที่รวบรวมได้จากการลงพื้นที่สังเกตการณ์ การสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ และการสนทนากลุ่มกับผู้ใช้บริการมาวิเคราะห์แก่นสาระ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการรับรู้อัธยาศัยไมตรีญี่ปุ่นตรงกันกับผู้ใช้บริการในด้านมาตรฐานความสะอาด การดูแลความปลอดภัยให้ลูกค้า การสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การพยายามตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ความเท่าเทียมระหว่างผู้ใช้บริการ/ผู้ให้บริการ และการแลกเปลี่ยนบทบาทระหว่างกันที่สะท้อนให้เห็นในพฤติกรรมการแสดงออกที่สังเกตและประเมินได้ ในขณะที่มาตรฐานด้านการเตรียมอาหารและด้านอัธยาศัยไมตรีบางด้านถูกลดความสำคัญลงไป ผลการวิจัยดังกล่าวนำไปสู่แนวทางในการพัฒนาบุคลากรในธุรกิจที่พักแรมประเภทโฮมสเตย์ของไทยด้วยอัธยาศัยไมตรีญี่ปุ่นผ่านกระบวนการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อสร้างเสริมอัธยาศัยไมตรีญี่ปุ่นด้านที่แสดงออกอยู่แล้วให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ได้หลังจากพัฒนากิจการของตนให้ได้รับการรับรองมาตรฐานการบริการและแนวทางการวิจัยขยายผลองค์ความรู้เกี่ยวกับอัธยาศัยไมตรีด้านที่ยังไม่แสดงออกต่อไป</p> สรรเสริญ สัตถาวร, รุ่งอรุณ กระแสร์สินธุ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/266834 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้การวิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281762 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้การวิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 2) ศึกษาประสิทธิผลของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้การวิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ 3) ประเมินประสิทธิผลหรือคุณภาพของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้การวิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีการดำเนินการวิจัยเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ขั้นที่ 2 การพัฒนาหลักสูตร ขั้นที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตร และขั้นที่ 4 การประเมินและปรับปรุงหลักสูตร มีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/11 โรงเรียนบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้<br />ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้การวิจัยเป็นฐาน 2) แผนการจัดการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การศึกษาวิจัยทางชีววิทยาด้านธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำโลกกุดทิง จังหวัด บึงกาฬ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4) แบบประเมินผลงานและพฤติกรรมการเรียนรู้ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อหลักสูตร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้การวิจัยเป็นฐานของโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี <br />และสิ่งแวดล้อม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 1) ตารางวิเคราะห์หลักสูตรท้องถิ่น 2) คำนำ 3) วิสัยทัศน์ 4) พันธกิจ 5) จุดมุ่งหมาย 6) สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 7) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8) กรอบหลักสูตรท้องถิ่น/สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น 9) จุดเน้น บริบท ความต้องการสถานศึกษา 10) โครงสร้างของหลักสูตร 11) เนื้อหาสาระ 12) คำอธิบายรายวิชา 13) แผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งได้จัดบูรณาการในรายวิชา ชีววิทยาหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การศึกษาวิจัยทางชีววิทยาด้านธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตและความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำโลกกุดทิง จังหวัดบึงกาฬ ประกอบด้วย 5 หน่วย คือ (1) ความรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพและกำเนิดสิ่งมีชีวิต (2) งานวิจัยด้านความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำโลกกุดทิง (3) การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (4) จำแนกชนิด ลักษณะสัณฐานวิทยา ของความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำโลกกุดทิง และ (5) รายงานวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ<br />ในพื้นที่ชุ่มน้ำโลกกุดทิง จำนวนระยะเวลาการเรียนรู้ 20 ชั่วโมง 2) การประเมินประสิทธิผลของหลักสูตรวิทยาศาสตร์ในท้องถิ่นโดยใช้การวิจัยเป็นฐาน พิจารณาจากผลการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังทดลองสูงกว่าก่อนทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (t-test เท่ากับ 16.58*) 2) ผลงานและพฤติกรรมการเรียนรู้<br />ของผู้เรียนโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อหลักสูตรในระดับมากที่สุด</p> เดชาธร บงค์บุตร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281762 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการซื้อคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281763 <p>สืบเนื่องมาจากความเจริญก้าวหน้าของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี ธุรกิจคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ได้มีการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน อีกทั้งธุรกิจคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ยังเป็นธุรกิจที่มีโอกาสทางธุรกิจอย่างมากในการสร้างผลประกอบการและกำไร อย่างไรก็ตามการที่จะส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจนี้ได้ยังคงมีอุปสรรคบางประการ เพราะยังขาดองค์ความรู้และความเข้าใจที่จะนำมาต่อยอดและประยุกต์ใช้ในการพัฒนาธุรกิจประเภทนี้ นอกจากนี้ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจจะส่งผลต่อความตั้งใจในการซื้อคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ยังมีการระบุชี้ชัดน้อยมาก ดังนั้นจุดประสงค์ของการศึกษานี้จึงมุ่งที่จะระบุปัจจัยที่อาจจะส่งผลต่อความตั้งใจในการซื้อคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ พร้อมทั้งพัฒนา<br />และส่งเสริมธุรกิจนี้ไปพร้อม ๆ กัน รูปแบบโครงสร้างของการศึกษาครั้งนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นจากองค์ความรู้จากการศึกษาก่อนหน้าซึ่งประกอบไปด้วย 4 ทฤษฎีที่สำคัญ ได้แก่ ความตั้งใจในการซื้อ การยอมรับเทคโนโลยี การตลาดแบบปากต่อปากออนไลน์ และการโฆษณาบนสื่อสังคมออนไลน์ การศึกษานี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณในการดำเนินการวิจัยโดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ตอบแบบสอบถาม 424 คน ผลการศึกษาพบว่า การรับรู้ถึงประโยชน์และการรับรู้ถึงความง่ายดายในการใช้งานส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความตั้งใจในการซื้อคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ผ่านทัศนคติที่มีต่อคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ ในขณะที่การโต้ตอบและการรับรู้ถึงความเกี่ยวข้องส่งผลกระทบเชิงบวกต่อความตั้งใจในการซื้อคอร์สเรียนภาษาออนไลน์ผ่านความคาดหวังของลูกค้า นอกจากนี้การตลาดแบบปากต่อปากออนไลน์ก็ยังส่งผลกระทบในระดับปานกลางต่อความตั้งใจในการซื้อคอร์สเรียนภาษาออนไลน์เช่นเดียวกัน</p> วัชระพล แสนเมือง, พีรพงษ์ ฟูศิริ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281763 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้เกมดิจิทัลเป็นฐานร่วมกับหลักการคิดเป็นภาพในรายวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/267714 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ออกแบบและพัฒนาการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมดิจิทัลเป็นฐานร่วมกับหลักการคิดเป็นภาพ 2) ศึกษาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน และ 3) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายประถมศึกษา (ศึกษาศาสตร์) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมดิจิทัลเป็นฐานร่วมกับหลักการคิดเป็นภาพ แบบทดสอบวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การพรรณนาวิเคราะห์ผลการจัดการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลของการออกแบบพัฒนาเกมดิจิทัลเป็นฐานนั้นมีการออกแบบที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถค้นหาสารสนเทศได้ง่ายและออกแบบเครื่องนำทางที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกันและมีความคงที่ ภาพกราฟิกและขนาดตัวอักษรเหมาะสม มีจุดดึงดูดความสนใจและอ่านง่าย การใช้เนื้อหาและภาพประกอบมีความสอดคล้องกัน สามารถกระตุ้นและสนับสนุนให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบจากสถานการณ์ปัญหาที่กำหนดได้ โดยจัดเรียงสารสนเทศเป็นหมวดหมู่ ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีและง่ายต่อความเข้าใจ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและแก้ปัญหาร่วมกันได้เป็นอย่างดี 2) ผลความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.50 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 82.50 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 89.74 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือ ร้อยละ 70 ขึ้นไป และ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.50 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 77.50 และมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 33 คน คิดเป็นร้อยละ 84.61 ซึ่งผ่านเกณฑ์ที่กำหนด คือ ร้อยละ 70 ขึ้นไป</p> ศิริศุกร์ ศิริโชคชัยตระกูล, ปิยะนันท์ บุญโพธิ์, มนัชยา ศรีจินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/267714 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 พฤติกรรมการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของบุคลากรทางการแพทย์ในห้องสมุด ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268475 <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพปัญหาและความต้องการในการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของบุคลากรทางการแพทย์ในห้องสมุดศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ การสุ่มตัวอย่างผู้วิจัยเลือกวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage random sampling) เก็บข้อมูลเชิงปริมาณกับกลุ่มตัวอย่างโดยใช้แบบสอบถามกับบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นตัวอย่าง จำนวน 72 คน ประกอบด้วย อาจารย์แพทย์/แพทย์/แพทย์ใช้ทุน/แพทย์เพิ่มพูนทักษะ จำนวน 60 คน และทันตแพทย์ 12 คน การวิเคราะห์และพรรณนาข้อมูลด้วยการใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (72.22%) โดยมีตำแหน่งงานเป็นอาจารย์แพทย์/แพทย์/แพทย์ใช้ทุน/แพทย์เพิ่มพูนทักษะ (83.33%) และทันตแพทย์ (16.67%) แพทย์ส่วนใหญ่สังกัดสาขาวิชาอายุรกรรม (15.27%) สาขาวิชาที่แพทย์สังกัดรองลงมา คือ สาขาวิชากุมารเวชกรรม (12.50%) สาขาวิชาศัลยกรรม (9.72%) และสาขาวิชาเวชศาสตร์ครอบครัว (8.33%) ตามลำดับ ส่วนทันตแพทย์ทั้งหมดจะสังกัดหน่วยงานทันตกรรม และการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" />= 55.49, S.D. = 8.30) และวิเคราะห์แยกรายด้านพบว่า ความต้องการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในระดับมากที่สุด (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 23.64, S.D. = 3.86) และความตั้งใจใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 15.64, S.D. = 2.86) ในส่วนของลักษณะการใช้อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามดาวน์โหลดเก็บไว้เพื่ออ่านต่อภายหลังในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.94, S.D. = 1.11) รองลงมาคือ 1) อ่านออนไลน์และไม่ได้บุ๊กมาร์ก (Bookmark) ไว้ในระดับมาก (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 3.74, S.D. = 1.11) และ 2) พิมพ์เอกสารออกมาอ่านบางส่วนหรือทั้งหมดในระดับปานกลาง (<img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{X}" alt="equation" /> = 2.92, S.D. = 1.41) ตามลำดับ</p> ศิริพรรณ โพธิ์อินทร์ ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268475 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การเคลื่อนไหวทางการเมืองและพื้นที่ของความสัมพันธ์ในภาพยนตร์อเมริกันและนวนิยาย ชายรักชายของไทย: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/267707 <p>การเคลื่อนไหวของชุมชนผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทางการเมืองระดับนานาชาตินับตั้งแต่เหตุการณ์จลาจลสโตนวอลล์ในปี พ.ศ. 2512 ณ มหานครนิวยอร์ก ในประเทศไทยนั้นขบวนการของผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้เติบโตควบคู่ไปกับขบวนการประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี พ.ศ. 2557 บทความฉบับนี้วิเคราะห์การเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลาย<strong><br /></strong>ทางเพศผ่านการศึกษาภาพยนตร์อเมริกัน เรื่อง Milk (2551) และนวนิยายชายรักชายของไทย เรื่อง เมื่อไหร่จะเลิกเป็นสลิ่ม (2563) โดยใช้การอ่านแบบละเอียดเพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบวาทศิลป์ทางการเมืองที่ใช้ในการปลุกระดมมวลชน เพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง บทความนี้ยังใช้การอ่านแบบละเอียดเพื่อตีความประเด็นเรื่องพื้นที่ส่วนตัว พื้นที่ความสัมพันธ์ และพื้นที่ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในตัวบท จากการวิเคราะห์พบว่า ตัวบททั้งสองมีการใช้วาทศิลป์ทางการเมืองที่คล้ายคลึงกัน แต่อยู่ในระดับที่ต่างกัน อีกทั้งพื้นที่ทางการเมืองที่ทับซ้อนกันนั้นทำหน้าที่ทั้งการโอบรับและผลักไสพื้นที่ส่วนตัว และพื้นที่ความสัมพันธ์ไปพร้อม ๆ กัน อีกทั้งบทความนี้ต้องการนำเสนอประโยชน์ของการอ่านอย่างละเอียดในการวิเคราะห์ตัวบทที่มีความแตกต่างกันทางวัฒนธรรมที่เผยให้เห็นนัยทางการเมืองที่ซ้อนอยู่ภายในตัวบท</p> ภัทร ชุมสาย ณ อยุธยา ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/267707 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 ความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน เสถียรภาพกำไร และมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจของบริษัทจดทะเบียนที่เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนครั้งแรก: หลักฐานเชิงประจักษ์ บริษัทจดทะเบียนไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268486 <p>ตามที่นักลงทุนให้ความสนใจกับความยั่งยืนธุรกิจเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มตัดสินใจลงทุน พิจารณาจากทั้งข้อมูลความยั่งยืนร่วมกับข้อมูลทางการเงินในการประเมินผลการดำเนินงานของบริษัท งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน เสถียรภาพกำไร และมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจของบริษัทจดทะเบียนไทยที่เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนในครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) ซึ่งโดยทั่วไปข้อมูลของบริษัท IPO มีการเปิดเผยจำกัดกว่าของบริษัทที่จดทะเบียนแล้ว กลุ่มตัวอย่างครอบคลุมบริษัทจดทะเบียนไทยที่ IPO ปี พ.ศ. 2560-2561 จำนวน 51 บริษัท จากการวิเคราะห์ด้วย Dynamic Panel Data Model ผลการศึกษาพบว่า บริษัทที่มีการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนสูงในภาพรวมและด้านการกำกับดูแลกิจการมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของเสถียรภาพกำไรซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีผู้มีส่วนได้เสีย แต่กลับมีการลดลงของมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจซึ่งอาจเป็นไปตามการแลกเปลี่ยนระหว่างผลประโยชน์<br />และต้นทุนในการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน อย่างไรก็ตามจะพบมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจมีค่าเพิ่มขึ้นหากบริษัทมีเสถียรภาพกำไรสูงและการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนสูง ข้อค้นพบเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนในการพิจารณาตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลความยั่งยืน และผู้บริหารของบริษัทในการกำหนดนโยบายการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนได้เหมาะสม <br />รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลใช้เป็นแนวทางในการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน</p> ไปรยา กาญจนประภาส, สุนทรี เหล่าพัดจัน ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268486 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การประเมินผลการดำเนินงานโครงการ Everyday Say No to Plastic Bags โดยใช้รูปแบบ CIPPIEST Model https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268344 <p>การวิจัย “การประเมินผลการดำเนินงานโครงการ “Everyday Say No to Plastic Bags” ของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม” มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการในระยะที่ผ่านมา โดยเก็บข้อมูลปฐมภูมิจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ภาคีเครือข่ายความร่วมมือภาคเอกชน ประกอบธุรกิจค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ที่เข้าร่วมโครงการ นำข้อมูลที่ได้มาประเมินโดยใช้รูปแบบ CIPPIEST Model ประกอบด้วย 8 มิติ ได้แก่ มิติบริบท มิติปัจจัยนำเข้า มิติกระบวนการ มิติผลผลิต มิติผลกระทบ มิติประสิทธิผล มิติความยั่งยืน และมิติการถ่ายทอดส่งต่อ ผลการติดตามและประเมินการดำเนินงานโครงการ พบว่า มิติบริบท (Context) นโยบายมีความสอดคล้องกับแผนต่าง ๆ ของนานาชาติและของประเทศไทย ด้านการนำพลาสติกกลับมาใช้ซ้ำหรือนำไปรีไซเคิล การส่งเสริมการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน มิติปัจจัยนำเข้า (Input) บุคลากรมีความรู้ ความเข้าใจด้านการงดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียว งบประมาณ วัสดุ อุปกรณ์ ใช้ในส่วนของกิจกรรมการรณรงค์ รูปแบบการประชาสัมพันธ์ผ่านป้าย หรือการโฆษณาสื่อสังคมออนไลน์ มิติกระบวนการ (Process) มีการดำเนินการสร้างความรู้ ความเข้าใจ จนเกิดความตระหนักในการลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และเกิดการใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มิติผลผลิต (Product) การเลิกใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวในห้างสรรพสินค้า หรือภาคีเครือข่าย ทำให้ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียวลดลง รวมทั้งสิ้น 14,349.6 ล้านใบ หรือ 81,531 ตัน และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้เท่ากับ 84,058.46 ton CO<sub>2e</sub> มิติผลกระทบ (Impact) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการจัดการขยะพลาสติกได้ง่ายขึ้น ในการสร้างความตระหนัก และทัศนคติในการลดใช้ถุงพลาสติก มิติประสิทธิผล (Effective) กลุ่มภาคีเครือข่ายความร่วมมือของร้านค้าต่าง ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในด้านการจัดการถุงพลาสติกหูหิ้ว และแนวทางการจัดการให้ประชาชนลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว มิติความยั่งยืน (Sustainability) สามารถพัฒนาไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มีการส่งเสริมและสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในการลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้วแบบใช้ครั้งเดียว มิติการถ่ายทอดส่งต่อ (Transfer) มีการส่งเสริมต้นแบบหรือตัวอย่างที่ดีในการรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว และเผยแพร่แนวทางในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายที่จะส่งเสริมให้เกิดการลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างยั่งยืน</p> วิสาขา ภู่จินดา, วราพร งามขำ ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268344 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การบูรณาการความหลากหลายของภูมิปัญญาท้องถิ่นในการบริหารจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรณีศึกษา ลุ่มน้ำแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268871 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจปัญหาสิ่งแวดล้อมบริเวณลุ่มน้ำแม่วางที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2) ศึกษาความหลากหลายของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และ 3) บูรณาการความหลากหลายของภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นองค์ความรู้ชุดเดียวกันเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยใช้วิธีการสำรวจ การสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่มกับตัวแทนชุมชน ได้แก่ ผู้นำ ผู้รู้ สมาชิกเครือข่ายลุ่มน้ำแม่วางและวิทยาลัยจาวบ้านลุ่มน้ำแม่วางที่อาศัยอยู่ในแต่ละเขตนิเวศเกษตร รวม 88 คน ผลการศึกษาพบว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2545-2565) อุณหภูมิบริเวณลุ่มน้ำแม่วางสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 2.66 และมีปริมาณฝนลดลง คิดเป็นร้อยละ 0.37 ส่งผลให้เกิดปัญหาไฟป่า ภัยแล้ง และน้ำท่วม ซึ่งชุมชนในแต่ละเขตนิเวศเกษตรได้อาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิมเป็นหลักเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเสริมด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นประยุกต์ และภูมิปัญญาท้องถิ่นผสมผสานระหว่างพื้นที่หรือภูมิปัญญาข้ามเขตนิเวศเกษตรเพื่อบริหารจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ทั้งนี้ เครือข่ายลุ่มน้ำแม่วาง และวิทยาลัย<br />จาวบ้านลุ่มน้ำแม่วาง เป็นองค์กรที่มีบทบาทในการบูรณาการ (Integrator) ความหลากหลายของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่กระจายในแต่ละเขตนิเวศเกษตรให้เป็นองค์ความรู้ชุดเดียวกันตลอดลุ่มน้ำ ดังนั้นจึงควรมีการจัดทำระบบที่ช่วยเอื้ออำนวยให้องค์กรดังกล่าวดำเนินงานด้านการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมของลุ่มน้ำแม่วางได้อย่างราบรื่น</p> ชุติวลัญชน์ เสมมหาศักดิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268871 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 พฤติกรรมและปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาและสมุนไพรบรรเทาอาการปวดของผู้สูงอายุในอำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/269360 <p>ผู้สูงอายุมักประสบปัญหาความปวดจากความเสื่อมของร่างกายและโรคประจำตัว จึงมีการใช้ยาและสมุนไพรเพื่อบรรเทาอาการปวดเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์และภาวะแทรกซ้อนตามมา การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมและปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาและสมุนไพรบรรเทาอาการปวดในผู้สูงอายุ โดยทำการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง ในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในอำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก จำนวน 329 ราย ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เลือกใช้ยารับประทานเป็นยาพาราเซตามอล (ร้อยละ 50.9) และยาใช้ภายนอกเป็นยาที่มีส่วนผสมของเมทิลซาลิไซเลต (ร้อยละ 24.2) เพื่อบรรเทาอาการปวด ส่วนสมุนไพรบรรเทาอาการปวด พบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่เลือกใช้ไพลชนิดทาภายนอกมากที่สุด (ร้อยละ 34.2) ด้านพฤติกรรมการใช้ยาและสมุนไพรบรรเทาอาการปวดโดยรวม พบว่าส่วนใหญ่มีพฤติกรรมที่เหมาะสม (ร้อยละ 57.4 และร้อยละ 50.8 ตามลำดับ) และมีจำนวนร้อยละ 42.6 และร้อยละ 49.2 ตามลำดับ ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม โดยปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ยาและสมุนไพรบรรเทาอาการปวด ได้แก่ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ และโรคประจำตัว</p> บัสมะห์ ฮะกีมี, ปรานต์หทัย อรุณสวัสดิ์, วรรณคล เชื้อมงคล ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/269360 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 ผลของการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์อีเนิร์ดต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงวิชาชีพของนักศึกษาพยาบาล https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281764 <p>การพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงวิชาชีพสำหรับนักศึกษาพยาบาลเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการสร้างอัตลักษณ์ของพยาบาลไทยในศตวรรษที่ 21 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาชีพด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์อีเนิร์ดต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของนักศึกษาพยาบาล และความพึงพอใจต่อเว็บไซต์อีเนิร์ด กลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาพยาบาล​ศาสตรบัณ​ฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี​ นครราชสีมา​ จำนวน 52 คน ใช้วิธีการสุ่มหลายขั้นตอนตามคุณลักษณะที่กำหนดเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 26 คน ทั้งสองกลุ่มมีคะแนนสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับเดียวกัน กลุ่มทดลองเรียนรู้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาชีพด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ E-Nerd ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบเรียนรู้ภาษาอังกฤษเชิงวิชาชีพในชั้นเรียนปกติ 2 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถามการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการสื่อสารภาษาอังกฤษ 2) แบบประเมินทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษ และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 1 และค่าความเชื่อมั่น 0.95, 0.78 และ 0.94 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติทดสอบ Paired t-test Independent t-test Wilcoxon signed ranks test และ Mann Whitney U test ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนสมรรถนะแห่งตนในการสื่อสารภาษาอังกฤษและทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษหลังการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ E-Nerd มากกว่าก่อนเรียน และสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em> &lt; 0.05) และระดับความพึงพอใจโดยรวมต่อการใช้งานเว็บไซต์ E-Nerd ของนักศึกษาอยู่ในระดับมาก (Mean = 4.16, S.D. = 0.12) ดังนั้นเว็บไซต์ E-Nerd จึงเป็นสื่อการเรียนรู้ออนไลน์ที่สามารถเพิ่มการรับรู้สมรรถนะแห่งตนและทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงวิชาชีพสำหรับนักศึกษาพยาบาลได้ ควรนำมาใช้ร่วมกับการเรียนการสอนในห้องเรียนเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสื่อสารภาษาอังกฤษเชิงวิชาชีพอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพต่อไป</p> ญาภัทร นิยมสัตย์, วิรุฬจิตรา อุ่นจางวาง, ศรีมนา นิยมค้า, พิชญาณัฏฐ์ แก้วอำไพ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281764 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ผลงานประพันธ์เพลงตลกคำเมืองของวิฑูรย์ ใจพรหม https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/269105 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชีวประวัติและผลงานของศิลปินตลกคำเมือง วิฑูรย์ ใจพรหม ศึกษาวิธีการประพันธ์เพลงและแนวคิดตลกคำเมือง ศึกษาเนื้อหาและกลวิธีในการเล่าเรื่องในบทเพลงตลกคำเมือง รวมถึงศึกษาคุณค่าทางวรรณศิลป์จากบทเพลงตลกคำเมืองที่วิฑูรย์ ใจพรหม เป็นผู้ประพันธ์และเป็นผู้ขับร้องด้วยตนเอง จำนวนทั้งสิ้น 15 บทเพลง ใช้วิธีการค้นคว้าและเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-dept Interview) การวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และการวิเคราะห์ตัวบท (Textual Analysis) ผลการวิจัยพบว่า ความรักในการร้องเพลง ลักษณะนิสัยส่วนตัว ประสบการณ์ และโอกาสมีส่วนผลักดันให้วิฑูรย์ ใจพรหม ก้าวขึ้นมาเป็นนักร้อง และนักประพันธ์เพลงในแบบเพลงตลกคำเมืองอันเป็นเอกลักษณ์ โดยลักษณะการประพันธ์เพลงแบ่งออกเป็น 2 ยุค คือยุคที่ 1 มีลักษณะการประพันธ์เพลงแบบที่มีท่อนร้องและท่อนพูดสลับกัน และยุคที่ 2 มีลักษณะการประพันธ์เพลงแบบตลกในเนื้อเพลง ส่วนแบบแผนการประพันธ์บทเพลง หรือคีตลักษณ์ (Musical Forms) ที่นิยมใช้ คือรูปแบบสโตรฟิค (Strophic Form) เป็นลักษณะของเพลงร้องที่มีแนวทำนองเดียวตลอดแต่มีการเปลี่ยนเนื้อร้องมีรูปแบบเป็น AAA ด้านแนวคิดตลกที่นิยมใช้ในการประพันธ์เพลงมากที่สุด คือ Relief theory หรือทฤษฎีการผ่อนคลายในลักษณะการสร้างเสียงหัวเราะ ขบขัน ลดความตึงเครียดทางจิตใจโดยยกประเด็นทางสังคมมาประกอบในเนื้อหาเพลง โดยนิยมนำเสนอความตลกจากโครงเรื่องและใช้การสื่อสารเรื่องราวที่ชัดเจนตรงไปตรงมา ประกอบด้วยโครงเรื่อง 3 ลักษณะ คือโครงเรื่องเกี่ยวกับความประพฤติ โครงเรื่องเกี่ยวกับประเด็นทางสังคม และโครงเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรม นอกจากนี้แต่ละเพลงยังมีองค์ประกอบของการเล่าเรื่องครบทั้ง 7 องค์ประกอบ<br />รวมถึงมีลักษณะการเล่าเรื่องแบบเส้นตรง (Linear storytelling) ในส่วนของคุณค่าทางวรรณศิลป์ในบทเพลงพบว่าประกอบด้วยการใช้ภาพพจน์ การใช้คำถามเชิงวรรณศิลป์ การเล่นคำ และการเล่นเสียง นอกจากนี้ยังพบการใช้คำอุทานและการใช้คำผวนในบทเพลงอีกด้วย</p> เอกธิดา เสริมทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/269105 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 กระบวนการตัดสินใจซื้อและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สีเขียวของผู้บริโภคสีเขียว https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281767 <p>งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขั้นตอนก่อนการตัดสินใจซื้อและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สีเขียว ศึกษาการเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สีเขียวโดยจำแนกตามประเภทพฤติกรรมการซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์สีเขียวและจำแนกตามกลุ่มผู้บริโภคสีเขียว และศึกษาพฤติกรรมภายหลังการซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์สีเขียวที่มีผลต่อแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อ เก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริโภคที่เคยซื้อและหรือบริโภคผลิตภัณฑ์สีเขียวที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคกลุ่มสีเขียวแฝงมากที่สุด รองลงมาเป็นผู้บริโภคกลุ่มสีเขียวอ่อน และผู้บริโภคสีเขียวแท้ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ขั้นตอนก่อนการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ การค้นหาข้อมูล และการประเมินผลทางเลือกมีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สีเขียว และปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สีเขียว ได้แก่ ประสบการณ์ต่อผลิตภัณฑ์สีเขียว ทัศนคติต่อผลิตภัณฑ์สีเขียว คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์สีเขียว และอิทธิพลทางสังคม ส่วนผู้บริโภคกลุ่มสีเขียวแท้มีการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สีเขียวมากกว่าผู้บริโภคกลุ่มสีเขียวแฝง และผู้บริโภคที่เคยซื้อ/บริโภคผลิตภัณฑ์อินทรีย์ บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก และกระดาษอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์สีเขียวมากกว่าผู้บริโภคที่ไม่เคยซื้อหรือบริโภค นอกจากนี้พฤติกรรมภายหลังการซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์สีเขียว ได้แก่ ความพึงพอใจ และการได้รับประโยชน์เกินความคาดหวังจากผลิตภัณฑ์สีเขียวมีผลต่อแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ งานวิจัยนี้ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถนำไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดดิจิทัลในการสื่อสารให้ผู้บริโภคได้รับรู้</p> ไพบูลย์ อาชารุ่งโรจน์, สุพาดา สิริกุตตา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281767 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาคุณภาพผ้าทอพื้นเมืองในกลุ่มสตรีทอผ้าพื้นเมืองบ้านนาด้วง จังหวัดเลย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281768 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการในการพัฒนาคุณภาพผ้าทอพื้นเมืองในกลุ่มสตรีทอผ้าพื้นเมืองบ้านนาด้วง อำเภอนาด้วง จังหวัดเลย และ 2) พัฒนาคุณภาพผ้าทอพื้นเมืองในด้านกระบวนการผลิตและกลยุทธ์การตลาดของกลุ่มสตรีทอผ้าพื้นเมืองบ้านนาด้วง เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสนทนากลุ่ม และการจัดเวทีประชุมระดมความเห็น ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพปัญหาในการพัฒนาคุณภาพผ้าทอพื้นเมือง ทางกลุ่มมีการผลิตผ้ามัดหมี่ใช้ภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดกันมาจากบรรพบุรุษมีปัญหาเรื่องการออกแบบลวดลายผ้าที่ขาดความเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มและชุมชน ไม่มีลวดลายที่ทันสมัยเนื่องจากขาดองค์ความรู้ในกระบวนการผลิตแบบใหม่ ๆ ที่ทันสมัย จึงต้องการให้มีการอบรมการออกแบบลายผ้าในชุมชน ต้องการลวดลายที่เป็นอัตลักษณ์ของชุมชน คือ กลุ่มลายค้างคาว ต้องการย้อมสีธรรมชาติ และ 2) การพัฒนาคุณภาพผ้าทอพื้นเมืองได้ดำเนินการอบรมการออกแบบลายผ้า กระบวนการผลิตการย้อมสีธรรมชาติ และกลยุทธ์การตลาด รวมทั้งการศึกษาดูงาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทางกลุ่มสามารถผลิตผ้าทอที่มีลวดลายเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่ม สามารถผลิตได้ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) และยื่นขอจดสิทธิบัตรการออกแบบ ส่วนด้านกลยุทธ์การตลาดมีการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น แผ่นพับ ใบปลิว การโฆษณา การพัฒนาช่องทางจำหน่าย เช่น ร้านค้าย่อย ร้านค้าชุมชน ร้านตัดเสื้อผ้าสำเร็จรูป การสนับสนุนการแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าทอในงานของท้องถิ่นและจังหวัด รวมทั้งการสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์โดยการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้หลากหลาย เช่น กระเป๋า ย่าม ที่คลุมทีวี ตู้เย็น เสื้อ</p> ภัทรธิรา ผลงาม, วัฒนา ตรงเที่ยง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/281768 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยการตัดสินใจปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: กรณีศึกษา บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งหนึ่ง https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/269234 <p>ปัญหาปริมาณหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์เพิ่มสูงมากขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส โควิด 19 (Covid-19) เป็นเหตุให้ธนาคารพาณิชย์มีแนวทางการแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ขึ้น โดยใช้แนวทางการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจระดับความคิดเห็นที่มีต่อปัจจัยที่ทำให้ลูกหนี้ตัดสินใจปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ จำนวน 300 คน แบ่งข้อมูลการสอบถามเป็น 2 ส่วน คือ ปัจจัยภายในบริษัทบริหารสินทรัพย์และปัจจัยความสามารถในการชำระหนี้ จากนั้นจึงนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนและสถิติเชิงอนุมาน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยภายในบริษัทบริหารสินทรัพย์ และปัจจัยความสามารถในการชำระหนี้มีความเห็นอยู่ระดับมาก นอกจากนี้ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า กลุ่มของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อปัจจัยต่าง ๆ แตกต่างกันอีกด้วย งานวิจัยได้เสนอแนะแนวทางในการกำหนดนโยบาย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป</p> อิทธิพล คมสุภาพ, มงคล อัศวดิลกฤทธิ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/269234 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์กลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268650 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์กลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียน 2) วิเคราะห์ความสอดคล้องของการกำหนดวิสัยทัศน์ อัตลักษณ์ และกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียน และ 3) จัดทำข้อเสนอแนะการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพโดยใช้การวิจัยเอกสารและการสนทนากลุ่ม แบ่งขั้นตอนการวิจัยออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์กลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียน ขั้นตอนที่ 2 การวิเคราะห์ความสอดคล้องของการกำหนดวิสัยทัศน์ อัตลักษณ์ และกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียน และขั้นตอนที่ 3 การจัดทำข้อเสนอแนะการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ แหล่งข้อมูลและกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ 1) เอกสารระดับทุติยภูมิ (Secondary Data) จากหน่วยงานต้นสังกัดและโรงเรียน จำนวน 34 โรงเรียน และ 2) คณะผู้วิจัย จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แบบวิเคราะห์กลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียน 2) แบบวิเคราะห์ความสอดคล้องของวิสัยทัศน์ อัตลักษณ์ และกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียน และ 3) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) กลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียน มีประเด็นสำคัญตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 และมาตรฐานการศึกษา ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งหมด 9 ประเด็น โดยประเด็นที่พบมากที่สุด คือ การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และประเด็นที่พบน้อยที่สุด คือ การส่งเสริมความเป็นพลเมืองให้แก่ผู้เรียน 2) โรงเรียนกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียนสอดคล้องกับวิสัยทัศน์มากที่สุด และโรงเรียนกำหนดอัตลักษณ์สอดคล้องกับวิสัยทัศน์น้อยที่สุด 3) ข้อเสนอแนะการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียนของโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเชียงใหม่ คือ 3.1) โรงเรียนควรนำประเด็นสำคัญที่กำหนดในมาตรฐานการศึกษาของชาติ และมาตรฐานการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาใช้ในการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียน และ 3.2) โรงเรียนควรมีการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาผู้เรียนที่มีความชัดเจน เป็นรูปธรรม สามารถนำไปสู่การปฏิบัติ สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับวิสัยทัศน์และอัตลักษณ์ผู้เรียนที่โรงเรียนกำหนดไว้</p> จิรายุทธ ประเสริฐยิ่งยอด, ทิพย์ธิดา อินตานอน, ภาสกร ทองเฉลิม ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/268650 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700 ภาวะโภชนาการในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/269396 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินภาวะโภชนาการในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive study) ประชากร คือ ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับยาเคมีบำบัด ณ หน่วยการพยาบาลผู้ป่วยเคมีบำบัด ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน โดยใช้สถิติคำนวณ การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (ANOVA) โดยมีค่าคำนวน Estimate sample size for sample comparison of proportion to hypothesis value ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 100 คน ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคมะเร็งและได้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดไม่ร่วมกับการฉายแสง อายุ 15 ปีขึ้นไป ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ในครั้งแรกที่ตรวจพบโรค การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Mean, S.D., Percentage, Repeated measure ANOVA และเครื่องมือที่ใช้ประเมินภาวะโภชนาการ ได้แก่ Nutrition Alert Form (NAF score) ที่ดัดแปลงมาจาก RAMA NAF score ระดับ Albumin และปริมาณ Total lymphocyte count ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลทางคลินิกของผู้ป่วยที่เก็บได้จำนวน 63 คน เนื่องจากครบกำหนดระยะการทำวิจัยและพบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นไปตามที่กำหนด พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 47 ราย (74.46 %) เพศชาย จำนวน 16 ราย (25.40%) อายุเฉลี่ย 54.25 ± 13.5 ปี ค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ย 22.93 ± 5.0 kg/m<sup>2</sup> โดยโรคมะเร็งที่พบร่วม 3 อันดับแรก ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม 12 ราย (22.20%) รองมาคือ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ 9 ราย (14.30%) และโรคมะเร็งรังไข่ 7 ราย (11.10%) ส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่มีโรคร่วม 44 ราย (69.80%) และมีโรคร่วมพบ 19 ราย (30.20%) โรคที่พบส่วนใหญ่ คือ โรคความดันโลหิตสูง จำนวน 11 ราย (63.20%) รองลงมาคือ โรคไขมันในเลือดสูง จำนวน 6 ราย (31.60%) และเบาหวาน 4 ราย (21.10) ตามลำดับ Nutrition Alert Form (NAF score) พบว่าภายหลังการให้ยาเคมีบำบัด ในครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 พบค่า Mean ± S.D. = 4.77 ± 3.1, 4.89 ± 3.3 และ 5.16 ± 2.9 (p-value = 0.173) ระดับความรุนแรง Normal-Mild malnutrition Mean ± S.D. = 42 ± 66.7, 39 ± 61.9 และ 37 ± 58.7 (p-value = 0.202) ระดับ Albumin ภายหลังได้รับยาเคมีบำบัด ในครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 Mean ± S.D. = 3.86 ± 0.6, 3.81 ± 0.5 และ 3.71 ± 0.6 (p-value = 0.068) ระดับ Albumin ≤ 2.5 (g/l) ค่า Mean ± S.D. = 49 ± 77.0 48 ± 76.0 และ 42 ± 66.0 (p-value = 0.160) จำนวนเม็ดเลือดขาว (total lymphocyte count) พบว่าภายหลังการให้ยาเคมีบำบัด ในครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 พบค่า Mean ± S.D. = 2,128.85 ± 1263.7 1,897.85 ± 1058.9 และ 1,756.57 ± 1219.0 (p-value = 0.028) ปริมาณ TLC ≤ 1,000 cell/mm<sup>2</sup> ค่า Mean ± S.D. = 44 ± 69.8, 38 ± 60.3 และ 34 ± 54.0 (p-value = 0.003)</p> พิสมัย แจ้งสุทธิวรวัฒน์, นริศรา วงศ์ทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารศรีนครินทรวิโรฒวิจัยและพัฒนา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://so04.tci-thaijo.org/index.php/swurd/article/view/269396 Fri, 13 Jun 2025 00:00:00 +0700