Journal of Social Synergy
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss
<p>วารสารสังคมภิวัฒน์เป็นวารสารรายที่ออกปีละ 3 ฉบับ คือ มกราคม – เมษายน , พฤษภาคม – สิงหาคม, และ กันยายน – ธันวาคม รับบทความวิจัยและบทความวิชาการด้านสวัสดิการสังคม และสังคมสงเคราะห์ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เริ่มตีพิมพ์ฉบับปฐมฤกษ์ตั้งแต่ปี 2553 ขณะนี้อยู่ใน TCI ฐาน 2</p>มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติen-USJournal of Social Synergy1906-8980<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสังคมภิวัฒน์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>Case Management Process: Solution to Behavioral Modification for Children in Private Child Welfare Centers
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262640
<p>Private Child Welfare Organizations have, at present, an important role in providing welfare assistance and welfare protection to children who are eligible for welfare assistance and welfare protection according to Sections 32 and 40 of the Child Protection Act, B.E. 2546 (2003), respectively. In addition to their mission of providing children with basic needs, private child welfare organizations do have other tasks, especially in behavioral modification, in order to provide children with physical and emotional rehabilitation and promote all dimensions of child development. One of the key challenges that private child welfare organizations are facing today is that life conditions and the crises of children’s problems often affect the different dimensions of their development. Children could face more complicated behavioral problems or challenges compared with youth in general. Their encounters also become challenges for child welfare organizations, which need to seek more effective procedures or processes in behavioral modification. As a result, private child welfare organizations must improve and standardize their service in child behavioral modification using case management when assisting children in long-term care or with complex behavioral issues. Because case management is a systematic and qualitative work process with clearly defined steps and a focus on the collaboration of a multidisciplinary team working together, using a variety of resources, in addition to protecting children's rights and assisting service users in making the most of it.</p>kritsada sukkaphat
Copyright (c) 2022 Journal of Social Synergy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2022-12-302022-12-3013389104Structural violence:
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262491
<p style="font-weight: 400;">Violence is a long-standing phenomenon which tends to be increased continuously. The more our society progresses, the more genres of violence become complex. Solving small or big problems can be even more difficult specifically when structural violence stimulates individuals to be in a state of compulsion and unable to control their emotions which lead to a direct violence. So, it can be said internationally that these are reflecting the injustice which has been attached to Thai society for a long time. However, any violence created by humans always has causes. It is, therefore, essential to try to understand them through social work perspectives in order to design guidelines for repairing Thai society to be safe and non-violent. Nevertheless, a single point of view cannot enhance the society, we must receive social assistances and fundraisings from all sectors. So, there will be a mutual problem-solving which helps reduce social violence and support the development of human resources as a key to better version of Thai society.</p>Nawin Boonnumma
Copyright (c) 2022 Journal of Social Synergy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2022-12-302022-12-301332742สังคมสงเคราะห์กับการรับมือสถานการณ์ความรุนแรงในสังคมไทย
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262574
<p>ประเทศไทยได้มีบทบัญญัติทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญกับบทลงโทษทางสังคมแก่ผู้ที่กระทำความรุนแรง ผ่านการใช้มาตรการทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาอย่างเข้มงวด และรัดกุม แต่สถานการณ์ความรุนแรง ในสังคมไทย ก็ยังเกิดเหตุกรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้ง มีแนวโน้มที่จะลุกลามและยกระดับความรุนแรงนำไปสู่ การสังหารหมู่ ด้วยการใช้อาวุธปืนกราดยิง การฆ่าล้างคร่าชีวิตคนในครอบครัว คนในสังคม ผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากต้องบาดเจ็บ ล้มตาย สังคมไทยปัจจุบันจึงเต็มไปด้วยความรุนแรงที่เป็นปัญหาใกล้ตัว สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง ต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งทำให้เกิดความสูญเสียต่อร่างกาย จิตใจ สุขภาพ ทรัพย์สิน และชีวิต คำถามที่ตามมา คือ สิ่งใดเป็นภูมิหลัง มูลเหตุจูงใจของผู้กระทำความรุนแรง มีแนวคิดหรือทฤษฎีใดที่สามารถอธิบายถึงสาเหตุหรือองค์ประกอบของการก่อเหตุร้ายได้ หน่วยงานหลักใดที่จะมารับมือ จัดการกับปัญหาความรุนแรง ในสังคมไทย การบูรณาการของทุกภาคส่วน เพื่อบรรเทาและเยียวยาความรุนแรงในสังคมไทย มีแนวทางเช่นใด นักสังคมสงเคราะห์ในฐานะเป็นวิชาชีพหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลทำงานใกล้ชิดกับบุคคล กลุ่มคน ชุมชน และสังคมไทย จะมีบทบาทและเข้ามามีส่วนร่วมในการรับมือสถานการณ์ความรุนแรงของสังคมไทยอย่างไร รวมทั้งหนทาง วิธี เพื่อควบคุมและลดสถานการณ์ความรุนแรงในสังคมไทยสามารถกระทำได้อย่างไร <strong> </strong></p>Pitpichai Hansaudom
Copyright (c) 2022 Journal of Social Synergy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2022-12-302022-12-301334359การสร้างโอกาสเข้าถึงอาหารในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19: กรณีศึกษาโครงการส่งเสริมผลิตและบริโภคผักปลอดสารในครัวเรือนชุมชนเกาะบางฝาด ต.ศีรษะจระเข้ใหญ่ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262607
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอบทเรียนการบรรลุผลลัพธ์การบริหารโครงการส่งเสริมการผลิตและบริโภคผักปลอดสารในครอบครัวโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนเกาะบางฝาด หมู่ 6 ต.ศีรษะจระเข้ใหญ่ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นขุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบท ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ภายใต้สสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ปี พ.ศ. 2563-2564 โครงการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการปลูกผักแบบไม่ใช้สารเคมีและบริโภคผักที่ปลูกในครัวเรือน การดำเนินงานเป็นแบบปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา วางแผน ดำเนินการ ติดตามและประเมินผล การเก็บข้อมูลเป็นแบบสังเกตแบบมีส่วนร่วมและใช้กระบวนการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา(Action Research Evaluation : ARE) โดยพี่เลี้ยงวิชาการในระดับชุมชน 3 ครั้ง และระดับจังหวัด 2 ครั้ง ผลการดำเนินงานพบว่า ชุมชนบางฝาดมีความเข้มแข็งในการส่งเสริมสุขภาวะในชุมชน โดยมีคณะกรรมการระดับชุมชนสามารถขับเคลื่อนการส่งเสริมการผลิตและบริโภคผักปลอดสารประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสมาชิกในชุมชนขาดรายได้ไม่มีความมั่นคงทางอาหารเพราะถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ต่อเนื่องมา 2 ปี ได้มีความมั่นคงทางอาหารของสมาชิกในชุมชนจำนวน 94 ครัวเรือน จาก 100 ครัวเรือนในชุมชน เกิดนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ คือ การจัดการความคิดเรื่องรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกันในสภาวะยากลำบาก คณะกรรมการมีวิสัยทัศน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง กล้าหาญ เข้มแข็งอดทน ขับเคลื่อนกิจกรรมจนเกิดการสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงอาหารปลอดภัยและมีความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤต หลังจากนั้นชุมชนได้รับเลือกให้เป็นหมู่บ้านศีล 5 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชุมชนมีความรักสามัคคี มีความสงบสุข รวมถึงได้เกิดการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายระดับอำเภอเป็น “กลุ่มรักษ์บางเสาธง” ซึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่จะช่วยเหลือครอบครัวและกลุ่มเปราะบางในชุมชน แล้วเกิดกองทุนช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางจากการประกอบการเพื่อสังคมจากผลผลิตและผลิตภัณฑ์ของสมาชิกนั้น ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้ผู้นำหลักในชุมชน คือ ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ได้รับรู้การทำงานของกลุ่มปลูกผักปลอดสารมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าว มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ชุมชนมีการพัฒนาสู่ความยั่งยืนได้ต่อไปในอนาคต</p>nuanyai wattanakoon
Copyright (c) 2022 Journal of Social Synergy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2022-12-302022-12-301336072Supervision in Social Work
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262620
<p>A crucial part of social work administration and social welfare is supervision, which helps social workers complete their tasks in accordance with the goals and policies of the organization as well as the duties that have been delegated to them. The author of this article discusses how crucial supervision is to social work practice in the classroom. Supervisors in academic institutions and supervisors in fieldwork organizations are crucial in social work supervision. To facilitate the learning of social work practices, there must be policies, procedures, and mechanisms. Realizing the curriculum's goals will aid pupils in learning. The Faculty of Social Work and Social Welfare's examples of social work practices at the undergraduate and graduate levels.</p>์Nutchanat Yuhanngoh
Copyright (c) 2022 Journal of Social Synergy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2022-12-302022-12-301337389EXPECTATION OF PERSONS WITH DISABILITIES ON SOCIAL WELFARE OF LOCAL ADMINISTRATIVE ORGANIZATIONS, A CASE STUDY OF RAHAENG SUB-DISTRICT MUNICIPALITY, LAT LUM
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262286
<p>This study aims to study expectation of social welfare for persons with disabilities, personal factors related to expectation of social welfare for persons with disabilities and recommendations on expectation of social welfare for persons with disabilities in Rahaeng Sub-district Municipality, Lat Lum Kaeo District, Pathum Thani Province.</p> <p>In this survey research, the samples, a total of 152, covered all types of persons with disabilities registering the disabilities and residing in Rahaeng Sub-district Municipality, Lat Lum Kaeo District, Pathum Thani Province. The tool was questionnaire and the statistics for data analysis included frequency, percentage, mean, standard deviation, minimum, maximum, Chi-Square and Correlation. The study results were summarized as follows. 1) Most of the samples were male, aged 60 years and over, had a lower secondary education, were unemployed, resided in Village No. 13, Khlong Rahaeng Pattana Communities, lived in communities for 0-19 years, and had physical or mobility disabilities. 2) Regarding a study on expectation of social welfare for persons with disabilities in Rahaeng Sub-district Municipality, Lat Lum Kaeo District, Pathum Thani Province, it was found that most samples had high overall expectation (mean = 3.83). Regarding a study on personal factors related to expectation of social welfare for persons with disabilities in Rahaeng Sub-district Municipality, Lat Lum Kaeo District, Pathum Thani Province, it was found that the educational level had relationships with expectation of educational welfare of local administrative organizations. 3) Regarding a study on recommendations on expectation of social welfare for persons with disabilities in Rahaeng Sub-district Municipality, Lat Lum Kaeo District, Pathum Thani Province, it was found that most samples (87.50%) had no idea and the others (12.50%) had idea. Classified by social welfare, the ideas are as follows: 1. Health-exercise activities for persons with disabilities, 2. employment and Income maintenance-occupations for persons with disabilities such as tailors, vehicle mechanics, pastry chefs, waste traders, etc., and legal conditions or job markets supporting occupation for persons with disabilities, 3. social service-information, public relations of persons with disabilities and assistance, provided that authorities are coordinators between the public and organizations. </p> <p><strong>Keywords</strong>: Expectation, Persons with Disabilities, Social Welfare, Local Administrative Organizations</p>SAOWANEE SRISUWAN
Copyright (c) 2022 Journal of Social Synergy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2022-12-302022-12-301331426The Quality of life of school-age children in cross-generational families
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/261922
<p> </p> <p> This research studied quality of life levels among school-aged children in cross-generational families and factors affecting quality of life differences among school-aged children in cross-generational families. Quantitative research was done with data collected by questionnaire. Samples were grandparents of 139 children aged six to twelve in cross-generational families studying in Aranyaprathet District government schools, Thailand. Data was analysed descriptively by frequency, percentage, arithmetic mean, standard deviation, and inferential statistics, including t-test and f-test.</p> <p> Results were that most (74.1%) samples were grandmothers with an average age of 64.14 years old. 41.0% of samples worked as private employees with 56.8% earning average monthly incomes under 5,000 baht. Sample views on quality of life of school-age children under their care was at the highest level with a mean of 4.35; those believing that school-age children were most empowered at a mean of 4.40, followed by protectedness with a mean of 4.37, and receiving child welfare with a mean of 4.28. Quality of life of different school-aged children was affected by availability of grandparents to perform family duties and understanding by grandparents of state policies promoting quality of life for school-aged children at a statistical significance of 0.05.</p> <p> These findings suggest that local government organizations should participate in policy design to meet individual needs, including policies to promote awareness among parents for monitoring communication device use by children and digital media literacy. Local governments and schools should survey families in need to meet basic caring needs for school-age children through a support-provision database and encourage school-age children to eat breakfast by promoting farming in schools. Policies encouraging parental involvement may also be designed by asking for participation. Schools should also have a homework policy involving family participation in life skills to provide quality time shared by parents and children.</p>ใจชนก เศษศรี
Copyright (c) 2022 Journal of Social Synergy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2022-12-302022-12-30133113Book review Social Rights in the Welfare State Originals and Transformations First edition
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262572
<p>สังคมยุค ดิจีทัลในปัจจุบันได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ ผลกระทบจากโควิด 19 เปลี่ยนแปลงโลกอย่างมาก ในทุกมิติ แต่ ประชากรยังไม่มีความพร้อมต่อnew normal และผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับโลก เราเอง นักสังคมสงเคราะห์เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือ ในการวางแผน กลยุทธในการช่วยเหลือทางด้านสังคม เพื่อช่วยให้ประเทศพัฒนารวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นนักสังคมสงเคราะห์จึงมี ความสำคัญอย่างยิ่ง </p> <p>หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นสำหรับคนที่สนใจเรื่องของสิทธิของบุคคลในสวัสดิการของรัฐ ในช่วงเวลาที่อนาคตของรัฐสวัสดิการเป็นประเด็นถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนในหลายๆ ประเทศในยุโรป คอลเลกชั่นที่ได้รับการแก้ไขนี้จะสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันนี้กับสิทธิทางสังคม มีโครงสร้างตามหัวข้อของการเมืองเรื่องสิทธิทางสังคม คำถามเกี่ยวกับความเสมอภาคและการกีดกันทางสังคม/การรวมเป็นหนึ่ง และผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของความจำเป็นของตลาดที่มีต่อนโยบายทางสังคม หนังสือเล่มนี้สำรวจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในรัฐสวัสดิการต่อสิทธิทางสังคมและพื้นฐานของพวกเขา เหตุผลและตรรกะ เขียนโดยกลุ่มนักวิชาการระหว่างประเทศ บทความหลายชิ้นกล่าวถึงประเด็นเร่งด่วนและเฉพาะประเด็นภายในนโยบายสังคม รวมถึง: สิทธิของผู้ขอลี้ภัย; การเพิ่มการตลาดและการบริโภคบริการสวัสดิการสาธารณะ; การดูแลผู้สูงอายุ และข้อผูกมัดในการทำงานอันเป็นเงื่อนไขในการเข้าถึงสวัสดิการ บทความเรียงความชุดนี้จะดึงดูดนักวิชาการและนักศึกษาที่ทำงานในสาขากฎหมายและการศึกษากฎหมายสังคมสังคมวิทยา นโยบายสังคม และการเมืองในระดับนานาชาติและสหวิทยาการในแนวทางของมัน นอกจากนี้ยังจะเป็นที่สนใจของผู้กำหนดนโยบายและทุกคนที่มีส่วนร่วมในการโต้วาทีเกี่ยวกับอนาคตของรัฐสวัสดิการและสิทธิทางสังคม</p> <p>ผู้เขียนที่ปรากฏในหนังสือนี้ Toomas Kotkas เป็นศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์และกฎหมายสังคมที่มหาวิทยาลัย แห่งฟินแลนด์ตะวันออก ประเทศฟินแลนด์</p> <p>Kenneth Veitch เป็นอาจารย์อาวุโสด้านกฎหมายที่ Sussex Law School, University แห่งซัสเซกซ์ สหราชอาณาจักร</p> <p>บทนำ กล่าวถึง สาเหตุของความสนใจในสิทธิทางสังคมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ สามารถระบุปัจจัยอธิบายที่เกี่ยวข้องกันอย่างน้อยสองปัจจัย</p> <p> ประการแรก วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุด (พ.ศ. 2551-2555) ทำให้สิทธิทางสังคมกลายเป็นศูนย์กลางของการโต้แย้งทางการเมืองและกฎหมาย มาตรการรัดเข็มขัดที่เกิดขึ้นเองหรือกำหนดไว้ในหลายประเทศได้ก่อให้เกิดการตัดสินเรื่องสิทธิทางสังคมและการเคลื่อนไหวด้านสิทธิทางสังคมที่ใช้การโต้แย้งสิทธิทางสังคมในการรณรงค์ต่อต้านการตัดทอนและการถอนรากถอนโคน</p> <p>ประการที่สอง สิทธิทางสังคมได้รับมาจากระดับสถาบันเช่นกัน สิทธิทางสังคมถูกรวมไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ และยังได้เข้าสู่เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคต่างๆ เช่น กฎบัตรสิทธิขั้นพื้นฐานของสหภาพยุโรป การมีผลบังคับใช้ของพิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในปี 2556 ทำให้บุคคลสามารถส่งการสื่อสารโดยกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิที่มีอยู่ในกติกา ดังนั้น ทั้งวิกฤตการณ์ทางการเงินและการจัดตั้งสถาบันสิทธิทางสังคมได้นำไปสู่การเติบโตของหลักนิติศาสตร์สิทธิทางสังคมในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ</p> <p>บทที่ 1 กล่าวถึง ประวัติศาสตร์สั้น ๆ และไม่สำคัญของวาทกรรมสิทธิทางสังคมในรัฐสวัสดิการของนอร์ดิก ประวัติศาสตร์ของรัฐสวัสดิการตะวันตกดำเนินไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ของสิทธิทางสังคม แน่นอนว่าความทะเยอทะยานและนโยบายที่จะรับประกันสวัสดิภาพทางสังคมของประชาชนนั้นไม่เป็นที่รู้จักของรัฐเสรีนิยมในต้นศตวรรษที่ 20 หรือแม้แต่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในศตวรรษก่อน ๆ แต่เป็นสถาบันทางกฎหมายที่ให้สิทธิทางสังคมเป็นสิทธิในการกระจาย ที่ให้กำเนิดรัฐสวัสดิการสมัยใหม่ รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นจากการตระหนักถึงสิทธิของประชาชนในการประกันสังคมและสุขภาพในกฎหมายระดับชาติ </p> <p>เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว จะต้องสังเกตด้วยว่าวาทกรรมเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานได้สร้างความแตกต่างในการสร้างความเป็นจริงทางสังคมของรัฐสวัสดิการของชาวนอร์ดิก ตัวอย่างเช่น สิทธิพลเมืองตามรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนมีบทบาทในด้านกฎหมายสวัสดิการสังคมตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เมื่อการดูแลสถาบันในโรงพยาบาลจิตเวช บ้านพักคนชรา บ้านพักเด็ก บ้านพักผู้พิการ และ จึงได้รับการปฏิรูป แทนที่จะอยู่ภายใต้อำนาจสถาบันอันไร้ขีดจำกัดของบุคลากร สิทธิส่วนบุคคลในความสมบูรณ์ของร่างกาย สิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง การดูแลที่มีคุณภาพดี การได้รับการรับฟัง สิทธิในการอุทธรณ์ และอื่น ๆ เริ่มได้รับการยอมรับในกฎหมายและโดย ศาล ความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นช้ามาก อย่างน้อยก็สามารถอธิบายได้บางส่วนด้วยข้อเท็จจริงเดียวกันว่าทำไมจึงไม่มีการระบุอย่างชัดเจน</p> <p>บทที่ 2 กล่าวถึงรัฐสวัสดิการและสิทธิทางสังคมของนอร์เวย์ การเพิ่มขึ้นของเสรีนิยมใหม่และสิทธิในรัฐสวัสดิการขั้นสูงหมายความว่าปรากฏการณ์ทั้งสองเป็นเพื่อนโดยธรรมชาติหรือไม่? นักวิจารณ์กล่าวหาว่าสิทธิพลเมือง (และสิทธิทางสังคมบางอย่าง) ได้รับการจัดระเบียบโดยกลุ่มอภิสิทธิ์ในด้านการเมือง ศาล และที่อื่น ๆ เพื่อท้าทายและทำให้สินค้าและกฎระเบียบสวัสดิการสังคมในสถาบันอ่อนแอลง เน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "การหดตัวของรัฐสวัสดิการของเคนส์" ร่วมสมัยกับ "แนวความคิดที่แพร่หลายของสิทธิในฐานะเสรีภาพเชิงลบที่จำเป็นซึ่งปกป้องขอบเขตส่วนตัวจากแขนยาวของรัฐที่รุกล้ำ" การตำหนิสำหรับการพัฒนานี้มักถูกกล่าวถึงว่าเป็นแหล่งกำเนิดของสถาบันเสรีนิยมและเสรีนิยมใหม่ระดับชั้นนำ เช่น ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหภาพยุโรป แม้ว่า Hirschl ยังชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของพรรคอนุรักษ์นิยมที่สร้างพื้นที่ทางการเมืองสำหรับการพิจารณาคดี</p> <p>สิทธิเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเสรีนิยมใหม่ที่ขุดออกจากรัฐสวัสดิการหรือไม่ ในกรณีของนอร์เวย์ คำตอบต้องมีเงื่อนไข ประการแรก เมื่อตั้งประเด็นในมุมมองทางประวัติศาสตร์ มีข้อโต้แย้งว่าประวัติศาสตร์อันยาวนานของลัทธิเสรีนิยมนอร์เวย์ในศตวรรษที่ 19 (รวมถึงการทบทวนการพิจารณาคดีและรัฐธรรมนูญ)เป็นตัวตั้งต้นของรัฐสวัสดิการมากพอๆ กับตัวแทนของความขัดแย้ง ประการที่สอง องค์กรได้ตั้งคำถามต่อถ้อยแถลงที่คลุมเครือเกี่ยวกับการเสื่อมถอยของรัฐสวัสดิการสังคม และได้เน้นแทนการประทับตราแบบเสรีนิยมใหม่ในรูปแบบของความช่วยเหลือทางสังคมแบบมีเงื่อนไขที่เพิ่มมากขึ้น การสนับสนุนชนชั้นกลาง ประการที่สาม เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของสิทธิพลเมืองที่ได้รับอำนาจตุลาการและการเข้ามาของสิทธิมนุษยชนทางสังคมนั้นไม่จำเป็นต้องสวนทางกับการโจมตีแบบเสรีนิยมใหม่ต่อรัฐสวัสดิการเสมอไป ในบางกรณี สิทธิทางสังคมของปัจเจกชนได้ถูกนำมาใช้อย่างมีกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมสิทธิส่วนรวม ก่อตัวเป็นคุณธรรมแทนที่จะเป็นวงจรอุบาทว์</p> <p>บทที่ 3 กล่าวถึงการว่างงานและข้อบังคับของมิติด้านสิทธิทางสังคม วัตถุประสงค์ของบทนี้คือการเน้นและไตร่ตรองถึงบทบาทของพันธกรณีในการทำความเข้าใจสิทธิทางสังคมในบริบทของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปของรัฐสวัสดิการมีเหตุผลสองประการสำหรับการมุ่งเน้นนี้ ประการแรกเกี่ยวข้องกับมิติ "สังคม" ของสิทธิทางสังคม การอ้างอิงถึงสิทธิทางสังคมมักถือว่าหนึ่งในสองความหมาย ในแง่หนึ่ง "สังคม" หมายถึงชุดของสินค้าพื้นฐานที่มนุษย์จำเป็นต้องเข้าถึงเพื่อดำรงชีวิต เช่น บ้าน การดูแลสุขภาพ การศึกษาและความมั่นคงของรายได้ เป็นต้น เรียกรวมกันว่าสินค้าเหล่านั้นช่วยสร้างการดำรงอยู่ทางสังคม ในทางกลับกัน "สังคม" ของสิทธิทางสังคมได้รับความหมายผ่านการเปรียบเทียบสิทธิทางสังคมกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองตรงกันข้ามกับสิทธิประเภทหลังซึ่งมักมีลักษณะเป็นสิทธิในรูปแบบเชิงลบโดยสรุปเป็นสิทธิเสรีภาพจากการแทรกแซงของรัฐ - สิทธิทางสังคมถูกระบุว่าชี้ไปที่การเรียกร้องต่อรัฐ พวกเขาเรียกร้องให้รัฐเข้ามาแทรกแซงเพื่อส่งเสริมการใช้เสรีภาพในเชิงบวก ยิ่งไปกว่านั้น มักเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าสิทธิทางสังคมมาก่อนความเป็นไปได้ของการใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างมีความหมาย สิทธิในรูปแบบหลังนี้มีประโยชน์อย่างไร เช่น หากขาดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในแง่ที่สองนี้ สิทธิทางสังคม "ทางสังคม" </p> <p>ธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิทางสังคมและภาระผูกพันในบริบทของนโยบายการว่างงานได้เปลี่ยนแปลงไปในทศวรรษที่ผ่านมา ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ ประการที่สอง นี่แสดงให้เห็นว่าระบบการทำงานไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตรรกะในการป้องกันเป็นหลัก แต่เนื่องจาก Dardot และ Laval โต้แย้งเกี่ยวกับสถานะเสรีนิยมใหม่โดยระบบที่ปรับเปลี่ยนได้ อันที่จริงในที่นี้ เราสามารถเห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ลื่นไหลมากขึ้นระหว่างสิทธิและภาระผูกพัน ในที่สุด ในแง่ของการอภิปรายในบทนี้ คำถามเร่งด่วนก็ปรากฏขึ้น: การนำวาทกรรมเรื่อง "สิทธิทางสังคม" ไปใช้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจนโยบายการว่างงานในปัจจุบันในสหราชอาณาจักรนั้นมีความเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด </p> <p>บทที่ 4 กล่าวถึงสิทธิทางสังคมและความเท่าเทียม หนึ่งในหน้าที่หลักของสิทธิทางสังคมหรือโดยทั่ว ๆ ไปของรัฐสวัสดิการสมัยใหม่ คือความก้าวหน้าของความเท่าเทียมกันระหว่างพลเมืองเสมอมา ตัวอย่างเช่นตามคำกล่าวของ T. H. Marshall "[ทุกคน] ทุกคนจะเห็นด้วยว่าวิวัฒนาการของสังคมสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในหลาย ๆ ด้านจากแนวคิดที่เท่าเทียมและความพยายามอย่างมีสติในการนำไปปฏิบัติ" (Marshall 1964, p63) ผู้ติดตามของเขาที่London School of Economics, R. M. Titmuss เตือนเราว่า "[t]o เติบโตในความมั่งคั่ง [...] ไม่ได้หมายความว่าเราควรละทิ้งการแสวงหาความเท่าเทียมกัน" (Titmuss 1987, p34) มุมมองของนักทฤษฎีรัฐสวัสดิการในยุคแรก (ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลังสงคราม) เหล่านี้สะท้อนโดยนักวิชาการสมัยใหม่: ตาม G. Esping-Andersen "ควรเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสิ่งที่เราไม่สามารถจะไม่เป็นผู้คุ้มกันในระบบเศรษฐกิจขั้นสูงของ ศตวรรษที่ 21" (Esping-Andersen 2002, p3); และ F.Vandenbroucke พูดถึง "หลักการความเท่าเทียม" ว่าเป็น "รากฐานที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยในสังคม"</p> <p>คำถามทั่วไปเบื้องต้น คือในแง่ใดที่รัฐสวัสดิการและสิทธิทางสังคมจะทำให้เราเท่าเทียมกัน แม้แต่แบบสำรวจสั้นๆ จากงานของนักทฤษฎีเพียงไม่กี่คนก็แนะนำว่าไม่มีคำตอบง่ายๆ สำหรับคำถามนี้ ความเท่าเทียมกันที่เป็นเป้าหมายของรัฐสวัสดิการอาจหมายถึงการแบ่งรายได้และทรัพยากรวัตถุอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ความเท่าเทียมกันอย่างเป็นทางการของโอกาส ความเท่าเทียมกันของสวัสดิการ ความเท่าเทียมกันทางโอกาส;ความสามารถเท่าเทียมกัน หรือสิทธิเท่าเทียมกันในการมีส่วนร่วมในสังคม (เช่น สังคมแห่งความเท่าเทียม")</p> <p> </p> <p>บทที่ 5 กล่าวถึงความเสี่ยงใหม่ทางสังคม และสิทธิใหม่ทางสังคมในระบบสวัสดิการของฝรั่งเศสนับตั้งแต่มีการสร้างระบบประกันสังคมแห่งชาติในปี 2488 แกนกลางของสิทธิทางสังคมของฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงสิทธิของบุคคลที่จะได้รับผลประโยชน์พิเศษค่าเบี้ยเลี้ยง และบริการในกรณีที่จำเป็น ได้รับการประกันผ่านโครงการประกันสังคมแบบสมทบ โครงการประกันสังคมของฝรั่งเศสได้รับการออกแบบให้เป็น "ระบอบการปกครองทั่วไป" โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ครอบคลุมประชากรผ่านระบบประกันสังคม ดังที่บทนี้จะแสดงให้เห็น ระบบการประกันสังคมนี้ได้รับการยึดตามหลักทฤษฎีไว้ในแนวคิดหรือกระบวนทัศน์ของความเสี่ยงทางสังคม ซึ่งสันนิษฐานว่ากฎหมายกำหนดความเสี่ยงเหล่านั้นหรืออย่างน้อยก็ตั้งชื่อความเสี่ยงเหล่านั้นโดยจำแนกสาขาต่างๆ ของระบบประกันสังคม ตามแบบของอนุสัญญาประกันสังคม (มาตรฐานขั้นต่ำ) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 102 </p> <p>บทนี้แสดงให้เห็นว่าสิทธิทางสังคมใหม่เกิดขึ้นในระบบสวัสดิการของฝรั่งเศสจุดศูนย์ถ่วงของระบบ ซึ่งก่อนหน้านี้เน้นไปที่การประกันสังคม ได้เปลี่ยนบางส่วนไปยังขอบเขตของนโยบายการดำเนินการทางสังคมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการกีดกันทางสังคมและการสูญเสียเอกราช นโยบายและสิทธิใหม่เหล่านี้มีลักษณะที่น่าสนใจ: เป็นขั้นตอนที่มากกว่าและอิงตามผลประโยชน์ที่เป็นสากล ในแง่หนึ่ง เราอาจจินตนาการถึงการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกไปสู่ระบบสิทธิทางสังคมที่ยืดหยุ่นและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยอิงจากการระบุความต้องการทางสังคมของประชากรโดยรวม (กล่าวถึงผู้ดำเนินการต่างๆ เช่น รัฐ หน่วยงานท้องถิ่นหน่วยงานประกันสังคม และ สมาคมพลเมือง) การประเมินรายบุคคลและแผนความช่วยเหลือส่วนบุคคล รวมถึงผลประโยชน์ทางการเงินและบริการทางสังคม โมเดลนี้พยายามที่จะขจัดการแบ่งแยกในสมัยโบราณระหว่างความเสี่ยงทางสังคมและความต้องการทางสังคมที่มีโครงสร้างตามประเพณีของระบบฝรั่งเศส: (ระดับชาติ) สิทธิประกันสังคมด้านหนึ่ง และ (ระดับท้องถิ่น) สิทธิการช่วยเหลือทางสังคม ในอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม</p> <p>บทที่ 6 กล่าวถึงผู้ขอลี้ภัย สิทธิทางสังคม และการกำเนิดของลัทธิชาตินิยมใหม่ จากรัฐสวัสดิการแบบรวมเป็นเอกสิทธิ์ของอังกฤษในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา สิทธิทางสังคมของผู้แสวงหาที่ลี้ภัยในสหราชอาณาจักร (UK) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเพื่อสะท้อนถึงฉันทามติทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นว่าสิทธิของพลเมืองควรได้รับการจัดลำดับความสำคัญเหนือสิทธิของชุมชนผู้แสวงหาที่ลี้ภัย (Bales 2013) ด้วยเหตุนี้ การเข้าถึงงานของผู้ขอลี้ภัยในปัจจุบันจึงถูกจำกัดอย่างเข้มงวด และได้รับการสนับสนุนผ่านระบบสวัสดิการที่แยกออกมา ซึ่งจ่ายเงินสดรายสัปดาห์ในระดับประมาณครึ่งหนึ่งของระดับที่ประชาชนในประเทศสามารถจ่ายได้ แม้จะมีข้อมูลจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)มากมายที่บันทึกผลกระทบเชิงลบร้ายแรงของระบบสนับสนุนที่ลี้ภัย รวมถึงความยากจน ภาวะทุพโภชนาการ และภาวะซึมเศร้า (Refugee Action 2010; Teatheret al 2013; Carnet et al 2014)</p> <p> ตามเงื่อนไขของความเข้มงวด Rex (1996) เขียนว่า "ลัทธิชาตินิยมใหม่"ต่อต้านการอพยพอย่างรุนแรง ในแง่ของการถอนสิทธิทางสังคมจากผู้ขอลี้ภัยในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาและการวิจัยที่ครอบคลุมซึ่งเผยให้เห็นความรู้สึกไม่ดีต่อกลุ่มสาธารณะ (Hobson et al 2008, p20) เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าผู้ขอลี้ภัยเป็นเป้าหมายหลักของลัทธิชาตินิยมใหม่ . แม้ว่านักวิจารณ์หลายคนเชื่อว่าการที่อัตลักษณ์ของอังกฤษอ่อนแอลงเป็นผลมาจากการอพยพเข้าเมืองที่เพิ่มขึ้น (Goodhart 2013; Goodwin 2011) บทนี้อ้างว่าการกีดกันไม่สามารถถือเป็นผลพลอยได้ตามธรรมชาติของการย้ายถิ่นฐาน แต่ต้องพิจารณาในบริบท ของวาระเสรีนิยมใหม่และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่เพิ่มขึ้นในสหราชอาณาจักร อย่างน้อยก็ส่วนหนึ่งเกิดจากการถอนสวัสดิการ</p> <p>บทที่ 7 กล่าวถึงตั้งแต่สิทธิทางสังคมไปจนถึงเศรษฐกิจ แรงจูงใจ? คุณธรรม ที่สร้างขึ้นโดย ทุนนิยมสวัสดิการ แนวคิดของ "ทุนนิยมสวัสดิการ" หมายถึงระบอบการเมือง-เศรษฐกิจที่รวมเอาหน้าที่ของเศรษฐกิจตลาดทุนนิยมเข้ากับหน้าที่ของรัฐสวัสดิการที่เป็นประชาธิปไตย คำนี้มักใช้โดย Esping-Andersen (1990) ใน The Three Worlds of Welfare Capitalism แต่ยังเชื่อมโยงกับแนวคิดของ Marshall (1950, p14)เกี่ยวกับสิทธิสามชั่วอายุคน ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นพลเมืองสมัยใหม่: สิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมืองและสิทธิทางสังคม คำถามที่บทนี้พยายามที่จะกล่าวถึงคือสิทธิทางสังคมที่ Esping-Andersen และ Marshall เข้าใจว่าเป็นจุดสูงสุดของรัฐสวัสดิการในระบอบประชาธิปไตยนั้นยังคงผูกมัดกับตรรกะของเศรษฐกิจตลาดทุนนิยมอย่างไร เมื่อใช้มุมมองของสังคมวิทยาเศรษฐกิจของกฎหมาย จะมีการโต้แย้งว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบทุนนิยมสวัสดิการในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาได้นำไปสู่การตีความสิทธิทางสังคมในแง่ของแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ในประเด็นนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเงินของรัฐสวัสดิการทั้งด้านรายได้และรายจ่าย จะเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงวาทกรรมทางศีลธรรมเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่พลเมือง ซึ่งได้รับแจ้งมากขึ้นจากการโต้แย้งทางเศรษฐกิจ</p> <p>บทสรุปของ Marshall ในบทนี้เกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่าการเปลี่ยนแปลงของรัฐสวัสดิการส่งผลต่อเนื้อหาและศีลธรรมของสิทธิทางสังคมอย่างไร สร้างจากสิทธิสามชั่วอายุคน เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าการผสมผสานหรือแม้แต่บูรณาการของหน้าที่ของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดทุนนิยมและรัฐสวัสดิการในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของทุนนิยมสวัสดิการสมัยใหม่ นำมาซึ่งหัวข้อของสิทธิที่แตกต่างกัน ซึ่งเสริมกัน อื่น ๆ แต่ที่ยังคงอยู่ในความขัดแย้งสัญญาทางสังคมที่อยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมสวัสดิการเป็นสัญญาระหว่างอาสาสมัครที่มีสิทธิต่างกัน ซึ่งอาจจะมีการเจรจากันใหม่ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประนีประนอมทางประวัติศาสตร์ระหว่างทุนและแรงงานอยู่บนความสมดุลระหว่างเรื่องของสิทธิในทรัพย์สินและเรื่องของสิทธิทางสังคมความสมดุลนี้เป็นประเด็นอีกครั้งในการสร้างศีลธรรมของระบบทุนนิยมสวัสดิการสิ่งที่เราสังเกตเห็นได้ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาคือสิทธิทางสังคมมีความเกี่ยวข้องมากขึ้น เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือแม้แต่แทนที่ด้วยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในสิ่งที่กลายเป็น "รัฐสวัสดิการด้านอุปทาน"</p> <p> บทที่ 8 กล่าวถึง สิทธิทางสังคมและค่าใช้จ่ายของผู้ใช้ พร้อมกับการแปรรูป การทำสัญญา และเทคนิคการจัดการ "ใหม่"การแสดงวิธีอุดมการณ์และนโยบายเสรีนิยมใหม่ที่มีนัยสำคัญ แต่มีน้อยได้เปลี่ยนแปลงบริการทางสังคมโดยผ่านข้อกำหนดที่บุคคลจ่ายสำหรับบริการเหล่านั้น - บริการที่ เมื่อให้บริการฟรี วิธีการแบบคู่ขนานซึ่งควรแยกความแตกต่าง รวมถึงการเสนอบริการ "พรีเมียม" ในภาคที่กำหนดด้วยต้นทุนที่กำหนด</p> <p> บทนี้เน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่เกิดจากการขยายนโยบายการเรียกเก็บเงินสำหรับบริการที่ได้รับทุนสาธารณะในภาคสุขภาพและการศึกษา แนะนำว่าอย่างน้อยที่สุดไฟร์วอลล์ทางกฎหมายที่สร้างมาอย่างเข้มงวด ในรูปแบบของสิทธิที่เข้มแข็งต่อสุขภาพและการศึกษา ควรปกป้ององค์ประกอบหลักของสินค้าทางสังคมเหล่านั้นจากการบุกรุกของบรรทัดฐานของตลาด นอกจากนี้ ควรใช้สิทธิ์เหล่านี้เพื่อลดการใช้การเรียกเก็บเงินเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเข้าถึงผ่านเครื่องมือทางกฎหมายสาธารณะที่คุ้นเคย เช่น การประเมินว่าการเรียกเก็บเงินมีจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และดำเนินการขั้นสูงโดยใช้วิธีการตามสัดส่วน</p> <p>บทที่ 9 กล่าวถึงการรวมยุโรปและการเปลี่ยนแปลงของรัฐสังคม เพื่อครอบงำ บทนี้อธิบายว่าวิวัฒนาการของโครงการการรวมกลุ่มของยุโรปได้เปลี่ยนความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันในขั้นต้นกับสถานะทางสังคมหลังสงครามให้กลายเป็นหนึ่งของการครอบงำภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างไร ขั้นแรกให้ภาพรวมขององค์ประกอบที่โดดเด่นของรัฐทางสังคมซึ่งรับประกันสิทธิทางสังคมตามธรรมเนียมผ่านสิทธิขั้นพื้นฐาน นโยบายทางสังคมและการบริการสาธารณะ และการแสดงทางกฎหมายของ Rechtsstaat ทางสังคมและประชาธิปไตยโดยใช้แนวคิดนี้เป็นกรอบแนวคิด การวิเคราะห์จะอธิบายชุดของเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว จะอธิบายว่าการรวมกลุ่มของยุโรปส่งผลกระทบและเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมอย่างไรโดยแยกองค์ประกอบพื้นฐานสามประการออกจากกัน: หลักนิติธรรม หลักประชาธิปไตย</p> <p>สรุป</p> <p>ในช่วงกว่าหกทศวรรษของการมีอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างการรวมยุโรปกับประเทศสมาชิกได้พัฒนาไปอย่างมาก แต่เดิมนี่เป็นหนึ่งในการอยู่ร่วมกันโดยแต่ละระดับมีส่วนทำให้สถานะทางสังคมเป็นจริง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางชีวภาพนั้นให้เป็นหนึ่งในการครอบงำของระดับยุโรปเหนือระดับชาติ ขั้นตอนแรกในวิวัฒนาการนี้คือความโดดเด่นของระเบียบกฎหมายใหม่ที่เป็นอิสระเหนือระบบกฎหมายของประเทศ อย่างไรก็ตาม การร่างกฎหมายของสหภาพยุโรปให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญถือว่าคำสั่งทางกฎหมายใหม่นั้นสอดคล้องกับหลักนิติธรรม เป็นความเป็นอิสระอย่างแท้จริง ซึ่งจำเป็นต้องรับประกันว่าตลาดจะไม่ถูกแยกส่วนเนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายของสหภาพยุโรปที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้: ความถูกต้องตามกฎหมายของกฎหมายของสหภาพยุโรปขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาที่เป็นอิสระเท่านั้น และไม่รวมการทดสอบใดๆ ตามพารามิเตอร์ที่แตกต่างกัน ดังที่พิสูจน์โดย ความขัดแย้งอันยาวนานกับศาลรัฐธรรมนูญของประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานหรือการปฏิเสธการปฏิบัติตาม ECHR เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ความเห็น 2/13, EU:C:2014:2454) แนวคิดที่อ้างถึงตนเองเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายนี้ขัดแย้งกับหลักนิติธรรม ซึ่งความชอบด้วยกฎหมายยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญและไม่ใช่แค่องค์ประกอบที่เป็นทางการเท่านั้น (Kochenov 2015) การทำให้เป็นรัฐธรรมนูญของกฎหมายของสหภาพยุโรปนั้นเกี่ยวข้องกับทั้งการรวมเป็นกฎหมาย</p> <p>ในช่วงเวลาที่อนาคตของรัฐสวัสดิการเป็นประเด็นถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนในหลายๆ ประเทศในยุโรป คอลเลกชั่นที่ได้รับการแก้ไขนี้จะสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันนี้กับสิทธิทางสังคม มีโครงสร้างตามหัวข้อของการเมืองเรื่องสิทธิทางสังคม คำถามเกี่ยวกับความเสมอภาคและการกีดกันทางสังคม/การรวมเป็นหนึ่ง และผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของความจำเป็นของตลาดที่มีต่อนโยบายสังคม หนังสือเล่มนี้สำรวจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในรัฐสวัสดิการต่อสิทธิทางสังคมและเหตุผลพื้นฐาน ตรรกะ เขียนโดยกลุ่มนักวิชาการระหว่างประเทศ บทความหลายชิ้นกล่าวถึงประเด็นเร่งด่วนและเฉพาะประเด็นภายในนโยบายสังคม รวมถึง: สิทธิทางสังคมของผู้ขอลี้ภัย; การตลาดที่เพิ่มขึ้นและการบริโภคบริการสวัสดิการสาธารณะ; การดูแลผู้สูงอายุ และข้อผูกมัดในการทำงานอันเป็นเงื่อนไขในการเข้าถึงสวัสดิการ บทความเรียงความชุดนี้จะดึงดูดนักวิชาการและนักศึกษาที่ทำงานในสาขากฎหมายและการศึกษากฎหมายสังคม สังคมวิทยา นโยบายสังคม และการเมืองในระดับนานาชาติและสหวิทยาการในแนวทางของมัน นอกจากนี้ยังจะเป็นที่สนใจของผู้กำหนดนโยบายและทุกคนที่มีส่วนร่วมในการโต้วาทีเกี่ยวกับอนาคตของรัฐสวัสดิการและสิทธิทางสังคม</p>patthayaporn sangkarat
Copyright (c) 2022 Journal of Social Synergy
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2022-12-302022-12-30133105111