วารสารสังคมภิวัฒน์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss <p>วารสารสังคมภิวัฒน์เป็นวารสารรายที่ออกปีละ 3 ฉบับ คือ มกราคม – เมษายน , พฤษภาคม – สิงหาคม, และ กันยายน – ธันวาคม รับบทความวิจัยและบทความวิชาการด้านสวัสดิการสังคม และสังคมสงเคราะห์ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เริ่มตีพิมพ์ฉบับปฐมฤกษ์ตั้งแต่ปี 2553 ขณะนี้อยู่ใน TCI ฐาน 2</p> มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ en-US วารสารสังคมภิวัฒน์ 1906-8980 <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารสังคมภิวัฒน์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ</p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และคณาจารย์ท่านอื่นๆในมหาวิทยาลัยฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> Supervision in Social Work https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262620 <p>การนิเทศงานสังคมสงเคราะห์เป็นองค์ประกอบและวิธีการสำคัญของการบริหารงานสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคมที่สนับสนุนให้นักสังคมสงเคราะห์ได้ปฏิบัติงานตามนโยบายและวัตถุประสงค์ขององค์กร ตลอดจนหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย สามารถนำบริการต่าง ๆ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ผู้เขียนกล่าวถึงความสำคัญของการนิเทศงานในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในห้องเรียน หัวหน้างานในสถาบันการศึกษาและหัวหน้างานในหน่วยงานภาคสนามมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนิเทศงานสังคมสงเคราะห์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเรียนรู้การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ต้องมีนโยบาย ระเบียบปฏิบัติและกลไกต่าง ๆ การบรรลุเป้าหมายของหลักสูตรจะช่วยนักเรียนในการเรียนรู้ ตัวอย่างการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์และสวัสดิการสังคมในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท</p> ์Nutchanat Yuhanngoh Copyright (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2022-12-30 2022-12-30 13 3 73 89 กระบวนการจัดการรายกรณี : ทางออกในการปรับพฤติกรรมเด็กในสถานสงเคราะห์เด็กเอกชน https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262640 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>ในปัจจุบันสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนมีบทบาทสำคัญในงานสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพแก่เด็กที่พึงได้รับการสงเคราะห์ ตามมาตรา 32 และเด็กที่พึงได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ ตามมาตรา 40 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ซึ่งภารกิจของสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนนอกจากการเลี้ยงดูจัดหาปัจจัยพื้นฐานแก่เด็ก ยังมีภารกิจด้านอื่นๆ โดยเฉพาะการพัฒนาแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของเด็ก เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งร่างกายและจิตใจ และสร้างเสริมพัฒนาการให้เจริญสมวัยในทุกมิติ&nbsp; ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนในปัจจุบันพบว่า เบื้องหลังสภาพชีวิตและวิกฤตปัญหาของเด็กมักส่งผลกระทบต่อระบบพัฒนาการของเด็กตามวัยในมิติต่างๆ เด็กอาจมีปัญหาพฤติกรรมหรือปัญหาในชีวิตที่ยุ่งยากซับซ้อนมากกว่าเด็กวัยรุ่นโดยทั่วไป ซึ่งเป็นความท้าทายของสถานสงเคราะห์เด็กจึงจำเป็นต้องแสวงหากระบวนการ หรือพัฒนาระบบในการแก้ไข ปรับพฤติกรรมเด็กให้มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น&nbsp; สถานสงเคราะห์เด็กเอกชนจึงควรยกระดับพัฒนาด้านงานบริการแก้ไขปรับพฤติกรรมให้มีมาตรฐานวิชาชีพ โดยนำกระบวนการจัดการรายกรณีมาใช้สำหรับช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมยุ่งยากซับซ้อน ที่รับการสงเคราะห์ระยะยาวในสถานสงเคราะห์เด็ก ให้ได้รับการปรับพฤติกรรมอย่างมีประสิทธิผลต่อไป&nbsp; เนื่องจากการจัดการรายกรณีเป็นการทำงานที่เป็นระบบมีคุณภาพ มีการกำหนดขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน มุ่งเน้นการปฏิบัติงานแบบทีมสหวิชาชีพและมีการประสาน วางแผนและใช้ทรัพยากรหลากหลาย รวมถึงมีการพิทักษ์สิทธิและช่วยเหลือเด็กผู้ใช้บริการให้ได้รับประโยชน์สูงสุด</p> kritsada sukkaphat Copyright (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2022-12-30 2022-12-30 13 3 89 104 ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง: ภาพสะท้อนความไม่เป็นธรรมและการทำความเข้าใจพฤติกรรมของบุคคล ผ่านมุมมองทางสังคมสงเคราะห์ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262491 <p style="font-weight: 400;">ความรุนแรงเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งยุคสมัยหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก็ยิ่งเพิ่มความสลับซับซ้อนของประเภทความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การพยายามแก้ไขปัญหาจากหน่วยจุลภาคไปสู่มหภาคอาจเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่เป็นตัวกระตุ้นให้บุคคลที่ตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ให้ออกมาแสดงพฤติกรรม<br>ความรุนแรงทางตรง ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ อาจกล่าวได้อีกว่าเป็นภาพสะท้อนความไม่เป็นธรรมของระบบที่แนบแน่นกับสังคมไทยมาเป็นเวลานาน แต่ถึงอย่างนั้น ทุกการแสดงออกของพฤติกรรมโดยบุคคลมักมีเหตุผลเสมอ การพยายามทำความเข้าใจผ่านมุมมองทางสังคมสงเคราะห์จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะออกแบบแนวทางการซ่อมสร้างสังคมไทยให้ปลอดภัยไร้ความรุนแรงได้ ทั้งนี้ บุคคลเพียงคนเดียว หรือมุมมองเพียงด้านเดียวไม่สามารถช่วยยกระดับสังคมได้ แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือและระดมทุนทางสังคม สร้างการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเพื่อลดความรุนแรงทางสังคมให้มีแนวโน้มลดลงร่วมกัน ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสำคัญ เพื่อเสริมสร้างสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น</p> Nawin Boonnumma Copyright (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2022-12-30 2022-12-30 13 3 27 42 สังคมสงเคราะห์กับการรับมือสถานการณ์ความรุนแรงในสังคมไทย https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262574 <p>ประเทศไทยได้มีบทบัญญัติทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญกับบทลงโทษทางสังคมแก่ผู้ที่กระทำความรุนแรง ผ่านการใช้มาตรการทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญาอย่างเข้มงวด และรัดกุม แต่สถานการณ์ความรุนแรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในสังคมไทย ก็ยังเกิดเหตุกรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง บ่อยครั้ง มีแนวโน้มที่จะลุกลามและยกระดับความรุนแรงนำไปสู่&nbsp;&nbsp; การสังหารหมู่ ด้วยการใช้อาวุธปืนกราดยิง การฆ่าล้างคร่าชีวิตคนในครอบครัว คนในสังคม ผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมากต้องบาดเจ็บ ล้มตาย สังคมไทยปัจจุบันจึงเต็มไปด้วยความรุนแรงที่เป็นปัญหาใกล้ตัว สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งทำให้เกิดความสูญเสียต่อร่างกาย จิตใจ สุขภาพ ทรัพย์สิน และชีวิต คำถามที่ตามมา คือ สิ่งใดเป็นภูมิหลัง มูลเหตุจูงใจของผู้กระทำความรุนแรง มีแนวคิดหรือทฤษฎีใดที่สามารถอธิบายถึงสาเหตุหรือองค์ประกอบของการก่อเหตุร้ายได้ หน่วยงานหลักใดที่จะมารับมือ จัดการกับปัญหาความรุนแรง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ในสังคมไทย การบูรณาการของทุกภาคส่วน เพื่อบรรเทาและเยียวยาความรุนแรงในสังคมไทย มีแนวทางเช่นใด &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;นักสังคมสงเคราะห์ในฐานะเป็นวิชาชีพหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลทำงานใกล้ชิดกับบุคคล กลุ่มคน ชุมชน และสังคมไทย&nbsp;&nbsp; จะมีบทบาทและเข้ามามีส่วนร่วมในการรับมือสถานการณ์ความรุนแรงของสังคมไทยอย่างไร รวมทั้งหนทาง วิธี &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;เพื่อควบคุมและลดสถานการณ์ความรุนแรงในสังคมไทยสามารถกระทำได้อย่างไร &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;<strong>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;</strong></p> Pitpichai Hansaudom Copyright (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2022-12-30 2022-12-30 13 3 43 59 การสร้างโอกาสเข้าถึงอาหารในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19: กรณีศึกษาโครงการส่งเสริมผลิตและบริโภคผักปลอดสารในครัวเรือนชุมชนเกาะบางฝาด ต.ศีรษะจระเข้ใหญ่ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262607 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอบทเรียนการบรรลุผลลัพธ์การบริหารโครงการส่งเสริมการผลิตและบริโภคผักปลอดสารในครอบครัวโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนเกาะบางฝาด หมู่ 6 ต.ศีรษะจระเข้ใหญ่ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นขุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบท ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ภายใต้สสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ปี พ.ศ. 2563-2564 โครงการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการปลูกผักแบบไม่ใช้สารเคมีและบริโภคผักที่ปลูกในครัวเรือน การดำเนินงานเป็นแบบปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา วางแผน ดำเนินการ ติดตามและประเมินผล การเก็บข้อมูลเป็นแบบสังเกตแบบมีส่วนร่วมและใช้กระบวนการประเมินผลเพื่อการเรียนรู้และพัฒนา(Action Research Evaluation : ARE) โดยพี่เลี้ยงวิชาการในระดับชุมชน 3 ครั้ง และระดับจังหวัด 2 ครั้ง &nbsp;ผลการดำเนินงานพบว่า ชุมชนบางฝาดมีความเข้มแข็งในการส่งเสริมสุขภาวะในชุมชน โดยมีคณะกรรมการระดับชุมชนสามารถขับเคลื่อนการส่งเสริมการผลิตและบริโภคผักปลอดสารประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสมาชิกในชุมชนขาดรายได้ไม่มีความมั่นคงทางอาหารเพราะถูกเลิกจ้างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ต่อเนื่องมา 2 ปี ได้มีความมั่นคงทางอาหารของสมาชิกในชุมชนจำนวน 94 ครัวเรือน จาก 100 ครัวเรือนในชุมชน เกิดนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพ คือ การจัดการความคิดเรื่องรวมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกันในสภาวะยากลำบาก คณะกรรมการมีวิสัยทัศน์เพื่อการเปลี่ยนแปลง กล้าหาญ เข้มแข็งอดทน ขับเคลื่อนกิจกรรมจนเกิดการสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงอาหารปลอดภัยและมีความมั่นคงทางอาหารในภาวะวิกฤต หลังจากนั้นชุมชนได้รับเลือกให้เป็นหมู่บ้านศีล 5 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชุมชนมีความรักสามัคคี มีความสงบสุข รวมถึงได้เกิดการรวมตัวกันเป็นเครือข่ายระดับอำเภอเป็น “กลุ่มรักษ์บางเสาธง” ซึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่จะช่วยเหลือครอบครัวและกลุ่มเปราะบางในชุมชน แล้วเกิดกองทุนช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางจากการประกอบการเพื่อสังคมจากผลผลิตและผลิตภัณฑ์ของสมาชิกนั้น ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาทำให้ผู้นำหลักในชุมชน คือ ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ได้รับรู้การทำงานของกลุ่มปลูกผักปลอดสารมากขึ้น&nbsp; ปัจจัยดังกล่าว มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ชุมชนมีการพัฒนาสู่ความยั่งยืนได้ต่อไปในอนาคต</p> nuanyai wattanakoon Copyright (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2022-12-30 2022-12-30 13 3 60 72 คุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนในครอบครัวข้ามรุ่น https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/261922 <p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; การศึกษาเรื่อง “คุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนในครอบครัวข้ามรุ่น” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนในครอบครัวข้ามรุ่น และปัจจัยที่ส่งผลต่อความแตกต่างในระดับคุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนในครอบครัวข้ามรุ่น เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ปู่ หรือ ย่า หรือ ตา หรือ ยาย ของเด็กไทยที่มีอายุ 6-12 ปี ในครอบครัวข้ามรุ่น และมีสมาชิกรุ่นหลานศึกษาอยู่ในโรงเรียนรัฐบาลภายในอำเภออรัญประเทศ จำนวน 139 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติบรรยาย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ได้แก่ t-test และ f-test</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นปู่ หรือ ย่า หรือ ตา หรือ ยาย ของเด็กไทยที่มีอายุ 6-12 ปี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง <br>ร้อยละ 74.1 มีอายุเฉลี่ยที่ 64.14 ปี มีความสัมพันธ์เป็นยายของเด็ก ร้อยละ 41.0 ประกอบอาชีพพนักงาน-ลูกจ้างเอกชน (รับจ้าง) ร้อยละ 41.0 และมีรายได้ต่ำกว่า 5,000 บาท ร้อยละ 56.8 โดยความคิดเห็นของสมาชิกรุ่นปู่ย่าตายายที่มีต่อระดับคุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนในระยะเวลาที่อยู่ในความดูแลของตนเองอยู่ในระดับมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.35 โดยมีความคิดเห็นว่าเด็กวัยเรียนได้รับการเสริมสร้างศักยภาพมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 4.40 รองลงมาเป็นการได้รับการคุ้มครอง ค่าเฉลี่ย 4.37 และการได้รับการจัดสวัสดิการ ค่าเฉลี่ย 4.28 ทั้งนี้ด้านความสามารถของสมาชิกรุ่นปู่ย่าตายายต่อการปฏิบัติหน้าที่ของครอบครัว และความรู้ความเข้าใจของสมาชิกรุ่นปู่ย่าตายายต่อนโยบายของรัฐด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนที่แตกต่างกันของกลุ่มตัวอย่างส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กวัยเรียนที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ผลการศึกษาครั้งนี้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีบทบาทในการออกแบบนโยบายเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ควรมีนโยบายในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ปกครองในการเฝ้าระวังการใช้เครื่องมือสื่อสารสำหรับเด็ก การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล เพื่อเฝ้าระวังการใช้สื่อและการเสพสื่อที่ไม่เหมาะสม, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและโรงเรียนควรมีนโยบายในการสำรวจครอบครัวที่อยู่ในภาวะขาดแคลน จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลเพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของเด็กวัยเรียน เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการให้การสนับสนุนสิ่งของหรือบริการ ตามโอกาสต่าง ๆ, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและโรงเรียนควรมีนโยบายที่ช่วยอุดหนุนให้เด็กวัยเรียนได้รับประทานอาหารเช้า โดยนโยบายของการอุดหนุนส่งเสริมให้โรงเรียนปลูกผักสวนครัว โรงเรือนเพาะเห็ด โรงเรือนไก่ไข่ เพื่อนำผลผลิตที่ได้มาประกอบอาหารเช้าให้กับเด็กวัยเรียนที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ทั้งนี้อาจออกแบบนโยบายที่สร้างการมีส่วนร่วมจากผู้ปกครองไปพร้อมกันด้วย โดยการขอความร่วมมือในการมีส่วนร่วมอย่างง่าย และโรงเรียนควรมีนโยบายในการให้การบ้านที่เป็นลักษณะของการสร้างการมีส่วนร่วมของครอบครัวในเชิงทักษะทางการใช้ชีวิตเพื่อตอบสนองต่อประเด็นของการสร้างช่วงเวลาคุณภาพ ระหว่างผู้ปกครองและเด็ก เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการให้ความสำคัญกับบทบาทของการเป็นผู้ดูแลเด็กของผู้ปกครอง</p> ใจชนก เศษศรี Copyright (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2022-12-30 2022-12-30 13 3 1 13 ความคาดหวังของคนพิการต่อการจัดสวัสดิการสังคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น : กรณีศึกษาเทศบาลตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262286 <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคาดหวังในการจัดสวัสดิการสังคมของคนพิการ ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อความคาดหวังในการจัดสวัสดิการสังคมของคนพิการ และศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความคาดหวังในการจัดสวัสดิการสังคมของคนพิการในเขตเทศบาลตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ คนพิการทุกประเภทความพิการที่จดทะเบียนคนพิการแล้ว และอาศัยอยู่ในพื้นที่ของเทศบาลตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี จำนวน 152 ราย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการศึกษาข้อมูล ได้แก่ ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย&nbsp; ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด การทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้ Chi-Square และ Correlation ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป จบการศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และไม่ได้ประกอบอาชีพ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่ หมู่ 3 ชุมชนคลองระแหงพัฒนา โดยมีช่วงระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชนระหว่าง 0 – 19 ปี และกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย 2) ผลการศึกษาความคาดหวังในการจัดสวัสดิการสังคมของคนพิการในเขตเทศบาลตำบลระแหง อำเภอ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; ลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคาดหวังในภาพรวมอยู่ในระดับมาก&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;(ค่าเฉลี่ย 3.83) และผลการศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์ต่อความคาดหวังในการจัดสวัสดิการสังคมของคนพิการในเขตเทศบาลตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พบว่า ระดับการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างมีความสัมพันธ์ต่อความคาดหวังในการจัดสวัสดิการสังคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านการศึกษา (Education) 3) ผลการศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความคาดหวังในการจัดสวัสดิการสังคมของคนพิการในเขตเทศบาลตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่แสดงความคิดเห็น ร้อยละ 87.50 และแสดงความคิดเห็น ร้อยละ 12.50 โดยแบ่งตามด้านสวัสดิการสังคม ดังนี้ 1. ด้านสุขภาพอนามัย (Health) – การมีกิจกรรมการออกกำลังกายของคนพิการ 2. ด้านการทำงานและการรายได้ (Employment and Income maintenance) - ต้องการให้มีการสร้างอาชีพให้กับผู้พิการ เช่น ช่างเสื้อผ้า ช่างซ่อมรถ การทำขนมหวาน&nbsp; การคัดแยกขยะสร้างรายได้ เป็นต้น และควรจัดหางานให้คนพิการทำมีกฎหมายหรือตลาดรองรับคนพิการในการเข้าทำงาน 3. ด้านบริการสังคม (Social Service) – การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคนพิการ และการให้&nbsp;&nbsp;&nbsp; ความช่วยเหลือโดยให้ส่วนราชการเป็นตัวกลางประสานระหว่างประชาชนกับหน่วยงานต่างๆ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> ความคาดหวัง , คนพิการ , การจัดสวัสดิการสังคม , องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น</p> SAOWANEE SRISUWAN Copyright (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2022-12-30 2022-12-30 13 3 14 26 Book review Social Rights in the Welfare State Originals and Transformations First edition https://so04.tci-thaijo.org/index.php/thaijss/article/view/262572 <p>สังคมยุค ดิจีทัลในปัจจุบันได้พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะ ผลกระทบจากโควิด 19 เปลี่ยนแปลงโลกอย่างมาก ในทุกมิติ แต่ ประชากรยังไม่มีความพร้อมต่อnew normal และผลกระทบต่อเศรษฐกิจระดับโลก&nbsp; เราเอง นักสังคมสงเคราะห์เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือ ในการวางแผน กลยุทธในการช่วยเหลือทางด้านสังคม เพื่อช่วยให้ประเทศพัฒนารวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นนักสังคมสงเคราะห์จึงมี ความสำคัญอย่างยิ่ง &nbsp;</p> <p>หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นสำหรับคนที่สนใจเรื่องของสิทธิของบุคคลในสวัสดิการของรัฐ&nbsp; ในช่วงเวลาที่อนาคตของรัฐสวัสดิการเป็นประเด็นถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนในหลายๆ ประเทศในยุโรป คอลเลกชั่นที่ได้รับการแก้ไขนี้จะสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันนี้กับสิทธิทางสังคม มีโครงสร้างตามหัวข้อของการเมืองเรื่องสิทธิทางสังคม คำถามเกี่ยวกับความเสมอภาคและการกีดกันทางสังคม/การรวมเป็นหนึ่ง และผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของความจำเป็นของตลาดที่มีต่อนโยบายทางสังคม หนังสือเล่มนี้สำรวจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในรัฐสวัสดิการต่อสิทธิทางสังคมและพื้นฐานของพวกเขา เหตุผลและตรรกะ เขียนโดยกลุ่มนักวิชาการระหว่างประเทศ บทความหลายชิ้นกล่าวถึงประเด็นเร่งด่วนและเฉพาะประเด็นภายในนโยบายสังคม รวมถึง: สิทธิของผู้ขอลี้ภัย; การเพิ่มการตลาดและการบริโภคบริการสวัสดิการสาธารณะ; การดูแลผู้สูงอายุ และข้อผูกมัดในการทำงานอันเป็นเงื่อนไขในการเข้าถึงสวัสดิการ บทความเรียงความชุดนี้จะดึงดูดนักวิชาการและนักศึกษาที่ทำงานในสาขากฎหมายและการศึกษากฎหมายสังคมสังคมวิทยา นโยบายสังคม และการเมืองในระดับนานาชาติและสหวิทยาการในแนวทางของมัน นอกจากนี้ยังจะเป็นที่สนใจของผู้กำหนดนโยบายและทุกคนที่มีส่วนร่วมในการโต้วาทีเกี่ยวกับอนาคตของรัฐสวัสดิการและสิทธิทางสังคม</p> <p>ผู้เขียนที่ปรากฏในหนังสือนี้ &nbsp;Toomas Kotkas เป็นศาสตราจารย์ด้านนิติศาสตร์และกฎหมายสังคมที่มหาวิทยาลัย แห่งฟินแลนด์ตะวันออก ประเทศฟินแลนด์</p> <p>Kenneth Veitch เป็นอาจารย์อาวุโสด้านกฎหมายที่ Sussex Law School, University แห่งซัสเซกซ์ สหราชอาณาจักร</p> <p>บทนำ กล่าวถึง&nbsp;สาเหตุของความสนใจในสิทธิทางสังคมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ สามารถระบุปัจจัยอธิบายที่เกี่ยวข้องกันอย่างน้อยสองปัจจัย</p> <p>&nbsp;ประการแรก วิกฤตเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุด (พ.ศ. 2551-2555) ทำให้สิทธิทางสังคมกลายเป็นศูนย์กลางของการโต้แย้งทางการเมืองและกฎหมาย มาตรการรัดเข็มขัดที่เกิดขึ้นเองหรือกำหนดไว้ในหลายประเทศได้ก่อให้เกิดการตัดสินเรื่องสิทธิทางสังคมและการเคลื่อนไหวด้านสิทธิทางสังคมที่ใช้การโต้แย้งสิทธิทางสังคมในการรณรงค์ต่อต้านการตัดทอนและการถอนรากถอนโคน</p> <p>ประการที่สอง สิทธิทางสังคมได้รับมาจากระดับสถาบันเช่นกัน สิทธิทางสังคมถูกรวมไว้ในรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ และยังได้เข้าสู่เครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคต่างๆ เช่น กฎบัตรสิทธิขั้นพื้นฐานของสหภาพยุโรป การมีผลบังคับใช้ของพิธีสารเลือกรับของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในปี 2556 ทำให้บุคคลสามารถส่งการสื่อสารโดยกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิที่มีอยู่ในกติกา ดังนั้น ทั้งวิกฤตการณ์ทางการเงินและการจัดตั้งสถาบันสิทธิทางสังคมได้นำไปสู่การเติบโตของหลักนิติศาสตร์สิทธิทางสังคมในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ</p> <p>บทที่ 1 กล่าวถึง ประวัติศาสตร์สั้น ๆ และไม่สำคัญของวาทกรรมสิทธิทางสังคมในรัฐสวัสดิการของนอร์ดิก ประวัติศาสตร์ของรัฐสวัสดิการตะวันตกดำเนินไปพร้อมกับประวัติศาสตร์ของสิทธิทางสังคม แน่นอนว่าความทะเยอทะยานและนโยบายที่จะรับประกันสวัสดิภาพทางสังคมของประชาชนนั้นไม่เป็นที่รู้จักของรัฐเสรีนิยมในต้นศตวรรษที่ 20 หรือแม้แต่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในศตวรรษก่อน ๆ แต่เป็นสถาบันทางกฎหมายที่ให้สิทธิทางสังคมเป็นสิทธิในการกระจาย ที่ให้กำเนิดรัฐสวัสดิการสมัยใหม่ รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นจากการตระหนักถึงสิทธิของประชาชนในการประกันสังคมและสุขภาพในกฎหมายระดับชาติ&nbsp;</p> <p>เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว จะต้องสังเกตด้วยว่าวาทกรรมเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานได้สร้างความแตกต่างในการสร้างความเป็นจริงทางสังคมของรัฐสวัสดิการของชาวนอร์ดิก ตัวอย่างเช่น สิทธิพลเมืองตามรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนมีบทบาทในด้านกฎหมายสวัสดิการสังคมตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา เมื่อการดูแลสถาบันในโรงพยาบาลจิตเวช บ้านพักคนชรา บ้านพักเด็ก บ้านพักผู้พิการ และ จึงได้รับการปฏิรูป แทนที่จะอยู่ภายใต้อำนาจสถาบันอันไร้ขีดจำกัดของบุคลากร สิทธิส่วนบุคคลในความสมบูรณ์ของร่างกาย สิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง การดูแลที่มีคุณภาพดี การได้รับการรับฟัง สิทธิในการอุทธรณ์ และอื่น ๆ เริ่มได้รับการยอมรับในกฎหมายและโดย ศาล ความจริงที่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นช้ามาก อย่างน้อยก็สามารถอธิบายได้บางส่วนด้วยข้อเท็จจริงเดียวกันว่าทำไมจึงไม่มีการระบุอย่างชัดเจน</p> <p>บทที่ 2 กล่าวถึงรัฐสวัสดิการและสิทธิทางสังคมของนอร์เวย์ การเพิ่มขึ้นของเสรีนิยมใหม่และสิทธิในรัฐสวัสดิการขั้นสูงหมายความว่าปรากฏการณ์ทั้งสองเป็นเพื่อนโดยธรรมชาติหรือไม่? นักวิจารณ์กล่าวหาว่าสิทธิพลเมือง (และสิทธิทางสังคมบางอย่าง) ได้รับการจัดระเบียบโดยกลุ่มอภิสิทธิ์ในด้านการเมือง ศาล และที่อื่น ๆ เพื่อท้าทายและทำให้สินค้าและกฎระเบียบสวัสดิการสังคมในสถาบันอ่อนแอลง เน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "การหดตัวของรัฐสวัสดิการของเคนส์" ร่วมสมัยกับ "แนวความคิดที่แพร่หลายของสิทธิในฐานะเสรีภาพเชิงลบที่จำเป็นซึ่งปกป้องขอบเขตส่วนตัวจากแขนยาวของรัฐที่รุกล้ำ" การตำหนิสำหรับการพัฒนานี้มักถูกกล่าวถึงว่าเป็นแหล่งกำเนิดของสถาบันเสรีนิยมและเสรีนิยมใหม่ระดับชั้นนำ เช่น ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหภาพยุโรป แม้ว่า Hirschl ยังชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของพรรคอนุรักษ์นิยมที่สร้างพื้นที่ทางการเมืองสำหรับการพิจารณาคดี</p> <p>สิทธิเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเสรีนิยมใหม่ที่ขุดออกจากรัฐสวัสดิการหรือไม่ ในกรณีของนอร์เวย์ คำตอบต้องมีเงื่อนไข ประการแรก เมื่อตั้งประเด็นในมุมมองทางประวัติศาสตร์ มีข้อโต้แย้งว่าประวัติศาสตร์อันยาวนานของลัทธิเสรีนิยมนอร์เวย์ในศตวรรษที่ 19 (รวมถึงการทบทวนการพิจารณาคดีและรัฐธรรมนูญ)เป็นตัวตั้งต้นของรัฐสวัสดิการมากพอๆ กับตัวแทนของความขัดแย้ง ประการที่สอง องค์กรได้ตั้งคำถามต่อถ้อยแถลงที่คลุมเครือเกี่ยวกับการเสื่อมถอยของรัฐสวัสดิการสังคม และได้เน้นแทนการประทับตราแบบเสรีนิยมใหม่ในรูปแบบของความช่วยเหลือทางสังคมแบบมีเงื่อนไขที่เพิ่มมากขึ้น การสนับสนุนชนชั้นกลาง ประการที่สาม เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของสิทธิพลเมืองที่ได้รับอำนาจตุลาการและการเข้ามาของสิทธิมนุษยชนทางสังคมนั้นไม่จำเป็นต้องสวนทางกับการโจมตีแบบเสรีนิยมใหม่ต่อรัฐสวัสดิการเสมอไป ในบางกรณี สิทธิทางสังคมของปัจเจกชนได้ถูกนำมาใช้อย่างมีกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมสิทธิส่วนรวม ก่อตัวเป็นคุณธรรมแทนที่จะเป็นวงจรอุบาทว์</p> <p>บทที่ 3 กล่าวถึงการว่างงานและข้อบังคับของมิติด้านสิทธิทางสังคม วัตถุประสงค์ของบทนี้คือการเน้นและไตร่ตรองถึงบทบาทของพันธกรณีในการทำความเข้าใจสิทธิทางสังคมในบริบทของธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไปของรัฐสวัสดิการมีเหตุผลสองประการสำหรับการมุ่งเน้นนี้ ประการแรกเกี่ยวข้องกับมิติ "สังคม" ของสิทธิทางสังคม การอ้างอิงถึงสิทธิทางสังคมมักถือว่าหนึ่งในสองความหมาย ในแง่หนึ่ง "สังคม" หมายถึงชุดของสินค้าพื้นฐานที่มนุษย์จำเป็นต้องเข้าถึงเพื่อดำรงชีวิต เช่น บ้าน การดูแลสุขภาพ การศึกษาและความมั่นคงของรายได้ เป็นต้น เรียกรวมกันว่าสินค้าเหล่านั้นช่วยสร้างการดำรงอยู่ทางสังคม ในทางกลับกัน "สังคม" ของสิทธิทางสังคมได้รับความหมายผ่านการเปรียบเทียบสิทธิทางสังคมกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองตรงกันข้ามกับสิทธิประเภทหลังซึ่งมักมีลักษณะเป็นสิทธิในรูปแบบเชิงลบโดยสรุปเป็นสิทธิเสรีภาพจากการแทรกแซงของรัฐ - สิทธิทางสังคมถูกระบุว่าชี้ไปที่การเรียกร้องต่อรัฐ พวกเขาเรียกร้องให้รัฐเข้ามาแทรกแซงเพื่อส่งเสริมการใช้เสรีภาพในเชิงบวก ยิ่งไปกว่านั้น มักเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าสิทธิทางสังคมมาก่อนความเป็นไปได้ของการใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างมีความหมาย สิทธิในรูปแบบหลังนี้มีประโยชน์อย่างไร เช่น หากขาดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในแง่ที่สองนี้ สิทธิทางสังคม "ทางสังคม"&nbsp;&nbsp;</p> <p>ธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิทางสังคมและภาระผูกพันในบริบทของนโยบายการว่างงานได้เปลี่ยนแปลงไปในทศวรรษที่ผ่านมา ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้&nbsp; ประการที่สอง นี่แสดงให้เห็นว่าระบบการทำงานไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยตรรกะในการป้องกันเป็นหลัก แต่เนื่องจาก Dardot และ Laval โต้แย้งเกี่ยวกับสถานะเสรีนิยมใหม่โดยระบบที่ปรับเปลี่ยนได้ อันที่จริงในที่นี้ เราสามารถเห็นการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ลื่นไหลมากขึ้นระหว่างสิทธิและภาระผูกพัน ในที่สุด ในแง่ของการอภิปรายในบทนี้ คำถามเร่งด่วนก็ปรากฏขึ้น: การนำวาทกรรมเรื่อง "สิทธิทางสังคม" ไปใช้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจนโยบายการว่างงานในปัจจุบันในสหราชอาณาจักรนั้นมีความเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด&nbsp;</p> <p>บทที่ 4 กล่าวถึงสิทธิทางสังคมและความเท่าเทียม หนึ่งในหน้าที่หลักของสิทธิทางสังคมหรือโดยทั่ว ๆ ไปของรัฐสวัสดิการสมัยใหม่ คือความก้าวหน้าของความเท่าเทียมกันระหว่างพลเมืองเสมอมา ตัวอย่างเช่นตามคำกล่าวของ T. H. Marshall "[ทุกคน] ทุกคนจะเห็นด้วยว่าวิวัฒนาการของสังคมสมัยใหม่ได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในหลาย ๆ ด้านจากแนวคิดที่เท่าเทียมและความพยายามอย่างมีสติในการนำไปปฏิบัติ" (Marshall 1964, p63) ผู้ติดตามของเขาที่London School of Economics, R. M. Titmuss เตือนเราว่า "[t]o เติบโตในความมั่งคั่ง [...] ไม่ได้หมายความว่าเราควรละทิ้งการแสวงหาความเท่าเทียมกัน" (Titmuss 1987, p34) มุมมองของนักทฤษฎีรัฐสวัสดิการในยุคแรก (ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลังสงคราม) เหล่านี้สะท้อนโดยนักวิชาการสมัยใหม่: ตาม G. Esping-Andersen "ควรเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกสิ่งที่เราไม่สามารถจะไม่เป็นผู้คุ้มกันในระบบเศรษฐกิจขั้นสูงของ ศตวรรษที่ 21" (Esping-Andersen 2002, p3); และ F.Vandenbroucke พูดถึง "หลักการความเท่าเทียม" ว่าเป็น "รากฐานที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยในสังคม"</p> <p>คำถามทั่วไปเบื้องต้น คือในแง่ใดที่รัฐสวัสดิการและสิทธิทางสังคมจะทำให้เราเท่าเทียมกัน แม้แต่แบบสำรวจสั้นๆ จากงานของนักทฤษฎีเพียงไม่กี่คนก็แนะนำว่าไม่มีคำตอบง่ายๆ สำหรับคำถามนี้ ความเท่าเทียมกันที่เป็นเป้าหมายของรัฐสวัสดิการอาจหมายถึงการแบ่งรายได้และทรัพยากรวัตถุอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ความเท่าเทียมกันอย่างเป็นทางการของโอกาส ความเท่าเทียมกันของสวัสดิการ ความเท่าเทียมกันทางโอกาส;ความสามารถเท่าเทียมกัน หรือสิทธิเท่าเทียมกันในการมีส่วนร่วมในสังคม (เช่น สังคมแห่งความเท่าเทียม")</p> <p>&nbsp;</p> <p>บทที่ 5 กล่าวถึงความเสี่ยงใหม่ทางสังคม และสิทธิใหม่ทางสังคมในระบบสวัสดิการของฝรั่งเศสนับตั้งแต่มีการสร้างระบบประกันสังคมแห่งชาติในปี 2488 แกนกลางของสิทธิทางสังคมของฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงสิทธิของบุคคลที่จะได้รับผลประโยชน์พิเศษค่าเบี้ยเลี้ยง และบริการในกรณีที่จำเป็น ได้รับการประกันผ่านโครงการประกันสังคมแบบสมทบ โครงการประกันสังคมของฝรั่งเศสได้รับการออกแบบให้เป็น "ระบอบการปกครองทั่วไป" โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ครอบคลุมประชากรผ่านระบบประกันสังคม ดังที่บทนี้จะแสดงให้เห็น ระบบการประกันสังคมนี้ได้รับการยึดตามหลักทฤษฎีไว้ในแนวคิดหรือกระบวนทัศน์ของความเสี่ยงทางสังคม ซึ่งสันนิษฐานว่ากฎหมายกำหนดความเสี่ยงเหล่านั้นหรืออย่างน้อยก็ตั้งชื่อความเสี่ยงเหล่านั้นโดยจำแนกสาขาต่างๆ ของระบบประกันสังคม ตามแบบของอนุสัญญาประกันสังคม (มาตรฐานขั้นต่ำ) ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 102&nbsp;&nbsp;</p> <p>บทนี้แสดงให้เห็นว่าสิทธิทางสังคมใหม่เกิดขึ้นในระบบสวัสดิการของฝรั่งเศสจุดศูนย์ถ่วงของระบบ ซึ่งก่อนหน้านี้เน้นไปที่การประกันสังคม ได้เปลี่ยนบางส่วนไปยังขอบเขตของนโยบายการดำเนินการทางสังคมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการกีดกันทางสังคมและการสูญเสียเอกราช นโยบายและสิทธิใหม่เหล่านี้มีลักษณะที่น่าสนใจ: เป็นขั้นตอนที่มากกว่าและอิงตามผลประโยชน์ที่เป็นสากล ในแง่หนึ่ง เราอาจจินตนาการถึงการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกไปสู่ระบบสิทธิทางสังคมที่ยืดหยุ่นและเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยอิงจากการระบุความต้องการทางสังคมของประชากรโดยรวม (กล่าวถึงผู้ดำเนินการต่างๆ เช่น รัฐ หน่วยงานท้องถิ่นหน่วยงานประกันสังคม และ สมาคมพลเมือง) การประเมินรายบุคคลและแผนความช่วยเหลือส่วนบุคคล รวมถึงผลประโยชน์ทางการเงินและบริการทางสังคม โมเดลนี้พยายามที่จะขจัดการแบ่งแยกในสมัยโบราณระหว่างความเสี่ยงทางสังคมและความต้องการทางสังคมที่มีโครงสร้างตามประเพณีของระบบฝรั่งเศส: (ระดับชาติ) สิทธิประกันสังคมด้านหนึ่ง และ (ระดับท้องถิ่น) สิทธิการช่วยเหลือทางสังคม ในอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม</p> <p>บทที่ 6 กล่าวถึงผู้ขอลี้ภัย สิทธิทางสังคม และการกำเนิดของลัทธิชาตินิยมใหม่ จากรัฐสวัสดิการแบบรวมเป็นเอกสิทธิ์ของอังกฤษในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา สิทธิทางสังคมของผู้แสวงหาที่ลี้ภัยในสหราชอาณาจักร (UK) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเพื่อสะท้อนถึงฉันทามติทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นว่าสิทธิของพลเมืองควรได้รับการจัดลำดับความสำคัญเหนือสิทธิของชุมชนผู้แสวงหาที่ลี้ภัย (Bales 2013) ด้วยเหตุนี้ การเข้าถึงงานของผู้ขอลี้ภัยในปัจจุบันจึงถูกจำกัดอย่างเข้มงวด และได้รับการสนับสนุนผ่านระบบสวัสดิการที่แยกออกมา ซึ่งจ่ายเงินสดรายสัปดาห์ในระดับประมาณครึ่งหนึ่งของระดับที่ประชาชนในประเทศสามารถจ่ายได้ แม้จะมีข้อมูลจากองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO)มากมายที่บันทึกผลกระทบเชิงลบร้ายแรงของระบบสนับสนุนที่ลี้ภัย รวมถึงความยากจน ภาวะทุพโภชนาการ และภาวะซึมเศร้า (Refugee Action 2010; Teatheret al 2013; Carnet et al 2014)</p> <p>&nbsp;ตามเงื่อนไขของความเข้มงวด Rex (1996) เขียนว่า "ลัทธิชาตินิยมใหม่"ต่อต้านการอพยพอย่างรุนแรง ในแง่ของการถอนสิทธิทางสังคมจากผู้ขอลี้ภัยในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาและการวิจัยที่ครอบคลุมซึ่งเผยให้เห็นความรู้สึกไม่ดีต่อกลุ่มสาธารณะ (Hobson et al 2008, p20) เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าผู้ขอลี้ภัยเป็นเป้าหมายหลักของลัทธิชาตินิยมใหม่ . แม้ว่านักวิจารณ์หลายคนเชื่อว่าการที่อัตลักษณ์ของอังกฤษอ่อนแอลงเป็นผลมาจากการอพยพเข้าเมืองที่เพิ่มขึ้น (Goodhart 2013; Goodwin 2011) บทนี้อ้างว่าการกีดกันไม่สามารถถือเป็นผลพลอยได้ตามธรรมชาติของการย้ายถิ่นฐาน แต่ต้องพิจารณาในบริบท ของวาระเสรีนิยมใหม่และความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่เพิ่มขึ้นในสหราชอาณาจักร อย่างน้อยก็ส่วนหนึ่งเกิดจากการถอนสวัสดิการ</p> <p>บทที่ 7 กล่าวถึงตั้งแต่สิทธิทางสังคมไปจนถึงเศรษฐกิจ แรงจูงใจ? คุณธรรม &nbsp; ที่สร้างขึ้นโดย ทุนนิยมสวัสดิการ แนวคิดของ "ทุนนิยมสวัสดิการ" หมายถึงระบอบการเมือง-เศรษฐกิจที่รวมเอาหน้าที่ของเศรษฐกิจตลาดทุนนิยมเข้ากับหน้าที่ของรัฐสวัสดิการที่เป็นประชาธิปไตย คำนี้มักใช้โดย Esping-Andersen (1990) ใน The Three Worlds of Welfare Capitalism แต่ยังเชื่อมโยงกับแนวคิดของ Marshall (1950, p14)เกี่ยวกับสิทธิสามชั่วอายุคน ซึ่งทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นพลเมืองสมัยใหม่: สิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมืองและสิทธิทางสังคม คำถามที่บทนี้พยายามที่จะกล่าวถึงคือสิทธิทางสังคมที่ Esping-Andersen และ Marshall เข้าใจว่าเป็นจุดสูงสุดของรัฐสวัสดิการในระบอบประชาธิปไตยนั้นยังคงผูกมัดกับตรรกะของเศรษฐกิจตลาดทุนนิยมอย่างไร เมื่อใช้มุมมองของสังคมวิทยาเศรษฐกิจของกฎหมาย จะมีการโต้แย้งว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบทุนนิยมสวัสดิการในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาได้นำไปสู่การตีความสิทธิทางสังคมในแง่ของแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ในประเด็นนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเงินของรัฐสวัสดิการทั้งด้านรายได้และรายจ่าย จะเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงวาทกรรมทางศีลธรรมเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่พลเมือง ซึ่งได้รับแจ้งมากขึ้นจากการโต้แย้งทางเศรษฐกิจ</p> <p>บทสรุปของ Marshall ในบทนี้เกี่ยวข้องกับคำถามที่ว่าการเปลี่ยนแปลงของรัฐสวัสดิการส่งผลต่อเนื้อหาและศีลธรรมของสิทธิทางสังคมอย่างไร สร้างจากสิทธิสามชั่วอายุคน เป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าการผสมผสานหรือแม้แต่บูรณาการของหน้าที่ของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดทุนนิยมและรัฐสวัสดิการในระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของทุนนิยมสวัสดิการสมัยใหม่ นำมาซึ่งหัวข้อของสิทธิที่แตกต่างกัน ซึ่งเสริมกัน อื่น ๆ แต่ที่ยังคงอยู่ในความขัดแย้งสัญญาทางสังคมที่อยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมสวัสดิการเป็นสัญญาระหว่างอาสาสมัครที่มีสิทธิต่างกัน ซึ่งอาจจะมีการเจรจากันใหม่ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประนีประนอมทางประวัติศาสตร์ระหว่างทุนและแรงงานอยู่บนความสมดุลระหว่างเรื่องของสิทธิในทรัพย์สินและเรื่องของสิทธิทางสังคมความสมดุลนี้เป็นประเด็นอีกครั้งในการสร้างศีลธรรมของระบบทุนนิยมสวัสดิการสิ่งที่เราสังเกตเห็นได้ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมาคือสิทธิทางสังคมมีความเกี่ยวข้องมากขึ้น เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือแม้แต่แทนที่ด้วยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในสิ่งที่กลายเป็น "รัฐสวัสดิการด้านอุปทาน"</p> <p>&nbsp;บทที่ 8 กล่าวถึง สิทธิทางสังคมและค่าใช้จ่ายของผู้ใช้ พร้อมกับการแปรรูป การทำสัญญา และเทคนิคการจัดการ "ใหม่"การแสดงวิธีอุดมการณ์และนโยบายเสรีนิยมใหม่ที่มีนัยสำคัญ แต่มีน้อยได้เปลี่ยนแปลงบริการทางสังคมโดยผ่านข้อกำหนดที่บุคคลจ่ายสำหรับบริการเหล่านั้น - บริการที่ เมื่อให้บริการฟรี วิธีการแบบคู่ขนานซึ่งควรแยกความแตกต่าง รวมถึงการเสนอบริการ "พรีเมียม" ในภาคที่กำหนดด้วยต้นทุนที่กำหนด</p> <p>&nbsp;บทนี้เน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่ร้ายแรงที่เกิดจากการขยายนโยบายการเรียกเก็บเงินสำหรับบริการที่ได้รับทุนสาธารณะในภาคสุขภาพและการศึกษา&nbsp; แนะนำว่าอย่างน้อยที่สุดไฟร์วอลล์ทางกฎหมายที่สร้างมาอย่างเข้มงวด ในรูปแบบของสิทธิที่เข้มแข็งต่อสุขภาพและการศึกษา ควรปกป้ององค์ประกอบหลักของสินค้าทางสังคมเหล่านั้นจากการบุกรุกของบรรทัดฐานของตลาด นอกจากนี้ ควรใช้สิทธิ์เหล่านี้เพื่อลดการใช้การเรียกเก็บเงินเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการเข้าถึงผ่านเครื่องมือทางกฎหมายสาธารณะที่คุ้นเคย เช่น การประเมินว่าการเรียกเก็บเงินมีจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และดำเนินการขั้นสูงโดยใช้วิธีการตามสัดส่วน</p> <p>บทที่ 9 กล่าวถึงการรวมยุโรปและการเปลี่ยนแปลงของรัฐสังคม เพื่อครอบงำ บทนี้อธิบายว่าวิวัฒนาการของโครงการการรวมกลุ่มของยุโรปได้เปลี่ยนความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันในขั้นต้นกับสถานะทางสังคมหลังสงครามให้กลายเป็นหนึ่งของการครอบงำภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันได้อย่างไร ขั้นแรกให้ภาพรวมขององค์ประกอบที่โดดเด่นของรัฐทางสังคมซึ่งรับประกันสิทธิทางสังคมตามธรรมเนียมผ่านสิทธิขั้นพื้นฐาน นโยบายทางสังคมและการบริการสาธารณะ และการแสดงทางกฎหมายของ Rechtsstaat ทางสังคมและประชาธิปไตยโดยใช้แนวคิดนี้เป็นกรอบแนวคิด การวิเคราะห์จะอธิบายชุดของเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว จะอธิบายว่าการรวมกลุ่มของยุโรปส่งผลกระทบและเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมอย่างไรโดยแยกองค์ประกอบพื้นฐานสามประการออกจากกัน: หลักนิติธรรม หลักประชาธิปไตย</p> <p>สรุป</p> <p>ในช่วงกว่าหกทศวรรษของการมีอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างการรวมยุโรปกับประเทศสมาชิกได้พัฒนาไปอย่างมาก แต่เดิมนี่เป็นหนึ่งในการอยู่ร่วมกันโดยแต่ละระดับมีส่วนทำให้สถานะทางสังคมเป็นจริง อย่างไรก็ตาม การพัฒนาที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เมื่อรวมเข้าด้วยกันได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางชีวภาพนั้นให้เป็นหนึ่งในการครอบงำของระดับยุโรปเหนือระดับชาติ ขั้นตอนแรกในวิวัฒนาการนี้คือความโดดเด่นของระเบียบกฎหมายใหม่ที่เป็นอิสระเหนือระบบกฎหมายของประเทศ อย่างไรก็ตาม การร่างกฎหมายของสหภาพยุโรปให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญถือว่าคำสั่งทางกฎหมายใหม่นั้นสอดคล้องกับหลักนิติธรรม เป็นความเป็นอิสระอย่างแท้จริง ซึ่งจำเป็นต้องรับประกันว่าตลาดจะไม่ถูกแยกส่วนเนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายของสหภาพยุโรปที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้: ความถูกต้องตามกฎหมายของกฎหมายของสหภาพยุโรปขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาที่เป็นอิสระเท่านั้น และไม่รวมการทดสอบใดๆ ตามพารามิเตอร์ที่แตกต่างกัน ดังที่พิสูจน์โดย ความขัดแย้งอันยาวนานกับศาลรัฐธรรมนูญของประเทศเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานหรือการปฏิเสธการปฏิบัติตาม ECHR เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ความเห็น 2/13, EU:C:2014:2454) แนวคิดที่อ้างถึงตนเองเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายนี้ขัดแย้งกับหลักนิติธรรม ซึ่งความชอบด้วยกฎหมายยังขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญและไม่ใช่แค่องค์ประกอบที่เป็นทางการเท่านั้น (Kochenov 2015) การทำให้เป็นรัฐธรรมนูญของกฎหมายของสหภาพยุโรปนั้นเกี่ยวข้องกับทั้งการรวมเป็นกฎหมาย</p> <p>ในช่วงเวลาที่อนาคตของรัฐสวัสดิการเป็นประเด็นถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนในหลายๆ ประเทศในยุโรป คอลเลกชั่นที่ได้รับการแก้ไขนี้จะสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันนี้กับสิทธิทางสังคม มีโครงสร้างตามหัวข้อของการเมืองเรื่องสิทธิทางสังคม คำถามเกี่ยวกับความเสมอภาคและการกีดกันทางสังคม/การรวมเป็นหนึ่ง และผลกระทบที่เพิ่มขึ้นของความจำเป็นของตลาดที่มีต่อนโยบายสังคม หนังสือเล่มนี้สำรวจผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในรัฐสวัสดิการต่อสิทธิทางสังคมและเหตุผลพื้นฐาน ตรรกะ เขียนโดยกลุ่มนักวิชาการระหว่างประเทศ บทความหลายชิ้นกล่าวถึงประเด็นเร่งด่วนและเฉพาะประเด็นภายในนโยบายสังคม รวมถึง: สิทธิทางสังคมของผู้ขอลี้ภัย; การตลาดที่เพิ่มขึ้นและการบริโภคบริการสวัสดิการสาธารณะ; การดูแลผู้สูงอายุ และข้อผูกมัดในการทำงานอันเป็นเงื่อนไขในการเข้าถึงสวัสดิการ บทความเรียงความชุดนี้จะดึงดูดนักวิชาการและนักศึกษาที่ทำงานในสาขากฎหมายและการศึกษากฎหมายสังคม สังคมวิทยา นโยบายสังคม และการเมืองในระดับนานาชาติและสหวิทยาการในแนวทางของมัน นอกจากนี้ยังจะเป็นที่สนใจของผู้กำหนดนโยบายและทุกคนที่มีส่วนร่วมในการโต้วาทีเกี่ยวกับอนาคตของรัฐสวัสดิการและสิทธิทางสังคม</p> patthayaporn sangkarat Copyright (c) 2022 วารสารสังคมภิวัฒน์ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2022-12-30 2022-12-30 13 3 105 111