https://so04.tci-thaijo.org/index.php/wh/issue/feed
วารสารวิชาการวิถีสังคมมนุษย์
2020-12-25T19:36:52+07:00
กิตติ์ธนัตถ์ ญาณพิสิษฐ์ (Kittanut Yanpisit)
ykittanut@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิถีสังคมมนุษย์ มีนโยบายในการส่งเสริม เผยแพร่ เชื่อมโยง และกระตุ้นการผลิตผลงานวิชาการและงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาวิชาการด้านมนุษยศาสตร์<br>และสังคมศาสตร์ โดยรูปแบบผลงานที่วารสารจะรับพิจารณา มี 3 ประเภท คือ บทความวิชาการ บทความวิจัยและบทวิจารณ์หนังสือ บทความวิชาการและบทความวิจัยที่จะนำมาตีพิมพ์ในวารสารวิถีสังคมมนุษย์ นี้จะได้รับการตรวจสอบทางวิชาการ ( Peer Review) ก่อน เพื่อให้วารสารมีคุณภาพในระดับมาตรฐานสากล และนำไปอ้างอิงได้ ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์</p> <p> </p>
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/wh/article/view/214358
แนวทางการนำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ในงานพัฒนาชุมชน กรณีศึกษา: ผู้นำชุมชน จังหวัดศรีสะเกษ
2020-12-25T19:31:02+07:00
เสถียร Sathian สีชื่น
Sathian.s@sskru.ac.th
<p>การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความหมายของธรรมาภิบาลในทัศนะของผู้นำชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ...2) ศึกษาแนวทางการสร้างธรรมาภิบาลในงานพัฒนาชุมชน ของผู้นำชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ..3) ศึกษาวิธีการนำหลักธรรมา ภิบาลไปใช้ในงานพัฒนาชุมชน ของผู้นำชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ การวิจัยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยเน้นการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ 100 ราย สนทนากลุ่ม 11 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้หลักตรรกะเทียบเคียงกับแนวคิด ทฤษฎีควบคู่กับบริบท และใช้สถิติเชิงพรรณนาประกอบ ผลการศึกษาพบว่า</p> <p><strong> </strong>ความหมายธรรมาภิบาลในทัศนะของผู้นำชุมชน สามารถแบ่งความหมายออกเป็น 3 ลักษณะ คือ 1) ลักษณะแนวทางการบริหาร/การปกครอง 2) ลักษณะการกำกับติดตามดูแล และ 3) ลักษณะพื้นฐานของบุคคลที่โดดเด่น</p> <p> แนวทางในการสร้างธรรมาภิบาลในงานพัฒนาชุมชน ได้แก่ การสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมและการจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การสร้างวินัยในตัวเอง การสร้างคุณธรรม ในตัวของผู้นำชุมชน บุคลากร และเจ้าหน้าที่ การสร้างจิตสำนึกในตนเอง การฝึกอบรมเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม การพัฒนาคน การรักษาศีล 5 มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ การสร้างความร่วมมือทุกคนทุกภาคส่วนในการทำงาน การใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการสร้างการมีส่วนร่วม</p> <p> วิธีการนำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ในงานพัฒนาชุมชน ได้แก่ 1) หน่วยงานต้องมุ่งเน้นไปที่การบริหารจัดการองค์กร ให้เกิดผลประโยชน์แก่ประชาชนเป็นสำคัญ 2) หน่วยงานหรือองค์กร ควรออกกฎระเบียบ ข้อบังคับ สร้างค่านิยม วัฒนธรรมองค์กรให้ชัดเจน 3) หน่วยงานหรือองค์กร ควรจัดทำคู่มือการเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม 4) หน่วยงานหรือองค์กร ควรจัดทำผังหรือแผนขั้นตอนการปฏิบัติงาน (5) หน่วยงานหรือองค์กร ควรดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยงานเพื่อบรรจุ แผนงาน 6) ควรจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการรักษาศีล 5 ตัวอย่างเช่น การลดละ อบายมุข ช่วงเข้าพรรษา 7) การดำเนินการต่าง ๆ ประชาชนควรเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงสิ้นสุดโครงการ 8) หน่วยงานหรือองค์กร ควรมีกิจกรรมหรือให้บุคลากร ได้ทำกิจกรรมหรือทำงานร่วมกันอยู่เสมอ 9) หน่วยงานหรือองค์กร ควรออกกฎระเบียบ ข้อบังคับ หรือกำหนดให้นำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ และ10) หน่วยงานหรือองค์กรควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้ และร่วมคิด </p>
2020-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2020 วารสารวิชาการวิถีสังคมมนุษย์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/wh/article/view/224901
มิติทางวัฒนธรรมจากคัมภีร์ใบลาน : กรณีศึกษาวัดศรีชมชื่น ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม
2020-12-25T19:29:03+07:00
Athirach2524 Nankhantee
athirach2524@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาของชุมชนบ้านพิมาน ตำบลพิมาน อำเภอ นาแก จังหวัดนครพนม และ 2. เพื่อศึกษามิติทางวัฒนธรรมจากคัมภีร์ใบลานของวัดศรีชมชื่น ตำบลพิมาน อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนบ้านพิมานมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนาน เรียกตนเองว่า ผู้ไทกะเลิง หมายถึง มีกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทและกะเลิงอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชน ยุคแรกของการตั้งหมู่บ้าน เป็นกลุ่มข้าโอกาสพระธาตุพนม มีหน้าที่เสียค่าหัวและไปสร้างที่พักสำหรับผู้เดินทางมาแสวงบุญเป็นประจำทุกปี พ.ศ. 2450 ตั้งอำเภอหนองสูงบริเวณบ้านนาแก และแต่งตั้งหลวงศรีพฤษผลเป็นกำนันคนแรกของตำบลพิมาน ในช่วงเหตุการณ์ไม่สงบ ชาวบ้านพิมานมีการจัดตั้งเวรยามร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ จนถึง พ.ศ. 2529 สถานการณ์ได้คลี่คลาย ชาวบ้านพิมานดำรงชีวิตโดยอาศัยธรรมชาติ การทำนาที่นิยมคือทำนาสักเป็นลักษณะการทำนาหยอดหลุม โดยดำเนินการหยอดเมล็ดข้าว ในเดือนสี่ เมื่อถึงฤดูทำนา ชาวบ้านพิมานจะประสบภัยน้ำท่วม ต้นข้าวในนาสักโตเต็มที่แข็งแรง ทนต่อน้ำท่วม ชาวบ้านพิมานมีอาชีพปั้นไห เรียกว่า ไหพิมาน เกิดการซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้า เช่น เกลือ ข้าว ปลา ในชุมชนลุ่มน้ำก่ำ</p> <p>คัมภีร์ใบลานที่พบ มีใบลานยาว และใบลานสั้น จำนวน 116 มัด 1,100 ผูก มีอักษรธรรมอีสาน อักษรไทยน้อย และอักษรขอม พบมากที่สุดคือ อภิธรรม ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นยอดธรรมของพระพุทธเจ้า จึงเป็นที่นิยมในการสร้างมากที่สุด คัมภีร์ใบลานที่ยังสืบเนื่องถึงปัจจุบัน คือ พระเจ้าแทนน้ำนมแม่ ชาวบ้านยังใช้ประกอบในกองบุญอุทิศให้แก่พ่อแม่ที่เสียชีวิตแต่เปลี่ยนเป็นกระดาษยาวและพิมพ์ด้วยอักษรไทยปัจจุบัน อายุของคัมภีร์ใบลาน ที่เก่าที่สุดคือ สังฮอมธาตุ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2304 ผู้เขียน ส่วนมากคือ พระอาจารย์อุปคุตเป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดศรีชมชื่นมีชื่อเสียงด้านการเทศน์พระเวสสันดรเป็นที่รู้จักของคนในลุ่มน้ำก่ำเป็นอย่างดี เจ้าลาน คือ ผู้ที่ซื้อใบลานมาให้ผู้เขียนและได้รับอานิสงส์เท่ากัน คำปรารถนา เพื่อให้ได้รับอานิสงส์ตามความตั้งใจ เช่น ปรารถนาไปเถิงสุข ขอให้บุญกุศลไปถึงผู้ล่วงลับ ขอให้มีข้าวของเงินทอง พ.ศ. 2488 เกิดโรคผีดาษในชุมชนทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ผู้เขียนคัมภีร์ใบลานได้มีคำปรารถนาอานิสงส์ให้ผิวพรรณผ่องใส หายจากความเจ็บป่วย</p>
2020-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2020 วารสารวิชาการวิถีสังคมมนุษย์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/wh/article/view/234239
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ศึกษากรณีการหักลดหย่อน ภาษีของสามีและภรรยา
2020-12-25T19:22:18+07:00
งามพรต พรหมมานต
PonaNgam@hotmail.com
<p>วิทยานิพนธ์เรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ศึกษากรณีการหักลดหย่อนภาษีของสามีและภรรยา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิจัย เรื่อง 1) ความเหมาะสมของการหักค่าลดหย่อนภาษีเงินได้ของ บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร เฉพาะเรื่องค่าลดหย่อนภาษีเงินได้สามีและภรรยา 2) เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและช่องว่างทางกฎหมายเกี่ยวกับการหักค่าลดหย่อนภาษีเงินได้ของสามีและภรรยา และ 3) เสนอแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของสามีและภริยา </p> <p> การวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยทำการศึกษาจากกฎหมายรัษฎากรไทยและกฎหมายต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง คำสั่ง ระเบียบ แนวปฏิบัติ คำพิพากษาของศาล ตำราทางกฎหมาย รวมถึงการวิเคราะห์เอกสารและงานวิทยานิพนธ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์และเสนอแนวทางในการปรับปรุงการลดหย่อนภาษีเงินได้ของสามีและภรรยา</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและหลักการของกฎหมายเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในการหักค่าลดหย่อนภาษีของสามีและภริยา 2)เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายของประเทศไทยและมาตรการของต่างประเทศ 3)เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและช่องว่างทางกฎหมายเกี่ยวกับการหักค่าลดหย่อนภาษีเงินได้ของสามีและภรรยา 4)เสนอแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของสามีและภริยา การหักค่าลดหย่อนภาษีดังกล่าวข้างต้นนั้นไม่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจากราคาสินค้าที่แพงขึ้น อันมีผลต่อค่าใช้จ่ายในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายบุตรและภาระในการดูแลคนภายในครอบครัวมีความจำเป็นมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในแต่ละครอบครัวและเป็นสภาวะจำยอมของสามีและภรรยาที่ต้องใช้จ่าย ดังนั้นเพื่อบรรเทาภาระในการชำระภาษีดังกล่าวรัฐบาลรวมถึงหน่วยงานต่างๆ ควรเพิ่มการลดหย่อนภาษีให้ทั้งฝ่ายสามีและภรรยาตามมาตรา 47 แห่งประมวลกฎหมายรัษฎากรให้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเสนอแนวคิดในการปรับปรุงบทบัญญัติกฎหมายเรื่องการหักค่าลดหย่อนภาษีข้างต้น เนื่องจากการหักค่าลดหย่อนดังกล่าวนั้นยังไม่เป็นธรรมและเอื้ออำนวยครอบครัวส่วนใหญ่ในการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐาน การเพิ่มค่าลดหย่อนให้มากขึ้นกว่าเดิมนั้นเป็นมาตรการที่สอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจที่รายจ่ายในการดูแลครอบครัวสูงขึ้น นอกจากจะเป็นการบรรเทาภาษีของสามีและภรรยาแล้วนั้น ยังสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตและครอบครัวได้อีกด้วย การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมทั้งภาษีเงินได้ของสามีภรรยา จะนำไปสู่ความมั่นคงของสถาบันครอบครัว อันเป็นสถาบันขั้นต้นในสังคม ที่จะนำไปสู่ความมั่นคงของประเทศชาติในอนาคต </p>
2020-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2020 วารสารวิชาการวิถีสังคมมนุษย์
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/wh/article/view/232226
การเปรียบเทียบพฤติกรรมการมารับวัคซีนพิษสุนัขบ้าครบชุดของผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าหลังจากการได้รับความรู้
2020-12-25T19:36:52+07:00
suchada surangkul
suchada.jub@gmail.com
ดารุณี บุญเต็ม
suchada.jub@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่องการเปรียบเทียบพฤติกรรมการมารับวัคซีนพิษสุนัขบ้าครบชุดหลังการให้ความรู้ในผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้าพ.ศ. 2560การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการมารับวัคซีนพิษสุนัขบ้าครบชุดหลังได้รับความรู้เรื่องโรคพิษสุนัขบ้าเป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (pre - experiment)กลุ่มตัวอย่างคือ คือผู้ที่สัมผัสเชื้อพิษสุนัขบ้าแล้วแพทย์พิจารณาให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่ห้องอุบัติเหตุ – ฉุกเฉิน โรงพยาบาลหนองบุญมาก อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมาทุกรายโดยพิจารณาจากมีอายุ 15 ปีขึ้นไป กรณีผู้ที่สัมผัสเชื้อพิษสุนัขบ้า อายุน้อยกว่า 15 ปี ซักถามผู้ปกครองแทนและยินดีตอบแบบสอบถาม จำนวน 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามซึ่งประกอบด้วยข้อมูล 4 ส่วนคือ ข้อมูลทั่วไป ความรู้เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า ทัศนคติในการไปรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าและการปฏิบัติตัวในการป้องกันตนเองจากโรคพิษสุนัขบ้าและการมารับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญ และทดสอบความเชื่อมั่นโดยวิธีอัลฟาของครอนบาค ด้านความรู้ เท่ากับ 0.738 และด้านเจคติ เท่ากับ 0.603เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ ระหว่างวันที่ 15 มีนาคม 2560 – 15 เมษายน 2560 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณาได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและสถิติอนุมานได้แก่ Paired samples t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าด้านความรู้กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยหลังให้ความรู้เท่ากับ 8.94 ด้านทัศนคติมีคะแนนเฉลี่ยของทัศนคติหลังการสอนเท่ากับ 29.80 ด้านการปฏิบัติมีคะแนนเฉลี่ยหลังการสอนเท่ากับ 28.34 เมื่อทดสอบความแตกต่างทางสถิติพบว่าความรู้ ทัศนคติ การปฏิบัติ หลังการสอนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> <p> จากการค้นพบดังกล่าวแสดงว่าควรมีการสอนผู้สัมผัสเชื้อพิษสุนัขสุนัขบ้าโดยเน้นเรื่องสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเป็นพาหะนำโรคพิษสุนัขบ้าได้ การมารับวัคซีนตามนัดและการประชาสัมพันธ์เรื่องการปฏิบัติตัวในการป้องกันตนเองจากโรคพิษสุนัขบ้า</p>
2020-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2020 วารสารวิชาการวิถีสังคมมนุษย์