Journal of Yanasangvorn Research Institute Mahamakut Buddhist University
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri
<p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางพระพุทธศาสนาสู่สาธารณชน ใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็น เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยและความเจริญก้าวหน้าในการวิจัยทางพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลงานการวิจัยทางพระพุทธศาสนาสู่ระดับสากล โดยใช้เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งแต่ละผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารเป็นผลงานที่มีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยวารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเปิดรับผลงานวิจัย บทความของอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาตามเกณฑ์วารสารระดับชาติ"}" data-sheets-userformat="{"2":2561,"3":{"1":0},"12":0,"14":{"1":2,"2":0}}"><strong>วัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร</strong></span></p> <p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางพระพุทธศาสนาสู่สาธารณชน ใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็น เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยและความเจริญก้าวหน้าในการวิจัยทางพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลงานการวิจัยทางพระพุทธศาสนาสู่ระดับสากล โดยใช้เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งแต่ละผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารเป็นผลงานที่มีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยวารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเปิดรับผลงานวิจัย บทความของอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาตามเกณฑ์วารสารระดับชาติ"}" data-sheets-userformat="{"2":2561,"3":{"1":0},"12":0,"14":{"1":2,"2":0}}"> วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางพระพุทธศาสนาสู่สาธารณชน ใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็น เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยและความเจริญก้าวหน้าในการวิจัยทางพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลงานการวิจัยทางพระพุทธศาสนาสู่ระดับสากล โดยใช้เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางพระพุทธศาสนาหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องในสาขาปรัชญา ศึกษาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และสหวิทยาการทางด้านสังคมศาสตร์ </span><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางพระพุทธศาสนาสู่สาธารณชน ใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็น เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยและความเจริญก้าวหน้าในการวิจัยทางพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลงานการวิจัยทางพระพุทธศาสนาสู่ระดับสากล โดยใช้เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งแต่ละผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารเป็นผลงานที่มีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยวารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเปิดรับผลงานวิจัย บทความของอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาตามเกณฑ์วารสารระดับชาติ"}" data-sheets-userformat="{"2":2561,"3":{"1":0},"12":0,"14":{"1":2,"2":0}}">โดยวารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเปิดรับผลงานวิจัย บทความของอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาตามเกณฑ์วารสารระดับชาติ</span></p> <p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางพระพุทธศาสนาสู่สาธารณชน ใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็น เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยและความเจริญก้าวหน้าในการวิจัยทางพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลงานการวิจัยทางพระพุทธศาสนาสู่ระดับสากล โดยใช้เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งแต่ละผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารเป็นผลงานที่มีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยวารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเปิดรับผลงานวิจัย บทความของอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาตามเกณฑ์วารสารระดับชาติ"}" data-sheets-userformat="{"2":2561,"3":{"1":0},"12":0,"14":{"1":2,"2":0}}"><strong>ประเภทของผลงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร<br /></strong> 1) บทความวิจัย (Research Article)<br /> 2) บทความวิชาการ (Academic Article)</span></p> <p><span data-sheets-value="{"1":2,"2":"วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางพระพุทธศาสนาสู่สาธารณชน ใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็น เกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัยและความเจริญก้าวหน้าในการวิจัยทางพระพุทธศาสนา เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลงานการวิจัยทางพระพุทธศาสนาสู่ระดับสากล โดยใช้เป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัยและบทความวิชาการทางด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งแต่ละผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารเป็นผลงานที่มีหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยวารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยเปิดรับผลงานวิจัย บทความของอาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาตามเกณฑ์วารสารระดับชาติ"}" data-sheets-userformat="{"2":2561,"3":{"1":0},"12":0,"14":{"1":2,"2":0}}"><strong>กำหนดออกเผยแพร่วารสาร</strong></span></p> <p> ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน และฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความจากผู้ทรงคุณวุฒิ<br /></strong> วารสารมีกระบวนการประเมินคุณภาพจากผู้ทรงคุณวุฒิก่อนตีพิมพ์ โดยบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed) ทั้งนี้บทความจากผู้นิพนธ์ภายในจะได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้นิพนธ์ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้มข้นในการประเมินคุณภาพบทความก่อนออกตีพิมพ์เผยแพร่สู่สาธารณะ ในกรณีที่กองบรรณาธิการหรือผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับเชิญให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิผู้ตรวจประเมินบทความมีความเห็นว่าควรแก้ไข กองบรรณาธิการจะส่งคืนเพื่อให้เจ้าของบทความแก้ไข โดยจะยึดถือข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิผู้ตรวจประเมินเป็นเกณฑ์หลัก และหรือขอสงวนสิทธิ์ที่จะพิจารณาไม่ตีพิมพ์ ในกรณีที่รายงานการวิจัย บทความทางวิชาการหรือบทความวิจัยไม่ตรงกับแนวทางของวารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร หรือไม่ผ่านการพิจารณาของกองบรรณาธิการหรือผู้เชี่ยวชาญ</p> <p><strong>Print ISSN</strong>: 3027–6801 (online)</p>Journal of Yanasangvorn Research Institute Mahamakut Buddhist Universityen-USJournal of Yanasangvorn Research Institute Mahamakut Buddhist UniversityPARTICIPATORY ADMINISTRATION AND ITS IMPACT ON BUILDING RELATIONSHIPS BETWEEN SCHOOLS AND COMMUNITIES UNDER THE PRIMARY NAKHON PATHOM EDUCATIONAL SERVICES OFFICE AREA 2
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273438
<p>The objectives of this research are to study 1. the level of participatory administration 2.the level of relationship-building between schools and communities 3. the level of participatory administration that affects the relationship-building between schools and communities under the Primary Nakhon Pathom Educational Services Office, Area 2. The sample consisted of 321 teachers and educational personnel, using a stratified random sampling method. The research instrument includes questionnaires. Statistics used mean, standard deviation, and Stepwise Multiple Regression Analysis. The research result reviews that,</p> <ol> <li>The level of participatory administration under the Nakhon Pathom Primary Educational Services Office, Area 2, is generally high. When examined in detail, the highest average is in commitment and bonding, followed by collaborative goal-setting and objective alignment. The lowest average is in independence in job responsibilities.</li> <li>The overall level of relationship-building between schools and communities is at a high level. When examined in detail, the highest average is in public relations, followed by receiving help and support from the community. The lowest average is in tasks related to the basic school committee.</li> <li>Participatory administration significantly affects the relationship-building between schools and communities under the Nakhon Pathom Primary Educational Services Office, Area 2, at the 0.01 level. The multiplicative multiple correlation coefficient is 0.25</li> </ol>Tanyatorn SirisinapiratKris KittitanusWichian Intarasompun
Copyright (c) 2024 Journal of Yanasangvorn Research Institute Mahamakut Buddhist University
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-26151111THE DEVELOPMENT OF A CAUSAL FACTORS MODEL INFLUENCING TO TEACHER SPIRITUAL FOR TEACHER STUDENTS OF RAJABHAT
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273449
<p>This research’s objectives were to study; 1. the level of causal factors that influence to teacher spiritual, 2. the level of teacher spiritual of teacher students, 3. the relationship between the causal factors that influence teacher spiritual, and 4. consistency of the model of causal factors. The sample group was 322 teacher students of Rajabhat University, Rattanakosin Group (Bangkok). Research instrument included questionnaires. The statistics used frequency, percentage, mean, standard deviation, Pearson correlation Coefficient and Path analysis with the LISREL program. The research results were as follows:</p> <p> 1.The level of causal factors that influence teacher spiritual of teacher students overall was at a high level. 2. Teacher's spirituality level of teacher students overall was at a high level. 3.The correlation coefficients between all influential causal factors were positively related to the spiritual of teacher students with statistical significance at the 0.01 level. 4. Structural relationship model of causal factors influencing teacher spiritual of teacher students showed the consistent with empirical data. By personal characteristics Intentions in choosing to pursue the teaching profession, in the educational environment, relationships with teachers, and teacher spiritual of student teachers showed the aspect of being a good role model for students was given the most importance, showed the power in predicting teacher spiritual of teacher about 90.00 percents.</p>Wichian TuwilaWichian Intarasompun
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-261511226DECISION MAKING BEHAVIOR FORMAT OF ADMINISTRATORS AFFECTING TEAMWORK OF TEACHERS IN SCHOOLS UNDER SAMUT SAKHON PRIMARY EDUCATIONAL SERVICE AREA OFFICE
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273453
<p>The objectives of this research were to study 1. level of decision-making behavior format of educational institution administrators 2. level of teamwork among teachers in educational institutions and 3.decision-making behavior format of educational institution administrators affect the teamwork of teachers in educational institutions under Samut Sakhon primary educational service area office. The samples used in the study were teachers 340 people by stratified random sampling. The researcher instruments were a questionnaire (∝= 0.96) The statistics used in the data analysis were percentage, mean and standard deviation and stepwise multiple regression analysis. The results indicated that 1. level of decision-making behavior format of educational institution administrators under of Samut Sakhon primary educational service area office was a high level ( = 4.24, S.D. = 0.59) from the details found participate in decision-making by the administrators use discussions with the subordinates was maximum average ( = 4.43, S.D. = 0.59) and self- determination by finding additional information from subordinates was minimum average ( = 4.13, S.D. = 0.55), 2. level of teamwork among teachers in educational institutions under of Samut Sakhon primary educational service area office has the overall average was a high level ( = 4.30, S.D. = 0.56) from the details found coordinated was maximum average ( = 4.44, S.D. = 0.56) and communication was minimum average ( = 4.15, S.D. = 0.46) and 3. Administrator's decision making behaviors models based on self determination by discussing issue with all subordinates, self determination by using existing information, decision making by administrator's discussing issue with all subordinates and self determination by discussing issue with subordinates individually affects the teamwork of teachers under Samut Sakhon primary educational service area office has statistical significance at the 0.10level and able to predict the teamwork of teachers under Samut Sakhon primary educational service area office got 63.50 percent.</p>Pichaya ChanngamSomchai chavalitthadaวิเชียร อินทรสมพันธ์
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-261512741GUIDELINES FOR GENERAL ADMINISTRATION OF SCHOOLS UNDERKANCHANABURI PRIMARY EDUCATIONAL SERVICE AREA OFFICE 3
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273454
<p> The purpose of this research is to study the general administration of educational institutions. and guidelines for general administration of schools Under Kanchanaburi Primary Educational Service Area Office 3, the research results found that 1. general administration of the educational institution Under the jurisdiction of the Kanchanaburi Primary Educational Service Area Office, Area 3, overall, practices were at a moderate level. When considering each aspect, it was found that the areas that had high levels of compliance Sorted by average from highest to lowest are student admissions and student affairs. As for the areas that are practiced, they are at a moderate level. Sorted by average of 3, from highest to lowest, namely the organization of control systems within the agency, followed by the aspect of taking care of buildings and environmental conditions. and administrative operations 2. guidelines for general administration schools Under Kanchanaburi Primary Educational Service Area office 3, are as follows: 2.1 Student Affairs The learner support system should be specified to have a focus on development. and solve problems so that students can develop to their full potential. 2.2 Student recruitment It should be given equal importance to all learners. Adhere to the principles of good governance in operations. 2.3 Organize an internal control system. Supervisors should be clearly assigned to manage the work. 2.4 Building and environment care Quality control should be established in operations. and assign people responsible for various tasks to ensure efficiency in administration. 2.5 Administrative operations There should be a clear operational plan and scope of work.</p>Pongsit ChinnawongSaroch Pauwongsakul
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-261514254THE USE OF ADMINISTRATORS’ MANAGERIAL POWER INFLUENCING TEACHERS’ WORK MOTIVATION IN SCHOOLS UNDER THE PRIMARY EDUCATIONAL SERVICES OFFICE, SAMUT SAKHON
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273455
<p>This research aims to study 1. the managerial power utilization of administrators, 2. teachers’ work motivation, and 3. the impact of administrators' use of power on teachers’ work motivation in schools under the Primary Educational Services Office, Samut Sakhon Province. The sample group consisted of school administrators and teachers under the Primary Educational Services Office, Samut Sakhon Province, totaling 340 individuals in the academic year 2022. The data collection tool was a questionnaire. Statistical analyses involved frequency, percentage, mean, standard deviation, and stepwise multiple regression analysis.</p> <p> The research findings indicated that: 1. The overall level of administrators' managerial power utilization in schools Under the Primary Educational Services Office, Samut Sakhon, is high. Considering specific aspects, the power of reference has the highest mean, followed by legal authority, while the lowest is for coercive power. 2. The overall level of teachers’ work motivation in schools under the Primary Educational Services Office, Samut Sakhon, is high. Examining specific aspects, job characteristics have the highest mean, followed by receiving recognition and respect, while advancement has the lowest mean. 3. School administrators' use of managerial power affects teachers’ work motivation significantly</p>Pornchai KerdsinSomchai Chavalitthada
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-261515564A EVALUATION OF THE CUB-SCOUT BASIC UNIT LEADER TRAINING COURSE OF NATIONAL SCOUT ORGANIZATION OF THAILAND
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273456
<p> This research aimed to assess the Cub-Scout Basic Unit Leader Training Course of National Scout Organization Thailand (NSOT) by using CIPP Model. The samples included scout personnel using the Cub-Scout Basic Unit Leader Training Course under NSOT in 2022 from simple random sampling, i.e., 5 scouting experts, 20 trainers, 201 trainees, and 14 supervisors of the trainees. The instruments were 4 sets of questionnaires with reliability ≥ 0.80 The statistics for data analysis included percentage (%), mean ( ), and standard deviation (S.D.). The findings revealed that for the assessment of general information course efficiency for scout leader training under NSOT in term of context, input, process, and product, the overall of these 4 aspects was high. Specifically, 1. for the assessment of course efficiency in term of context according to the scouting experts’ opinions, it was found that the overall was highest. 2. For the assessment of course efficiency in term of input according to the trainers and trainees’ opinions, the overall was high. 3. For the assessment of course efficiency in term of process according to the trainers’ and trainees’ opinions, the overall was high. 4. For the assessment of course efficiency in term of product according to the trainees’ and their supervisors’ opinions, the overall was high.</p>Chitapol Deekoontod
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-261516575THE WORK BEHAVIORS THAT AFFECT WORKPLACE PRODUCTIVITY OF EMPLOYEES AT MA TA PHUT INDUSTRIAL ESTATE, RAYONG PROVINCE
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273457
<p> This research aims to: 1. examine employee behaviors at Map Ta Phut Industrial Estate in Rayong Province, 2. explore employee productivity at Map Ta Phut Industrial Estate in Rayong Province, 3. compare productivity among employees based on personal factors, and 4. study the effects of employee behaviors on the employee productivity. Consisting of 295 samples, the research employs statistical methods including frequency distribution, percentage, mean, standard deviation, independent sample t-test, one-way ANOVA, and multiple regression analysis. The results reveal that: 1. The average score for the employee behaviors is at 4.25, indicating a very good level; 2. The average score for employee productivity is at 4.27, representing an excellent level; 3. Personal factors, including gender, age, education, and work experience contribute to variations in employee productivity; and 4. There is an interconnection between employee behavior and employee productivity, with responsibility being the most significant aspect affecting employee productivity.</p>Kadsaraporn KanyanamittaSompol Tungwa
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-261517687CHANGING YOUR LIFESTYLE HABITS TO BE HAPPY WITH THE SUFFICIENCY ECONOMY PHILOSOPHY IN THE ERA OF COVID/NEW NORMAL AND POST COVID/NEXT NORMAL
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273458
<p> This article aims to study how to change living habits to be happy. With the philosophy of sufficiency economy in the era of COVID/NEW Normal and Post COVID/Next Normal, the results of the study found that the guidelines for living and changing behavior to live happily. with the sufficiency economy philosophy of the community Living a happy life has different meanings for different people. But changing your lifestyle habits to make you happy is this can be done by using the Sufficiency Economy Philosophy. Which is a principle aimed at sustainable development at the community level as the world faces the COVID-19 outbreak, we are seeing changes in lifestyles. Many people are adapting to new situations such as working from home, studying online, and using apps to help them avoid contact with others. And more intensive health care there should be an understanding and awareness of the pitfalls that may occur in making this adjustment. And can learn and improve oneself to suit new situations</p>Nuttapong Jaturachadsukol Nantawan WongkachonkittSomphop JuloChatree ChancharoenrttNat Boonyavichkanont
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-261518898GUIDELINES FOR PROJECT IMPLEMENTATION AND BUDGET EXPENDITURE:COMPREHENSIVE SUPPORT FOR INFANT CARE TOWARDS SOCIAL WELFARE FOR ALL PROJECT
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273460
<p> The academic article of Guidelines for Project Implementation and Budget Expenditure: Comprehensive Support for Infant Care Towards Social Welfare for All Project. It presents a study of budget management for social welfare expenditures for children and youth in Thailand, which has been studied and gathered knowledge related to the subsidy project for raising newborn children. In 2022, the childcare subsidy was allocated a budget of 16,659,489,900 baht, targeting 2,655,272 children, and reaching 2,579,046 children, which represents 85% of the total eligible children who received the subsidy and underwent developmental screening, showing age-appropriate development. The study found that the government has pushed for the childcare subsidy project to become universal, aiming for all children to receive the subsidy regardless of their parents' economic status. However, due to several constraints, there is a need to review the budget to align with the overall national situation, and it is not yet feasible to implement a universal subsidy. Therefore, the government should prioritize providing universal welfare for all newborns, focusing on integrated work and network participation, with regular monitoring and evaluation of the project's implementation. This approach will be a valuable investment in the long-term development of children and the nation.</p>Amonpajee AuppamaiSomboon Sirisunhirun
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-2615199117PARTICIPATION OF VILLAGE COMMITTEES IN COMMUNITY DEVELOPMENT SAM PHRAN DISTRICT NAKHON PATHOM PROVINCE.
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273463
<p> This academic article explores the challenges and opportunities related to community participation in the development of sustainable communities. The main focus of this article is on the development of community committees that can ensure sustainable progress in the future. The challenges and obstacles faced by such committees are discussed, including insufficient budgetary support, lack of technical expertise, and low levels of public awareness and support. The article emphasizes the importance of developing sustainable community committees that can help address these challenges and create a more sustainable future for communities. It highlights the need for a comprehensive approach that considers economic, social, and environmental factors, as well as global trends, and emphasizes the importance of partnership and collaboration between government, local communities, the private sector, and civil society. Ultimately, the article argues that sustainable community development is a collective responsibility and that everyone must work together to achieve it, to ensure a better future for all</p>Dhammarut Khiaokaeo
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-26151118128FACTORS THAT PROMOTE EFFICIENCY IN THE MANAGEMENT OF CONDOMINIUM AND HOUSING JURISTIC PERSONS
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/yri/article/view/273464
<p> This academic article had the objective to study the factors affecting efficiency in the management of condominium and housing development juristic persons by research gather data from research academic articles to create a model about factors affecting efficiency in the management of condominium and housing development juristic persons which can be divided into main types: 1. Good Management means planning, organizing, and implementing plans and effective control to ensure compliance with the plan 2. Personnel Quality means the juristic person committee and juristic person officers should have good knowledge, ability, and experience in working in juristic person management 3. Adequate Resources (Resources) means that a juristic person should have a sufficient budget for operations, assets and equipment necessary for operations 4. Relevant laws and Regulations means relevant laws and regulations should be clear and consistent with the reality and facilitate the operations of the juristic person 5. Participation of Members means members should participate in determining policies and operational plans of the juristic 6. External Environment refers to the external environment such as economic, social and political conditions that may affect the operations of the juristic person.</p>Sikarin Chuensomboon
Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยญาณสังวร มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/
2024-06-262024-06-26151129138